2

ไข่ใบที่หนึ่ง


 

เสียงไอถี่จนน่ากลัวว่าลำคอผู้ไอจะพัง พาให้ผู้ได้ยินเสียงรีบพุ่งตัวออกจากห้องน้ำในสภาพมือถือแปรงสีฟัน ริมฝีปากเปื้อนคราบฟอง หลังมือขาวปาดคราบที่มุมปากออกลวกๆ ร่างสูงอวบอิ่มเดินตรงไปยังตู้เย็นใบจิ๋วซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง เปิดตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้วพลาสติกสีขาว ตามด้วยการเดินนำแก้วน้ำไปทางสตรีวัยกลางคน ซึ่งนอนคดตัวคู้อยู่บนฟูกอันยุบเป็นแอ่งหลุมตรงกลาง

“แม่จ๋า ดื่มน้ำหน่อยนะแม่”

ชาหวานวางแปรงสีฟันและแก้วน้ำลงกับพื้น ประคองแม่ที่หรี่ตามองให้ลุกขึ้นนั่ง ค่อยๆป้อนน้ำผ่านเข้าริมฝีปากอันแห้งแตก ผู้เป็นแม่จิบน้ำได้เพียงนิดก็ใช้มือดันแก้วออก ไอถี่อีกรอบพร้อมกับดันลูกสาวให้ถอยออกห่าง

“ไปไกลๆไปลูก เดี๋ยวจะติดหวัด”

“ไม่ติดหรอกแม่ หนูแข็งแรงจะตาย”

“ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะลูก เดี๋ยวก็ไปที่ร้านสาย”

ละไมเตือนพลางใช้หลังมือเช็ดเหนือริมฝีปาก ค่อยๆขยับตัวล้มลงนอนตามเดิม สายตาจ้องมองลูกสาวซึ่งคว้าแปรงสีฟันขึ้นมาแปรงต่อพร้อมแย้ง

“ร้านแค่นี้เอง Subway ป้ายเดียวก็ถึง”

ชาหวานลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องน้ำ อาบน้ำด้วยความไวราววิ่งผ่าน นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าพลาสติกสีน้ำเงินซึ่งตั้งอยู่ข้างตู้เย็น หยิบเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ตัวเก่งขึ้นมาสวม เอี้ยวตัวเล็กน้อยไปทางซ้ายเพื่อส่องกระจก ซึ่งถูกติดอยู่กับฝาพนังถัดจากตู้เสื้อผ้า มือคว้าเอายางรัดผมมามัดผมเป็นหางม้าลวกๆ ตามด้วยการหยิบแป้งเด็กกระป๋องเล็กกระแทกใส่มืออย่างไม่ใส่ใจ ถูมือไปมาแล้วลูบผ่านๆที่หน้า

สำหรับเธอแล้ว การแต่งหน้าและเครื่องสำอางคืออะไรไม่เคยรู้จัก ไม่มีแม้แต่ลิปสติกหรือบลัชออน นอกจากแป้งเด็กก็มีวาสลีนที่ซื้อจากร้าน 99 Cent Store ในราคา $0.99 เรียกได้ว่าคุ้มค่าสารพัดประโยชน์ ทั้งทาปากทาหน้าช่วงฤดูหนาว ทั้งยังใช้ทามืออันแตกด้านจากการทำงานหนัก

ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อยยามเห็นภาพสะท้อนในกระจก ภาพนั้นคือภาพร่างของแม่ที่โก่งตัวงอ ท่าทางคล้ายกำลังใช้มือกดช่วงท้อง หญิงสาวรีบหันตัวเตรียมพุ่งไปดู

ทว่า...เมื่อเธอหันไป แม่เพียงแค่นอนตะแคง หน้าอกกระเพื่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอขยี้ตาขมวดคิ้ว จ้องเขม็งที่ร่างของแม่อยู่ชั่วอึดใจ จนแน่ใจว่าแม่กำลังหลับจึงให้ข้อสรุปกับตัวเอง

สงสัยตาฝาด!

ชาหวานเดินไปยังฟูกของเธอซึ่งปูอยู่ติดกำแพง คว้าเอากระเป๋าเป้คู่ใจซึ่งวางไว้ปลายฟูกขึ้นมาถือ กวาดตามองรอบห้องขนาดเล็ก เล็ก...เล็กมาก... เรียกได้ว่าจากประตูทางออกถึงห้องน้ำ ก้าวเพียงแค่สิบก้าวก็ถึง แม้จะเล็กเพียงเท่านี้หากค่าเช่าต่อเดือนใช่ว่าจะเล็กตาม

ค่าเช่าห้องห้องนี้มีราคาถึงเดือนละ $750 ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟและค่าอินเตอร์เนต สาเหตุหลักที่ราคาสูงเพราะทำเลที่ตั้งอยู่ย่าน Times Square จุดท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกพากันมาเยือน เดินเพียง 3 นาทีถึง Subway แวดล้อมด้วยร้านค้าและร้านอาหาร ไหนจะโรงแรมหรูซึ่งอยู่รายล้อม

อันที่จริงจะเรียกว่าห้องคงไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะแท้จริงแล้วกำแพงคือแผ่นไม้ค่อนข้างหนา ที่เจ้าของห้องตัวจริงเอามากั้นแบ่งให้เธอและแม่เช่า เพราะเจ้าของห้องเองก็คือนักศึกษาต่างชาติผู้มาดิ้นร้นเรียนหนังสือที่นิวยอร์ก เลยต้องทำทุกวิธีทางเพื่อประหยัดรายจ่าย

“คิดอะไรอยู่ลูก”

