19

ตอนที่ 19


การเข้าค่ายในครั้งนี้มีระยะเวลาสองคืนสามวัน เหล่าอาสาสมัครเริ่มทยอยเข้าไปฟื้นฟูโรงเรียนประจำตำบลก่อนเป็นอันดับแรก ภายในโรงเรียนมีอาคารเรียนชั้นเดียวยกพื้นสูงอยู่สองหลัง ทำให้ระดับน้ำท่วมถึงแค่ตีนบันได

                ประธานชมรมพูดคุยทำข้อตกลงก่อนแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าได้ทันเวลา ชาวบ้านหลายคนที่ว่างจากการฟื้นฟูบ้านของตนเองก็มาช่วยด้วยอีกแรง ทำให้บรรยากาศดูคึกคักเป็นพิเศษ

                หอมนวลกับเพื่อนๆ รับผิดชอบทาสีกำแพง แต่ต้องล้างทำความสะอาดเสียก่อนจึงจะเริ่มลงสีได้ หญิงสาวหยิบแปรงมาขัดกำแพงอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่อยากเอาเวลาไปสนใจเรื่องอื่นที่ทำให้ไม่สบายใจเปล่าๆ

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ท้องร้องประท้วงเพราะความหิว ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู ก็พบว่าถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี

                เที่ยงแล้ว

                หญิงสาวถอนหายใจออกมาถึงสองครั้ง แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็นเข้าจนได้ เขมราชกับณัฐวรากำลังช่วยกันทำความสะอาดลานบาสเกตบอลอย่างสนุกสนาน ดูจากรอยยิ้มบนหน้าหล่อๆ นั่นปะไร บานยิ่งกว่าจานดาวเทียม

                “หอม”

                “คุณน้าแพรว” หอมนวลทิ้งแปรงลงกับพื้นทันทีเมื่อเห็นว่าน้าสาวเดินมาหาพร้อมกับคนงานในไร่จอมนรี แต่ละคนถือหม้อมาคนละใบสองใบ หญิงสาวเดาได้ทันทีว่าอาหารมื้อกลางวันนี้แม่เลี้ยงมณีแดงคงอาสาเป็นเจ้าภาพอีกเช่นเคย

                เขมราชละความสนใจจากณัฐวราเมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นของหอมนวล เขามองร่างเล็กๆ วิ่งถลาไปหาหญิงแปลกหน้าด้วยความประหลาดใจ

                “วันนี้น้าอาสามาแทนแม่เลี้ยง มีหมูหวานของโปรดหอมด้วยนะ”

                “กำลังหิวเลยค่ะ”

                “ไปล้างมือก่อนสิ แล้วเรียกเพื่อนมาด้วย”

                หอมนวลพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ปะทะเข้ากับใครบางคนที่มายืนซ้อนหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                “อุ๊ย!” ร่างบางเซถลาทำท่าจะล้ม ทว่าเขมราชคว้าตัวเธอไว้ได้ก่อน หอมนวลตกตะลึงอยู่ในอ้อมแขนเขาอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อเสียงดุๆ ปลุกให้ตื่นจากภวังค์

                “ระวังหน่อย ยายตะกละ”

                คำเรียกขานนั่นทำให้หอมนวลอยากซัดหน้าคนพูดให้หงายหลังไปเลยเสียตอนนั้น

                “ขอโทษค่ะ แล้วคุณเขมมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”

                ทำไมไม่ไปอยู่กับอาจารย์คนสวย เธอต่อในใจ ก่อนตั้งท่าจะเดินหลบไปอีกทาง แต่กลับถูกคนมือไวรั้งแขนเอาไว้ก่อน

                “ไม่คิดจะมีมารยาทแนะนำฉันกับ...คุณน้าให้รู้จักกันหน่อยหรือไง”

                หอมนวลอึกอัก ใช่ว่าเธอมีปัญหาในการแนะนำเขมราชกับแพรวพรรณให้รู้จักกัน แต่เธอไม่เห็นถึงความจำเป็นที่เขาต้องอยากจะรู้จักกับญาติโกโหติกาของเธอ แต่เพราะเบื่อจะต่อความให้ยืดยาวจึงยอมทำตามความต้องการนั้นแต่โดยดี

