·
มีคำกล่าวที่ว่า If you can live in New York City, you can survive anywhere.
ถ้าคุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในมหานครนิวยอร์ก คุณสามารถอยู่รอดในทุกที่บนโลกใบนี้
สำหรับละไมผู้ผ่านการดิ้นร้นมามากกว่า 20 ปี เธอกล้าพูดได้ว่าคำกล่าวนี้หาได้เกินจริงแม้แต่น้อย
เรื่องเริ่มต้นเมื่อ 21 ปีที่แล้ว ละไม...สาวน้อยอายุ 19 ปี เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย มาอีกซีกหนึ่งของโลก สู่ประเทศที่เธอรู้จักชื่อก่อนการเดินทางเพียง 1 สัปดาห์
แน่นอนว่าขั้นตอนทั้งหลายล้วนกระทำการผ่านเครือข่ายสีดำ ผู้ดำเนินการมีชื่อว่า “เจ๊นิด” นายหน้าจัดหาสาวไร้เดียงสาขึ้นมาทำงานนวดที่นิวยอร์ก โดยเก็บค่าดำเนินงานเป็นเงินถึง 40, 000 บาท
40,000 บาทคือจำนวนเงินมากโขสำหรับละไม เธอกล้าพูดได้ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยความด้อยทางการศึกษา ถูกล่อลวงด้วยคำพูดสวยหรู ยังมีบ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านของเจ๊นิด ทองเต็มตัวซึ่งเจ๊นิดมักใส่อวดความมั่งคั่ง ทุกอย่างนี้ล้วนคือสิ่งการันตีชั้นดีของสาวน้อยใหญ่ผู้ปรารถนาเป็นเจ๊นิดคนที่สอง
“ฉันคิดค่าอนาคตร่ำรวยของแก 40,000 บาท ในเมื่อแกไม่มีเงินจ่ายค่าดำเนินการ ก็จ่ายเป็นค่าแรงแทนแล้วกัน แกทำงานให้ฉันหนึ่งปี พอครบกำหนดแกก็เป็นอิสระ คราวนี้เงินที่ได้ฉันหักค่าธรรมเนียมรอบละ 30% อีก 70% แกได้ไป”
“หนึ่งปีเลยหรอเจ๊? แล้วไอ้ 30% กับ 70% นี่คือยังไงหรอจ๊ะ มันเป็นเงินไทยกี่บาทหรือ? รอบนี้แปลว่ายังไงจ๊ะ? อ้อแล้วฉันนวดไม่เป็น เจ้าของร้านที่นั้นจะรับฉันจริงๆหรอจ๊ะ?”
“โอ๊ย! ถามอะไรมากมาย ไปถึงแล้วก็รู้เอง!”
ประโยคสนทนาในวันนั้น ไม่เคยจางหายจากความทรงจำของละไม เธอกล้ายอมรับว่าเธอโง่เขลา ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครนัก ประกอบกับความจนของครอบครัว ทั้งพ่อและแม่ที่อายุมากขึ้นจนแทบจะทำงานไม่ไหว ทุกอย่างผลักดันให้ละไมตัดสินใจเลือกเดินในทางที่ไม่เคยคาดคิด
“จ๊ะๆ ตกลงฉันต้องเอาอะไรไปบ้างจ๊ะ?”
“ก็ของใช้ส่วนตัวแกไง เอาเป็นว่าอีก 5 วัน เดี๋ยวฉันจะเอาหนังสือเดินทางมาให้แก”
ละไมในยามนั้นไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือหนังสือเดินทาง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้องทำเช่นไรถึงได้มา การเดินทางที่ไกลที่สุดที่ผ่านมาคือหอบผักซึ่งเก็บได้จากรั้วแถวบ้านลงไปขายในเมือง ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจทั้งยังกลัวไม่ได้งาน ทำให้เธอไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดนัก เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจพร้อมกับความเชื่อมั่นอันแสนไร้เดียงสา
ว่าสตรีผู้นี้คือแม่พระ ผู้เข้ามาโปรดให้ทางรอดแก่ครอบครัวเธอ