คำถามของแม่ทำให้ชาหวานละทิ้งการวิจารณ์ห้องพัก ล้มตัวลงนอนมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋า มืออีกข้างคว้าตุ๊กตา Alvin ซึ่งมีอายุเท่าอายุเธอขึ้นมากอด ตุ๊กตาตัวนี้เธอตั้งชื่อมันว่า “น้องมิ้ว” สภาพเยินและเก่าตามกาลเวลา ส่วนใบหน้า ลำตัวและแขนที่เคยขาวบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ คอขาดจนแทบจะแยกหลุดจากตัว เสื้อสีแดงของน้องมิ้วยังคงสีแดงสดแม้จะมีรอยขาด

เธอกอดมันมาตลอดตั้งแต่เด็ก น้องมิ้วคือตุ๊กตาแสนขี้เหร่และถูกมองว่าเป็นขยะในสายตาคนทั่วไป แต่คือสิ่งล้ำค่าสำหรับชาหวาน

เพราะนี้คือตุ๊กตาที่พ่อของเธอซื้อให้เธอในวันที่เธอเกิด...

ตุ๊กตา...ของสิ่งเดียวจากพ่อ เพราะหลังจากวันที่พ่อมาเยี่ยมแม่และเธอที่ Birth Center* เช้าวันต่อมา...พ่อได้จากเธอและแม่ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

“โตเป็นสาวแล้วยังติดตุ๊กตาอีกนะเรา”

เสียงของละไมเปี่ยมด้วยความเอ็นดู กัดฟันซ่อนอาการปวดช่วงท้อง ขยับตัวเข้าใกล้ลูกสาว โดยไม่ลืมเว้นระยะห่างพอให้อุ่นใจว่าห่างบ้าง ด้วยกลัวว่าลูกจะติดหวัด และกลัวว่าลูกจะรู้ความจริงที่ถูกปิดซ่อน

ชาหวานยกตุ๊กตาขึ้นมาหอม มือเอื้อมออกไปกุมมือแม่แล้วบีบเบาๆ “หนูใกล้จะเรียนจบแล้วนะแม่ เดี๋ยวหนูจะรีบหางานเงินเดือนเยอะๆ พาแม่ย้ายออกไปอยู่ห้องใหญ่กว่านี้นะจ๊ะ”

“ห้องแค่นี้ก็ดีแล้วลูก เงินทองหายาก เก็บเอาไว้เผื่ออนาคตเถอะ”

“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพอหนูเรียนจบเราก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว” ชาหวานปล่อยมือพลางลุกขึ้นนั่ง คว้าตุ๊กตาขึ้นมาคุยเช่นที่ชอบทำเป็นประจำ

“รอพี่หน่อยนะจ๊ะน้องมิ้ว อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเราจะย้ายไปอยู่ห้องใหญ่ๆกันแล้ว”

ท่าทางของลูกสาวพาให้ผู้เป็นแม่อยากจะหัวเราะ หากไม่อาจทำได้เพราะบัดนี้อาการปวดท้องเริ่มหนักขึ้น จากปวดจี๊ดๆเริ่มกลายเป็นปวดร้าวทั่วท้องน้อย ปวดราวกับว่ามีมือกำลังบีบขยำอวัยวะภายใน สิ่งที่สามารถทำได้เพียงสิ่งเดียวในตอนนี้ คือการกัดฟัน หลับตาลงซ่อนน้ำตา หันหลังนอนตะแคง เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือน้อยที่สุด

“แม่นอนก่อนนะลูก ไปทำงานระวังตัวละชาหวาน”

“จ๊ะ เสร็จงานแล้วหนูจะรีบกลับนะคะ”

ชาหวานหอมตุ๊กตาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววางลงบนหมอน คว้ากระเป๋าเป้ลุกขึ้นยืน “หนูไปแล้วนะแม่ ถ้าปวดหัวหรือว่าเจ็บคอมากแม่รีบโทรบอกหนูนะ เดี๋ยวจะได้โทรนัดหมอ”

ละไมไม่ได้ตอบ แสร้งทำตัวประหนึ่งว่ากำลังนอนหลับ กัดฟันแน่นขึ้นจนน่าหวาดกลัวว่าฟันจะแตก จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดและปิดจึงได้ลืมตา ปล่อยหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดให้รินอาบแก้ม เอื้อมมืออันสั่นเทาออกไปคว้ายาหม่องขวดใหญ่ข้างหมอน

 ยาหม่องจากเมืองไทยสามารถหาซื้อได้ง่ายดายนักที่ร้านขายของไทย ถึงร้านค้าจะบวกราคาสูงหากคนส่วนใหญ่ก็เลือกจะจ่าย

นิ้วอันมีร่องรอยการทำงานหนักควักเอาเนื้อยาขนาดเท่านิ้วโป้งป้ายลงบนท้อง เริ่มบีบนวดหวังให้ความร้อนของยาช่วยบรรเทาอาการปวด

ในอดีตเคยได้ผล แต่ช่วงหลังยาหม่องหาได้ช่วยสิ่งใด ถึงกระนั้นเธอก็ยังทำด้วยความเคยชิน พร้อมกับการหลอกตัวเองว่าเริ่มหายปวดแล้ว มืออันหยาบกระด้างบีบขยำหน้าท้องสุดแรงทำได้ ต่อด้วยการทุบทั้งก่นด่าความปวดในใจ ใบหน้านองด้วยน้ำตาแห่งความทรมาน

ทรมาน...จนปรารถนาให้หมดสติ เธอจะได้ไม่ต้องรับรู้ความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญหน้า ความเจ็บปวดซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุกๆครั้งที่เกิด