                “นี่คุณน้าแพรว น้องสาวของแม่หอมค่ะ ส่วนนี่ก็คุณเขม...พ่อเลี้ยงฟาร์มแสงอรุณค่ะ”

                “สวัสดีครับ ผมเป็นสามีของหอม”

                หอมนวลถึงกับตกใจกับการแนะนำตัวของเขา เธอควรจะดีใจหรือสงสัยกันแน่ที่เขมราชยังเที่ยวประกาศกับใครๆ ว่าเป็นสามีเธอ

            พิลึกคนจริงๆ

                “ค่ะ น้าทราบค่ะคุณเขม ยินดีที่ได้พบกันอย่างเป็นทางการนะคะ” แพรวพรรณยิ้มบางๆ ให้แก่ชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นหลานเขย แต่แววตากลับไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก

                เขมราชเข้าใจว่าหญิงผู้นี้คงทราบเรื่องราวทุกอย่างจากหอมนวลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                เขมราชมองตามหอมนวลที่ปรี่ไปเรียกเพื่อนๆ ให้เตรียมรับประทานอาหารกลางวันอย่างไม่พอใจ เพราะหอมนวลเมินเฉยเขามาตั้งแต่เช้า และหนนี้ยังจะทำเหมือนไม่สนใจเขาอีก ยิ่งเห็นสาวร่างบางยิ้มหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้เขาขุ่นเคืองใจ พานหงุดหงิดไปหมดทุกอย่าง และคนที่มารับเคราะห์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

                “ไอ้เขม ไปสิวะ หิวแล้ว” ภาคินัยตบบ่าเพื่อน โดยไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามาอยู่ในรัศมีของระเบิดปรมาณูแล้ว

                “แกก็เดินไปสิ ขาไม่มีหรือไงถึงต้องมารอ แล้วอย่ามัวหลีสาวๆ นักศึกษาให้มาก ฉันเห็นแล้วมันขัดลูกตา” เขมราชกล่าวน้ำเสียงไม่พอใจ 

                “เอ้า...ไอ้นี่ ตัวเองมีเมียแล้วจีบไม่ได้ก็อย่าพาลสิวะ”

                “ยายแม่มดนั่นไม่ใช่เมียฉัน”

                “ไม่ใช่เมียอะไร เมื่อกี้แกยังป่าวประกาศว่าเป็นผัวเขาอยู่เลย”

                คำพูดของภาคินัยไม่ต่างจากการหยิบมีดมาปักอก แทงใจคนฟังจนถึงกับพูดไม่ออก เขมราชทำอะไรไม่ได้นอกจากฟึดฟัดแล้วเดินหนีไป ทิ้งให้ภาคินัยยืนหัวเราะสะใจอยู่คนเดียว

 

                แม้จะหิวจนไส้กิ่วและอาหารก็รสชาติเดิมที่เคยถูกปากมาตั้งแต่เด็ก แต่มื้อกลางวันในวันนั้นกลับจืดสนิท ขนาดที่เติมน้ำปลาเป็นถ้วยก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น เพราะภาพความสนิทสนมของเขมราชกับณัฐวราที่นั่งอยู่โต๊ะตัวถัดไปเป็นเสมือนของมีคม บาดทั้งตาบาดทั้งใจจนเธอกินอะไรไม่ลง

                ถึงกระนั้นเธอก็ยังมอง มองให้มันชาชิน จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับมันอีก

                “อิ่มแล้วเหรอ” ปารณีย์ถามเมื่อเห็นว่าหอมนวลกินข้าวไปได้ไม่กี่คำก็วางช้อน

                คำถามของเพื่อนทำให้ตัวต้นเหตุกระตุกยิ้ม หอมนวลไม่อยากคิดเลยว่าเขายิ้มเยาะเธอ แต่มันก็พอดิบพอดีจนคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย ไหนจะสายตาที่มองมานั่นอีก

