เตรัณย์เลี่ยงออกมารับโทรศัพท์บริเวณหน้าทางเข้าห้องน้ำ อันเป็นมุมที่สงบและไร้เสียงรบกวนที่สุด ดวงตาคมจ้องมองหมายเลขซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะกดรับอย่างเสียไม่ได้
“ว่าไงครับแม่?”
“ไม่ต้องมาถามว่าว่าไงนะตาเต เมื่อกี้เรากดตัดสายแม่!”
เสียงคู่สนทนาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ด้วยเหตุนี้ผู้เป็นลูกจึงเริ่มใช้น้ำเย็บเข้าลูบ
“ตัดสายที่ไหนกันครับ เมื่อครู่สัญญาณมันขาด ถ้ากดตัดสายผมคงไม่รับสายอีกครั้งหรอก ผมคิดถึงแม่จัง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวาน คิดถึงก็กลับบ้านสิลูก เราไม่กลับบ้านมาสามปีแล้วนะ ไหนจะงานที่โรงพยาบาลอีก กลับบ้านเถอะเต”
เตรัณย์คือลูกชายเพียงคนเดียวของ ดร.เตย์ และคุณกุสุมา เจ้าของโรงพยาบาล Believe International โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่และค่อนข้างดังในกรุงเทพมหานคร
เขาเดินทางมาศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน นับจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทำงานที่นี่จนได้สัญชาติอเมริกันผ่านการดำเนินงานของที่ทำงาน เดินทางกลับประเทศไทยบ้างทั้งที่ไม่เต็มใจ
ทว่าช่วงหลังมานี้เขาไม่ได้กลับไทยเกือบสามปีแล้ว สาเหตุหลักคือพยายามหลีกเลี่ยงการรับตำแหน่งผู้บริหารโรงพยาบาล เนื่องด้วยตัวเขาต้องการเป็นหมอไม่ใช่ผู้บริหาร
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาวิ่งหนีสุดชีวิต คือการหลีกเลี่ยงเรื่องคลุมถุงชน ทุกครั้งเมื่อชายหนุ่มเดินทางกลับประเทศไทย คุณกุสุมาจะต้องนัดแนะจัดหาหญิงสาวหน้าตาหน้าเอ็นดู โปรไฟล์ไร้ที่ติ และแน่นอนว่าอยู่ในวงสังคมเดียวกันให้แก่ลูกชายเพียงคนเดียว
เมื่อคิดถึงเรื่องการแต่งงาน พาให้เตรัณย์นึกถึงบริกรสาวคนเมื่อครู่ที่เขาเดินชน ทั้งที่เห็นเพียงด้านหลังและได้กลิ่นหอมบางๆ ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม เพียงแค่สองสิ่งนี้...ช่างน่าแปลกนัก สามารถจับความสนใจของเขาเอาไว้ได้แทบจะในทันที
ทว่าน่าเสียดายยิ่ง ที่เขาต้องเดินกลับออกมารับสายของมารดา ไม่เช่นนั้นคงได้มีโอกาสเห็นหน้าเธอผู้นั้น
“เต...เต นี่เราฟังแม่อยู่รึเปล่าลูก?”
คำถามค่อนข้างดังซึ่งลอดผ่านมาตามโทรศัพท์ ฉุดให้คนใจลอยกลับคืนสู่คู่สนทนา
“อ้อครับ ฟังครับ”
“แล้วตกลงหาเจอรึยัง ไหนเราบอกแม่เมื่อสองเดือนที่แล้วว่าใกล้แล้วไง ตกลงชาตินี้แม่จะได้อุ้มหลานไหม? เราไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้วนะเต ปีนี้ 32 แล้วนะ!”
เตรัณย์ลอบถอนหายใจ ในที่สุดมารดาก็วกมาสู่เรื่องนี้ “ใกล้แล้วครับแม่ แม่ครับ...แค่นี้ก่อนนะ ผมมีธุระต้องไปจัดการต่อ ผมรักแม่นะครับ
ชายหนุ่มกดตัดสายตามด้วยการปิดเสียง เดินกลับโต๊ะอาหารโดยไม่ลืมสอดสายตามองหาเธอคนนั้น มองไปเรื่อยแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เขาจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเธอคือใคร เห็นแค่เพียงด้านหลังและจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทผู้กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ฟิล...ยิ้มอะไรของนาย?”
ฟิลลิบเหล่ตามองคนที่หายไปนาน หยิบมีดและส้อมขึ้นมาเริ่มแล่เสต็กซึ่งมาเสริฟได้สักพักแล้ว
“เจอสาวในฝัน”
คิ้วหนาของเตรัณย์เลิกขึ้น หยิบไวน์ขึ้นมาจิบ ดวงตาคมกริบมองเพื่อนยิ้มให้กับเสต็ก “นายก็เจออยู่แล้วทุกวันไม่ใช่หรอ?”
“ไม่ใช่ คนนี้ไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง?”
“ไม่รู้สิ รู้แค่ไม่เหมือน”
เตรัณย์หัวเราะในลำคอ เริ่มต้นรับประทานอาหาร ในสมองคิดถึงแต่สาวคนเมื่อครู่ เหลือบตามองเพื่อนซึ่งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตัดสินใจเอ่ยถามอย่างเสียไม่ได้
“สาวที่นายบอกใช่คนที่ฉันเดินชนรึเปล่า?”
ฟิลลิปเลิกคิ้วน้อยๆ “นายเดินชนหรอ ไม่รู้สิ สนใจแต่สาวไม่สนใจนาย”
“ลักษณะเป็นยังไง?”
ผู้ถูกถามอมยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยรู้ทัน กระแอมไอพร้อมวางมีดและส้อม เริ่มต้นบรรยายถึงลักษณะสาวปริศนาผู้นั้น “สูงประมาณ...175 เซนติเมตร ไม่ผอมไม่อ้วน ผิวขาว สาวเอเชีย...สวย สวยสะดุดใจ”
“เดี๋ยวคงมาเสริฟต่อ”
ฟิลลิปส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเสียดาย “เสียใจด้วยเพื่อนรัก เมื่อครู่ฉันถามจากพนักงานที่มาเสริฟอาหาร เห็นว่าเธอคนนั้นเลิกงานแล้ว”
ความผิดหวังฉาบดวงตาคมของเตรัณย์อย่างเห็นได้ชัด เขาใช้ส้อมจิ้มเนื้อค่อนข้างแรง “เด็กเสริฟไม่ใช่เลิกงานเป็นกะหรอ?”