เสียงบีบแตรดังก้องทั่วท้องถนน รถยนต์นับร้อยคันเบียดแน่นเป็นสายยาว เช่นเดียวกับผู้คนมากมายพากันเบียดขึ้น-ลงบันได Subway หลังจากเบียดด้านล่างแล้วยังต้องขึ้นมาเบียดด้านบน ทุกคนล้วนเร่งรีบ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งสู่จุดหมายปลายทาง

ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานครนิวยอร์ก สตรีผู้หนึ่งเดินทอดน่องอ้อยอิ่ง หาได้เร่งรีบไปกับผู้คนและชั่วโมงเร่งด่วนของวัน กระทำตนประหนึ่งว่ายามนี้กำลังเดินเล่นอยู่ในทุ่งทานตะวัน บรรดารถราบนท้องถนนคือดอกทานตะวันซึ่งเบ่งบานรับแสงยามเช้า เสียงบีบแตรคือเสียงนกร้องเสนาะหู

ชาหวานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา หน้าจอปรากฏตัวเลข 8:30 AM ยังเหลือเวลาอีกราว 30 นาทีกว่าจะถึงเวลาเข้าร้าน ในยามว่างเธอทำงานตำแหน่งทำทุกอย่างที่ร้านอาหารไทย ยามว่างในที่นี่หมายความว่าว่างจากงานอื่นๆ ด้วยฐานะอันเรียกได้ว่าต้องดิ้นร้นจนตัวแทบขาด บวกกับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ค่อนข้างสูง ทำให้เธอไม่เคยมีคำว่าวันหยุดปรากฏในตารางชีวิต

จริงๆแล้วเธอไม่ค่อยชอบทำงานร้านอาหารไทยนัก เป็นที่รู้กันว่าร้านอาหารไทยส่วนใหญ่มีชื่อเสียงเรืองเอาเปรียบค่าจ้าง เอาเปรียบค่าแรงไม่พอ บางคนถูกเอาเปรียบทิป หรือหนักกว่านั้นใช้ข้ออ้างเรื่องช่วงทดลองงาน ไม่จ่ายค่าแรงแต่จ่ายเป็นอาหารไทยที่เหลือจากการขาย ใส่กล่องให้นำกลับบ้าน

ข้าวกล่องเศษๆของเหลือหนึ่งกล่อง คือค่าแรงการทำงานหนักตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงตีสองของคนไทยผู้ตกอยู่ในสถานะไร้ทางเลือกบางคน แน่นอนว่าในอดีตแม่ของชาหวานคือหนึ่งในนั้น

ถึงจะไม่ชอบสักเพียงไร แต่ด้วยความประหยัดจนเรียกได้ว่างก และด้วยนิสัยไม่ชอบรับประทานอาหารตะวันตก ทำให้เธอเลือกเอาช่วงเวลาว่างจากการเรียนและจากงานอื่นๆ มาทำงานร้านอาหารไทย แน่นอนว่าค่าจ้างได้น้อย แต่ที่เธอคาดหวังคืออาหารไทยฟรี ซึ่งทุกครั้งได้มากกว่าหนึ่งกล่อง ได้มากพอให้เธอและแม่ประหยัดค่าอาหารลงไปได้บ้าง

ชาหวานเข้าร้านอาหารทางด้านหลังตึก ทะลุช่องแคบๆผ่านลานขนาดเล็กซึ่งมีกะละมังพลาสติกวางอยู่ 2 ใบ เปิดประตูหลังของร้านเข้าสู่ห้องครัว ด้วยตำแหน่งทำทุกอย่างในร้าน  หน้าที่ที่ต้องทำจึงมากล้นจนน่ากลัวว่าสองมือจะรับไหว ทั้งล้างและหั่นเนื้อสัตว์และผักราวสิบกิโลกรัม ช่วยแม่ครัวทำอาหาร เป็นเด็กเสริฟ ขี่จักรยานไปส่งอาหารให้ลูกค้า และแน่นอนว่าหน้าที่ล้างจานตกเป็นของเธอด้วย

ร้านอาหารส่วนใหญ่ใช่เครื่องล้างจาน หากไม่ใช่กับ “ร้านบ้านอาหารไทย” เจ้าของร้านคือสตรีร่างอวบผิวขาวแต่งตัวเปรี้ยว ผู้มีนามว่าแพทตี้ แพทตี้ให้เหตุผลฟังไม่ขึ้นว่าที่นี่คือร้านอาหารไทย เลยอยากให้ทำทุกขั้นตอนแบบไทย การล้างจานก็เช่นกัน!

“มาแล้วหรอชาหวาน แม่เป็นยังไงบ้าง หายรึยัง?”

คำทักทายมาจากแม่ครัวประจำร้านผู้มีชื่อว่า อรุณ หรือมีอีกชื่อซึ่งถูกตั้งที่นี่ว่า “แอลลี่”  อรุณเป็นผู้หญิงร่าวเล็ก ผิวสีน้ำผึ้งกระดำกระด่าง หนีความจนมาจากจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานของไทย เดินทางมาด้วยความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นและหวังหาผู้ชายฝรั่งเลี้ยงดู

หวังมาสิบปี ทุกวันนี้ก็ยังคงหวัง...

