12

ตอนที่ 12


ภายในห้องนอน เขมราชวางกล่องยาบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น เขาโมโหผู้หญิงเจ้ามารยาที่นั่งทำตาใสไม่รู้ไม่ชี้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าความโมโหนั้นยังน้อยกว่าที่เขาโมโหตัวเอง เขาแพ้ทางเธอ แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย

                “ยายปีศาจ”

                หอมนวลนิ่วหน้าไม่เข้าใจ เขาคิดจะต่อว่าอะไรเธออีก แค่นี้ยังไม่พออีกหรือไง

                “เลิกว่าหอมสักชั่วโมงเถอะค่ะ หอมปวดหัว” หอมนวลพูดตามตรง ถ้านับความอดทนหนึ่งครั้งเท่าเงินหนึ่งบาท เธอคงมีเงินเป็นแสนแล้วตอนนี้

                “ใครสน” เขมราชยังยียวน เขายื่นกล่องปฐมพยาบาลให้เธอ “ทำแผลเอง ฉันไม่ได้ห่วงนะ กลัวเป็นบาดทะยักตาย ที่นี่ไม่มีประวัติเรื่องผีสิงและก็ไม่อยากให้มี เข้าใจนะ”

                เมื่อทิ้งวาจาร้ายๆ ให้คนฟังได้เจ็บช้ำ เขมราชก็ลุกเดินไปนั่งแหมะที่โต๊ะทำงาน และไม่สนใจคนเจ็บอีกเลย

                หอมนวลบ่นงึมงำตามหลังไปเหมือนหมีกินผึ้ง แต่คนตัวโตไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินหรือว่าเหนื่อยใจกันแน่ เมื่อเขาไม่สนใจจะโต้เถียงด้วยอีกเธอจึงหันมาสนใจแผลของตัวเอง หญิงสาวค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกช้าๆ เส้นด้ายที่เปียกชื้นแนบติดกับแผลจนเป็นที่น่ากลัวว่าหากดึงออกมาเลือดคงออกเป็นแน่ แต่หอมนวลก็ฝืนใจ หลับตาแล้วค่อยๆ แกะผ้าพันแผลอย่างเบามือ

                “โอ๊ย!”

                เลือดออกจริงๆ ด้วย หอมนวลแทบร้องไห้ออกมา เธอเกลียดการใช้ผ้าพันแผลที่สุด เพราะเวลาที่ต้องแกะออกเหมือนเป็นการซ้ำรอยแผลเดิมให้เจ็บมากขึ้นไปอีก

                “เป็นอะไร” คนที่บอกว่าไม่สนใจถึงตัวหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

                หอมนวลสะดุ้งตกใจยิ่งกว่าเห็นเลือดออก แต่เขมราชไม่ได้สนใจท่าทีตระหนกนั่น เขามองเลือดที่ไหลซึมบนแผลเดิมอย่างหัวเสีย

                “เธอนี่ทำอะไรเป็นบ้างฮะ แผลแค่นี้ยังทำให้เลือดออกได้”

                โดยไม่ฟังอะไรอีก มือหนาคว้าอุปกรณ์ทำแผลทำความสะอาดแผลและใส่ยาให้เธออย่างชำนาญ หอมนวลแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ไม่รู้ว่าเพราะเขามือเบา หรือว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แสนละมุนจนลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น

                เธอชอบเขมราชเวลานี้ที่สุด

                “อย่าหลงเคลิบเคลิ้มไปละ”

                คำพูดห้วนๆ นั่นปลุกหอมนวลจากภวังค์ เธอขยับกายเล็กน้อยแก้เก้อ และก็ได้รู้ว่าแผลที่มือเธอถูกพันไว้เรียบร้อยและดูดีมากเสียด้วย

                “โธ่...คุณเขม”

                “อะไร”

                “หอมกะว่าจะไม่พันแผลน่ะค่ะ เพราะว่าวันพรุ่งนี้ ตอนที่แกะมัน...”