“โดนตัดชั่วโมงละมั้ง”
ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่อนข้างแย่ ทำให้ร้านอาหารหรือแม้แต่บริษัทส่วนใหญ่ซึ่งจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ตัดสินใจตัดชั่วโมงทำงานของพนักงานลง ด้วยเห็นว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีการเลิกจ้าง พนักงานได้เงินน้อยลง แต่อย่างน้อยก็ยังได้
เตรัณย์ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นั่งรับประทานอาหารต่อไปเงียบๆ จนกระทั่งผู้เป็นเพื่อนเปิดประเด็นการสนทนา
“โทรศัพท์จากที่บ้านเรื่องแต่งงานอีกละสิ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ พยักหน้าเนือยๆ “เรื่องเดิมๆ แม่อยากมีหลาน”
ตามปกตินิสัยผู้ชายตะวันตก มักไม่ค่อยยุ่งเรื่องราวละเอียดอ่อนเหล่านี้ หากฟิลลิปมีแม่เลี้ยงเป็นชาวญี่ปุ่น ทำให้เขาเองก็โดนเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้สองชายหนุ่มจึงมักแลกเปลี่ยนเรื่องราวปรับทุกข์
“ยากอะไร ในเมื่อแม่นายอยากมีหลาน นายก็ทำหลานสักคนให้ก็จบ”
เตรัณย์ยิ้มเหยียด คว้าแก้วไวน์กระดกรวดเดียวหมด วางลงเสียงค่อนข้างดัง “ถ้ามีเมียก็ทำไปแล้ว”
“งั้นก็หาสักคนสิ อย่างนายนะหาไม่ยาก แค่สบตาสาวๆก็พร้อมสละความโสดแต่งงานด้วยเป็นแถว” ผู้หยอกล้อเอ่ยด้วยเสียงติดตลก หากคนฟังไม่ตลกด้วย พูดด้วยเสียงค่อนข้างเครียด
“เมียนะเว้ยไม่ใช่คู่นอน จะมีเมียทั้งทีมันต้อง...” เขาหยุดคำพูด คิดอยู่นานในที่สุดก็พูดต่อ “นอกจากหน้าตาถูกใจ การศึกษาต้องผ่าน เรื่องฐานะฉันไม่สน อ้อยังมีอีกสิ่งและสิ่งนี้สำคัญมาก มันต้องมีความรู้สึกบางอย่างแว๊บขึ้นมาว่าคนนี้ใช่ มันต้องมีอะไรพิเศษที่บอกว่าผู้หญิงคนนี้แหละ ที่อยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต”
ฟิลิปสะอึกไวน์ซึ่งกำลังดื่ม หน้าเหยเกกับคำตอบ “ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายแบบนายเนี่ยนะจะมีความคิดแบบนี้ ช่าง…ช่างประหลาดจริงๆ!”
เป็นอีกครั้งที่เตรัณย์ถอนหายใจหนัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะ หาไม่ได้ก็ไม่ต้องมีลูก”
“ลิซ่าไง สวย การศึกษาดี เพอร์เฟ็ค”
“นายก็รู้ว่าลิซ่าไม่ใช่ ถ้าใช่คงใช่ตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“งั้นนายก็รับอุปการะเด็กสักคนมาเป็นลูก”
ผู้ได้รับคำแนะนำส่ายหน้าปฏิเสธในทันที เรื่องนี้ใช่ว่าเขาไม่เคยคิด “ไม่ได้ว่ะ พูดนะมันง่าย แต่พอคิดจะทำจริงๆมันมีอะไรมากกว่านั้น ถ้าฉันมีลูกหรือจะเลี้ยงเด็กขึ้นมาสักคนให้มาเรียกว่าพ่อ ฉันมีความรู้สึกว่าเด็กคนนั้นควรมีส่วนเกี่ยวข้องจากพันธุกรรมฉัน ไม่อย่างนั้นให้ยังไงก็ไม่รู้สึก ไม่ยอมรับ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเป็นตัวเชื่อมต่อ”
“งั้นก็ใช้ไข่บริจาคกับแม่อุ้มบุญ นายเองก็เป็นหมอทำด้านนี้อยู่แล้ว”
คำแนะนำที่สองทำให้ผู้ได้รับการแนะนำชะงักมือซึ่งกำลังหั่นเนื้อ เขาวางมีดลง เงยหน้ามองเพื่อนซึ่งหยุดมือจากการหั่นเนื้อเสต็กเช่นกัน
“แล้วถ้าลูกโตขึ้นจะให้บอกลูกว่าไง? ฉันไม่ได้มีเมียนะ ถ้ามีเมียแล้วเมียฉันมดลูกไม่แข็งแรงต้องหาคนอุ้มบุญอันนั้นก็ว่าไปอย่าง ส่วนเรื่องไข่บริจาค...ไม่”
ถึงแม้ว่าเตรัณย์จะอยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกามานานกว่าสิบปี หากความคิดครึ่งหนึ่งของเขาอย่างไรก็คือความคิดแบบคนไทย อาชีพของเขาคือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธ์ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่เคยคิดจะนำมาใช้กับตนเอง ด้วยลึกลงไปในใจเขาเชื่อมั่นว่า
ลูกของเขา...ต้องเกิดจากผู้หญิงที่เขารัก
ผู้หญิงที่เขาอยากตื่นขึ้นมาเจอเป็นคนแรกในทุกๆเช้าเท่านั้น...
