บทที่ 6

6

                “คุณเสือ!”

                ธนูผงะถอยหลังไปสองก้าว แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองตอนที่เปิดประตูห้องทำงานของเจ้านาย แล้วเจอเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวธนูก็เผลอยกมือขยี้ตาไปแล้ว

                “วันนี้มาทำงานสายนะคุณเลขาฯ โบนัสที่ให้คงมากเกินไปสินะ” อชิระแกล้งว่า ดวงตายังคงกวาดไปตามข้อความที่อ่าน

                “ผมน่าจะต้องเป็นฝ่ายถามเจ้านายมากกว่า มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ”

                “ถ้าเอาแบบด่วนจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ฉันคุยกับแกนั่นแหละ” อชิระเงยหน้ามองเลขาฯ คู่ใจ

                หัวคิ้วธนูขมวดอย่างครุ่นคิด นึกทวนว่าล่าสุดเขาคุยอะไรกับเจ้านายบ้าง แล้วธนูก็ขยับเข้ามายืนชิดโต๊ะทำงาน จ้องหน้าอชิระราวกับจะค้นหาเบาะแสอะไรบางอย่าง

                “จะจ้องอีกนานไหม” คนถูกจ้องถามอย่างรำคาญ

                “ก็จำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับคุณเสือบ้าง”

                “งั้นเอาเรื่องด่วนตอนนี้เลยแล้วกัน แกจะลาออกเอง หรือจะให้ฉันไล่ออก”

                “หูย...เก็บนูไว้ดูเล่นก่อนเถอะครับคุณเสือ เราคุยกันตั้งหลายเรื่อง นูก็ต้องนึกนานหน่อย”

                “แกควรลาออกไปรักษาอาการสมองเสื่อมจริงๆ นะไอ้นู เรื่องโรงแรมวิรงรองคืบหน้าถึงไหนแล้ว”

                ธนูร้องอ๋อในใจ มองเจ้านายอย่างสงสัย ปากก็ไวทันความคิด “จะเอาจริงใช่ไหมครับ”

                “เอาแล้ว เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ เอาจริงๆ”

                “เจ้านาย...ทำตัวมีพิรุธนะครับเนี่ย” 

                “แกอย่าโยกโย้โอ้เอ้ ตอบคำถามฉันมาได้แล้ว”

                ธนูยังติดใจ เจ้านายทำตัวน่าสงสัยใช่เล่น ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝงก็คงไม่ใช่คุณเสือ คุณเลขาฯ แกล้งลองเลียบๆ เคียงๆ ถาม “พอจะบอกได้ไหมครับ อะไรทำให้คุณเสือเปลี่ยนใจ”

                “ลูกสาวคุณวิ”

                นั่นปะไร ว่าแล้วไหมล่ะ

                “คนนี้แม่เขาหวงมากนะครับ ผมไปประชุมตั้งหลายรอบยังไม่เคยได้คุยกันแบบจังๆ เลย”

                “ก็นั่นมันแก และตอนนี้คุณวิก็ไม่อยู่หวงแล้ว ฉันจะรู้จักลูกสาวเขาแล้วมันผิดตรงไหน”

                “ไม่ผิดหรอกครับ งั้นขอถามอีกข้อเดียว ซื้อทำไมครับ”

          “ก็...”

                อชิระเอ่ยค้างพลางมองเลขาฯ เห็นสายตาของธนูแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่กลุ้มใจ เพราะทำงานด้วยกันมานาน รู้อกรู้ใจและรู้ทันกันทุกเรื่อง จะโกหกไอ้หมอนี่ก็เหมือนโกหกตัวเอง แต่ถ้าจะบอกความจริงว่าจ่ายเป็นค่าตัวให้วสุวีก็เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดีไม่ดีเรื่องลอยไปเข้าหูพี่สาวเขาเข้า คราวนี้ละบันเทิง ไม่ใช่ธนูมีนิสัยชอบนินทาเจ้านายหรอกนะ แต่อชิรญาณ์น่ะหูตาไวยิ่งกว่าหน่วยล่าสังหารซะอีก