“ยังป่วยอยู่เลยค่ะ”

ชาหวานตอบพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะสารพัดประโยชน์ เป็นโต๊ะเล็กๆสีชมพูบานเย็นที่เจ้าของร้านตั้งไว้มุมห้อง เพื่อให้พนักงานซึ่งมีอยู่เพียงสอง-สามคนวางกระเป๋าและรับประทานอาหารช่วงพัก

อรุณถอนหายใจเบาๆ “โรคคนแก่ละมั้ง แม่เราปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วละ ว่าแต่เราปีนี้เท่าไหร่แล้ว?”

“แม่ 42 จ๊ะ ส่วนหนู 20”

“แล้วนี่ใกล้เรียนจบรึยัง?”

“ปีสุดท้ายแล้วค่ะ”

อรุณหยุดมือที่กำลังหั่นผัก เหล่ตามองสาวน้อยผู้เริ่มต้นหยิบโถน้ำปลาพริกนำมาเติมใส่ถ้วยเล็กสำหรับวางบนโต๊ะอาหาร แววตาของผู้ผ่านโลกมามากระยิบระยับอยากรู้ ซ่อนเร้นด้วยการแสวงหาผลประโยชน์บางสิ่ง

“มีแฟนรึยัง?”

ชาหวานส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ จะเอาเวลาที่ไหนไปมี”

ทั้งชีวิตของหญิงสาวมีเพียงเรียนและทำงาน ทำให้เธอไร้เวลาว่างใดๆสำหรับการออกเดท หากถามว่าเสียดายหรือไม่ ชาหวานไม่ลังเลที่จะตอบว่า

“ไม่เสียดาย”

ถึงแม้จะเกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา แต่ลึกลงไปในใจเธอกลับเชื่อถือในเรื่องพรหมลิขิต และด้วยเหตุใดไม่อาจทราบ เธอไม่ปรารถนามีคนรักเป็นผู้ชายชาวตะวันตก ต่อให้เป็นผู้ชายชาวเอเชียก็ไม่ชอบ ที่ผ่านมามีผู้ชายมากมายทั้งผมบลอนด์ ผมน้ำตาล ผมดำ พากันเข้ามาขายขนมจีบ หากถูกปฏิเสธไปในทันที

ละไมเคยแซวผู้เป็นลูกว่า “สงสัยชาหวานจะชอบผู้ชายไทย”

ชาหวานในวันนั้นไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ เพียงหัวเราะแห้ง ไม่อาจตอบได้ว่าชอบผู้ชายไทยจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายไทยเข้ามาจีบ

“นี่ชาหวาน แกนะหน้าตาสวยขนาดนี้ หัดใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์บ้างรู้ไหม ถ้าฉันเป็นแกฉันไม่เสียเวลาเสียเงินไปเรียนหรอก ค่าเทอมตั้งแพง เอาเวลาไปจับผู้ชายรวยๆให้เขาเลี้ยงก็จบ!” อรุณวางมือที่กำลังโขลกกระเทียม เดินตรงมาหาสาวน้อย

สาวน้อย...ซึ่งเธอจ้องมองมานานตั้งแต่เพิ่งเริ่มเป็นนางสาว

จ้อง...พร้อมกับแววตาเป็นประกาย ภาพดอลลาห์ระยิบระยับ

 “นี่...ฉันรู้จักเศรษฐีคนหนึ่งเขามองหาเมีย บำเหน็จมีตั้ง $300,000 แกสนใจไหมเดี๋ยวติดต่อให้

ชาหวานเหล่ตามองคนพูด รู้สึกดีใจยิ่งนักที่ไม่ได้เกิดเป็นลูกสาวของผู้หญิงคนนี้ ริมฝีปากบางเบ้เล็กน้อย อดประชดในใจไม่ได้ว่า หากเธอเกิดเป็นลูกของน้าอรุณ เห็นทีคงถูกจับขายให้เป็นเมียฝรั่งแก่ๆ ที่หอบเงินก่อนสุดท้ายในชีวิตไปยังประเทศทางเอเชียซึ่งค่าเงินถูกกว่าอย่างแน่นอน!

ประตูห้องครัวถูกเคาะตามด้วยเสียงกึ่งตะโกนของเจ้าของร้าน “นี่อย่ามัวแต่เมาท์ เดี๋ยวเถอะจะตัดเงินให้หมด!”

อรุณฟันมีดลงบนเขียงไม้ทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งแพทตี้แบกมาจากเมืองไทย “เดี๋ยวลาออกแล้วจะรู้สึก!”

ชาหวานเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ้าว น้าจะลาออกหรอจ๊ะ?”

ทั้งที่เพิ่งถูกเตือน หากคนปรารถนาโอ้อวดหาได้ยี่หระต่อคำเตือนนั้น พุ่งตรงกลับมาหาชาหวานที่กำลังจัดเตรียมเถ้าเครื่องปรุง จับคางมนของสาวน้อยให้หันมาสนใจตน

“ก็คงเร็วๆนี้แหละ แฟนน้าบอกว่าถ้าแต่งงานกันแล้วจะไม่ให้ทำงาน ให้ดูแลเขาอยู่ที่บ้านพอ”

“อ้อ...” ชาหวานเอ่ยเพียงแค่นั้น ทั้งที่แท้จริงแล้วในใจต่อท้ายว่า...อีกแล้วหรอ

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก กล่าวได้ว่าทุกๆ 3-4 เดือน ประโยคเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นจากปากอรุณ แน่นอนว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดกับผู้ชายไม่ซ้ำคน ชาหวานไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรนัก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเธอ แต่ไหนแต่ไรเธอยึดคติชีวิตใครชีวิตมัน ยุ่งเรื่องชาวบ้านไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น

และเธอเชื่อว่า การไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน คือการไม่ผลาญเวลาอันมีค่าของชีวิตไปกับเรื่องเหลวไหล 

ใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้แค่เพียงกับคนไทยด้วยกัน ต่อให้เพื่อนต่างชาติที่มหาวิทยาลัยก็เถอะ คบเพียงผิวเผินเรียกว่าคนร่วมเรียนห้องเดียวกันเสียมากกว่า ประกอบกับที่เธอสนใจใช้เวลาว่างทำงานมากกว่าจับกลุ่มเที่ยว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเพื่อนสนิท ถึงกระนั้นใช่ว่าเจ้าตัวจะทุกข์ร้อน หาได้สนใจไขว่คว้าการเข้าสังคม เลือกมีความสุขกับการอยู่คนเดียวและการหาเงินดูแลแม่

ช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดของร้านอาหารไทยมีอยู่สองช่วง ช่วงแรกคือเวลาสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายโมงเกือบบ่ายสอง ช่วงที่สองตั้งแต่ย่างสี่โมงเย็นจนถึงสี่ทุ่ม เรียกได้ว่าสองช่วงนี้ ชาหวานเดินจนขาชาไร้ความรู้สึก มือแข็งเกร็งแบกถาดอาหาร จะว่าไปสองช่วงเวลานี้ใช่เพียงร้านอาหารไทยเท่านั้นที่วุ่นวาย ร้านอาหารตะวันตกเองก็เช่นกัน

ร้านบ้านอาหารไทยปิดให้บริการเวลาสี่ทุ่ม ลูกค้าคู่สุดท้ายคือนักเรียนไทยซึ่งมาเรียนภาษาที่นิวยอร์ก ชาหวานจัดการพลิกป้ายหน้าร้านจาก “Open” เป็น “Close” ตามด้วยการเก็บโต๊ะอาหาร กวาดเก็บทำความสะอาดร้าน ในขณะที่แพทตี้ผู้เป็นเจ้าของร้านนั่งคิดเงินจัดการสรุปยอดในวันนี้

“น้าแพทตี้ แล้วน้องคนที่หนูเคยเจออาทิตย์ที่แล้วไปไหนแล้วหรอคะ?”

ชาหวานถามถึงสาวน้อยอายุราว 18 ปี ซึ่งเธอได้พบเมื่ออาทิตย์ก่อน สาวน้อยคนนั้นจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อเมย์ ทำตำแหน่งทำทุกอย่างเช่นเดียวกับเธอ

“ย้ายไปแคลิฟอร์เนีย” แพทตี้ตอบด้วยเสียงค่อนข้างสะบัด วางใบเสร็จอาหารในมือลง

 “พูดแล้วก็อารมณ์เสีย เลี้ยงเสียข้าวสุก! อุตส่าห์รับไว้ตอนมันไม่มีที่ไป ดูสินังงูพิษ พอร้านอาหารทางนั้นรับก็ทิ้งฉันไว้ไม่สนใจสำนึกบุญคุณ”

ผู้รับฟังเบ้ปาก อยากจะเถียงยิ่งนักว่าถ้าเป็นเธอเธอก็ไป เพราะสาวน้อยคนนั้นอยู่ที่นี่ในฐานะวีซ่าขาดหรือที่เรียกว่าโรบินฮูด และไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานร้านอาหารมาก่อน จึงถูกกดขี่ด้วยคำว่าทดลองงานแบบไม่มีกำหนด จ่ายค่าจ้างเพียงข้าวกล่องกล่องเดียว แม้แต่ทิปก็ไม่มีการแบ่งให้

“เออนี่นังชาหวาน แม่แกเป็นยังไงบ้าง เมื่อไหร่จะกลับมาทำงาน”

น้ำเสียงที่ใช้ถามไร้ซึ่งความเป็นห่วง มีเพียงเรื่องกำลังสูญเสียผลประโยชน์เจืออยู่ในน้ำเสียง

“แม่ยังไม่หายค่ะ”

“เอ้าแล้วฉันจะทำยังไง? เอายังงี้ ระหว่างที่แม่แกมาทำงานไม่ได้ แกก็มาทำงานชดใช้แทนแม่แกละกัน ค่าจ้างฉันไม่จ่ายนะ ถือว่ามาทำงานชดใช้แทนแม่แก ชดใช้ความเสียหายที่ร้านขาดคนงาน แต่ทิปจะแบ่งให้ 5% กับพวกของเหลือแกก็ขนเอากลับไป”

ชาหวานชะงักมือที่กำลังกวาดร้าน  “ไม่ได้หรอกค่ะ หนูมีเรียน”

“แกก็หยุดเรียนมาทำงานสิ”

“ไม่ได้ค่ะ”

แพทตี้กระแทกใบเสร็จใบใหม่ในมือลงตะกร้า ลุกขึ้นเท้าสะเอว “เยอะ! นึกถึงบุญคุณฉันบ้างนะทั้งแกทั้งแม่แก”

“บุญคุณ?” คนถูกทวงบุญคุณย้อนถามเสียงสูง

 “ไม่ทราบว่าน้าเคยมีบุญคุณอะไรต่อหนูกับแม่หรอคะ? อย่ามาอ้างเรื่องรับทำงานนะน้า หนูทำงานน้าจ่ายเงิน แบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าบุญคุณ ถ้าหนูนั่งกระดิกขาอยู่บ้านแล้วน้าเอาเงินมาให้ นี่สิถึงเรียกว่าบุญคุณ”

คนถูกย้อนโกรธจนตัวสั่น ชี้นิ้วไปยังคนซึ่งหันกลับไปกวาดพื้นต่อ ยังไม่ทันจะอ้าปากด่าชาหวานก็ชิงพูดแทรก