คู่สนทนาทั้งสองพากันถอนหายใจกับความอาภัพด้านคู่ของตนเอง ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร จนกระทั่งเตรัณย์ถูกขัดเพราะมีสายเรียกเข้า ถึงแม้จะปิดเสียงหากโทรศัพท์มือถือก็ยังสั่นแจ้งเมื่อมีผู้ติดต่อ ด้วยความเคยชินชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูยามรู้สึกถึงแรงสั่น หน้าจอปรากฏอีเมลล์จากที่ทำงาน แจ้งเรื่องเขาได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของหน่วยวิจัยด้านการเจริญพันธ์ ไปประชุมวิชาการที่เมือง Santa Monica รัฐ California ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้านี้
ความมืดและเงียบกว่าปกติของบ้าน ทำให้ชาหวานรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ดวงตาทรงอัลมอนด์กระพริบถี่ ปรับสายตาให้เคยชินกับความมืด มือเอื้อมออกไปเปิดสวิซท์ไฟบนผนังกำแพงข้างประตู ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะชาแข็งตามด้วยอาการเข่าอ่อน ภาพที่ปรากฏทันทีที่มีแสงสว่าง คือภาพของละไมนอนคว่ำหน้าอยู่ไม่ห่างจากประตูเข้าห้อง
“แม่! แม่!”
ชาหวานคึนสติวิ่งไปประคองละไม เขย่าร่างไร้สติเบาๆ มือสั่นปากสั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงสั่นเครือเพราะหวาดกลัว เช่นเดียวกับน้ำตาซึ่งเริ่มเอ่อล้นคลองจักษุ
“แม่ แม่จ๋า...แม่!”
หญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเรียก 911 ระบุสถานที่พร้อมทั้งอาการ รายงานไปร้องไห้ไปจนเกิดการพูดไม่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องต้องถามย้ำถึงสามครั้งสลับกับการปลอบโยนให้เธอคุมสติ แล้วจึงกล่าวทิ้งท้ายว่าจะส่งรถพยาบาลไปถึงที่นั้นภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ระหว่างนี้ขอให้เธออย่าได้แตะต้องผู้ป่วย ด้วยไม่รู้ว่ามีการกระดูกหักหรือเคลื่อนอย่างไรบ้าง
แม้จะมีคำเตือนเช่นนั้น หากชาหวานไม่อาจควบคุมตัวเอง เธอกอดร่างมารดาแน่น สะอึกสะอื้นร้องไห้ ดวงตากวาดมองรอบด้านเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว เริ่มตัดพ้อด่าทอตนเอง...หากเธอไม่ปล่อยแม่อยู่คนเดียวตามลำพัง เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น
“แม่จ๋า แม่อย่าเป็นอะไรนะ แม่...แม่อย่าทิ้งหนูไปไหนนะ”
เสียงของเธอสั่นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง น้ำตาหยดน้อยหยดใหญ่ไหลอาบแก้มขาว ตกลงสู่ใบหน้าผู้นอนสลบครั้งแล้วครั้งเล่า
“แม่จ๋า แม่ทิ้งหนูไปไหนไม่ได้นะ ถ้า...ถ้าแม่ทิ้งหนูไป หนูจะอยู่กับใคร”
ชาหวานรู้สึกถึงโลกทั้งใบดำมืด ทั้งหนาวเย็นราวพระอาทิตย์ลาจากโลกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ อ้อมแขนของเธอกอดร่างละไมแน่นขึ้น เริ่มต้นเอ่ยถึงสิ่งที่มองไม่เห็น...สิ่งที่เธอไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ท่านต้องช่วยแม่ของหนูนะ”
สิ้นเสียงเว้าวอนปานใจจะขาด เสียงหวอรถพยาบาลดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ตามด้วยเสียงกดกริ่งรัวๆ เสียงคนในตึกโวยวายวิ่งไปเปิดประตูหน้า เสียงฝีเท้าตรงเข้ามาสู่ห้องห้องนี้ ผู้มาเยือนคือบุรุษร่างสูงใหญ่ชาวตะวันตกสองคน เขามาพร้อมกับเปลหาม อีกคนคือหญิงสาวอายุราวสามสิบปี เธอสะพายกระเป๋าใบใหญ่สีขาวซึ่งภายในบรรจุอุปกรณ์ช่วยชีวิต
ชาหวานถูกบุรุษทั้งสองซึ่งวางเปลลงบนพื้น ประคองตัวให้ออกห่างจากผู้ป่วย สตรีผู้นั้นตรวจสอบในเบื้องต้น ก่อนจะให้สัญญาณแก่เขาทั้งสองช่วยกันอุ้มร่างไร้สติเคลื่อนสู่เปลหาม เธอผู้นั้นหันมาทางชาหวานที่ยืนตัวสั่นจับมือแม่ตลอดเวลา
“คุณคะ ดิฉันเป็นแพทย์หน่วยฉุกเฉิน...คุณต้องใจเย็นๆนะคะ ระหว่างที่เราเดินทางไปโรงพยาบาล ดิฉันมีเอกสารให้คุณกรอก ขอให้คุณควบคุมสติดีๆ กรอกทุกอย่างตามความเป็นจริงทั้งหมด”
ชาหวานพยักหน้า เดินตามร่างของมารดาที่ถูกบุรุษทั้งสองแบกออกไป ก้าวขึ้นสู่รถพยาบาลท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนมากมาย ประตูรถพยาบาลปิดลง รถเริ่มเคลื่อนตัวออกเช่นเดียวกับเอกสารราว 10 หน้าถูกส่งมาให้เธอ
“นี่ค่ะ ขอให้คุณสงบสติ ใจเย็นๆ ยิ่งคุณให้ข้อมูลได้มากเท่าไหร่ แม่คุณยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น”
หญิงสาวพยักหน้า พยายามสูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์อันกระเจิดกระเจิงก่อนหน้า ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่แพทย์หญิงผู้เริ่มต้นโทรแจ้งทางโรงพยาบาล แพทย์หญิงผู้นั้นวางสายแล้วหันมาทางชาหวาน
“ก่อนจะพบว่าแม่คุณหมดสติ คนไข้มีอาการอะไรไหมคะ?”
“หลายวันก่อนแม่ปวดท้องค่ะ ปวดมาก”
“บริเวณไหนคะ?”
