เสียงร้องโอดครวญเปี่ยมด้วยความทรมาน ซึ่งดังลอดผ่านประตูห้องพักมาถึงหน้าทางเข้าบ้าน ทำให้ชาหวานซึ่งกลับจากการพาสุนัขเดินเล่น รีบพุ่งดิ่งไปยังห้องพัก เหวี่ยงประตูออกด้วยความรุนแรง ภาพที่ปรากฏคือแม่ใบหน้าซีดขาว มือสองข้างกุมขยำตรงช่วงท้อง ร่างอันแสนผอมบางสั่นราวจับไข้ เหงื่อผุดล้อมทั่วทั้งใบหน้า
“แม่! แม่เป็นอะไร แม่ปวดตรงไหนจ๊ะ?”
ชาหวานถลาเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆ มือสั่นลนลาน ไม่กล้าแตะตัวมารดาเพราะกลัวว่าจะทำให้เจ็บปวดขึ้น เธอไม่รอคำตอบใดๆ คว้าโทรศัพท์มือถือกดเบอร์ 911* หากยังไม่ทันโทรมือของละไมได้คว้ากระชากโทรศัพท์ไปจากมือของเธอ
“ไม่ต้องโทรตามหรอกลูก แม่แค่ปวดท้อง” ละไมเอ่ยอย่างรู้ทัน พยายามกดและข่มความเจ็บปวดเอาไว้ “ค่ารถพยาบาลตั้งหลายร้อยเหรียญ เสียดายเงิน”
“แต่แม่ปวดท้อง” ชาหวานเอ่ยเสียงสั่น วางมือลงบนหน้าท้องมารดา “แม่...แม่ทนไหวไหม เดี๋ยวหนูรีบโทรนัดหมอนะคะ”
หญิงสาวดึงโทรศัพท์มือถือคืน กดตัวเลขไปได้สามตัวก็หยุด “ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวหนูพาแม่ไปพบหมอตอนนี้เลย ไปฉุกเฉินตอนนี้เลย”
ละไมพยายามรวบรวมแรงส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆแสดงท่าทางราวตอนนี้อาการปวดดีขึ้น ทั้งที่ภายในใจกำลังกรีดร้องทุรนทุราย
“ไม่ต้องหรอกลูกแม่หายแล้ว ค่า Copay* เข้าฉุกเฉินตั้ง $350 แม่เสียดายเงิน”
“แต่แม่ปวดท้องมาก หนูจะพาแม่ไปหาหมอ”
“แม่หายแล้ว ตอนนี้อยากนอนมากกว่า” ละไมเอ่ยแล้วชิงหลับตา ไม่ยอมตอบโต้สิ่งใด ด้วยหวาดหวั่นว่าการอ้าปากอีกครั้งจะเผลอปล่อยเสียงร้องกรี๊ด
ชาหวานจ้องมองมารดาผู้แสร้งนอนหลับ แน่ใจยิ่งนักว่าตอนนี้อาการปวดท้องของแม่ไม่ได้บรรเทาลงสักนิด ถึงกระนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ในยามนี้คือการโทรนัดหมอ โดยอ้อนวอนกับทางคลีนิกขอวันนัดเร็วที่สุด
หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปต้มน้ำบนเตาไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง กรอกน้ำร้อนลงถุงน้ำร้อน แล้วนำถุงนั้นกลับมาวางลงบนหน้าท้องแม่ ซึ่งบัดนี้ไม่ได้แสร้งหลับแต่กำลังจ้องมองเธอ
“ค่า Copay เท่าไหร่ลูก?”
“$55 จ๊ะ โชคดีมากมีคนไข้แคนเซิลพอดีเลยได้นัดวันมะรืนช่วงบ่าย ไม่งั้นต้องรอคิวยาวเกือบสองเดือน”
“แล้วหนูไม่ไปเรียนหรอลูก?”