                “ฉันสงสารเด็กน่ะ ถ้าหาที่พึ่งอื่นได้คงไม่มาคะยั้นคะยอเราอยู่อย่างนี้” อชิระรู้ว่าควรพูดความจริงแค่ไหนให้ไม่เดือดร้อน ชายหนุ่มหลุบตาลงทำเหมือนว่าอ่านเอกสารต่อ

                “เด็กเหรอครับ” ธนูทำหน้าไม่เห็นด้วย “ถ้าหมายถึงลูกสาวคุณวิ ผมว่าไม่น่าเด็กแล้วนะคุณเสือ เขาเรียนจบแล้ว กำลังจะทำหน้าที่แทนคุณแม่ด้วย”

                “แกจะไปรู้อะไร นั่นน่ะเด็กน้อยเชียวละ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อ่อนหัดขนาดนั้นจะยืนหยัดต่อสู้ตามลำพังได้ยังไง” แววตาอชิระอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่เอ่ยถึงก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู คิดถึงสีหน้าแดงจัดไร้เดียงสาของวสุวีแล้ว ความคิดของเขาก็เถลไถลไปเรื่องอื่นจนต้องรีบดึงสติตัวเองกลับมาบอกธนูสั้นๆ ว่า “ยังต้องสอนงานกันอีกเยอะ”

                “นี่สนิทถึงขั้นสอนงานกันแล้ว?” ธนูมองเจ้านายอย่างคาดไม่ถึง

                “แกเลิกใช้สายตาแบบนี้จ้องหน้าฉัน เหมือนว่าฉันเพิ่งไปพรากผู้เยาว์มาสักที” อชิระต่อว่าเสียงขุ่น

                เขาพรากหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้วต่างหาก!

                “แหม เจ้านาย...จะให้ผมใช้สายตาแบบไหนได้อีกล่ะ ใจถึงจังเลยน้า...เพิ่งเจอกันก็จะซื้อโรงแรมเอาใจเขาแล้ว”

                คนใจถึงชักกลุ้ม เพราะแบบนี้เขาถึงให้ธนูรู้มากไม่ได้ ขนาดไม่บอกมันยังเดาแม่นอย่างกับตาเห็น ตกลงว่าเป็นเลขาฯ หรือว่าหมอดูกันแน่

                “ใช่ที่ไหนล่ะ” อชิระปฏิเสธเสียงอ่อนแล้วเริ่มแจกแจงเหตุผลที่เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ “ฉันน่ะจำเป็นต้องปกป้องชื่อเสียงของตัวเองบ้าง”

                “ยังไงครับ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะแคร์ ใครจะแซะ ใครจะว่าคุณเสือไม่สน แล้วจู่ๆ ก็เกิดห่วงชื่อเสียงตัวเองขึ้นมาซะงั้น มันไม่สมเหตุสมผลนะครับ”

                “แกลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงแรม ในเมื่อคุณวิไม่อยู่บริหารแถมยังทิ้งลูกสาวฝีมืออ่อนหัดไว้ให้เป็นภาระ”

                “คุณเสือพูดเหมือนอยากรับภาระงั้นแหละ”

                อชิระพยายามจะมองข้ามสายตารู้ทันนั้น

                “ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใคร หุ้นส่วนคนอื่นพอเห็นว่าโรงแรมมีปัญหาก็เอาแต่เงียบไม่มีปากเสียง ไม่คิดจะทำอะไร คนอย่างนายภพธรถึงได้รวบอำนาจไว้ในมือ ขืนฉันปล่อยให้เขาทำตามใจ อีกไม่นานโรงแรมก็คงจะกลายเป็นกาสิโน ฉันไม่ชอบการพนัน และถ้ามันมีปัญหาก็จะพาซวยถึงหุ้นส่วนอย่างฉัน เพราะฉะนั้นเราซื้อมาจัดการเองไม่ดีกว่าเหรอ”

                หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้า สรรหาเหตุผลที่พอฟังขึ้น อชิระก็เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มรู้ทันของเลขาฯ เขาก็ว่าเขาพูดแบบกลางๆ ระวังไม่ให้หลุดปากพูดอะไรที่ธนูจะจับพิรุธได้แล้วนะ