“ไม่ทราบค่ะ จำได้ว่าแม่กุมท้องแถวๆนี้” นิ้วอันสั่นเทาชี้ไปแถวท้องน้อย
แพทย์หญิงพยักหน้ารับรู้ กดบริเวณหน้าท้องของละไม แล้วต่อสายถึงโรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยด้วยคำศัพท์แพทย์ซึ่งผู้ฟังอยู่ไม่อาจเข้าใจ
มือเรียวขาวเอื้อมไปกุมมือค่อนข้างเย็นของแม่ ปลอบใจตนเองว่าตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว อีกไม่นานก็ถึงโรงพยาบาล อีกไม่นานเช่นกันแม่ของเธอจะฟื้น
ชาหวานสะอื้นอย่างไม่อาจควบคุม พยายามบังคับมือให้สั่นน้อยที่สุด เริ่มกรอกข้อมูลประวัติของแม่ แบบฟอร์มนี้คือแบบฟอร์มข้อมูลคนไข้ ยังมีประวัติการเจ็บป่วยและใช้ยาในช่วงสามปีที่ผ่านมา
เมื่อกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกกรอกครบ รถพยาบาลที่วิ่งด้วยความเร็วสูงจอดลงหน้าตึกสีขาวสูงสามชั้น ประตูรถเปิดออกพร้อมกับที่บุรุษทั้งสองย้ายคนไข้ลงรถเข็น ซึ่งพยาบาลผู้ชายนำมาเตรียมรอรับ
หญิงสาวกระโจนลงจากรถ มือกอดเอกสารของแม่แน่น กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามรถเข็นอันถูกส่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ก่อนจะถูกพยาบาลสองคนร้องห้ามให้รออยู่หน้าห้อง ร่างอวบอิ่มอันแสนหวาดหวั่นทรุดนั่งลงกับพื้น ดวงตาจ้องมองคำว่า Emergency มองเช่นนั้นหาได้เคลื่อนไปไหน จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงสะกิดแถวต้นแขน
“คุณคะ คุณคือญาติคนไข้ใช่ไหมคะ?”
ผู้สะกิดคือหญิงสาวชาวเอเชีย หน้าตาบ่งบอกความเป็นมิตร เธอส่งกระดาษทิชชู่ให้พร้อมช่วยประคองชาหวานผู้ไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้น
“ดิฉันชื่อ เจนนิเฟอร์ โค่ เป็นผู้ประสานงานคนไข้ รับผิดชอบดูแลเคสคุณค่ะ”
ชาหวานใช้ทิชชู่เช็ดน้ำตา ส่งเอกสารซึ่งกรอกเรียบร้อยให้ “แม่ของฉันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? ตอนนี้หมอกำลังรักษาแม่ใช่ไหม?”
“ตอนนี้แม่ของคุณอยู่ในคิวรอพบหมอค่ะ จากภาพรวมที่แพทย์ให้รอคิวดิฉันคิดว่าแม่ของคุณไม่มีอันตรายร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต”
“หมายความว่าตอนนี้พวกคุณปล่อยให้แม่ของฉันนอนหมดสติและไม่มีหมอรักษา?” ชาหวานสะบัดแขนซึ่งได้รับการประคอง ยังไม่ทันโวยวายอีกฝ่ายรีบชิงอธิบาย
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เมื่อครู่ทันทีที่แม่ของคุณถูกนำเข้าห้องฉุกเฉิน ทีมแพทย์ได้ดูอาการคร่าวๆแล้ว พบว่าแม่ของคุณยังไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต ทางทีมแพทย์เลยจัดให้แม่ของคุณรอคิวตรวจ โดยทางทีมแพทย์จำเป็นต้องเลือกรักษาผู้ป่วยที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตก่อน”
คือเรื่องปกติของประเทศสหรัฐอเมริกา การพบหมอที่โรงพยาบาลทั่วไปล้วนต้องนัดล่วงหน้า แม้จะเป็นเคสเข้ารักษาฉุกเฉินก็มีคิวพบหมอ ทางทีมแพทย์จะประเมินอาการเบื้องต้น หากไม่พบว่าใกล้เสียชีวิตหรือหยุดหายใจ ล้วนต้องรอคิวตามลำดับความสาหัสของอาการ ไม่มีการลัดคิวรักษาก่อน
ชาหวานสงบสติอารมณ์อันคุกกรุ่น คำว่าแม่ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้เธอเย็นลงกึ่งหนึ่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีมารยาท
“แล้วเมื่อไหร่แม่ฉันจะได้พบหมอคะ? เมื่อไหร่แม่จะฟื้น?”
“ตอนนี้ต้องรอแพทย์เจ้าของไข้ที่ตรวจอาการเบื้องต้นคุณแม่ของคุณค่ะ ถ้าได้คิวแล้วทางแพทย์เจ้าของไข้จะตรวจโดยละเอียดอีกครั้ง จากนั้นจะส่งต่อหมอเฉพาะทางตามที่โรคบ่งชี้ ยังไงคุณเชิญทางนี้ก่อนนะคะ”
เจนนิเฟอร์ผายมือไปทางเก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องฉุกเฉิน เธอเดินนำไปกดน้ำจากตู้กดน้ำมาค่อนแก้ว ส่งน้ำแก้วนั้นให้ชาหวานซึ่งหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้และเริ่มร้องไห้ไร้เสียง
“ดื่มน้ำก่อนนะคะ ทางเราจะพยายามเต็มที่”
ชาหวานส่ายหน้า ยามนี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือเห็นแม่เดินออกมาจากห้องนั้น ปรารถนาให้ตัวเองมีเงินมากพอพาแม่เข้ารักษากับคลีนิกเอกชน ที่นั้นคือหนทางเดียวที่แม่จะได้พบหมอในทันทีโดยไม่ต้องรอคิวนานนับเดือน หากทำได้เพียงแค่คิดฝัน เพราะคลีนิกเอกชนเหล่านั้นล้วนมีค่ารักษาพยาบาลแพงมากจนคนทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง เฉพาะค่า Copay มีราคาสูงถึง $500 แน่นอนว่าบริษัทประกันส่วนใหญ่ปฏิเสธการจ่ายค่ารักษากับคลีนิกเหล่านี้
เจนนิเฟอร์ไม่ได้คะยั้นคะยอ ลุกไปเทน้ำทิ้งแล้วเดินกลับมา เริ่มต้นตรวจสอบข้อมูลในเอกสารซึ่งถูกกรอกด้วยลายมืออันบ่งบอกถึงความรีบและขวัญเสีย
“คุณแม่คุณไม่มีประกัน?”