“วันนั้นหนูหยุดพอดี”
ละไมถอนหายใจ อาการปวดบัดนี้เริ่มจางลง ถึงกระนั้นก็สะดุ้งตัวเป็นพักๆเพราะบางช่วงอาการปวดย้อนคืน เธอเอื้อมมือไปกุมมือลูกสาว
“ชาหวาน สมมุตว่าถ้าแม่ป่วย หนูจะเอาเงินจากไหนไปจ่ายค่ารักษา หนี้ตอนเข้าโรงพยาบาลครั้งที่แล้วหนูยังผ่อนจ่ายไม่หมดเลยนะลูก”
หกเดือนก่อนละไมเกิดหน้ามืด ล้มลงศีรษะฟาดพื้นระหว่างกำลังล้างจาน ในครั้งนั้นแพทตี้เป็นผู้โทรตาม 911 แพทย์เจ้าของไข้ขอรั้งตัวให้ตรวจเช็คสมอง ถึงแม้ผลตรวจที่ออกมาแค่อาการความดันต่ำเฉียบพลัน แต่บิลค่ารักษาส่งมาตามเก็บมีราคาสูงถึง $3,500 อันเป็นราคาที่ได้ส่วนลดแล้วจาก $5,500
ละไมไม่มีประกันสุขภาพ หลังจากที่ชาหวานติดต่อขอส่วนลดค่ารักษาจากโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง แสดงหลักฐานผู้มีรายได้ต่ำ ในที่สุดก็ได้ส่วนลดมาเหลือ $2,000 ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เธอผ่อนจ่ายทุกเดือนเดือนละ $200 อีกสี่เดือนจึงจะชำระหนี้หมด
ชาหวานกุมมือแม่แล้วบีบเบาๆ “แม่อย่าห่วงเลย หนูเรียนใกล้จบแล้ว มีหลายบริษัทติดต่อมาเรียกตัวหนูไปสัมภาษณ์เยอะมากเลยนะคะแม่ แม่รออีกนิดนะคะ...เดี๋ยวเราจะไม่ลำบากกันแล้ว”
“โทรยกเลิกหมอเถอะลูก สงสัยแม่คงเป็นโรคกระเพาะ”
“ไปตรวจหน่อยดีกว่าจ๊ะ ต่อให้โรคกระเพาะก็ให้หมอดูหน่อยดีกว่า”
ละไมไม่ได้เถียงสิ่งใด เปลี่ยนสถานการณ์อันแสนอึดอัดนี้ด้วยการถามเรื่องอื่น “วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก เห็นเมื่อวานบอกรับงานพาหมาเดินเล่น”
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็น สีหน้าเคร่งเครียดของชาหวานแปรเปลี่ยนเป็นขันขำ “ก็ดีจ๊ะ เดินกันสนุกมาก”
ที่สนุกคงมีเพียงเธอและสุนัขพันธ์เซ็นต์เบอร์นาร์ดอายุ 1 ปี ส่วนอีกสี่สาวซึ่งตั้งใจจะแกล้ง ล้วนพากันเหนื่อยหอบวิ่งหนีเจ้าหมายักษ์ที่วิ่งไล่เพราะเข้าใจว่าทั้งสี่ต้องการเล่นด้วย
มิลานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันฝากฝังความแค้นเช่นทุกครั้ง ก่อนจะพาร่างอันสะบัดสะบอมมอมแมมขึ้นรถแท็กซี่กลับหอพัก เช่นเดียวกับผู้ติดตามทั้งสาม
หญิงสาวหยิบผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงช่วงอกมารดา คลานกลับไปยังฟูกตนเอง หยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิด เริ่มต้นทำการบ้านหากในสมองคิดถึงงานงานหนึ่ง
“Egg Donation”
ตัวเลข $50,000 ลอยวนเวียนอยู่เต็มหน้าจอ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองผู้เป็นแม่ที่กำลังนอนดูโทรทัศน์เครื่องเล็ก ขยับนิ้วกดปิดหน้าเพจงานซึ่งกำลังหาข้อมูล เปลี่ยนเป็นค้นคว้ารายละเอียดของงานบริจาคไข่
เพียงแค่พิมพ์ว่า Egg Donor บนหน้าเว็บปรากฏข้อมูลมากมายมหาศาล รวมถึงเอเจนซี่นับร้อยแห่งประกาศรับสมัคร Egg Donor การค้นหานี้ทำให้ชาหวานได้ทราบว่าแท้จริงแล้วเอเจนซี่ที่ใหญ่ที่สุด และจ่ายค่าตัว Egg Donor สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา อยู่ในรัฐ California ไม่ใช่รัฐ New York อย่างที่เธอคิด
นอกจากรายละเอียดเอเจนซี่ ยังมีข่าวเกี่ยวกับเรื่อง Egg Donor ทั้งประกาศหา Egg donor ที่แทบจะมีขึ้นในทุกหนึ่งชั่วโมงตามเวลาโพสท์ หนึ่งในนั้นที่ดึงดูดใจชาหวานให้กดคลิ๊ก คือเอเจนซี่แห่งหนึ่งทางฝั่ง Beverly Hills ซึ่งจั่วหัวตัวหนาว่า Egg Donor ระดับพรีเมี่ยม ค่าตอบแทน $50,000+ และบางรายสามารถกำหนดราคาค่าตัวตนเองได้!