                “คนเรานี่ก็แปลกเนอะ” สุชาติพูดน้ำเสียงเบากว่าปกติจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ “นั่งฉอเลาะกับผัวชาวบ้าน ทั้งที่เมียเขานั่งหัวโด่อยู่นี่”

                “เฮ้ย! อย่าพูดอย่างนั้น นั่นอาจารย์นะ อยากนรกกินกบาลหรือไง” หอมนวลดุกลับไปเสียงเบาไม่ต่างกัน ถึงแม้ณัฐวราจะเป็นอาจารย์ใหม่ และเธอก็ไม่เคยเรียนด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเคารพในฐานะที่เป็นผู้ให้การศึกษา

                “เออ...รู้ แต่มันอดหมั่นไส้ไม่ได้นี่หว่า นอกจากแกแล้ว ฉันไม่คิดจะยกคุณเขมให้ผู้หญิงคนไหนนะ” สุชาติพูดน้ำเสียงสะดีดสะดิ้ง จนหอมนวลหัวเราะกับความมโนขั้นสูงสุดของเพื่อนรัก

                เขมราชถึงกับต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นว่าคนโต๊ะตรงข้ามไม่ได้เศร้าโศกอย่างที่คิด แต่กลับหัวเราะมีความสุขราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรที่เขาสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น ชายหนุ่มหยิบน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้วหวังดับโมโห ทำเอาภาคินัยที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มองอย่างงุนงง

                ส่วนณัฐวราสังเกตอาการแปลกๆ ของเขมราชมาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจอะไรๆ ดีขึ้น แต่ก็เลือกที่จะเก็บงำไว้ไม่พูดออกมา ลึกๆ เธอก็ยังมีความหวัง แม้ว่ามันจะริบหรี่มากก็ตาม

                หลังจากทำงานเหนื่อยกันทั้งวัน เหล่านักอาสาก็พากันนั่งพักตามร่มไม้ บางส่วนเดินอ้อมไปหลังโรงเรียนเพื่อชื่นชมความงามของต้นไม้นานาพรรณ สุดเขตของโรงเรียนเป็นเนินหน้าผาที่ไม่ได้สูงชันมากนัก ทั้งหอมนวล สุชาติ และปารณีย์เดินลัดเลาะไปตามแนวผาจนกระทั่งพบกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังมุงดูอะไรบางอย่างจึงพากันเข้าไปร่วมวงด้วยความสนอกสนใจ

                “ดูอะไรกันอยู่ยะ” สุชาติถามขึ้น

                ใครบางคนในกลุ่มเพื่อนชี้ลงไปที่ด้านล่าง เป็นลูกสุนัขอายุไม่ถึงสองเดือนที่คงตกจากหน้าผาและตัวไปติดอยู่กับโคนต้นไม้ มันตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

                “เดี๋ยวฉันจะค่อยๆ ลงไปเอาตัวมันมาเอง” พีระพงษ์ ผู้มาดแมนอาสา ซึ่งทุกคนต่างพากันปรบมือชื่นชมในความกล้าหาญนั้น

                “ไม่ได้นะพี ถ้าตัวเองพลาดตกลงไปจะทำยังไง เค้าไม่ยอม” ณีราผู้เป็นแฟนสาวรีบเกาะแขนไว้พร้อมกับส่ายหน้าจนผมกระจาย

                “ไม่เป็นไรหรอกณี” พีระพงษ์ส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มให้คนรักด้วยความซาบซึ้งใจในความห่วงใยที่เธอมีให้ “เค้าจะช่วยมันเพื่อตัวเองนะ”

                “เค้าไม่ได้ต้องการให้ตัวเองเป็นฮีโรนี่ สิ่งที่เค้าต้องการคือการที่ตัวเองเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีชีวิตอย่างปลอดภัยต่างหาก จะได้อยู่กับเค้าไปนานๆ ไง”

                ณีราออดอ้อนอย่างน่าหมั่นไส้ หอมนวลลุ้นให้ฝ่ายชายรีบตอบให้เด็ดขาดว่าจะลงไปช่วย เธอสงสารลูกสุนัขจนแทบจะทนรอไม่ได้ แต่สิ่งที่เพื่อนชายตอบกลับไปคือ...