                “อย่าสำออย” ไม่ต้องรอให้พูดจบ เขมราชก็เดาได้ “ฉันจะเมตตาเธอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ที่เหลือเธอก็ดูแลตัวเอง” 

                เขมราชลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังให้ เขาเครียดจัดจนหอมนวลหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่หายใจ จนกระทั่งเขาเดินออกจากห้องไป หอมนวลจึงถอนหายใจกับตัวเอง ยอมรับความจริงอย่างเจ็บปวด

                เขมราชเกลียดเธอแล้วจริงๆ เขาอาจไม่เคยเกลียดใครเท่าเธอมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เธอไม่แน่ใจเลยว่าระหว่างเป็นคนที่เขาไม่เคยจำกับคนที่เขาเกลียดสุดหัวใจ อย่างไหนดีกว่ากัน

                ทำไมนะ คนอย่างเธอถึงไม่เคยมีตัวเลือกดีๆ กับเขาบ้าง...

                แม้ว่าได้นอนเต็มที่ แต่หอมนวลก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น อาการปวดหัวหายไปแล้ว แผลที่มือก็ไม่ได้เจ็บอะไร แต่จิตใจยังเหมือนคนเป็นไข้หนักอยู่ดี

                เมื่อคืนเขมราชกลับมาที่ห้องและกลับออกไปตอนที่เธอยังไม่ตื่น เพราะข้อความที่แปะไว้หน้าประตูห้องเป็นลายมือเขาอย่างชัดเจน แถมลักษณะการใช้ถ้อยคำก็ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้  

                ตื่นแล้วรีบไปทำหน้าที่คนเลี้ยงวัว นอกเหนือจากการเรียนที่มหาวิทยาลัย เธอต้องเลี้ยงวัว ไม่มีวันหยุด 

                จิตใจบอบช้ำไม่ได้ถูกทำร้ายจากคำสั่งเด็ดขาดนั่น แต่เป็นเพราะข้อความถัดมาต่างหากที่เป็นเสมือนเครื่องทำลายล้าง ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างพังลงในชั่วพริบตา

                ฉันต้องไปรับลูกจันทร์ วันนี้เธอคงหาทางไปคอกวัวได้ด้วยตัวเอง

                แทนที่หอมนวลจะขยำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นทิ้งเสีย เธอกลับเก็บมันไว้อย่างดีในกระเป๋าที่เธอหิ้วติดตัวตลอดเวลา บางทีเธออาจเป็นผู้หญิงโรคจิตที่นิยมชมชอบความรุนแรงกระมัง  

 

            เช้าวันอาทิตย์เป็นอีกวันที่หอมนวลต้องทำงานเต็มวัน เธอเลือกวิธีไปโรงเรือนเลี้ยงโคนมด้วยรถจักรยานของป้าจันเป็ง แม้จะเก่าไปนิดแต่ก็ดีกว่าต้องเดินไป อีกอย่างเวลาเลิกงานจะได้อุ่นใจว่ามีพาหนะเป็นของตัวเอง ไม่ต้องถูกทิ้งอย่างเมื่อคืน

                อันที่จริงหอมนวลเพิ่งรู้ว่าเมื่อวานเธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่ถัดไปอีกร้อยเมตรมีโรงนอนสำหรับเวรยาม ซึ่งมีคนงานราวสิบคนพักอยู่เพื่อคอยเฝ้าพวกวัวในเวลากลางคืน ความไม่รู้ทำให้เธอคิดกลัวไปต่างๆ นานา แถมจินตนาการล้ำลึกไปถึงสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น สร้างความหวาดผวาให้ตัวเองจนสติแตกเกือบวิ่งไปให้รถชน ถ้าเขมราชไม่มีมนุษยธรรมเขาคงชนเธอจนร่างแหลกละเอียดตามที่ใจเขาต้องการไปแล้ว

                หอมนวลยังเชื่อว่า แม้เขาอยากให้เธอหายไปจากชีวิต แต่เขาคงไม่ถึงกับอยากให้เธอตาย  

                ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหอมนวลก็มาถึงสถานที่ทำงาน วันนี้ร่างกายเธอสมบูรณ์พร้อมกว่าเมื่อวาน ดังนั้นเธอจะตั้งใจทำงานเพื่อให้ลืมเรื่องที่รบกวนสมองไปเสีย