5 วันต่อมา หนังสือเดินทางถูกมอบให้ละไม ในนั้นคือชื่อนามสกุลใครก็ไม่ทราบ พอเอ่ยถามเจ๊นิดก็ตวาดใส่ทั้งยังบอกว่าไม่เป็นอะไร สิ่งเดียวที่ละไมทราบคือรูปถ่ายนั้นคือรูปของเธอ เป็นรูปซึ่งเจ๊นิดจัดการพาไปถ่ายที่ร้านถ่ายรูป
สตรีผู้ไร้เดียวสาและโง่เขลาไม่ทราบเลยว่าแท้จริงแล้วหนังสือเดินทางเล่มนี้ผิดกฏหมาย เธอกำลังจะเดินทางสู่อีกฝากหนึ่งของโลกด้วยวิธีการ “ผ่าหนังสือเดินทาง*”
วิธีการนี้...ทำให้ชื่อของนางสาว ละไม แตงอ่อน ไม่เคยเดินทางออกจากประเทศไทย และนางสาว ละไม แตงอ่อน ไม่เคยเหยียบเข้าแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ทั้งที่แท้จริงแล้ว ละไมถูกจัดการส่งทอดเหยียบเข้าสู่สนามบินนานาชาติ John F. Kennedy เรียบร้อยแล้ว ผ่านการดำเนินงานของกระบวนการสีดำข้ามประเทศอันประกอบด้วยชาวไทยและชาวอเมริกัน
นรกบนดินเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอได้พบความจริงของคำว่านวด แท้จริงแล้วคือการค้าบริการทางเพศ เธอถูกนำตัวไปอยู่ย่านแหล่งเสื่อมโทรมของมหานครนิวยอร์ก ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่คือแรงงานลักลอบหนีเข้าสหรัฐอเมริกา ทั้งผ่านชายแดน Mexico ทั้งทางพรมแดนแคนาดา
คนเหล่านี้คือแรงงานชั้นต่ำ รับค่าแรงต่ำมากเพื่อตัดราคาแรงงานเจ้าของประเทศซึ่งมีกฏหมายคุ้มครอง แน่นอนว่าผู้ชายเหล่านี้ทำงานหนัก ย่อมต้องการการระบายทางเพศค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้เธอและผู้หญิงผู้แสนโง่เขลานับสิบคนถูกนำตัวมา เพื่อให้บริการแก่ผู้ชายเหล่านี้ ด้วยค่าตัว $10 ต่อหนึ่งรอบ
ละไมหาได้ยินยอมแต่โดยดี ชีวิตเธอในยามนั้นไม่ต่างไปจากละครวิทยุ ถูกซ้อมเพื่อบังคับให้รับแขก ทั้งข่มขู่เอาชีวิต สารพัดสิ่งที่แม่แทร็ค*นำมาบีบบังคับ จนกระทั่งถึงมาตรการสุดท้าย คือการขู่ฆ่าพ่อและแม่ที่ประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ละไมจึงไร้ทางเลือก ตัดสินใจ จำยอมรับแขกแต่โดยดี
อาจด้วยผลบุญเก่าของละไม หรือเพราะผลกรรมของคนเหล่านั้น คืนแรกที่ละไมรอรับแขก เกิดเหตุการณ์แก็งค์จีนเข้าถล่มแก็งค์เจ้าถิ่นที่คุมอยู่ที่นี่ ใครเล่าจะคาดคิดว่ามหานครนิวยอร์ก มีนักเลงซึ่งเรียกขานว่าพวกแก็งค์ทำศึกกันตลอดเวลา ผู้หญิงมากมายพากันวิ่งหนีตาย ละไมเองก็คือหนึ่งในนั้น
ท่ามกลางห่ากระสุนและการฆ่าฟัน โชคชะตานำพาให้ละไมพบกับ “เซียวเพ้ง” หรือชื่อในสหรัฐอเมริกาคือ นาย ปีเตอร์ เซียว บุรุษร่างสูงใหญ่ผิวขาวหน้าตาดีจนน่าแปลกใจ เขาคือหนึ่งในลูกน้องแก็งค์จีนผู้มาบุกเจ้าถิ่น
ใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตและท่าทางหวาดหวั่นของสาวน้อย จับสายตาและหัวใจของชายหนุ่มอายุ 25 ปี ในที่สุดเขาได้ยื่นมือช่วยพาเธอหนีออกจากที่แห่งนั้น ทั้งยังรับเธอเป็นภรรยาทั้งที่เจอกันได้ไม่ถึง 30 นาทีดี!