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องขอให้คุณเซ็นเอกสารรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ”
เจนนิเฟอร์ดึงกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากแฟ้มซึ่งเตรียมมา ส่งให้กับชาหวานพร้อมปากกา ชาหวานรับไปเซ็นทันทีอย่างไม่ลังเล ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรคำว่า Emergency
“เอกสารพวกนี้ดิฉันจะรับไปจัดการทำประวัตินะคะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจะกลับมาหาคุณเร็วๆนี้”
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยยาวนานนัก ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก ทว่าละไมไม่ได้ถูกเข็นออกมา แพทย์หญิงคนนั้นก็เช่นกัน ชาหวานวิ่งไปที่ประตูห้องใจคอไม่ดี พยาบาลวัยกลางคนคว้าแขนเธอเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปด้านใน พร้อมกับออกแรงดึงให้คนเริ่มสติแตกเดินตาม
“ใจเย็นค่ะใจเย็น คนไข้ถูกนำตัวไปห้องผู้ป่วยรวมแผนกนารีเวช”
ชาหวานกุมหน้าอกตนเอง เริ่มรู้สึกแน่นจุก “ห้องผู้ป่วย? แม่เป็นอะไรคะ?
“คุณหมอเฉพาะทางรออยู่ด้านบนค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะเป็นผู้ตอบคำถาม”
ลิฟท์ถูกเรียกขึ้นไปยังชั้นสาม พยาบาลผู้นั้นนำชาหวานไปยังแผนกนารีเวช ตัวแผนกเปิดโล่งไม่มีการกั้นห้อง หนาแน่นด้วยเตียงเรียงยาวนับสิบราวห้าแถว แต่ละเตียงมีผ้าม่านยาวสีเขียวกั้น เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่คนไข้ที่กำลังนอนหลับพักผ่อน ตามกฏแล้วเวลานี้คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามา ทว่ากรณีของชาหวานคือกรณีฉุกเฉิน
ชาหวานหยุดลงตรงเตียงตัวสุดท้ายมุมห้อง ผู้ชายชาวตะวันตกอายุราว 50 ปีสวมชุด Scrub*สีน้ำเงิน โดยมีชุดกราวขาวคลุมทับ ในมือของเขาคือชาร์ตประวัติของละไม เขาผู้นั้นปลายตามองชาหวานซึ่งพุ่งไปจับมือมารดาผู้ยังคงสลบ เขียนอะไรบางอย่างลงในชาร์ตพร้อมเอ่ยด้วยเสียงค่อนข้างเบา
“สวัสดีครับผมนายแพทย์เรมอนด์ ญาติผู้ป่วยเชิญมาทางนี้สักครู่”
‘ทางนี้’ คือการขยับห่างจากเตียงเล็กน้อย พยาบาลดึงผ้าม่านล้อมเตียงนั้นไว้ ราวต้องการปิดไม่ให้คนไข้ผู้ยังไร้สติได้ยินการสนทนา
“แม่เป็นอะไรมากไหมคะ?” ชาหวานถามด้วยเสียงอันลนลาน หัวใจเต้นแรงจวนจะหลุดจากอก
นายแพทย์เรมอนด์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เมื่อครู่จากการตรวจอุ้งเชิงกรานหมอพบเนื้องอก...ค่อนข้างใหญ่ สันนิษฐานว่าคนไข้อาจป่วยเป็นมะเร็ง แต่จะสามารถยืนยันได้หลังตรวจชิ้นเนื้อ ระหว่างนี้หมออยากให้คนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลก่อน”
คำว่ามะเร็งราวกับฟ้าผ่าลงบนศีรษะของชาหวาน ถึงแม้จะเป็นเพียงการสันนิษฐาน หากเธอคิดไปเรียบร้อยแล้วว่าละไมป่วยด้วยโรคนี้ มือเย็นเฉียบราวถูกแช่แข็งในกองหิมะ ลมมากมายจากภายในตีขึ้นจนจุกแน่นช่วงลิ้นปี่ สมองมึนงงตีกลับไปมา คล้ายโลกทั้งโลกกำลังหมุนเหวี่ยง ร่างโงนเงนขาสั่นจนไม่อาจยืนอยู่ ล้มลงไปกองกับพื้นท่ามกลางสายตาหมอและพยาบาล
“แม่เป็นมะเร็ง?” เสียงนั้นล่องลอยดั่งปุยนุ่น ดวงหน้าซีดขาวสั่นไปมา “ไม่จริง หมอตรวจผิด”
พยาบาลสาวสองคนตรงเข้าประคอง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งยามแพทย์แจ้งอาการของโรค ในมือของพยาบาลคนหนึ่งถือแอมโมเนียเตรียมพร้อมหากญาติเกิดอาการเป็นลม
นายแพทย์เอ่ยด้วยความใจเย็น แววตาเปี่ยมด้วยความเห็นใจ “ตอนนี้ต้องรอผลชิ้นเนื้อครับ ราว 1-2 สัปดาห์”
ขาหวานกัดริมฝีปากแน่น กดให้เสียงสะอื้นที่โหมกระหน่ำภายในไม่ระเบิดออกมา เงยหน้ามองหมอตามด้วยพยาบาล แล้วหันไปหยุดอยู่ที่ผ้าม่านสีเขียวซึ่งคลุมล้อมร่างของแม่ไว้
“แล้ว...แล้วถ้าเกิดว่าเป็น หมอรักษาได้ แม่จะหายใช่ไหมคะ?