ชาหวานกัดริมฝีปาก แววตาฉาบความลังเล เธอเหลือบตามองแม่อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจคลิกดูรายละเอียดคุณสมบัติ Egg Donor รายละเอียดส่วนนี้เป็นเช่นได้เคยเห็นในประกาศ หญิงสาววัยเจริญพันธ์ ไม่สูบบุหรี่ สุขภาพแข็งแรง ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าง่ายแสนง่าย
คำถามหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจของชาหวาน ถ้ามันง่ายขนาดนี้ ทำไมถึงมีประกาศตามหา Egg Donor ทุกวัน งานง่ายๆได้เงินมหาศาลขนาดนี้ใครๆก็อยากทำ เธอแน่ใจว่ามีคนสมัครเป็นร้อยเป็นพัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือแท้จริงแล้วมีบางสิ่งที่มากกว่าที่มองเห็นในตอนนี้
นิ้วเรียวกดต่อไปตรงส่วน More information ทว่าสิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นอีเมลล์และเบอร์โทรของคนคนหนึ่งตำแหน่ง Case Coordinator* โดยมีข้อความระบุต่อท้ายว่าหากสงสัยสิ่งใดให้อีเมลล์หรือโทรไปถามได้โดยตรง เธอกดก็อปปี้อีเมลล์นั้น เปิดเพจเข้าหน้าอีเมลล์ พิมพ์สอบถามรายละเอียดพร้อมกับกดส่ง
ดวงตาทรงอัลมอนด์จ้องมองคำว่า Sent ก่อนจะหัวเราะไร้เสียงต่อการกระทำแสนจะรวดเร็วของตน ยังไม่ทันที่เธอจะกลับเข้าสู่หน้าเพจค้นหาข้อมูลการบ้าน อีเมลล์ของเธอก็เด้งอีเมลล์ตอบกลับจากบุคคลผู้นั้น
ชาหวานจ้องอีเมลล์เข้าใหม่ จัดการลบทิ้งโดยไม่มีการเปิดอ่าน หันกลับไปสนใจหาข้อมูลทำการบ้านต่อ ละทิ้งเรื่องงาน Egg Donation ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอใกล้เรียนจบแล้ว ระหว่างนี้คงไม่มีเรื่องสาหัสหนักหนา จำเป็นต้องใช้เงินมากจนถึงขนาดต้องขายไข่ตัวเอง!
นอกจากงานร้านอาหารไทย ร้านอาหารตะวันตก และ Dog walker ชาหวานยังรับงานแม่บ้านทำความสะอาด โดยรับงานนี้ในวันศุกร์ เพราะเป็นวันที่เธอว่างช่วงเช้าจนถึงเที่ยง ค่าตอบแทนนั้นถือว่าดียิ่งนัก นายจ้างประจำของเธอคือสาวสวยผมบลอนด์หุ่นเย้ายวนหัวใจ อยู่อาศัยบนอพาร์ทเม้นท์หรูห่างจากห้องพักของเธอเพียงสามบล็อค
การทำความสะอาดเริ่มเวลา 9 โมงเช้า ชาหวานเดินทางมาแต่ตัว อุปกรณ์ทำความสะอาดทุกสิ่งเจ้าของห้องเตรียมไว้ให้พร้อม เมื่อก่อนครั้งแรกตอนได้รับการว่าจ้าง เธอเคยนำอุปกรณ์มาเอง หากเจ้าของห้องรีบปฏิเสธและย้ำชัดเจนว่าต้องใช้สิ่งที่เธอจัดเตรียม สาเหตุหลักคือเรื่องกลิ่น
ทั้งที่ห้องพักถูกตกแต่งสไตล์วินเทจ แต่กลิ่นทั้งห้องคือกลิ่นน้ำหอมของผู้ชาย ต่อเมื่อเจ้าของห้องอธิบายถึงอาชีพของเธอ ชาหวานจึงเข้าใจเหตุผล
แท้จริงแล้วนายจ้างแสนสวยของเธอ คือสาว Call girl* โดยเจ้าตัวเคยเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า
“ฉันคือสาว Call girl ชั้นสูง ให้บริการเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนักและที่ฉันพอใจ”
วันนี้ก็เป็นเช่นวันศุกร์อื่นๆที่ผ่านมา ประตูห้องไม่ได้ล็อค ชาหวานเดินเข้าห้องถอดกระเป๋ากับเสื้อโค้ทแขวนไว้บนราวแขวนซึ่งทำมาจากไม้โอ๊คทาสีขาว เธอกวาดตามองรอบห้อง คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียง...ทะแม่งทะแม่ง