ละไมไร้ทางเลือก ผู้หญิงตัวคนเดียวไร้เงินแม้แต่ 1 Cent หนังสือเดินทางถูกแม่แทร็คยึด ไร้ตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน ทั้งยังขาดความรู้เรื่องการเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากสถานกงศุล ทำให้เธอจำยอมรับชะตาสายใหม่
หากจะกล่าวว่าชะตาสายนี้ดีกว่าเดิมหรือไม่? ละไมในยามนั้นทราบแค่ว่า อย่างน้อยเธอจะมีสามีเพียงคนเดียว ไม่ต้องทนกล้ำกลืนรับแขกนับร้อยนับพันเป็นเวลาหนึ่งปี
ละไมพาตัวเองที่ไร้สมบัติติดตัวนอกจากเสื้อผ้าซึ่งสวมอยู่ เข้าไปอยู่กับอาเพ้งในห้องพักเล็กๆย่านควีนส์ ห่างจากมหานครนิวยอร์กราวครึ่งชั่วโมง ย่านนี้แตกต่างจากย่านที่เคยอยู่ยิ่งนัก คราแน่นด้วยชนชาติเอเชีย ส่วนที่อยู่อาศัยเดิมอาจกล่าวได้ว่าคือถิ่นเม็กซิกัน
อาเพ้งไม่ใช่คนช่างพูด ละไมเองก็เป็นคนพูดน้อย ประกอบกับต่างคนต่างใช้คนละภาษา เพ้งพูดถาษาจีนเป็นหลัก พูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ส่วนละไมรู้แค่ภาษาไทย ระหว่างคนทั้งคู่จึงไม่ค่อยพูดคุยกันนักเพราะพูดไปก็ไม่รู้เรื่อง สื่อสารกันผ่านภาษากายเป็นหลัก
แม้ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างกระทันหัน หากเพ้งดูแลละไมเป็นอย่างดีเท่าที่เขาสามารถทำได้ ชีวิตของละไมในยามนั้นแม้ไม่สุขสบายแต่ก็ไม่ลำบาก หน้าที่ของเธอคือแม่บ้านทำความสะอาดห้อง ทำอาหาร ดูแลสามี ส่วนอาเพ้งทำงานกับแก็งค์ ละไมไม่ทราบว่าเขาทำอะไรและไม่เคยถาม
เรื่องที่ละไมทราบเกี่ยวกับสามีจากที่เขาพยายามสื่อสาร อาเพ้งมาจากเฉินตู ลอบเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยการลัดเลาะผ่านชายแดนมาเรื่อย เขาไม่มีพี่น้องไม่มีพ่อแม่ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตามลำพัง
ที่สำคัญที่สุด...สถานะของเขา ผิดกฏหมายเช่นเดียวกันกับละไม
ละไมปรารถนาติดต่อพ่อกับแม่ ทว่าไร้หนทางใดๆ ชีวิตของเธอเหมือนถูกมัดแขนขาปิดตาปิดปาก จะพูดคุยกับใครก็ไม่ได้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ย่านนี้พูดภาษาจีน สิ่งเดียวที่ละไมทำได้คือเก็บเงินซึ่งเพ้งแบ่งให้ พร้อมกับความหวังว่าสักวันจะหาทางส่งให้พ่อกับแม่
หลังจากอยู่กับเพ้งได้หนึ่งปี ในที่สุดละไมก็ตั้งครรภ์ งานบ้านทุกอย่างที่เธอเคยทำเพ้งเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ละไมในยามนั้นคือหญิงสาวผู้แสนมีความสุข เธอรับรู้ได้ว่าเพ้งรักเธอ และความดีของเพ้งทำให้เธอรักเขา เขาคือเสาหลักของชีวิต ละไมไม่เคยคาดคิดถึงวันที่เพ้งจากไป สิ่งเดียวซึ่งเธอมองเห็นคือเธอและเพ้งมีลูก มีครอบครัวอันสมบูรณ์
เก้าเดือนต่อมา สาวน้อยของแม่ละไมและพ่อเพ้งถือกำเนิดที่ Birth Center เล็กๆ ผ่านการทำคลอดของ Midwife* ยามตั้งครรภ์ละไมชอบดื่มชาใส่น้ำตาล เธอจึงเรียกเจ้าตัวเล็กว่า “ชาหวาน”
ถึงแม้ว่าคนทั้งคู่จะไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน แต่ตามกฏหมายประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กทุกคนที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินนี้ล้วนได้รับสัญชาติอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ชาหวานจึงถือสัญชาติอเมริกัน
ชีวิตของหญิงสาวผู้แสนโชคดีจบลง เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น อันเป็นวันซึ่งเธอกำลังรอเพ้งมารับเธอและลูกออกจาก Birth Center เพื่อนของเพ้งได้เดินทางมา พร้อมกับข่าวร้ายแจ้งต่อละไมผู้เริ่มพอฟังภาษาอังกฤษออกบ้าง
“เพ้งถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุประทะกับแก็งค์คู่อริ แม้แต่ศพก็เอาออกมาไม่ได้!”
การสูญเสียเสาหลักของชีวิต ทำให้ละไมแทบคิดสั้นอุ้มลูกสาวซึ่งพึ่งถือกำเนิดกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าดวงตาใสแจ๋วที่จ้องมองเธอ ยังมีรอยยิ้มอันแสนงดงามราวแสงอาทิตย์สาดส่องยามเช้า หลอมละลายหัวใจอันถูกแช่แข็งของผู้เป็นแม่ ทำให้ละไมเลือกที่จะสู้ด้วยเงินก้อนสุดท้ายซึ่งเพ้งทิ้งไว้ให้
สู้...เพื่อชีวิตของเธอและลูกสาว
สู้...เพื่อสมบัติล้ำค่าที่เพ้งมอบเอาไว้ให้ นั้นคือสายเลือดของเขา...