“น้าเตรียมหาคนทำงานแทนแม่ได้เลยนะคะ สิ้นเดือนนี้หนูไม่ให้แม่มาทำงานแล้ว แม่แก่แล้วหนูอยากให้แม่พัก ระหว่างนี้วันไหนหนูมีเวลาจะมาช่วยงานที่ร้าน ขอแบ่งทิปกับข้าวละกันค่ะ”

ชาหวานพูดจบก็เดินเข้าไปในครัว จัดแจงหยิบกล่องอาหารซึ่งเตรียมไว้ออกจากกระเป๋า 3 กล่อง  ตักข้าวติดก้นหม้อลงกล่องแรก กวาดแกวเขียวหวานที่เหลือแต่น้ำ ฟัก และเลือดสามชิ้นลงกล่องที่สอง เทผัดคะน้าหมูกรอบที่เหลือใบคะน้าไม่ถึงสิบใบและหมูกรอบสองชิ้นลงกล่องที่สาม ปิดฝาทั้งสามกล่องแล้วจัดแจงเก็บใส่กระเป๋าเป้

หญิงสาวขนหม้อและอุปกรณ์ประกอบอาหารทั้งหมดไปไว้ด้านหลังร้าน สถานที่ที่เป็นลานเปิดโล่งขนาดเล็กมาก คือที่ที่ใช้สำหรับล้างจาน ตามกฏหมายการล้างจานเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก มีสิทธิ์ถูกปรับและจับได้

ทั้งที่รู้แต่แพทตี้ก็ไม่สนยืนยันจะทำเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่เคยมีใครร้องเรียน อีกส่วนเพราะมุมนี้คือมุมอับ ไม่มีใครสนใจเดินเข้ามาดูทำให้ลับหูลับตาคน

 บนพื้นอัดแน่นไปด้วยจานและชามนับร้อยใบ ยังมีช้อนส้อมจำนวนมาก กะละมังที่วางอยู่ก่อนหน้าถูกเติมน้ำจากก็อกน้ำข้างกำแพงจนเต็ม เธอนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กซึ่งแพทตี้ขนมาจากเมืองไทย เทน้ำยาล้างจานลงในกะละมังที่หนึ่ง ตีให้ฟองขึ้นฟู เงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิทราวสีถ่าน

คืนนี้พระจันทร์เสี้ยวเล็กจัด ไม่มีแม้เพียงเศษดาวอยู่บนฟ้า หากไร้ซึ่งแสงไฟหลากสีสันจากตึกสูง ค่ำคืนนี้คงมืดและวังเวงน่าดู ชาหวานหยุดชมท้องฟ้า หันหน้าไปทางเสียงเปิดประตูหลังร้าน อรุณกำลังเดินตรงมา

 “กะละมังนี้ด้วย” อรุณวางกะละมังใบเล็กซึ่งภายในมีจานอยู่ห้าใบลงบนพื้น “น้าไปก่อนนะ ฝากบอกแม่แกด้วยหายเร็วๆละ”

“จ๊ะ สวัสดีค่ะน้า” ชาหวานยกมือไหว้ หันกลับมาสนใจเริ่มต้นล้างจานกองสูงเท่าภูเขาขนาดย่อมตามลำพัง

ลมช่วงดึกหนาวกว่าลมยามแสงอาทิตย์ยังสาดส่อง เมื่อโชยพัดพาให้คนที่กำลังล้างจานขนลุกตัวสั่น  ถึงกระนั้นสองมืออันชุ่มไปด้วยฟองขาวหาได้หยุด ยังคงล้างจานต่อราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั้นเป็นเพราะเธอเคยผ่านการล้างจานท่ามกลางหิมะตกกระหน่ำในคืนที่หนาวที่สุดของนิวยอร์กมาแล้ว ลมเพียงเท่านี้เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เคยผ่านมา

สองชั่วโมงพ้นผ่าน เครื่องครัวทั้งหมดถูกเรียงเรียบร้อยอยู่ในชั้นวาง ชาหวานสะพายกระเป๋าเป๋ เดินออกไปหน้าร้าน ที่นั้นแพทตี้กำลังนั่งรับประทานส้มตำปูปลาร้าพลางนั่งจดเลขหวยงวดต่อไป

“หนูกลับแล้วนะคะ”

แพทตี้เงยหน้าขึ้น เอื้อมมือไปหยิบเงิน $35 ส่งให้ ชาหวานรับมาพร้อมกับการขมวดคิ้ว เธอจำได้ดีว่าส่วนแบ่งทิปวันนี้สมควรได้ราว $50

“น้าให้เงินหนูขาด”

ผู้ถูกทักท้วงทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “ขาดยังไง ค่าแรงแกก็ $35 ไง”

“ทิปหนูละ?”

“วันนี้ฉันช่วยแกเสริฟ ไม่จ่ายทิป”

ชาหวานยัดเงิน $35 ลงกระเป๋ากางเกง กอดอกแววตาพร้อมเอาเรื่อง “แน่ใจ?”

แพทตี้รู้สึกขนลุกยามประทะกับสายตาสู้คน รู้ดีว่าเด็กคนนี้ต่างจากมารดาอย่างสิ้นเชิง ละไมนั้นสงบปากสงบคำ ว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ส่วนชาหวานนั้น...

“ตกลงจะจ่ายทิปไหม? ทิปของหนู เงินของหนู! อย่ามาโกงหนู! แค่หนูยอมให้น้าจ่ายค่าจ้างแบบเหมาวันไม่นับเป็นชั่วโมงละ $10 ก็มากพอแล้ว อย่าให้หนูโทรแจ้งตำรวจนะ!”