                “อะไร ทำไมต้องยิ้มแบบนั้น แกอยากพูดก็พูดมา”

                “เรื่องกาสิโนเนี่ยเป็นความลับระดับท็อปซีเครต ขนาดในห้องประชุมยังไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่โครงการน่ะมันมีแน่ๆ อาจจะแค่รอพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงแบ่งสมบัติกันให้จบเสียก่อน ถ้าคุณภพได้ขึ้นเป็นประธานบริหาร ผมมั่นใจว่าเขาผลักดันเรื่องนี้เต็มที่แน่”

                “แกเริ่มเห็นด้วยกับฉันแล้วใช่ไหมล่ะ เราแค่ลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มอีกนิดหน่อย จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องศีลธรรมและการพนัน”

                “เรื่องนั้นผมเข้าใจครับ แต่ติดใจไม่หายก็ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกสาวคุณวิ นี่ขนาดบอกว่าเพิ่งเจอกัน คุณเสือยังล้วงความลับเขามาได้มากมายอย่างนี้”

                “แกช่วยเบิกตาดูด้วยว่านี่ใคร” อชิระยักไหล่ ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยท่าทางกวนๆ

                “เห็นครับว่าเป็นคุณเสือ แล้วก็เป็นคุณเสือในโหมดที่ทำตัวลึกลับน่าสงสัยมากซะด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียวนะที่สงสัย ตอนคุณปลาโทร. มาถามผมเรื่องคุณเสือกับลูกสาวคุณวิว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ผมนี่งงไปหมดไม่รู้จะตอบยังไง แต่พอคุณเสือมาหงายการ์ดป๋า เอ็นดูเด็กอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เหมือนๆ ว่าจะมีเค้าอยู่นะครับ”

                “เค้าอะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย ทีหลังถ้าพี่ปลาถามอีก แกตอบไปเลยว่าอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน”

                “อุ๊ย! ถ้าจะให้พูดกับคุณปลาแบบนั้น คุณเสือไล่ผมออกตอนนี้เลยก็ได้ครับ” ธนูทำหน้าสยดสยอง

                อชิระยิ้มพลางปิดแฟ้มเอกสารเอาวางรวมกันกับพวกที่อยู่บนโต๊ะ “แกเลิกโม้ แล้วไปเตรียมเอกสารซื้อขายให้พร้อมภายในวันนี้”

                “แล้วคุณเสือจะไปไหนครับนั่น” ธนูรีบถามเมื่อเห็นเจ้านายลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์และกุญแจรถ

                “อ้าว ฉันก็จะไปแอบดูกิจการในอนาคตน่ะสิ”

                “แล้วกิจการปัจจุบันตรงหน้านี่ล่ะครับ” เลขาฯ ทำปากยื่นไปยังกองเอกสารที่วางรออยู่ ทว่าเจ้านายยักไหล่บอกง่ายๆ 

                “ฉันอ่านหมดแล้ว ที่ต้องเซ็นก็เซ็นแล้ว ทั่วไปก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ที่อยุธยานี่แกเน้นเข้มหน่อยก็ดี” ชายหนุ่มบอก ก่อนเดินผ่านคุณเลขาฯ แล้วเปิดประตูออกไป 

                ธนูยืนหน้าเหลอกับแฟ้มเอกสารกองพะเนิน เขารีบเดินไปเปิดดู อชิระไม่ได้พูดเล่น เจ้านายทำงานเสร็จเรียบร้อย พร้อมโน้ตข้อความจุดที่ต้องแก้ไข

                “เจ้านายเป็นยอดมนุษย์หรือไงวะเนี่ย”

                อชิระกลับมาเยือนโรงแรมวิรงรองอีกครั้ง ตลกดีตรงที่เมื่อก่อนไม่เคยนึกอยากจะมา ตอนนี้จะเรียกว่าเช้าถึงเย็นถึงก็คงได้ ชายหนุ่มสอบถามพนักงานจนได้ความว่าเด็กของเขากำลังคุยเรื่องปรับปรุงภูมิทัศน์สวนอยู่หลังโรงแรม เขาคิดว่าคงไม่นานจึงเดินไปนั่งรอที่ล็อบบี แต่รอแล้วรอเล่าไม่มีวี่แววว่าวสุวีจะกลับเข้ามา นานเข้าก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นแกล้งเดินเตร็ดเตร่ไปทางสวนที่ว่าจนเห็นเธอกำลังยืนคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง

                ท่าทางคุยกันถูกคอเสียด้วย รอยยิ้มเริงร่าท้าแดดของวสุวีทำให้อชิระยืนกอดอก ขมวดคิ้ว จ้องเขม็ง

                “แดดเปรี้ยงอย่างนี้ ทำไมไม่เข้ามาคุยในร่ม ไปยืนบ้าอะไรกันตรงนั้น”

                อชิระหน้าบึ้ง ไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนจะลืมตัวหลุดอุทานออกมา เมื่อเห็นวสุวีก้าวพลาดเหยียบก้อนกรวดที่ใช้ประดับตกแต่งจนทำให้เสียหลักเกือบล้มหงายหลัง โชคยังดีที่คู่สนทนาของเธอปฏิกิริยาว่องไวจึงช่วยรับไว้ทันท่วงที ทว่า...

                ความไม่พอใจโชนแสงวาบในดวงตา อชิระต้องสั่งขาตัวเองอย่างเข้มงวดให้หยุดยืนอยู่กับที่ มองดูวสุวีค่อยๆ ถูกไอ้หนุ่มนั่นช้อนหลังประคองเธอขึ้นยืนอย่างทะนุถนอมจนกระทั่งเธอยืนทรงตัวได้มั่นคงอีกครั้ง รอยยิ้มของเธอช่างเย็นฉ่ำชื่นใจดั่งสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ เป็นรางวัลล้ำค่าที่แนบมาพร้อมคำขอบคุณ

                ฮึ! ไอ้นักจัดสวนนั่นก็ไม่เบานะ พอสาวเจ้าส่งยิ้มให้หน่อยละตาเยิ้มเชียว ไอ้เวร!

                อชิระสูดลมหายใจเข้าปอดระงับโทสะที่พลุ่งพล่านอย่างหาสาเหตุไม่ได้ รู้แต่ว่าเขาไม่ชอบใจความใกล้ชิดนั้น มันขวางหูขวางตาน่าหงุดหงิดจนนึกอยากเข้าไปกระชากเธอออกมาแล้วตะบันหน้ามันที่บังอาจแตะต้องคนเลี้ยงเสือ

                เอาละ คิดว่างานแรกที่เขาจะทำหลังซื้อโรงแรมวิรงรองเรียบร้อย นั่นก็คือปรับเปลี่ยนโครงสร้างบุคลากร แน่นอนว่าแผนกแรกที่เขาจะใส่ใจเป็นพิเศษนั่นก็คือภูมิทัศน์!

                “คุณเสือ”

                อชิระเหวี่ยงสายตาขุ่นคลั่กไม่พอใจมาตามเสียงเรียก ก่อนจะปรับให้เป็นปกติ เมื่อหันมาพบกับรอยยิ้มหวานหยดของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว

                “สวัสดีค่ะ ฉัน...ภานิดา” เธอแนะนำตัวพลางยื่นมือออกมารอ อชิระจึงต้องจับมือกับเธอตามมารยาท สีหน้างุนงงของเขาทำให้เธอหัวเราะเบาๆ ดวงตาพร่างพราวสดใส “คุณคงไม่รู้จักฉัน เพราะทุกครั้งที่จัดประชุมผู้ถือหุ้นคุณก็ส่งตัวแทนมาตลอด”

                “เอ่อ...ผมค่อนข้างยุ่งน่ะครับ”

                “แล้ววันนี้ไม่ยุ่งเหรอคะ”

                อชิระขมวดคิ้วไม่ชอบใจ มันเรื่องอะไรของเธอถึงมาเจ้ากี้เจ้าการ เขายิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่