การเลี้ยงลูกตามลำพังโดยไร้การศึกษา สื่อสารภาษาอังกฤษได้เพียงน้อยนิด แค่เพียงคิดก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ายากเย็นเพียงใด นับตั้งแต่สูญเสียผู้เป็นพ่อ สองแม่ลูกต้องออกจากห้องพักตามกฏของแก็งค์ ละไมพาชาหวานวัยแรกเกิดออกเร่ร่อน
งานแรกที่ทำคือรับจ้างเรียงของในรถบรรทุกและรถพ่วง นั้นทำให้ทั้งคู่มีชีวิตหลังรถพ่วงตะลอนไปทั่ว ด้วยความที่เป็นแม่ลูกอ่อนทำให้เป็นอุปสรรคกับงาน ในที่สุดนายจ้างเลือกให้เธอลาออกโดยโยนเงินให้ $20 เพราะสงสารทารก
สองชีวิตไร้ที่ซุกหัวนอน ละไมหอบลูกแอบนอนบน Metro*แล้วรีบวิ่งหนียามพนักงานตรวจตั๋วเริ่มเดินตรวจสอบ นอนใต้สะพานลอยย่านคนเร่ร่อน ต่อสู้ตบตีแย่งงานกวาดถนนช่วงเทศกาลในย่านควีนส์เพื่อแลกกับเงิน $20 แอบเข้าไปนอนในโบสถ์กอดลูกแน่นในช่วงฤดูหนาว ย้ายไปอยู่ย่านคนไทย ทนให้คนไทยด้วยกันเอารัดเอาเปรียบเพื่อค่าจ้างเศษเงินน้อยนิด
แม้จะมีคนไทยบางส่วนจ้องเอาเปรียบ แต่คนไทยที่ช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนก็มีเช่นกัน กล่าวได้ว่าหากไม่มีคนไทยกลุ่มนั้นคอยช่วย ชาหวานคงไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะละไมไม่ทราบเลยว่าเด็กทุกคนที่ถือสัญชาติอเมริกันได้รับสวัสดิการเรียนฟรี ต่อให้แม่จะอยู่ในสถานะผิดกฏหมายก็ตาม
และในวันนี้...ดอกผลของความอดทนและการสู้กำลังจะผลิออก ชาหวานใกล้เรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอันได้ชื่อว่าติดอันดับต้นๆของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา
ทุกสิ่งล้วนผ่านมาแล้ว... 20 ปีอันแสนยาวนาน
ยาวนานยิ่งนักสำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อ...ละไม
ละไมกระพริบตาถี่ ใช้หลังมือปาดน้ำตาอันเอ่อล้นดวงตากลมโตยามคิดถึงอดีต เธอในวันนี้ไม่ใช่ละไมผู้แสนไร้เดียงสา ชีวิตซึ่งต้องดิ้นร้นตามลำพังกว่า 20 ปี สอนให้เธอเติบโตมากขึ้น ถึงกระนั้นสิ่งหนึ่งที่แก้ไม่เคยหาย คือความขี้เกรงใจโดยเฉพาะกับคนไทยด้วยกัน
ดวงตาซึ่งผ่านโลกมาครึ่งชีวิต จ้องมองอยู่ที่ดวงหน้าซึ่งกำลังหลับ มืออันปรากฏรอยเหี่ยวย่นและหยาบกระด้าง เอื้อมออกไปปัดปอยผมยุ่งเหยิงระอยู่บนแก้มขาว เธอปัดออกแล้วลูบแก้มลูกสาวเพียงคนเดียว เจ้าของเส้นผมและแก้มรู้สึกตัวตื่นจากการถูกสัมผัส ดวงตาหรี่ขึ้นพร้อมกับริมฝีปากยกยิ้ม
“แม่จ๋า”
ชาหวานเขยิบกายชิดแม่ กอดต้นแขนนุ่มนิ่ม ซบหน้าลงบนต้นแขนนั้น ดื่มด่ำช่วงเวลาอันแสนละมุนชั่วครู่แล้วจึงลุกขึ้นนั่งบิดกายขี้เกียจ เอี่ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ‘6:00 AM’
“วันนี้แม่ตื่นไวจัง นอนไม่หลับหรอคะแม่?”