แพทตี้ยิ้มไม่เต็มนัก เอื้อมมือไปดึงแบงค์ยี่สิบออกมาสองใบแบงค์สิบหนึ่งใบแล้วส่งให้กับชาหวาน

 “เอาไป แหมนังชาหวาน นิดหน่อยอย่าให้มันมากนักนะ”

ชาหวานไม่ได้ต่อปากต่อคำ รับเงินแล้วยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

เธอเดินออกไปทางประตูหน้าร้าน หาได้สนใจเสียงตำหนิติเตียนของผู้อาวุโสกว่า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาพร้อมกับการส่งข้อความไปบอกแม่

“หนูกำลังกลับบ้านนะคะ วันนี้มีแกงเขียวหวานกับผัดผักคะน้าค่ะ”

เมื่อกล่าวถึงมหานครนิวยอร์ก นอกจากย่าน Times Square อันแสนโด่งดัง ยังมีอีกย่านซึ่งผู้คนพากันไปเยือน นั้นคือย่าน Soho ทั่วทั้งย่านอัดแน่นด้วยร้านแบรนด์ดังทั้งระดับโลกและระดับท้องถิ่น เอกลักษณ์อีกหนึ่งสิ่งซึ่งถูกล่ำลือ คือสองฝั่งถนนมากมายด้วยรถ Super car จอดอวดโฉมให้ผู้เดินผ่านอิจฉา

รถยนต์ Porsche สีขาวมุกคันหนึ่งแล่นฝ่าความมืด ด้วยความเร็วเกือบเลยกฏหมายกำหนด ค่อยๆชะลอความเร็วเทียบจอดหน้าตึกตึกหนึ่ง ตึกหลังนี้คือตึกใหม่พึ่งสร้างเสร็จและปล่อยจำหน่ายเมื่อสามปีที่แล้ว ทรงตึกสร้างเลียนแบบตึกเก่าทาสีอิฐ

ประตูรถเปิดออก บุรุษร่างสูงหุ่นคล้ายหนุ่มนักกีฬาก้าวลงจากรถ เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนขึ้นที่ข้อศอกลวกๆ ก้มตัวคว้ากระเป๋าใส่เอกสาร ยังไม่ทันจะได้ปิดประตูรถ โทรศัพท์มือถือปรากฏแสงว๊าบ โชว์เบอร์โทรเข้าอันเป็นเบอร์โทรจากประเทศไทย

เจ้าของเครื่องถอนหายใจ รับสายด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนเพราะคาดเดาได้ถึงประโยคแรกที่ผู้โทรมาจะเอ่ย

“ตาเต เมื่อไหร่จะกลับเมืองไทย?”

“แม่มีธุระอะไรครับ?”

“อ้อ เดี๋ยวนี้แม่โทรหาเตต้องมีธุระด้วยใช่ไหม พ่อสูติแพทย์ผู้แสนโด่งดัง หึ!”

น้ำเสียงกึ่งน้อยใจกึ่งประชด ทำให้เตรัณย์ลอบถอนหายใจครั้งที่สอง ปรับน้ำเสียงให้ดูกระตือรือร้นขึ้น แสร้งทำเหมือนว่าไม่ทราบถึงเจตนาที่มารดาโทรมาหา

“โทรได้สิครับ แม่สบายดีนะครับ?”

“เมื่อไหร่เตจะแต่งงาน?”

“ใจเย็นสิแม่ ผมกำลังพยายามหาลูกสะใภ้ให้แม่อยู่”

“อย่าได้ริอาจคว้าแหม่มหัวทองมาเชียวละ ไม่อย่างนั้นแม่เอาเลือดหัวเราออกแน่”

ชายหนุ่มอมยิ้มขัน คาดเดาท่าทางมารดาในยามนี้ได้ ว่าคงกำลังคุยไปเดินบนลู่ออกกำลังกายไป “ไม่แหม่มหัวทองแน่ครับ แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมรักแม่นะครับ”

คำอำลาเอ่ยจบพร้อมกับการกดวางสาย เขาหยิบบัตรเครดิตเสียบเข้ามิเตอร์ชำระเงินค่าจอดรถอันตั้งอยู่บนทางเท้า ชำระเงินค่าจอดรถถึงพรุ่งนี้เช้าตอนสาย เรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าสู่อพาร์ทเม้นท์ กดเรียกลิฟท์ขึ้นสู่ห้องพักชั้นสาม มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋า มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง

 ดวงตาอันแสนเหนื่อยล้าหนักอึ้งจากการเฝ้าเคสคนไข้ 48 ชั่วโมงติดใกล้ปิดลงในทุกที เจ้าตัวต้องอาศัยความพยายามไม่น้อยในการฝืนลืมตา พาร่างที่ใกล้หมดแรงเดินตรงเข้าสู่ห้องพัก

ห้องพักคือห้องชุดขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งสไตล์โมเดิร์นเน้นสีขาว ความเป็นระเบียบของห้องพาให้ยากจะเชื่อว่าที่นี่คือห้องหนุ่มโสด เจ้าของห้องวางกระเป๋าไว้บนเคาน์เตอร์ครัว มือเริ่มต้นปลดกระดุมในขณะที่เท้าตรงเข้าห้องนอน เมื่อประตูห้องนอนปิดลงเสื้อเชิ้ตก็ถูกเหวี่ยงลงตะกร้าเสื้อผ้าใช้แล้วพอดิบพอดี