                “โธ่...ณี”

                หอมนวลแทบจะกลั้นหายใจกับการสนทนาอันหวานหยาดเยิ้มและสุดแสนจะยืดเยื้อของคนรักทั้งสอง เธอเป็นห่วงลูกสุนัขตัวน้อยจนอยากจะลงไปเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสรีระที่ด้อยกว่าผู้ชาย ถึงแม้จะลงไปได้ แต่ก็คงอุ้มลูกสุนัขปีนกลับขึ้นมาด้วยไม่ได้อยู่ดี

                ไปสักทีสิไอ้พี...   

                “ว้ายยย!”

                หอมนวลตกใจสุดขีด ขณะที่กำลังลุ้นให้พีระพงษ์ลงไปช่วยลูกสุนัขอยู่นั้น กลับมีใครบางคนผลักเธออย่างแรงจนพลัดตกจากหน้าผา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตกตะลึง

                เขมราชได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบเข้ามาดู และหัวใจถึงกับร่วงไปอยู่ที่พื้น ชาไปทั้งตัว เมื่อเห็นหอมนวลกลิ้งหลายตลบไปกระแทกกับโคนต้นไม้ด้านล่างที่อยู่ลึกลงไปกว่าที่ลูกสุนัขติดอยู่หลายเมตร

                 “หอม!” 

 

                เขมราชส่งตัวหอมนวลให้ภาคินัยอย่างทุลักทุเล มองร่างบางในอ้อมแขนของเพื่อนอีกครั้งให้มั่นใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ก่อนจะหาทางปีนกลับขึ้นไป

                เหล่านักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์หน้าซีดไปตามๆ กันเพราะคิดว่าหอมนวลคงไม่รอดแน่ อย่างน้อยก็คงต้องหลังหักหรือไม่ก็กระดูกแตกกันไปบ้าง   

                “คุณเขม” หอมนวลเรียกเขมราชที่ยังหาทางปีนขึ้นมาไม่ได้

                “อะไร” ความวิตกกังวลในสีหน้าและแววตาของพ่อเลี้ยงหนุ่มยังไม่เจือจางลง แม้จะมั่นใจว่าหอมนวลไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ภาพที่เธอกลิ้งลงไปกระแทกกับต้นไม้ยังติดตาเขาไม่หาย หัวใจยังชาจนถึงตอนนี้

                หอมนวลพูดไม่ออกเมื่อน้ำเสียงนุ่มนวลและแววตาห่วงใยส่งมาถึงเธอ แววตาที่เธอไม่ได้รับมานานจนไม่คาดคิดว่าจะได้รับมันอีกในชีวิต

            เขาคงตกใจจนสมองเลอะเลือนไปแน่ๆ ถึงได้พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนขนาดนี้

                “ว่ายังไง” เขมราชถามซ้ำ “เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า รอแป๊บนึง เดี๋ยวฉันปีนขึ้นไป”      

                “คุณเขมเอาลูกสุนัขตัวนั้นขึ้นมาด้วยได้ไหมคะ”

                “นังหอม ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เดี๋ยวหมาตัวนั้นให้คนอื่นลงไปช่วยก็ได้” สุชาติตำหนิ ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนไม่ใช่หรอกหรือ ที่ทำให้ต้องพลัดตกลงไป ทำเอาตกใจแทบแย่

                ส่วนปารณีย์นั้นพูดไม่ออก เพราะยังไม่หายตัวสั่นจากการตกใจ เธอเกาะแขนสุชาติน้ำตาคลอ

                “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปช่วยเอง” เขมราชค่อยๆ ไต่ทางลาดชันกลับลงไปอีกครั้งและไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็กลับมาพร้อมกับเจ้าลูกสุนัขตัวปัญหา

                เมื่อขึ้นจากหน้าผามาได้ ชายหนุ่มก็รีบถลาไปรับตัวหอมนวลจากเพื่อนทันที แต่ภาคินัยเห็นว่าเขมราชคงหมดแรงไปแล้วจากการปีนหน้าผา เขาจึงเบี่ยงตัวหลบ “เฮ้ย...เดี๋ยวฉันอุ้มให้ ไปรอที่รถเลย”