                “คุณณรงค์คะ วันนี้หอมพร้อมแล้วค่ะ เตรียมเครื่องรีดนมวัวไว้ได้เลย หอมจะแสดงฝีมือให้ดู” หอมนวลพูดเจื้อยแจ้วไม่ทันมองซ้ายขวา ด้วยกำลังหาที่จอดจักรยานเหมาะๆ อยู่ แถมยังมุ่งมั่นคิดวางแผนแอบชิมนมวัวจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง

                “ถ้าคิดแอบกินนมวัวฉันละก็ ฉันจะคิดค่าเสียหายให้หมดตัวเลย”

                โครม!

                เสียงที่ตอบกลับมาทำให้หอมนวลปล่อยรถจักรยานทิ้งทันที เธอตกใจเมื่อเห็นว่าเขมราชยืนอยู่ตรงหน้าแทนที่จะเป็นณรงค์ผู้ใจดี แต่การที่เขาโผล่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวยังไม่สร้างความตกใจให้เธอเท่ากับการปรากฏตัวของคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา

                “พี่ลูกจันทร์”

                หอมนวลรู้สึกได้ว่าเสียงเธอสั่น และเขมราชกับจันทร์นรีก็คงรู้สึกได้เช่นเดียวกัน

                “ตกใจอะไรเหรอหอม”

                น้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉยของพี่สาวที่เธอคุ้นเคยมาทั้งชีวิต พี่สาวที่ไม่ได้เป็นแค่พี่สำหรับเธอ แต่เสมือนเป็นเจ้าชีวิตของเธอด้วย แม้หอมนวลไม่อยากคิดเช่นนั้นเพราะนั่นอาจทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับจันทร์นรีสั่นคลอนได้ แต่นับจากวันที่ญาติผู้พี่ก้าวเท้าออกจากไร่จอมนรีไป หอมนวลเหมือนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากโซ่พันธนาการแห่งคำว่าบุญคุณ ไม่ต้องคอยฟังเสียงเรียกที่ทำให้วันๆ ไม่เป็นอันทำอะไร เพราะต้องคอยบริการพี่สาวแสนสวยผู้ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเอง

                แม้แต่ของใกล้มือ จันทร์นรียังไม่คิดเอื้อมคว้าให้เหนื่อย และเป็นหน้าที่ของน้องสาวที่ไม่ว่าจะอยู่ไกลจากตรงนั้นแค่ไหน หากได้ยินเสียงเรียกแล้วละก็...เธอต้องเดินมาหยิบให้ ไม่เช่นนั้นจันทร์นรีก็จะบ่นยาวซึ่งล้วนเป็นคำพูดไพเราะที่สุดแสนน่ารำคาญ

                ‘พี่เสียใจนะที่หอมไม่สนใจพี่เหมือนเมื่อก่อน เรามีกันอยู่แค่สองคน ตอนที่เธอยังเล็กพี่ลำบากมากนะที่ต้องดูแลเธอ ทั้งป้อนข้าวอาบน้ำ ลำบากแทบแย่ แต่หอมโตมา หอมกลับไม่นึกถึงความลำบากของพี่เลย’

                บางครั้งหอมนวลก็คล้อยตาม และคิดเสมอว่าจันทร์นรีเป็นผู้มีบุญคุณ แต่หลายครั้งเธอก็รู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายจนอยากจะทิ้งบุญคุณนั้นไปเสียจากชีวิต

                แต่ถ้าถามว่ารักจันทร์นรีไหม หอมนวลตอบได้ว่า ‘รัก’ เพราะหากไม่รักแล้วละก็ เธอจะไม่มีวันยอมทำตามคำสั่งของพี่สาวคนนี้แม้แต่นิดเดียว แต่วันนั้นคงมาถึงหากจันทร์นรียังไม่เลิกพฤติกรรมหลอกลวงเช่นที่กำลังทำอยู่ และถ้าเธอหยุดรักเมื่อไร เธอก็จะไม่ยอมก้มหัวให้อีกเลย