“เปล่าลูก ที่ผ่านมานอนเยอะเหลือเกิน สงสัยร่างกายเบื่อจะนอน”
ละไมโกหก! แท้จริงแล้วเธอตื่นขึ้นเพราะอาการปวดท้อง ทำทุกวิธีทางทั้งรับประทานยาแก้ปวด ทั้งนวดด้วยยาหม่อง หากก็เป็นเช่นหลายๆครั้งที่ผ่านมา อาการไม่ได้บรรเทาแม้เพียงนิด ในขณะที่ปวดท้องสมองได้นึกถึงสามี คิดไปคิดมาดันคิดเพลิน ลืมอาการปวดท้องราวไม่เคยเกิดขึ้น
ยามเมื่อคิดถึงอาการปวดท้อง ร่างของละไมสั่นอย่างไม่อาจควบคุม แน่นอนว่าผู้เป็นลูกสาวเห็นอาการนี้ ยังไม่ทันจะเอ่ยถามเจ้าของอาการรีบชิงพูด
“อากาศหนาวจังวันนี้ ดีไม่ดีหิมะอาจตก ไปเรียนสวมเสื้อหนาๆนะลูก”
ชาหวานพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปกดเพิ่มฮีทเตอร์ให้สูงขึ้น เสียงเอ็ดของผู้เป็นแม่ดังขึ้นในทันที
“ไม่ต้องปรับหรอกลูก ค่าไฟแพง”
ค่าไฟช่วงฤดูหนาวในนิวยอร์กจัดว่าแพงที่สุดของปี อากาศหนาวทำให้ต้องโหมเปิดฮีตเตอร์ ยิ่งเร่งแรงเท่าใดไฟก็ยิ่งต้องใช้มากขึ้น
“หนูกลัวแม่หนาว แม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เดือนนี้หนูได้งานพิเศษหลายที่แต่ละที่ค่าจ้างดีๆทั้งนั้น”
ชาหวานเอ่ยพลางวิ่งกลับไปยังฟูก หยิบกระปุกพลาสติคทรงกลมซึ่งวางไว้เหนือฟูกขึ้นมาเปิด ในนั้นคือธนบัตรใบเล็กใบน้อยอันถูกพับอัดแน่น มือเรียวหยิบธนบัตรเหล่านั้นออกมานับแล้วแยกแบ่งออกเป็นส่วนๆสำหรับรายจ่ายส่วนต่างๆ เธอวางแต่ละส่วนลงบนที่นอน
“อันนี้ค่าเช่าห้องกับค่าน้ำค่าไฟ $900 อันนี้ $65 ค่าโทรศัพท์มือถือ อันนี้ $117 ค่า Subway เดือนนี้ อันนี้ส่วนแบ่งเตรียมจ่ายภาษีปีนี้ อันนี้ $100 ของแม่จ๊ะ”
มือคู่ที่กำลังจัดแจงหยิบธนบัตรใบละ $100 ส่งให้มารดา หากละไมส่ายหน้าไม่ยอมรับ
“ไม่เอาหรอกลูก แม่อยู่แต่บ้านข้าวก็กินที่บ้าน ไม่ได้ใช้เงินเลย”
เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ที่ละไมไม่ได้ทำงาน ชีวิตส่วนใหญ่ของเธอในตอนนี้คืออยู่บ้าน ทำความสะอาดเก็บห้อง ทำอาหารรอลูกสาว ว่างๆก็นั่งถักเสื้อไหมพรม เรียกได้ว่าสองเดือนนี้เธอแทบไม่เคยก้าวขาออกจากห้อง เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ใช้เงิน ด้วยทุกสิ่งซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ ชาหวานล้วนจัดการซื้อหามาไว้ครบถ้วน
“เอาติดตัวไว้นะแม่ เผื่อแม่อยากซื้ออะไร”
ชาหวานยัดเงินใส่มือของแม่ ชิงลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน กระโดดข้ามการอาบน้ำโดยให้เหตุผลว่าตอนนี้คือฤดูหนาว จัดการธุระในห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมาแต่งตัว
หญิงสาวเลือกสวมเสื้อแขนยาวสีดำกางเกงยีนส์ตัวหนา สวมเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีชมพูอ่อนฝีมือแม่ละไม สวมเสื้อโค้ทขนเป็ดสีดำซึ่งใช้งานปีนี้เป็นปีที่ห้าปิดท้าย รองเท้าบูทหนังเทียมสีดำยาวครึ่งหน้าแข้งถูกนำมาใช้แทนรองเท้าผ้าใบ สวมถุงมือหนังเทียมสีดำเพื่อปกป้องมือจากความหนาว หมวกไหมพรมสีขาวคลุมปิดลงมาถึงส่วนหู
“หนูไปเรียนแล้วนะจ๊ะ”
เธอคว้ากระเป๋าเป้คู่ใจขึ้นมาสะพาย โบกมือลาแม่แล้วเปิดประตูออกจากห้อง โดยไม่ลืมแวะนำเงินค่าเช่าห้องไปให้เจ้าของห้องตัวจริง จัดการทุกอย่างเรียบร้อย จึงเดินออกจากตึกหลังเก่า เผชิญอากาศหนาวเบียดฝูงชนมหาศาล ใช้บริการ Subway เดินทางไปยังมหาวิทยาลัย
ทั้งที่เพิ่งย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน หากความหนาวเย็นช่างโหดร้ายยิ่งนัก เรียกได้ว่าฤดูหนาวปีนี้ทรมานกว่าปีที่แล้วและปีที่ผ่านมา นักศึกษาล้วนพากันตัวสั่นยามเมื่อลมพัดผ่าน แต่ละคนปรากฏไอขาวลอยออกจากปากยามสนทนาหรือหายใจ
สนามหญ้าซึ่งเคยเขียวชะอุ่มบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้สีน้ำตาลแห้งกรอบ และแน่นอนว่าว่างเปล่าไร้เงากลุ่มคนที่เคยอัดแน่นครอบครองพื้นที่ ผู้คนส่วนใหญ่เลือกรับความอุ่นจากฮีทเตอร์อยู่ในห้องสมุด ไม่ก็อัดรวมกันอยู่โรงอาหารและตามห้องชมรม ถึงกระนั้นก็มีส่วนน้อยที่ถอดเสื้ออวดกล้ามเนื้อ Sixpack วิ่งท้าความหนาว วิ่งไปก็ยิ้มเหล่สาวรายทาง
“เฮ้ชาร์ม...ชาร์มมี่ อย่าเพิ่งไป!”