“หมอไม่สามารถรักษาได้ครับ ต้องส่งต่อไปที่หมอด้านมะเร็ง โรงพยาบาลเราคือโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่มีหมอเฉพาะทางด้านมะเร็ง”
หญิงสาวรู้สึกถึงของเหลวพุ่งจากกระเพาะขึ้นมาสู่ลำคอ ยกมือปิดปากตนเองกดเอาไว้ไม่ให้เปิดออก ความขมแผ่ซ่านไปทั่วหากไม่อาจเทียบเท่าความรู้สึกขมขื่นในหัวใจ ขาแข็งไม่อาจขยับ
“ถ้าทางคุณไม่มีสิ่งใดขัดข้อง หมอคิดว่าระหว่างนี้คนไข้สมควรรอผลอยู่ที่โรงพยาบาล” เขาเอ่ยจบก็ปลายตาไปทางเจนนิเฟอร์ซึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ “เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของเราจะคุยกับคุณเรื่องค่าใช้จ่ายคร่าวๆ หมอขอตัวก่อนนะครับ เมื่อได้ผลชิ้นเนื้อเราจะรีบแจ้งคุณในทันที”
ชาหวานเอ่ยขอบคุณแผ่วเบา รู้สึกถึงมือของตนเองถูกกุมบีบให้กำลังใจ พร้อมกับการถูกจูงเดินออกจากบริเวณนี้ ไปยังเก้าอี้สีฟ้าซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกใกล้กับประตูลิฟท์ เธอกระพริบตาถี่ปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่สนใจจะเช็ด เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาค่อนข้างแห้ง
“ค่ารักษา...”
“เมื่อครู่ดิฉันติดต่อฝ่ายการเงิน เราพบว่าคุณยังติดค้างค่ารักษาในอีกศูยน์พยาบาลหนึ่งอยู่จำนวนหนึ่ง”
“ฉันผ่อนจ่ายทุกเดือน”
เจนนิเฟอร์ยิ้มให้กำลังใจ “ดิฉันทราบค่ะ ประวัติการชำระเงินของคุณดีมาก เพียงแต่ว่า...” เธอลังเลเล็กน้อย หากในที่สุดก็เอ่ยออกอย่างยากลำบาก
“หากคุณแม่ของคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ค่าใช้จ่ายที่แผนกการเงินของเราประเมินจากราคากลางค่อนข้างสูงมาก เริ่มต้นราวๆ $100,000 คุณแม่ของคุณไม่มีประกันสุขภาพ ตัวคุณก็ยังเป็นนักศึกษา เราเข้าใจถึงสถานะการณ์ทางการเงินของคุณ ค่าใช้จ่ายตรงนี้ทางโรงพยาบาลเราต้องการจะช่วยเหลือคุณ
เพียงแต่...เราไม่มีงบในส่วนนั้น งบที่เราได้จากทางรัฐบาลทางทนายของโรงพยาบาลดำเนินเอกสารได้เฉพาะผู้ป่วยซึ่งมีสถานะถูกต้อง ที่สำคัญที่สุดทางโรงพยาบาลไม่มีหมอมะเร็ง เราทำได้แค่ช่วยส่งต่อ”
คำอธิบายซึ่งพยายามถนอมใจผู้ฟังที่สุด พาให้ผู้รับฟังตัวสั่น ชาหวานกัดริมฝีปากยกมือปิดปากแน่น สะอื้นตัวโยน รับรู้ถึงรสฝาดของเลือดลอดผ่านไรฟัน
หนึ่งแสนดอลล่าห์สหรัฐ...
ประโยคนี้ลอยวนเวียนในสมองอันปวดร้าวจวนระเบิด เธอใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ เอ่ยถามด้วยความหวัง
“แต่บางทีแม่อาจไม่ได้เป็น แม่อาจเป็นแค่โรคกระเพาะ”
เจนนิเฟอร์ยิ้มไม่เต็มนัก “ค่ะ บางทีอาจเป็นเพียงเนื้องอกไม่มีเซลล์ร้าย ยังไงต้องรอผลชิ้นเนื้อค่ะ อย่างไรก็ตามทางเราอยากให้คุณลอง...หาแผนสำรองเผื่อเอาไว้”
“แล้ว...แล้วถ้าขอส่วนลดละคะ ค่าใช้จ่ายจะประมาณเท่าไหร่?”
เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายถอนหายใจเบาๆ เห็นใจในชะตาชีวิตสองแม่ลูกยิ่งนัก แม้เธอจะทำงานนี้มานานถึงห้าปี หากไม่เคยรู้สึกเคยชินต่อการทำหน้าที่เหล่านี้ เธอไม่สามารถวางเฉยได้ เผลอร่วมรู้สึกไปกับผู้ป่วยและญาติหลายต่อหลายครั้ง
“ราคาที่แจ้งคือราคาที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะหักส่วนลด 35% แล้วค่ะ ราคาเหล่านี้คือราคาโดยประมาณโดยคำนวณจากอาการร้ายแรงน้อยที่สุด”
ชาหวานร้องไห้โฮอย่างไม่อาจฝืนห้าม เธอโผกอดสตรีผู้เพิ่งพบหน้าไม่ถึงสิบหน้าทีดี กรีดร้องด่าทอโชคชะตาที่กำลังกลั่นแกล้งอยู่ในใจ แผ่นหลังอันสั่นเทารับรู้ถึงแรงลูบปลอบ น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเข้าใจดังข้างๆหู
“ดิฉันอยากให้คุณตั้งสติ ดิฉันทราบว่าคุณเสียใจ เพียงแต่ตอนนี้คุณแม่ของคุณมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น...คุณต้องเข้มแข็งนะคะ”
เข้มแข็ง...คำนี้ดังในโสตประสาทการรับรู้ ชาหวานพยักหน้าเบาๆ ผละออกจากอ้อมกอดของคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นผู้ปลอบใจ รับเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตา
“คืนนี้ฉันนอนที่นี่ได้ใช่ไหมคะ?”