                “ก็พอมีเวลา แล้วบังเอิญผ่านมา เลยแวะมาเดินเล่นสักหน่อย” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมถามอย่างตรงไปตรงมา “พอจะบอกได้ไหมว่าคุณภานิดาคือใคร”

                “ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินของที่นี่ค่ะ”

                “อ๋อ...” อชิระครางรับรู้ในลำคอ ที่แท้ก็ลูกสาวนายภพธร หนึ่งในพี่เลี้ยงของวสุวี ชายหนุ่มเปิดยิ้มกว้างแล้วกล่าวอย่างมีอารมณ์ขัน “งั้นคุณก็คือคนที่ดูแลผลประโยชน์ให้หุ้นส่วนอย่างผมสินะครับ”

                “จะว่างั้นก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รับใช้นะคะ” เธอรับมุกแล้วหัวเราะสดใส “แล้วทำไมมายืนตรงนี้ล่ะคะ หรือว่านัดกับใครไว้”

                ภานิดามองหาจนถ้วนถี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร กระทั่งหันไปด้านนอกแล้วเห็นวสุวีกำลังยืนชี้ไม้ชี้มือสั่งการอยู่ มุมปากของภานิดาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เริ่มเข้าใจได้รางๆ กับการมาของอชิระ ข่าวลือมักไปไวเสมอ ดูเหมือนการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ก็ช่วยยืนยันได้ว่าที่ลือนั้นไม่ใช่ข่าวโคมลอยอีกต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าน้องสาวนอกไส้ของเธอจะเดินเกมรวดเร็วถึงเพียงนี้ ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ

                “เอ๊ะ หรือว่าคุณเสือนัดกับว่าที่ท่านประธานคนใหม่ของเราคะ” 

                ถึงจะเป็นคำพูดเชิงกระเซ้าเย้าแหย่ แต่อชิระก็สัมผัสถึงกระแสประชดประชันหยามหยันในน้ำเสียง ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับวสุวีนัก แต่ก็ไม่ชอบฟังใครพูดส่อเสียดคนอื่นต่อหน้าอย่างนี้ สายตาของอชิระที่มองไปยังคนข้างนอกจึงเต็มไปด้วยความชื่นชม

                “เปล่าหรอกครับ แต่ลูกสาวคุณวิหน่วยก้านไม่เลวเลย มองไกลๆ แบบนี้ดูเหมือนแม่มาก น่าจะอนาคตไกล”

                “คงไม่ไกลเกินวีพีกรุ๊ปหรอกมั้งคะ ฉันได้ข่าวว่ายายวีพยายามติดต่อขายโรงแรมให้คุณอยู่หลายครั้ง”

                “น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า ผมแทบไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ”

                “แต่คุณก็มาโรงแรมนี้กับเธอสองครั้งแล้ว” 

                สีหน้าและแววตาของภานิดาราวกับจะไล่ต้อนให้เขาจนมุมยอมรับออกมาให้ได้ อชิระลงความเห็นในใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ และดูเธอก็ไม่ได้ผูกพันกับวสุวีสักเท่าไร ฟังจากน้ำเสียงกับคำเสียดสีก็ฟันธงได้เลยว่าเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนเอื้อยกับอ้ายในเรื่องปลาบู่ทอง และการที่เธอพูดดักคอเขาอย่างนี้ก็เหมือนอยากจะบอกอ้อมๆ ว่าวสุวีทำอะไรก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเธอไปได้ เธอรู้ เธอเห็นทุกอย่าง แต่ถามว่าใครจะแคร์ล่ะ อชิระโตแล้ว ส่วนวสุวีก็บรรลุนิติภาวะ จะมาจะไปกับใครก็ได้ทั้งนั้น 

                ชายหนุ่มก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงตรงหน้ากำลังคิดอะไร ต้องทำให้เธอยอมคายออกมาให้หมดนั่นละ ดูซิว่าไอ้ที่รู้น่ะ รู้อะไรบ้าง

                “ว้า...โดนจับได้ซะแล้ว งั้นต่อไปถ้าผมมาอีกจะระวังไม่ให้ใครเห็น”