หญิงสาวเดินกระดึ๊บๆไปตามทางเสียง เสียงนั้นดังมาจากห้องนอน ร่างอวบอิ่มสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงควรญครางเมื่อครู่กลายเป็นเสียงคล้ายบางสิ่งหวดลงบน...ร่างกายมนุษย์ ตามด้วยเสียงร้องซี๊ดซ๊าด อันยากจะบอกว่าผู้ถูกกระทำเจ็บปวดหรือมีความสุข
เธอเลิกสนใจในเสียงนั้น เดินไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเล็กๆข้างห้องครัว จัดการหยิบอุปกรณ์ทั้งหลายออกมาเตรียมพร้อม แล้วเริ่มต้นจากการทำความสะอาดอ่างล่างมือ ซึ่งอัดแน่นด้วยจานและชามนับสิบใบจนล้นอ่าง
จานชามเหล่านี้ถูกล้างด้วยน้ำเปล่าหนึ่งรอบเพื่อเขี่ยเอาคราบอาหารออก ก่อนจะวางลงในเครื่องล้างจาน เช่นเดียวกับแก้วน้ำที่เหลือ
“อ้าวชาร์มมี่ มาแล้วหรอ”
เสียงเจือหอบเอ่ยทักมาจากด้านหลัง ชาหวานหันไปหาพร้อมมอบรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเหล่มองบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ความสูงของเขาน่าจะราวๆ 196 เซนติเมตร ผมบลอนด์ หน้าตาหล่อเหลากระชากใจ ที่ชวนให้เคลิ้มที่สุดเห็นจะเป็น Sixpack เป็นลอนๆเหล่านั้น เจ้าของเรือนร่างนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาว ในมือของเขาคือกระป๋องเบียร์
“นั้นแขกของฉัน” แคทเทอรีนอธิบายความสงสัยในแววตาสาวน้อย นิ้วเรียวเล็บยาวซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างดีจิ้มลงบนแขนของคนซึ่งยังมองผู้ชายคนนั้น “
สนใจหรอ?”
ชาหวานละสายตาจากความเย้ายวนซึ่งเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าค่ะ แค่ปกติไม่เคยเจอแขกของคุณ”
“คนนี้พิเศษ ฉันชอบเขามาก”
แต่ไหนแต่ไรแคทเทอรีนไม่เคยให้อภิสิทธิ์แขก ไม่ปล่อยให้เดินวุ่นวายในห้องของเธอ ด้วยเหตุนี้ชาหวานจึงไม่เคยพบใครทั้งนั้น ได้ยินเพียงเสียงเปิดประตู ตามด้วยเสียง Hello หรือ Good Bye
แคทเทอรีนเดินตรงไปยังตู้เย็น เปิดตู้แล้วชี้ไปภายในตู้อันอัดแน่นด้วยของสด “ทำความสะอาดเสร็จแล้วทำอาหารให้ฉันด้วยละ ที่เธอจดไว้เมื่อศุกร์ที่แล้วฉันซื้อมาพร้อมแล้ว”
“ค่ะ ทำทั้งหมดเลยหรือว่าแบ่งบางส่วนคะ?”
“ทำหมดเลย”
นอกจากหน้าที่ทำความสะอาด ชาหวานยังรับงานเพิ่มคือทำอาหารไทย แน่นอนว่านายจ้างผู้นี้จ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงาม เพราะเธอติดใจในรสชาดอาหารไทยแสนเด็ดขาดกว่าตามร้านอาหารซึ่งเคยไปรับประทาน
ร่างอันเย้ายวนของเจ้าของห้องเดินกลับเข้าห้องนอน เพื่อทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมาย เช่นเดียวกับหญิงสาวผู้ทำอาชีพแม่บ้านในวันนี้ การทำความสะอาดห้องครัว ห้องน้ำห้องนอก และห้องนั่งเล่นเริ่มต้นขึ้น
จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นจากไป เธอจึงได้เข้าไปทำความสะอาดห้องนอนและห้องน้ำภายใน ส่วนเจ้าของห้องได้ย้ายตนเองออกมานั่งดูทีวีพลางจิบไวน์ในห้องนั่งเล่น
การทำความสะอาดจบลง ต่อด้วยการทำอาหาร ใช้เวลาไม่นานห้องทั้งห้องยามนี้ใช่มีเพียงกลิ่นน้ำหอมบุรุษ หากอวลไปด้วยกลิ่นอาหารไทย ชาหวานล้างมือเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด เดินไปนั่งลงบนโซฟาใกล้กับเจ้าของห้องซึ่งกำลังนั่งนับเงินสดเป็นปึกๆ คะเนด้วยสายตาคงราวๆ $10,000
“สนใจไหม?”