                “ไม่เป็นไร” เขมราชปฏิเสธและพยายามดึงตัวหอมนวลกลับมา

                “นี่เขม...” ณัฐวราดึงพ่อเลี้ยงหนุ่มไว้ “ให้ภาคเขาอุ้มเถอะ เขมเพิ่งปีนขึ้นมาจากหน้าผานะ จะมีแรงได้ยังไง”

                “ไม่เป็นไรครับน้ำ ผมไหว”

                “แต่ว่า...”

                “เมียผม ผมจะอุ้มเอง” เขมราชเสียงแข็ง

                ไม่ใช่เพียงณัฐวราเท่านั้นที่ตกใจ แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน ภาคินัยรีบส่งตัวหอมนวลให้เขมราชทันทีโดยไม่ต้องให้เพื่อนเอ่ยเป็นครั้งที่สอง

                เขมราชรับตัวภรรยามาแล้วรีบตรงรี่ไปที่รถ เขาเครียดจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ นึกโมโหหญิงสาวที่ไม่ระวังตัวปล่อยให้ตัวเองได้รับอันตรายถึงเพียงนี้ และถ้าเคราะห์ร้ายเป็นอะไรไปเขาจะทำอย่างไร

 

                แพรวพรรณกำลังจัดเก็บสำรับอาหาร เมื่อเห็นว่าหลานสาวถูกอุ้มมาแต่ไกลและท่าทางเขมราชก็ดูตื่นตระหนก แถมยังมีคนอื่นๆ เดินตามเป็นโขยง สีหน้าวิตกกังวลไปตามๆ กัน เธอรู้ในทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับหอมนวลเป็นแน่

                “คุณเขมคะ ยายหอมเป็นอะไรคะ”

                “ตกหน้าผาน่ะครับ”

                “อะไรนะคะ! ตกหน้าผา ตกไปได้ยังไงคะ” แพรวพรรณหน้าซีดเผือด

                หอมนวลได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

                “เชิญคุณน้าไปโรงพยาบาลด้วยกันนะครับ ขึ้นรถแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ไอ้ภาคเอารถออก”

                เขมราชสั่งเพื่อนแล้วพาหอมนวลไปนั่งเบาะหลัง แพรวพรรณขึ้นไปนั่งคู่กับภาคินัยอย่างรวดเร็ว   

                “เจ็บตรงไหนหอม เธอบอกฉันสิ” เขมราชพูดกับคนที่นอนหนุนตักเขาอยู่ แต่ดวงตากลมจ้องมองกลับมาเหมือนเพ้อพกมากกว่าเจ็บปวดจากบาดแผลตามตัว

                “หอมเจ็บหลังค่ะ แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก”

                “แล้วแขนขาล่ะ ฉันกลัวว่าเธอจะกระดูกหัก หรือว่าเธอมีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่า ให้ฉันดูหน่อย” เขมราชสำรวจรอยขีดข่วนตามเนื้อตัวของหญิงสาว พบว่าตรงบริเวณข้อมือถึงข้อศอกมีรอยแผลเป็นทางยาวและเลือดไหลซิบๆ ส่วนบริเวณข้อเท้าชายหนุ่มไม่กล้าจับ เพราะรู้สึกว่ามันบิดเล็กน้อยเหมือนว่ากระดูกหัก “อดทนไว้นะ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาล”

                หอมนวลพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ ไม่อยากยอมรับเลยว่าเธอชอบเขมราชเวลานี้มากที่สุด ทั้งๆ ที่เขาอาจแค่ห่วงเธอในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความห่วงใยที่คนอย่างเขามีให้แก่ทุกคนเป็นนิสัยปกติอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ชอบ...ถ้าเป็นไปได้เธอจะยอมเจ็บแบบนี้อีกสักร้อยหน เขาจะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นเขมราชคนที่ใจร้าย ปากร้าย และชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น