                ภายใต้เปลือกของผู้รับฟังและปฏิบัติตาม หอมนวลมีเลือดทะนงมากเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

            “เปล่าค่ะ” หญิงสาวเค้นคำตอบออกไปอย่างยากเย็น มันตีบตันอยู่ข้างใน ยิ่งได้เห็นมือบอบบางของจันทร์นรีวางอยู่บนแขนของเขมราช เธอก็ยิ่งพูดไม่ออก

                ส่วนเขมราชนั้นอารมณ์ไม่ปกตินัก เพราะตอนที่จันทร์นรีโทร. ให้เขาไปรับ เธอร้องไห้ตลอดเวลา ครั้นพอไปถึง อดีตคนรักก็เอาแต่กล่าววกไปวนมาอยู่แต่ประโยคเดิมๆ

                ‘ลูกจันทร์แค่อยากไปจากที่นี่ค่ะ สักชั่วโมงก็ยังดี คุณเขมพาลูกจันทร์ไปไหนก็ได้ นะคะ’

                กระทั่งเวลานี้จันทร์นรีก็ยังมีสีหน้าเศร้าสร้อยไม่เปลี่ยนแปลง เขาสงสารจันทร์นรีและพานโกรธหอมนวลไปด้วย ผู้หญิงที่ถูกแย่งคนรักจะมีความรู้สึกอื่นใดไปได้ นอกจากความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

                “ลูกจันทร์นั่งรอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมสั่งงานลูกน้องเสร็จ เราไปทานอาหารร้านเดิมกัน”

                เขมราชไม่มองหน้าหอมนวลแม้แต่นิดเดียว เขาเดินดุ่มๆ ไปยังกลุ่มคนงานที่ยืนอยู่เป็นกลุ่ม คนถูกเมินมองตามด้วยความน้อยใจ ในเวลาปกติเขมราชมักหาเรื่องต่อว่าเธอสารพัดให้สาสมกับความโกรธเกลียดที่เขามี แต่เวลานี้เขากลับทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ ไม่พูด ไม่ทัก ไม่มองหน้า

                เขาคงห่วงความรู้สึกของจันทร์นรีมากเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา และคงเป็นตลอดไป

                เมื่ออยู่กันตามลำพัง หอมนวลได้มีโอกาสพินิจพี่สาวที่ไม่ได้พบกันเกือบสามปี จันทร์นรีดูอวบขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ใบหน้ากลับหมองคล้ำไร้ชีวิตชีวา

                “เธอสบายดีนะหอม” จันทร์นรีเอ่ยถามก่อน “สวยจนพี่แทบจำไม่ได้”

                “หอมสบายดีค่ะ”

                จันทร์นรีพยักหน้าน้อยๆ กับคำตอบนั้น

                คนที่แปลกใจจึงเป็นหอมนวล เธอคิดว่าพี่สาวของเธอจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่กลับเอาแต่นิ่งเงียบ ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้ดูน่าสงสารเป็นที่สุด และนั่นทำให้ความไม่พอใจเนื่องจากคำพูดหลอกลวงของพี่สาวที่กล่าวต่อเขมราชวันนั้นลดน้อยลง บวกกับเธอจำนนต่อความจริงที่ว่า ‘เขมราชรักจันทร์นรี’ ทำให้หญิงสาวตัดสินใจพูดสิ่งที่สวนทางกับความต้องการ

                “ถ้าพี่ลูกจันทร์เครียดเรื่องคุณเขม ก็วางใจเถอะค่ะ ถึงอย่างไรเขาก็รักพี่ หอมจะคุยกับป้ามณีว่าเราจะหย่ากันโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่หอมเรียนจบ”

                “ป้ามณีไม่มีวันยอม หอมก็รู้ว่าป้ามณีเขาห่วงเรื่องอะไร”