คำถามดังขึ้น พร้อมกับดวงตาสีฟ้าช้อนมองสาวน้อยผู้นั่งเท้าคางมองเงิน
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า”
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกถามและชักชวนให้มาทำงาน ชาหวานมองเงินสดเป็นปึก แน่นอนว่าเธออยากได้ แต่เธอไม่ต้องการขายตัว ถึงแม้จะเอ่ยอ้างว่าคือสาว Call girl ชั้นสูง รับแต่ลูกค้ากระเป๋าหนัก หากอย่างไรก็คือการขายเรือนร่างให้กับผู้ชายที่ไหนไม่รู้
เธอไม่ได้ดูถูกเจ้าของห้องผู้แสนเป็นมิตร และไม่ได้รังเกียจที่แคทเทอรีนทำอาชีพนี้ เพียงแค่ไม่ปรารถนาเดินรอยตาม การต้องมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนแล้วคนเล่า แค่เพียงคิดก็พาให้เกิดอาการคลื่นไส้
แคทเทอรีนยิ้มบางๆ หยิบสมุดเช็คซึ่งวางอยู่ข้างมือขึ้นมาเขียนเช็คแล้วส่งให้ชาหวาน พร้อมกับการหยิบธนบัตร $100 ส่งให้
“ค่าจ้างทำอาหารกับทิป”
“ขอบคุณค่ะ”
ชาหวานรับเช็คระบุจำนวนเงิน $175 แล้วพับครึ่ง เงินสดก็เช่นกัน “ไปก่อนนะคะ”
ยังไม่ทันที่ร่างอวบอิ่มจะเดินไปถึงราวแขวนเสื้อโค้ท เสียงของเจ้าของห้องได้ร้องเรียก
“ชาร์ม ถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่อย่าลืมคิดถึงฉันละ ฉันสามารถเรียกค่าตัวเธอได้ที่ขั้นต่ำครั้งละ $1,000 ฉันหัก 30% เป็นค่าหาลูกค้าและค่าเธอใช้ห้อง ส่วนงาน...เดี๋ยวฉันสอนให้”
ชาหวานหันไปทางผู้ยื่นข้อเสนอ ยิ้มตามมารยาท “ขอบคุณนะคะ แต่ฉันไม่สนใจจริงๆค่ะ”
“ก็แค่บอกเผื่อเอาไว้”
หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้ หยิบเสื้อโค้ทมาสวมตามด้วยการสะพายกระเป๋า เดินออกจากห้องตรงกลับห้องพัก เพื่อไปรับแม่พาไปหาหมอตามที่ได้นัดเอาไว้
คลีนิคตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ห่างจากห้องพักราว 45 นาที สองแม่ลูกจูงมือกันลงรถประจำทาง ชาหวานประคองละไมที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเดินเข้าคลีนิค คลีนิคแห่งนี้ค่อนข้างเล็ก มีหมอเพียงแค่คนเดียวและพยาบาลสองคน ผู้ช่วยพยาบาลอีกหนึ่งคน บริเวณห้องรอพบแพทย์อัดแน่นด้วยคนไข้ ส่วนใหญ่คือกลุ่มคนซึ่งถูกจัดว่า Low income*
ชาหวานกวาดตามองหาที่นั่ง เมื่อพบว่ามีเก้าอี้เหลืออยู่หนึ่งตัวข้างตู้กดน้ำ ก็รีบประคองละไมไปนั่ง แล้วจึงเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้จัดการด้านเวชระเบียน
“สวัสดีค่ะ นางสาวละไม แตงอ่อน นัดไว้ตอนบ่ายโมงครึ่งค่ะ”
เจ้าหน้าที่เวชระเบียนคือสาวอเมริกันแอฟริกัน เธอหยุดมือที่กำลังพิมพ์ หยิบเอากระดาษเอสี่หนึ่งแผ่นส่งให้ชาหวาน ในนั้นคือรายละเอียดประวัติคนไข้สำหรับลงทะเบียน
“กรอกเสร็จแล้วนำมาส่ง”
ชาหวานขยับตัวไปริมทางขวา อันเป็นจุดกรอกข้อมูล จัดแจงเขียนรายละเอียดทุกสิ่ง เว้นแต่ข้อมูลประกันสุขภาพและเลข SSN* กรอกเรียบร้อยก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นคืนให้เจ้าหน้าที่
หญิงสาวผู้นั้นรับไปมอง ตามด้วยการถามคำถามที่หนึ่ง “ไหนละบัตรประชาชนหรือใบขับขี่? อ้อ...ไม่มีประกัน ใครรับผิดชอบค่ารักษา?”
ชาหวานตอบแค่คำถามหลัง เพราะทราบดีว่าแม่ไร้บัตรใดๆ “จ่ายเองค่ะ”
ผู้ถามเขียนบางสิ่งลงบนหัวกระดาษ ตามด้วยคำถามที่สอง “เลข SSN ละ?”
“ไม่มีค่ะ”
เธอผู้นั้นชะงักปากกา “อยู่แบบผิดกฏหมาย?”