เสียงตะโกนดังเรียกไล่หลัง ทำให้ชาหวานผู้กำลังเดินฝ่าความหนาวตัดผ่านสนามหญ้าหยุดฝีเท้า หันกลับไปหาสาวผมบลอนด์ในโค้ทสีแดงสดแบรนด์หรู ผู้ซึ่งวิ่งตามมาติดๆ
“เธอเดินไวมาก ฉันเกือบตามไม่ทัน”
ชาหวานยิ้มน้อยๆ หยิบกระดาษทิชชู่ในกระเป๋าเป้ส่งให้เพื่อน เมื่อเห็นว่าใบหน้าสวยมีเหงื่อผุดล้อมกรอบหน้า
“ว่าไงอเล็กซ์?”
อเล็กซ์หรืออเล็กซานดร้า คือเพื่อนร่วมชั้นทั้งเคยอยู่ชมรมเดียวกัน ความสนิทอยู่ในระดับหนึ่ง ส่วนชาร์มหรือชาร์มมี่ คือชื่อที่เพื่อนๆใช้เรียกเธอ
ชื่อชาหวานค่อนข้างสร้างปัญหาในการออกเสียงให้ชาวตะวันตกหรือแม้แต่ชาวเอเชียบางคน บางครั้งถูกเรียกเพี้ยนเป็น ช่าหว้าน ไม่ก็ชะวั้น เจ้าของชื่อเลยจัดการแปลงชื่อตนเองเป็นชาร์มเพื่อให้ง่ายต่อคนส่วนใหญ่
เอล็กซ์ถูมือที่ลืมสวมถุงมือ ถามคำถามซึ่งรู้คำตอบอยู่แล้ว “คืนนี้มีปาร์ตี้ที่ Pink Elephant Club เธอว่างไปรึเปล่า?”
“ขอโทษจริงๆนะ คืนนี้ฉันไม่ว่าง ฉันต้องทำงาน”
ผู้ชวนไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจ กอดอกพลางถอนหายใจยาว “กะแล้วว่าเธอต้องไม่ว่าง!”
“ก็ฉันไม่ว่างจริงๆนี่ เธอเที่ยวเผื่อฉันละกัน”
อเล็กซ์พยักหน้าอย่างขอไปที “ชีวิตเธอนี่ช่างน่าเบื่อจริงๆ เธอเก่งนะ...เก่งมากๆ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมาไม่เห็นเธอไปเที่ยวไหนทำแต่งาน ถ้าเป็นฉันฉันต้องขาดใจตายแน่ๆ”
ชาหวานไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงยิ้มตามมารยาท หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาพร้อมอำลา “ฉันต้องไปแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“แล้วฉันจะเต้นและดื่มเผื่อ” อเล็กซานดร้าเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง
สตรีทั้งสองคนกอดกันเพื่ออำลา อเล็กซานดร้าเเดินกลับเข้าไปในตึกเรียน ส่วนชาหวานหันหลังมุ่งตรงไปทางประตูทางออกหลักของมหาวิทยาลัย สองเท้าก้าวเดินสมองครุ่นคิด ลึกๆในใจอดอิจฉาเพื่อนส่วนใหญ่ไม่ได้ พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตเช่นวัยรุ่นทั่วไปมี บางครั้งทำงานพาร์ทไทม์ วันหยุดออกทริปท่องเที่ยว แน่นอนว่าการเที่ยวคลับคืออีกหนึ่งกิจกรรมที่แสนนิยม
เรียกได้ว่าทั้งชั้นเรียนของเธอ มีเธอเพียงผู้เดียวที่ไม่เคยเที่ยวคลับเมาแอลกฮอล์ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปล้วนไปเพื่อการทำงานเพียงเท่านั้น
“ชาร์มมมมี่! ฮัลโหลลลล!”