                “ห่วงเรื่องอะไรคะ ถ้าเรื่องชื่อเสียงหอมคิดว่าไม่สำคัญ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าพ่อเลี้ยงเขมมีภรรยาแล้ว นอกจากคนงานในไร่ ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอะไร”

                จันทร์นรียิ้มเยาะให้แก่ชะตากรรมของตนเอง ลำพังแค่ความรัก เธอคงไม่ต้องกลายเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่กลับมาทวงของรักเก่าคืนจากน้องสาวที่เคยคิดว่าต่ำต้อยกว่าเธอทุกอย่าง แต่เพราะเธอต้องการหาพ่อให้ลูกในท้อง และเขมราชคือตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอจึงตั้งใจกลับมาหาเขาและหวังว่าจะได้แต่งงานทันที

                แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่วาดหวังจะกลายเป็นสามีของหอมนวล เพชรที่เธอพยายามกลบด้วยดินโคลนเศษซากอาจมกลับจรัสแสงขึ้นมาจนรัศมีส่องสว่างทัดเทียมกับเธอ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

                “มันไม่ทันหรอกหอม”

                “ไม่ทันยังไงคะ” หอมนวลนิ่วหน้า ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรเข้าข่ายคำว่าไม่ทันได้

                จันทร์นรีเมินหน้าหนี ไม่อยากให้หอมนวลเห็นแววตาหวั่นวิตก ‘ไม่ทันเพราะท้องมันโตขึ้นทุกวันน่ะสิ’  

                “อีกไม่กี่เดือนจะถึงกำหนดที่หอมจะได้เป็นประธานโรงแรมเคนโนซ่า ป้ามณีเชื่อว่าถ้าเธอกลับไปก็ไม่ต่างจากเอาชีวิตไปทิ้ง เพราะคนที่เสียผลประโยชน์คงไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เว้นเสียแต่ว่ามีบารมีของคุณเขมช่วยหนุน”

                หอมนวลตกตะลึงในคำบอกเล่าของพี่สาว จริงอยู่ว่าเธอรับรู้เรื่องพินัยกรรมมาตลอด เพราะแม่เลี้ยงมณีแดงพูดกรอกหนูเธออยู่ทุกวี่วัน แต่เธอไม่คิดว่าแม่เลี้ยงมณีแดงจะคิดหาวิธีปกป้องเธอด้วยการใช้เขมราชเป็นเกราะ แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วยที่จะเอาเปรียบคนอื่นเช่นนั้น

                ดังนั้นแล้วเธอจะต้องหย่าให้เร็วที่สุด ส่วนวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่โชคชะตานำพาไป แม้วันเปิดพินัยกรรมใกล้เข้ามาเต็มที แต่หอมนวลยังไม่อยากนึกถึงให้ปวดหัว เธอรู้ว่าต้องสืบทอดกิจการอันเป็นมรดกโดยชอบธรรม ไม่มีทางเลี่ยงได้ แต่ถ้าวันนั้นยังมาไม่ถึง วันนี้เธอจึงควรทำทุกอย่างบนความถูกต้อง

                “ถ้าหอมรู้ว่าป้ามณีคิดแบบนี้ หอมจะไม่มีวันยอมรับสัญญาบ้าๆ นั่นเด็ดขาด เย็นนี้หอมจะไปคุย ไปขอยกเลิกสัญญา”

                “ไม่ต้อง ถ้าเธอพูด ฉันคงถูกป้ามณีเฆี่ยนจนตาย”

                “เฆี่ยนเรื่องอะไรครับ”

                เขมราชมาทันได้ยินคำพูดของจันทร์นรีพอดี

                อยากจะเอาหัวโหม่งโลกตาย เหตุการณ์คงประจวบเหมาะให้เขาเข้าใจเธอผิดอีกตามเคย

                “เธอจะไปฟ้องอะไรป้ามณี”

                นั่นปะไร! คนถูกกล่าวหาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของเขมราชนอกจากอยากร้องไห้