ชาหวานไม่ตอบคำถาม รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ช่างไร้มารยาทและหยาบคายอย่างยิ่ง ตามปกติแล้วคำถามนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงจะเอ่ยเพราะถือว่าคือการดูถูกและกีดกันความเท่าเทียม เธอเลี่ยงไปอีกประเด็น
“ไม่ทราบว่าจะพบหมอได้ตอนกี่โมงคะ แม่ปวดท้องค่ะ”
เจ้าหน้าที่เวชระเบียนลุกขึ้นเดินไปคุยบางสิ่งกับพยาบาลชาวตะวันตกผมแดง เธอสองคนจ้องมองมาทางชาหวาน พยาบาลคนนั้นเดินเข้าไปในห้องตรวจ หายเงียบไปชั่วครู่แล้วเดินมาหาชาหวานที่รอคอยคำตอบ
“ขอโทษนะคะ เนื่องจากคลีนิคของเราได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากรัฐ เรารับคนไข้เฉพาะคนที่มีสถานะถูกกฏหมายค่ะ”
“ขอโทษนะคะ มีเอกสารอะไรยืนยันไหม? ไม่เคยได้ยินเรื่องแพทย์ปฏิเสธรับรักษาคนไข้” ชาหวานโต้ตอบอย่างใจเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการให้แม่พบหมอ “ขอดูเอกสารที่ระบุเรื่องปฏิเสธการรักษาด้วยค่ะ”
เจ้าหน้าที่เวชระเบียนชี้ไปทางประตู “เชิญค่ะ”
การกระทำนี้ทำให้ชาหวานชักสีหน้า เน้นคำถามและใช้เสียงค่อนข้างดัง “ขอ-ดู-เอก-สาร”
สิ้นประโยคนี้ ละไมได้เดินมายืนข้างลูกสาว สีหน้าไม่สู้ดีด้วยพอคาดเดาได้ว่าเกิดปัญหาเกี่ยวกับสถานะของเธอ เธอสะกิดแขนลูกสาวที่บัดนี้จ้องมองผู้หญิงคู่กรณีทั้งสองด้วยแววตาบอกชัดว่าไม่ยอม
“ชาหวาน ไปกันเถอะลูก ถ้าเขาไม่รักษาก็ช่างเขา แม่หายดีแล้ว”
“หนูต้องการให้แม่พบหมอ” ชาหวานเอ่ยต่อมารดา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “เอาเอกสารมาดู ไม่งั้นฉันจะฟ้องร้องทั้งพวกเธอทั้งหมอ จะร้องเรียนให้ถูกถอดใบประกอบวิชาชีพเลยคอยดู”
หญิงสาวค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีกฏเหล่านี้ ตามกฏหมายของสหรัฐอเมริกา สถานพยาบาลไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการรักษาต่อให้คนคนนั้นอยู่ในสถานะผิดกฏหมายหรือเป็นนักโทษ จริงอยู่ว่าบางโครงการอันเป็นโครงการรักษาฟรีถูกสงวนไว้ให้เพียงคนสัญชาติอเมริกัน แต่นี่เธอพาแม่มาเพื่อรักษาโดยการจ่ายเงินด้วยตนเอง ไม่ได้มาขอใช้สิทธิ์ฟรี
“กลับเถอะลูกชาหวาน แม่หายดีแล้ว”
หลังจากพยายามดึงแขนอยู่หลายรอบ ทว่าชาหวานยังทำตัวเป็นท่อนไม้ไม่ยอมขยับ ในที่สุดละไมจึงเดินออกจากคลีนิค ด้วยแน่ใจว่าลูกสาวต้องเดินตามออกมา และก็เป็นจริงดังนั้น เสียงของผู้เป็นลูกโวยวายเรื่องจะฟ้อง สองนาทีต่อมาร่างของคนโวยวายก็เดินออกจากคลีนิค
“กลับบ้านกันเถอะลูก” ละไมกุมมือของลูกสาวที่ค่อนข้างเย็น “แม่อยากกลับบ้าน”
“วันนี้แม่ต้องได้หาหมอ”
คำตอบดังพร้อมกับที่ชาหวานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาข้อมูลคลีนิค ละไมถอนหายใจให้กับความดื้อของลูกสาว นั่งลงยองๆ เอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน
“วันหลังละกันลูก วันนี้แม่เหนื่อยแล้ว”
ใช่เพียงแค่เหนื่อย ยังมีอาการปวดท้องตุ๊บๆเริ่มมาเยือน ยามนี้เธอปรารถนากลับห้องพัก ไม่ต้องการกรีดร้องโหยหวนแสดงความทรมานอยู่ข้างถนน การเสแสร้งว่าไม่ป่วยทำง่ายกว่าบนที่นอน
“ถ้างั้นเดี๋ยวหนูจะนัดหมอคนใหม่ให้แม่นะคะ”