เจนนิเฟอร์ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้ค่ะ เฉพาะห้องพิเศษเท่านั้นที่ญาติเฝ้าได้ ห้องรวมจะเปิดให้เยี่ยมเวลาเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น แต่ถ้าคุณอยากลาแม่ก่อนกลับ ฉันจะพาคุณเข้าไป”
เธอเอ่ยพลางประคองคนไร้พลังชีวิตให้ลุกขึ้น ชาหวานค่อยๆก้าวเดินด้วยสองเท้าที่แสนหนัก พื้นลอยราวกำลังจะเป็นลม เธอเดินตรงไปยังเตียงสุดท้ายมุมห้อง หันไปทางเจนนิเฟอร์ที่เลี่ยงออกห่างไปยืนคุยกับพยาบาลเวร มือขาวค่อนข้างสั่นเลื่อนขยับผ้าม่าน แทรกตัวเข้าไปด้านใน
ละไมกำลังนอนหลับ ดวงหน้าซีดขาวราวไร้ชีวิต หากไร้แรงกระเพื่อมที่หน้าอก คงทำให้ชาหวานกรีดร้องเรียกพยาบาล
เธอพาร่างเดินไปใกล้แม่ น้ำตาเอ่อทะลักอาบแก้ม มือกุมมืออันมีสายน้ำเกลือติดเอาไว้ ยกมือนั้นแนบแก้ม เอ่ยด้วยเสียงร้าวรานปานจะขาดใจลงตรงนี้
“แม่จ๋า...แม่รีบๆตื่นนะ แม่ต้องไม่เป็นอะไร หนูจะหาเงินรักษาแม่”
หญิงสาววางมือนั้นลงด้วยความทะนุถนอม ภาพในวัยเด็กยามที่เธอเป็นหวัดแต่ไม่มีเงินซื้อยาฉายปรากฏ...
ในวันนั้นเธออายุราวสิบสองปี ฤดูหนาวพายุหิมะโหมกระหน่ำ ทั่วทั้งควีนส์ Subway และรถประจำทางหยุดให้บริการ เธอจับไข้หนาวสั่นตัวร้อน แม่กระวนกระวายร้องไห้กอดเธอสลับกับการเช็ดตัว เงินที่มีอยู่น้อยนิดไม่อาจพาไปหาหมอได้ ไม่มีแม้แต่ค่า Copay
สิ่งที่แม่ทำในวันนั้น แม่พาเธอแบกขึ้นหลัง เดินจากบ้านฝ่าพายุหิมะไปยังวัดไทย เดินไปร้องไห้ไป การเดินเท้ายาวนานเป็นชั่วโมงหากแม่ไม่เคยท้อ เช่นเดียวกับน้ำตาแม่ไม่เคยหยุดไหล จนในที่สุดก็ถึงวัด ได้พึ่งพาพระในวัดขอความเมตตา ขอยาซึ่งมีคนไทยนำไปทำบุญถวายให้แก่พระสงฆ์
ภาพในวันนั้นพาให้ร่างของชาหวานยิ่งสั่นจากการร่ำไห้หนักขึ้น ใบหน้าสวยอันเปรอะเปื้อนทั้งน้ำมูกน้ำตา ก้มลงจูบแก้มของมารดาแผ่วเบา จูบค้างไว้ชั่วขณะ ต้องการซึมซับความรู้สึกนี้นำไปเป็นแรงใจในการสู้
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะหาเงินมารักษาแม่ แม่รอหนูหน่อยนะ”
เสียงกระแอมไอดังมาจากด้านนอก ให้สัญญาณว่าถึงเวลาต้องออกจากที่นี่ ดวงตาอันแดงกล่ำจดจ้องใบหน้าที่หลับสนิท จด...จำ...ฝังเอาไว้ในใจ ก่อนจะตัดใจหันหลัง ปลอบตัวเองว่าพรุ่งนี้ก็สามารถมาเยี่ยมแม่ได้
ชาหวานเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความเลื่อนลอย สองเท้าหยุดลงหน้าป้ายรถประจำทาง สมองยามนี้สับสนจนยากจะควบคุม จำนวนเงินมหาศาลกำลังบีบคั้นเธออย่างยิ่ง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา
เที่ยงคืนครึ่ง...
หญิงสาวสูดน้ำมูกเช็ดน้ำตา ชะโงกหน้าดูรถประจำทางคันที่กำลังวิ่งเข้ามาเทียบจอด ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆเมื่อพบว่าเป็นสายที่เธอต้องการ รีบเดินขึ้นรถประจำทาง ใจจดจ่ออยู่กับจุดหมายพร้อมกับความหวัง บางทีคนเหล่านั้นอาจเมตตาและเห็นใจมากพอจะช่วยเหลือเธอ
เพราะชีวิตไม่เคยง่าย และมนุษย์ไม่ได้สมหวังในทุกครั้ง หลายต่อหลายครั้งที่เราพบกับความผิดหวัง การถูกปฏิเสธ...และต้องตกอยู่ในสถานการณ์โลกมืดมิดไร้แสงสว่าง
ชาหวานผู้เพิ่งกลับถึงห้องเริ่มรู้ซึ้งในประโยคเหล่านี้ ร่างอวบอิ่มทรุดกายลงนั่งบนฟูก ดวงตาจ้องมองกำแพงสีขาวราวจะทะลุกำแพงไป หากแท้จริงแล้วในสมองกำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
จากโรงพยาบาลเธอนั่งรถไปหาแพทตี้ เอ่ยปากวิงวอนขอยืมเงิน ยามบอกจำนวนเงินแพทตี้ร้องเสียงหลง แม้ชาหวานจะบอกเหตุผลว่านำไปรักษาละไม ทว่าแพทตี้ก็ทำได้เพียงส่ายหน้า
“เงินขนาดนั้นฉันจะไปเอาที่ไหน แกก็รู้ว่าฉันเองไม่ได้ร่ำรวย ผัวฉันเป็นแค่พนักงานบริษัท เงินที่เปิดร้านอาหารก็กู้แบงค์ยังผ่อนไม่หมดเลย”
“น้าพอจะรู้ไหมหนูจะไปกู้ที่ไหนได้?”