อาการน้อยใจในชีวิตถูกทำลายเพราะเสียงเรียกแหลมสูง เสียงเหล่านี้ฉุดให้ผู้ถูกเรียกถอนหายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเปี่ยมด้วยความรำคาญ หันไปทางต้นเสียง
ไม่ไกลออกไป หญิงสาวสี่คนกำลังพากันเดินมา แต่ละคนแต่งตัวราวหลุดออกมาจากนิตยาสารแฟชั่น แน่นอนว่าทุกอย่างตั้งแต่โค้ท ชุดตัวใน ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ รองเท้าบูท กระเป๋า ล้วนคือแบรนด์ชั้นนำ หัวหน้าผู้เดินนำคือสาวหมวย ส่วนอีกสามคนเป็นสาวตะวันตก
สาวหมวยเชื้อสายจีนมีนามว่ามิลาน เฉิน เธอยืนกอดอก กวาดตามองผู้ที่ร้องเรียกให้หยุดด้วยสายตากึ่งดูแคลน ดวงตาอันผ่านการทำศัลยกรรมให้โตหยุดลงที่เสื้อโค้ทสีดำตุ่นๆ ขยับเท้าถอยห่างราวรังเกียจในเสื้อซึ่งผ่านการใช้งานมานาน ทักทายด้วยคำเหยียด
“Hello Yao*”
ชาหวานเลิกคิ้วหนึ่งข้าง “Hello Peeled Banana*?”
คนถูกสวนกลับชักสีหน้า ถึงกระนั้นก็หาได้ยอมแพ้ “ไปทำงานหรอ?”
ผู้ถูกถามไม่ตอบคำถาม ตัดบทสนทนาพร้อมเดินหันหลัง “วันนี้ไม่ว่างมาเล่นต่อปากต่อคำ ไปก่อนนะ”
มิลานเม้มปากแน่น แววตาบ่งบอกว่าไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เอ่ยต่อเพื่อนสาวทั้งสามคนที่ยืนกอดอกท่าเดียวกัน “วันนี้อยากกินอาหารไทย”
ประโยคบอกเล่าค่อนข้างดัง ราวต้องการให้คนที่กำลังเดินรับรู้ แน่นอนว่าชาหวานได้ยินชัดแจ้ง แต่เลือกไม่สนใจ ในใจยามนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าคุณหนูเฉินผู้นั้นคงว่างมากและอาจมีอาการโรคจิต ถึงเอาเวลาว่างมาตามระรานเธอ ทั้งที่แท้จริงแล้วสาเหตุแห่งการไม่พอใจและเรื่องวิวาทของคนทั้งสองผ่านมาแล้วถึงสามปี ทว่ามิลานไม่ยอมจบ เจ้าคิดเจ้าแค้นคอยหาเรื่องทุกครั้งเมื่อสบโอกาส
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสามปีที่แล้วช่วงคัดเลือกเข้าชมรม ข่าวเรื่องชมรมเชียร์หลีดเดอร์แจกทุนการศึกษาเต็มจำนวนให้เชียร์หลีดเดอร์ในชมรม ทำให้ชาหวานผู้ต้องการประหยัดเงินค่าเทอมอยากได้ทุนการศึกษารีบเข้าไปคัดตัว ด้วยความที่ชมรมเชียร์คือชมรมยอดนิยม ทำให้อัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง ในปีนั้นมีที่ว่างเพียง 1 ที่สำหรับตำแหน่งเชียร์หลีดเดอร์
ชาหวานฝ่าด่านผู้สมัครนับร้อย จนกระทั่งวันสุดท้ายของการคัดเลือก ผู้สมัครที่ถูกคัดเหลือเพียงชาหวานและมิลาน ครั้งนี้ไม่ได้มีการเต้นหรือแสดงความสามารถ เพียงแค่ให้ยืนตัวตรงเพื่อให้หัวหน้าและสมาชิกชมรมพิจารณาอย่างใกล้ชิด หลังจากยืนยิ้มอยู่สามสิบนาที ในที่สุดหัวหน้าชมรมได้เลือกชาหวาน มิลานผู้ผิดหวังถามเหตุผล
“เพราะชาร์มสูงกว่า ร่างกายดูแข็งแรงกว่า เธอสวยนะมิลาน...แต่ว่าเธอผอมเกินไป”
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้มิลาน”เกลียด”ชาหวาน คร่ำครวญร้องไห้ว่าแพ้เพราะ”สวยกว่าและผอมกว่า” ในวันนั้นเธอชี้หน้าชาหวานทั้งตะโกนใส่เสียงดัง
“ฉันมาจาก Beverly Hills!”