                เมื่อไม่มีใครพูดอะไร พ่อเลี้ยงหนุ่มจึงเหมาเอาว่าตนเข้าใจถูก ชายหนุ่มคว้ามืออดีตคนรักมากุมไว้ พร้อมกับประกาศคำพูดที่ไม่ใช่แค่หอมนวลเท่านั้นที่ได้ยิน

                “ไม่มีใครทำอะไรลูกจันทร์ได้ ถ้าใครคิดจะทำ ก็ลองดู” น้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนแม่น้ำลึกทว่าน่ากลัวจนคนฟังขนลุกเกรียว

                หอมนวลพยักหน้ารับรู้ช้าๆ แต่แท้จริงแล้วเธอกำลังทบทวน ระหว่างเธอกับเขมราชคงจบลงด้วยความเกลียดชัง ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม

                “ช่างเถอะค่ะ คุณเขมทำธุระเสร็จแล้วเหรอคะ” จันทร์นรีวิตกกังวลเรื่องของตัวเองจนไม่ทันสังเกตใบหน้าเศร้าสลดของน้องสาว

                หอมนวลไม่อยากรับรู้การสนทนาของคนทั้งคู่ เธอฟังถ้อยคำที่เจือไปด้วยความอาทรของเขมราชด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ควรจะชินมากกว่า เพราะในอดีตเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้ คอยแอบฟัง แอบมอง และซึมซับความอบอุ่นของเขาอยู่เสมอมา แม้เขาไม่เอ่ยกับเธอ แต่เธอก็มีความสุข

                เขมราชกับจันทร์นรีเดินจากไปแล้ว แต่หอมนวลยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะยังเรียกสติกลับคืนมาไม่ได้ คงเหลือแต่ความรู้สึกภายในใจที่ไม่ยักหลุดลอยตามไปด้วย เธอยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าใครจะมองเธอหรือไม่อย่างไร ในเมื่อเขาแสดงออกชัดเจนเพียงนี้แล้ว นายหญิงจอมปลอมแห่งฟาร์มแสงอรุณก็คงต้องฝึกความหน้าทนให้มาก จนกว่าสถานะจะสิ้นสุดลงด้วยการจดทะเบียนหย่า

 

                จักรยานคันเก่าเคลื่อนตัวช้าๆ มาจอดหน้าเรือนจอมนรี แสงระวีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายที่ตนถวายตัวเป็นข้ารับใช้ ไม่ใช่เพราะบุญคุณล้นฟ้าแต่อย่างใด แต่การเป็นเบ๊ให้คุณคนน้องก็ดีกว่าเป็นทาสรับใช้ให้คุณคนพี่  

                “คุณหอม” เสียงลากยาวดังมาก่อนตามด้วยร่างเตี้ยป้อมที่ปรี่เข้ามาประชิดตัว

                “โอ๊ย! แสง อีกนิดนึงจะสิงฉันอยู่แล้วนะ”

                “คุณหอม แสงไม่ใช่ผีนะคะ ที่จะสิงใครต่อใครได้”

                หอมนวลหัวเราะคิกคัก ทั้งที่เครียดจนอกแทบระเบิด

                “แล้วนี่ นายหญิงฟาร์มแสงอรุณต้องปั่นจักรยานคันเก่าๆ แบบนี้ด้วยเหรอคะ คุณหอมคงจะช่วยพ่อเลี้ยงเขมประหยัดสินะ คงหวังให้เขาเห็นความดีจะได้ยิ่งรักยิ่งหลง คิกๆ” แสงระวีไม่ได้ประชด แต่จำจากละครโทรทัศน์มาพูด

                “แสง ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าดูละครเยอะ”

                ประหยัดอะไรกันล่ะ โชคดีต่างหากที่ยังมีจักรยานให้ได้ไปไหนมาไหน แต่ป่วยการจะพูดให้แสงระวีเข้าใจ เพราะต่อให้มีเวลาถึงเช้าก็คงไม่ทำให้หญิงสาวขี้สงสัยเข้าใจได้ทั้งหมด

                “ป้ามณีอยู่ไหน”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น