ชาหวานยอมถอยให้ผู้เป็นแม่ ผู้เริ่มมีสีหน้าไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กประคองแขนของแม่เอาไว้ “แม่เดินไหวไหม ป้ายรถเมล์ต้องข้ามไปขึ้นฝั่งโน้น หรือถ้าไม่ไหวยังไงเดี๋ยวเราเรียกแท็กซี่กันนะจ๊ะ”
ละไมรีบส่ายหน้า “แม่เดินไหวลูก กลับห้องกันเถอะ”
ค่าแท็กซี่จากจุดนี้ถึงบ้านคงราวๆ $40-60 เธอรู้ดีว่าลูกสาวสุดที่รักต้องทำงานหนักมากกว่าจะได้เงินแต่ละดอลล่าห์ ต้องการประหยัดไม่อยากเป็นภาระของลูกมากไปกว่านี้ ความรู้สึกเสียใจที่ตนเองคือภาระ บังเกิดขึ้นในใจสตรีผู้กำลังกอดแขนของลูกเดินข้ามถนน
คล้ายกับว่าผู้เป็นลูกทราบความในใจของแม่ ชาหวานกุมมือหยาบกระด้างซึ่งเลี้ยงดูเธอมาจนเติบใหญ่ ดวงตาแดงเล็กน้อยน้ำตารื้นในคลองจักษุ เอ่ยด้วยเสียงค่อนข้างสั่น
“เรามีกันแค่สองคนแม่ลูก แม่จะทิ้งหนูไปไหนไม่ได้นะจ๊ะ”
ละไมยิ้มน้อยๆ น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจหักห้าม มือของเธอบีบมือซึ่งกุมมือเธอแน่น “แม่ไม่ไปไหนหรอกลูก แม่จะรอจนกว่าชาหวานจะมีหลานให้แม่อุ้ม”
ชาหวานใช้หลังมือปาดน้ำตา ยิ้มกว้างตาหยี “หนูจะมีลูกตอนอายุเจ็ดสิบปี แม่ต้องอยู่ถึงตอนนั้นนะจ๊ะ!”
The Romantic Restaurant ตั้งอยู่ย่าน Greenwich Village การตกแต่งเน้นสีขาวและดำ กึ่งกลางร้านห้อยชวาลาขนาดย่อมส่องแสงสลัวพอให้เห็นเมนู บนโต๊ะแต่ละตัวตั้งเทียนสีขาวยี่ห้อดังจุดอยู่ ด้านข้างคือแจกันทรงสูงใสลักษณะคล้ายแก้วแชมเปญปักกุหลาบสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งดอก
ใจกลางร้านถูกสร้างเป็นพื้นยกสูงเท่าขั้นบันไดหนึ่งขั้น บนนั้นกลุ่มนักดนตรีในชุดทักซิโด้สีดำกำลังสีไวโอลีนบรรเลงเพลงคลาสสิค บริกรชายและหญิงแต่งกายด้วยเสื้อเชิตสีดำกางเกงสแลคสีเดียวกัน บ้างก็นำลูกค้าไปยังโต๊ะ บ้างก็เสริฟอาหารหรือไวน์ บ้างยื่นรับออเดอร์หรือแนะนำอาหารชื่อดังของร้าน
ด้วยบรรยากาศของร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่คือคู่รักหรือคู่เดท เว้นเสียแต่โต๊ะโต๊ะหนึ่งซึ่งตั้งอยู่มุมซ้ายสุด แทนที่จะเป็นคู่ชายหญิงกลับเป็นคู่บุรุษหน้าตาท่าทางดีสองคน หนึ่งตะวันตกหนึ่งตะวันออก ทั้งสองคนอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาเคลือบความสงสัยมองมายังพวกเขา คาดเดาได้อย่างไม่ยากว่ายามนี้เตรัณย์และฟิลลิป ถูกมองว่าคือคู่เกย์!
“นัดร้านบ้าอะไร!” เตรัณย์เอ่ยอย่างหัวเสีย “มีไฟฉายไหม?”
เขาก้มหน้าชิดจนเกือบจะติดเมนู เพราะบรรยากาศที่ร้านสร้างขึ้นทำให้แสงไฟถูกปรับเพียงสลัว ทำให้ต้องเพ่งสายตามองรายการอาหาร
“ใจเย็นสิ ร้านนี้เสต็กเนื้อแกะอร่อยมาก”
ฟิลลิปอมยิ้มขำ ด้วยนิสัยขี้เล่นทำให้อดไม่ได้จะเย้าแหย่เพื่อน ใช้นิ้วชี้ค่อยๆเคลื่อนไปแตะหลังมือของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เกาเบาๆบนหลังมือนั้น
แรงเกาชวนขนลุกทำให้เตรัณย์รีบชักมือหนี ถลึงตาใส่เพื่อนสนิท “เล่นบ้าอะไร!”
คนถูกตำหนิไม่ได้มีท่าทีสลด ยังคงยิ้มหน้าระรื่น ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกายระยิบระยับกวาดตามองรอบร้าน เพื่อส่องสาวๆตามที่ชอบทำจนเป็นนิสัย
“เลือกได้รึยังจะกินอะไร?” เตรัณย์เอ่ยถามพลางปิดเมนู
“สเต็กเนื้อแกะไง นายกินอะไร?”