ชาหวานพยักหน้ารับรู้แบบงงๆ มองหน้าสมาชิกชมรมคนอื่นที่งงพอกัน ล้วนไม่เข้าใจว่าสาว Beverly Hills ผู้นี้ต้องการจะสื่ออะไร ทุกคนเลยเลิกสนใจแล้วหันมาต้อนรับชาหวาน เสียงกรีดร้องไม่พอใจของมิลานดังขึ้นพร้อมกับร่างผอมบางจนน่ากลัวว่าจะปลิวยามลมพัดวิ่งออกไปจากห้องชมรม
นับจากวันนั้น ถึงแม้ว่าชาหวานจะออกจากชมรมแล้วและเปลี่ยนไปรับทุนการศึกษาเรียนดีจากมหาวิทยาลัยแทน ทว่ามิลานยังคอยจ้องจิกกัดประชดชาหวาน ทั้งการพบเจอกันโดยบังเอิญและการตั้งใจพบ เพื่อนในคลาสคนหนึ่งของชาหวานมาจาก Beverly Hills และเคยเรียนที่เดียวกับมิลาน ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ว่า
แต่ไหนแต่ไรมิลานเคยชินกับการเป็นดาวเด่น ครั้งนั้นคือครั้งแรกที่ต้องพ่ายแพ้ คงเกิดอาการเสียหน้าและทำใจยอมรับไม่ได้ เลยจ้องตามแก้แค้นตามแบบฉบับสาวน้อยลูกเศรษฐีชาวจีนผู้ถูกเลี้ยงดูราวเทพธิดา และถูกตามใจประหนึ่งโลกใบนี้หมุนรอบตัวเธอ
คิดแล้วชาหวานก็ได้แต่หัวเราะขำ ใช่ว่าเธอไม่เคยทะเลาะกับเพื่อน แต่เพื่อนแทบทุกคนด่ากันทะเลาะกันต่อหน้าแล้วจบ ทะเลาะเสร็จกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่มานั่งคิดเล็กคิดน้อย มิลานคือคนแรกซึ่งเป็นคู่แค้นข้ามปี
เคยมีเพื่อนบางคนเอ่ยถาม ว่าการจิกกัดกันไม่เลิกไม่ลา เป็นเรื่องปกติของสาวเอเชียรึเปล่า? ชาหวานส่ายหน้าปฏิเสธในทันที ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดู ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเชื้อชาติทั้งสิ้น
เมล็ดพันธ์ที่เติบโตขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าถูกปลูกจากดินที่ใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ปลูกปฏิบัติอย่างไรมากกว่า
ดวงตาอัลมอนด์เหล่ตามองแม่สาวแฟชั่นทั้งสี่ซึ่งเดินตามมาต้อยๆ พอคาดเดาได้ในสิ่งที่ลูกเศรษฐีนิสัยเสียทั้งสี่คนนี้จะทำ แทนที่จะหวาดหวั่นหากเธอกลับแทบรอคอยให้เกิดขึ้นไม่ไหว ใบหน้าสวยฉาบความสนุกสนาน
เสียงหนึ่งตะโกนก้องในใจว่า วันนี้ฉันไม่ได้ทำงานร้านอาหารไทย แต่รับงาน Dog walker* ต่างหากเล่า! เดินตามก็ดี จะพาเดินให้รอบเกาะแมนฮัตตันเลยคอยดู!
= การผ่าหนังสือเดินทาง หมายถึงการสวมรอยหนังสือเดินทางของคนหนึ่งให้กลายเป็นของอีกคนหนึ่ง
= แม่แทร็ค คือคำเรียกผู้ดูแลผู้หญิงค้าบริการ หรือที่รู้จักกันในชื่อแม่เล้า
= Midwife ผดุงครรภ์, หมอตำแยฝรั่ง
= Metro คือรถไฟที่วิ่งเชื่อมต่อระหว่าง New York City กับเมืองอื่นๆในรัฐนิวยอร์กในเขต Long Island , Mid – Lower Hudson Valley. ทั้งยังวิ่งผ่าน 5 เมืองใหญ่ของรัฐ New Jersey และหกเมืองของรัฐ Connecticut
= Yao คือคำเรียกผู้หญิงเอเชียที่ค่อนข้างสูง มาจากชื่อของ Yao Ming นักบาสเก็ตบอลชาวจีน ถือว่าเป็นคำค่อนข้างไม่สุภาพ เป็นคำเรียกเหยียดเชื้อชาติแต่ค่อนข้างระบาดในหมู่นักศึกษา
= Peeled Banana คือคำที่ใช้เรียกผู้หญิงเอเชียซึ่งพยายามทำตัวให้กลายเป็นผู้หญิงตะวันตก เป็นคำเรียกไม่สุภาพ เหยียดเชื้อชาติแต่ระบาดในหมู่นักศึกษาเช่นกัน
ความคิดเห็น |
---|