เตรัณย์จัดการกับชิ้นส่วนที่เหลือจนเกลี้ยง พาร่างกำยำอัดแน่นด้วยมัดกล้ามเดินเข้าสู่ห้องน้ำขนาดใหญ่เกือบเท่าห้องนอน เขาเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำแล้วเดินไปชำระล้างตัวสระผมจนสะอาด

 อาบน้ำเสร็จน้ำในอ่างก็ได้ระดับที่ต้องการพอดี มือคว้าเอาขวดสีชาขนาดราว 50 กรัม ภายในบรรจุยาคลายกล้ามเนื้อสำหรับแช่ เทของเหลวสีน้ำตาลอ่อนลงในน้ำ กลิ่นหอมสดชื่นชวนกระปรี้กระเปร่าเริ่มกระจายอวลทั่วห้อง

สองเท้าของเขาก้าวเข้าสู่อ่าง หย่อนร่างพาตัวเองนอนเองพิง ปิดเปลือกตาลง...เปิดรับการผ่อนคลายอันแสนผาสุข

การแช่น้ำถูกขัดจังหวะเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดังลอดแผ่วเบาเข้ามาในห้องน้ำ ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับจัดการปล่อยน้ำ เอื้อมมือคว้าผ้าเช็ดตัวซึ่งแขวนตากอยู่ที่ราวสีขาวขุ่น เช็ดตัวลวกๆแล้วพันรอบเอวสอบ เดินออกจากห้องน้ำตรงไปรับโทรศัพท์ซึ่งดังติดต่อกันเป็นครั้งที่สี่

“ฮัลโหลลิซ่า มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”

“ฮัลโหลเต ฉันอยู่ข้างล่างหน้าตึกคุณ คุณเปิดประตูให้ฉันหน่อยสิคะ”

เสียงปลายสายบอกชัดถึงความปรารถนา ใช่ว่าผู้ฟังไม่รู้ เพียงแค่เลือกปฏิเสธเพราะตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน

“ผมนอนแล้ว มีธุระอะไรไว้เจอกันที่ที่ทำงานนะครับ Good Night”

เขากดตัดสายทิ้งในทันที โยนโทรศัพท์ไปอีกมุมหาได้สนใจสายเรียกเข้าเบอร์เดิมที่โทรกลับมาเรื่อยๆ ชายหนุ่มดึงผ้าขนหนูออกแล้วเหวี่ยงไปยังโซฟาข้างประตูกระจกระเบียง กระชากผ้านวมซึ่งแม่บ้านจัดการปูเก็บมุมให้จนหลุดเป็นอิสระ พาร่างอันเปลือยเปล่าเอนลงบนที่นอน

ดวงตาคมโตปิดลง ไม่ถึงหนึ่งนาทีดีดวงตาคู่นี้ได้ลืมขึ้น พร้อมกับที่เขาลุกขึ้นนั่ง เอื้อมแขนคว้าโทรศัพท์มือถือ เปิดเข้าสู่โปรแกรมหาคู่อันแสนโด่งดัง เช็คข้อความนับร้อยจากสาวๆทั้งเอเชียและตะวันตก กดดูผ่านๆไปเรื่อยโดยไม่ได้ตอบใครสักคน เสร็จจากดูข้อความก็คลิกสู่หน้าค้นหาคู่เดท

“เอาอายุสัก 20-26 ละกัน”

เขาเริ่มต้นกำหนดคุณสมบัติคู่เดทที่ต้องการ ระบุจนครบทุกช่อง กดเริ่มทำการค้นหา ข้อมูลที่ปรากฏคือรูปภาพสตรีนับพันพร้อมประวัติ นิ้วใหญ่เปิดไล่ดูไปเรื่อย จากหน้าหนึ่งจนกระทั่งผ่านไปถึงหน้าสี่สิบ

 ทว่า...ไม่มีสักคนที่เขากดเข้าไปดูประวัติ ไม่มีแม้แต่การกดดูรูปพิ่ม

ความพยายามเกือบหนึ่งชั่วโมงจบลง เตรัณย์ถอนหายใจมองโปรแกรมหาคู่ ตัดสินใจกดลบโปรแกรมทิ้งด้วยความรู้สึกช่างไร้ประโยชน์ ไม่น่าหลงเชื่อคำยุแยงของเพื่อน โยนโทรศัพท์มือถือไปอีกด้าน เอนหลังลงนอนแขนก่ายหน้าผาก ดวงตาจ้องมองอยู่ที่เพดานสีขาว จ้องจนแทบจะฝังดวงตาเข้าไปกับเพดานนั้น หากแท้จริงแล้วความคิดของเขากำลังล่องลอย

ลอย...ไปพร้อมกับความสงสัยที่ว่า...

ชั่วชีวิตของเขา จะมีโอกาสได้เจอใครสักคนที่ทำให้ใจเต้นแรงราวโลกหยุดหมุนไหมหนอ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

=        Birth center คือสถานที่สำหรับคลอดลูก  ผู้ทำคลอดคือ Midwife (ผดุงครรภ์/หมอตำแยฝรั่ง) คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยนิยมคลอดที่ Birth Center เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าการคลอดในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายการคลอดบุตรในโรงพยาบาลกรณีคลอดเองและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เฉลี่ยเริ่มต้นที่ $10,000+  ถ้าคลอดที่ Birth Centerค่าใช้จ่ายจะราวๆ $3,500+  หรือในกรณีที่ไม่มีประกันสามารถขอใช้สิทธิ์คลอดฟรีหากมีรายได้ทั้งครอบครัวต่ำกว่า $15,000 ต่อปี 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น