“เอาสันนอกละกัน” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน “ฝากสั่งด้วยนะ เอาเป็น medium rare ขอไปโทรศัพท์สักครู่เดี๋ยวกลับมา”
ฟิลลิปยักไหล่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูว่ามีใครตามตัวหรือไม่ อาชีพของเขาคือวิสัญญีแพทย์ ทำงานที่เดียวกันกับเตรัณย์ อันที่จริงต้องกล่าวว่าเขาและเพื่อนชาวตะวันออกผู้นั้น รู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียน Medical School ด้วยความถูกชะตาและความชอบที่คล้ายคลึง ทำให้ทั้งสองคนคบกันเป็นเพื่อนสนิท
“พร้อมสั่งรึยังคะ?”
เสียงหวานใสดังขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง นัยน์ตาสีฟ้าระยิบระยับจ้องมองบริกรสาว เธอยิ้มน้อยๆพร้อมกับย้ำคำถามเดิมหลังจากยืนรอชั่วครู่
“ขอโทษนะคะ พร้อมสั่งรึยังคะ?”
ชาหวานย้ำคำถามเป็นครั้งที่สอง รอยยิ้มกว้างคงเหลือเพียงยิ้มตามมารยาท อึดอัดใจกับสายตาที่กำลังจ้องมองเธอราวจะเขมือบเธอเป็นมื้อค่ำ
“อ้อ ครับ...เอาเสต็กเนื้อแกะ กับสันนอก ขอเป็น Medium rare ทั้งสองที่เลย”
“ค่ะ เสต็กเนื้อแกะและสันนอก Medium rare ทั้งสองที่นะคะ รับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”
ฟิลลิปขยับแก้วไวน์ในมือเบาๆ “รินไวน์ให้ด้วยครับ”
“ค่ะ”
ชาหวานรับแก้วไวน์แล้วรินตามหน้าที่ เหลือบตามองพ่อรูปหล่อผู้มองเธอด้วยแววตาหยาดเยิ้ม ผู้ชายคนนี้จัดว่าหล่อมาก หน้าเรียว จมูกโด่งเป็นสันตรง โดดเด่นที่สุดคงเป็นดวงตาสีฟ้า ยังมีรอยยิ้มพาให้สาวๆละลายยามได้รับ
ทว่า...ไม่ใช่กับเธอ
หญิงสาววางแก้วไวน์ลง ค่อยๆถอยตัวออกแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อไปชนกับใครคนหนึ่ง เขาคนนั้นตัวสูงใหญ่สวมสูทสีดำ กลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมาจากตัวเขา จังหวะนั้นเธอเสียหลักเกือบล้ม มือของเขาเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้พอดี
“ขอโทษครับ”
ยังไม่ทันที่ชาหวานจะรีบขอโทษลูกค้า เขาคนนั้นชิงปล่อยแขนของเธอพร้อมกับเดินถอยออกไปเพื่อรับโทรศัพท์ซึ่งส่งเสียงร้อง เธอเห็นเพียงหลังของเขาไวๆเดินหายไปในความมืด ยังมีผมสีเข้ม ความสงสัยหนึ่งแว็บผ่านเข้ามาในใจชาหวาน เขาคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันหนอ
= 911 คือหมายเลขฉุกเฉินของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินอะไร โจรขึ้นบ้าน ไฟไหม้ ไม่สบาย อุบัติเหตุ เพียงกดโทรหมายเลขนี้เจ้าหน้าที่จะรีบส่งเจ้าหน้าที่มาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
= Copay หรือ Copayment คือค่าบริการที่ต้องจ่ายทุกครั้งในการพบแพทย์ ราคาขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลว่าจะเรียกเก็บเท่าไหร่ ไม่มีเรทตายตัว ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความหรูหราของสถานพยาบาลนั้น ในนิวยอร์กซิตี้ค่า Copay อยู่ที่ราวๆ $30-100+ แต่ถ้าเป็นเคสเข้ารักษาฉุกเฉิน ค่า Copay จะสูงเป็นสามเท่าจากราคานัดพบหมอ
= Case coordinator คือตำแหน่งผู้ประสานงานระหว่าง Egg Donor และผู้จ้างซึ่งถูกเรียกว่า IPs
= Call girl คำเรียกหญิงค้าบริการทางเพศชั้นสูง รับงานผ่านการนัดทางโทรศัพท์
= Low income กลุ่มคนที่ทั้งครอบครัวมีรายได้ต่ำกว่า $23,624 ต่อปี กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับการช่วยเหลือในหลายๆด้านจากรัฐบาล
ความคิดเห็น |
---|