แพทตี้ถอนหายใจ “เงินขนาดนี้ใครเขาจะให้แกกู้ เรียนก็ยังไม่จบ งานมั่นคงก็ไม่มี แกทำใจเถอะชาหวาน บางทีนังละไมมันอาจหมดเวรหมดกรรมแค่นี้”
“ไม่!” ชาหวานส่ายหน้าจนผมกระจายยุ่งเหยิง “หนูจะหาเงินรักษาแม่”
“หาเงิน?” แพตตี้ขึ้นเสียงสูง ริมฝีปากบิดยิ้ม ดวงตาเริ่มมองเห็นผลประโยชน์ เกริ่นเข้าสู่เรื่องที่จะช่วยให้เธอได้รับส่วนแบ่ง
“เอายังงี้ไหม ฉันรู้จักพวกเศรษฐีบำเหน็จบำนาญอยากมีสาวไทยน่ารักๆไปดู...”
ยังไม่ทันที่แพทตี้จะพูดจบ ชาหวานได้เดินหนีออกจากร้าน เร่งฝีเท้าตรงไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ด้วยความคาดหวังว่าบางทีสตรีผู้นั้นจะใจดีมากพอให้เธอยืมเงิน ทว่า...
“หนึ่งแสนเหรียญ? เงินตั้งขนาดนี้เธอคิดว่าเธอต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะหาเงินมาคืนฉันหมด?” แคทเทอรีนเอ่ยถามด้วยเสียงนิ่งเฉย ยกขานั่งไขว่ห้าง
“ฉันรู้ว่ามันเยอะมาก ฉันจะพยายามหาเงินมาคืนคุณ คุณทำสัญญาก็ได้ คิดดอกเบี้ยก็ได้ ฉันจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้จริงๆ”
ดวงตาสีฟ้าใสหรี่ลงเล็กน้อย แววตาครุ่นคิดนิ่งลึก “ชาร์ม ฉันเข้าใจว่าเธอจำเป็นต้องใช้เงิน แต่เงินตั้ง $100,000 มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย บางทีฉันอาจจะตายก่อนกว่าเธอจะหามาคืนครบ”
ชาหวานนั่งลงคุกเข่า มือกุมมือของอีกฝ่าย “ได้โปรดเถอะแคทเทอรีน”
แคทเทอรีนไม่ได้มีสีหน้าลำบากใจ หรือปรากฏร่องรอยความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ดวงตาคู่นั้นจ้องพิจารณาสาวน้อยที่นั่งสะอื้นร้องไห้ด้วยความถี่ถ้วน ใช้นิ้วดันคางมนให้เงย นิ้วนั้นไล้ขึ้นมาแถวแก้มอันแดงจัดเพราะความหนาว
“เธอไม่เคยมีแฟนใช่ไหม?”
คำถามนี้สร้างความงุนงงให้ผู้ถูกถาม “ไม่เคยค่ะ”
หญิงสาวผู้มากประสบการณ์ด้านการค้ายิ้มพอใจ รั้งแขนผู้ที่นั่งคุกเข่าให้ลุกนั่งข้างๆ เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“ทางเดียวที่ฉันช่วยเธอได้ คือการหาลูกค้าให้เธอ ครั้งแรกของเธอฉันจะพยายามเรียกให้ที่ $5,000 ฉันหักแค่ 20%พอ แต่เธอเองก็ต้องเป็นเด็กดีทำให้แขกพอใจ ส่วนครั้งต่อๆไปฉันจะพยายามให้ราคาไม่ตกนัก แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเธอว่าทำให้แขกพอใจได้แค่ไหน”
ขาหวานอ้าปากค้าง ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่...”
“เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วชาร์ม ใช้ความสวยของเธอให้เป็นประโยชน์ เพื่อแลกกับชีวิตแม่ของเธอ...มันคุ้มไม่ใช่หรอ?”
มืออันแสนอ่อนนุ่มลูบเบาๆที่แก้มผู้ไร้ทางเลือก รอยยิ้มอันน่าขนลุกแย้มบางๆ “ไปคิดดูละกัน ตัดสินใจได้แล้วค่อยมาให้คำตอบฉัน”
ชาหวานคว้าหมอนขึ้นมาฟาดระบายความเจ็บปวดในใจยามนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ปล่อยร่างนอนหงายอ้าปากหายใจพะงาบๆ ยามนี้ความรู้สึกทุกข์ทรมานแผ่ขยายในทุกเส้นโลหิต มือเรียวทุบฟูก
“ทำไม...ทำไม...”
หญิงสาวรู้สึกถึงก้อนแหลมแทงจุกที่อก พยุงร่างลุกขึ้นอ้าปากสูดอากาศลึก ดวงตาอันแสนหนักอึ้งปิดลง สมองหนักร้าวจนอยากจะกระชากทิ้ง เธอปล่อยน้ำตาให้ไหล...ไหลอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด จิกเล็บลงกับฝ่ามือด้วยความรุนแรง
ในห้วงแห่งความเสียใจและไร้ทางเลือก สิ่งหนึ่งแว็บผ่านลอยเข้ามาในสมอง...
“Egg Donation”
ดวงตาทรงอัลมอนด์มลืมขึ้นพร้อมกับที่ร่างอวบอิ่มพุ่งไปหาแล็ปท็อป เปิดเครื่องอย่างรวดเร็ว เสริชหาชื่อเอเจนซี่แห่งนั้นซึ่งเธอจำได้ลางๆ ทันทีที่หาพบก็รีบกดเข้าไปยังหน้าเว็บ มือควานหาโทรศัพท์กดเบอร์ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอ อันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของ Case coordinator
เสียงรอสายช่างยาวนานยิ่งนักสำหรับผู้ที่หัวใจกำลังร้อนรนดั่งเพลิงเผา ทันทีที่อีกฝ่ายตอบรับ ริมฝีปากบางยิ้มกว้าง ดวงตาเปี่ยมด้วยความหวัง ชิงเอ่ยทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยสิ่งใด
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย Columbus ซึ่งได้รับการจัดอันดับอยู่ที่อันดับที่สิบของสหรัฐอเมริกา อันดับที่สิบหกของโลก ดิฉันต้องการเป็น Egg Donor…และต้องการกำหนดราคาของไข่ดิฉันด้วยตัวเองค่ะ!”
ความคิดเห็น |
---|