                “เรื่องแบบนี้มันปิดยากนะคะ” คำพูดกินนัยบางอย่างของภานิดาทำให้อชิระยิ้มในหน้า

                “ผมกับวสุวีก็ไม่คิดจะปิดบังใครนี่ครับ เราไม่ได้รวมหัวกันโกงเงินใครสักหน่อย จะไปมาหาสู่กันบ้างคงไม่สร้างความเดือดร้อนลำบากใจให้ใครหรอกมั้งครับ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่เตือน ไหนๆ ผมก็ถูกคุณจับได้แล้ว รายนั้นคงไม่แปลกใจเท่าไร ผมขอตัวไปทักทายว่าที่ท่านประธานคนใหม่ก่อนดีกว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

                อชิระค้อมศีรษะเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มให้อย่างสุภาพแล้วหมุนกายเดินไปหาวสุวี เขาเห็นเธอแยกย้ายกับคนงานแล้ว แต่ยังเตร็ดเตร่ไม่ยอมกลับเข้ามา อชิระจะยืนรอก็ได้ แต่ตรงนี้ภานิดาน่ารำคาญเกินไป

                เงาดำของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ทาบทับจนทำให้วสุวีรีบหันกลับมา อชิระยืนด้านหลังค่อนข้างใกล้จนเธอต้องขยับหนี

                “คุณเสือ”

                เธอมองเขาอย่างแปลกใจ น่าแปลกที่คำทักทายก็เหมือนกัน แถมรายหลังนี่ยังไม่มีรอยยิ้มให้อีกต่างหาก แต่ทำไมอชิระชอบน้ำเสียงของวสุวีมากกว่าภานิดาก็ไม่รู้

                “สวนโรงแรมฉันสวยพอทำให้คุณเปลี่ยนใจไหมคะ”

                “สวยนะ แต่ร้อน เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ” เขาชวนและเบี่ยงกายเปิดทางให้ มือใหญ่แตะเอวเธออย่างสุภาพ คอยระวังเผื่อเธอจะเผลอไปเหยียบอะไรเข้าให้อีก “รองเท้าคุณไม่เหมาะกับการชมสวนนะ”

                “เมื่อกี้ก็เกือบจะล้มค่ะ ดีว่าคุณปราการช่วยไว้”

                อชิระพยายามหักห้ามใจไม่ให้หันไปเล่นงานคุณปราการที่ยืนคุมคนงานอยู่ไม่ไกลนัก “ถ้าคุณไม่ระวังตัวจะบาดเจ็บเอาได้”

                “ครั้งต่อไปฉันจะเปลี่ยนรองเท้าก่อนลงมาค่ะ”

                “ไม่ลงมาเลยจะดีที่สุด” ชายหนุ่มพึมพำ

                “คุณว่าอะไรนะคะ”

                “เปล่า แค่บ่นว่าร้อน”

                หญิงสาวเงยหน้ามองคนพูดแล้วยิ้ม อชิระคงจะร้อนจริงๆ นั่นละ ตรงข้างขมับเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มเลย ไม่กี่อึดใจวสุวีก็พาชายหนุ่มไปยังห้องทำงาน บรรยากาศในห้องเย็นสบายแตกต่างจากในสวน อชิระดูท่าจะอารมณ์ดีขึ้น เขานั่งหมุนเก้าอี้เล่น ตรงด้านหน้ามีแก้วน้ำเย็นๆ ตั้งรับรอง เป็นฝีมือเจ้าของห้องนั่นละ วันนี้พิมพ์มาดาลาป่วย วสุวีไม่อยากใช้ใครจึงเป็นฝ่ายจัดแจงให้เขาเอง

                “คุณมาหาฉัน มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

                “พี่สาวคุณเป็นคนยังไง” คำตอบของชายหนุ่มกลายเป็นคำถามที่ทำให้วสุวีจ้องเขาตาไม่กะพริบ

                “เป็นคนยังไง? หมายความว่าไง คุณเจอกับพี่นิดาแล้วเหรอ”

                “อืม ก่อนผมจะไปหาคุณที่สวน” อชิระพยักหน้า “เขาเข้ามาทักเลยคุยกันไปสองสามคำ ดูเหมือนเรื่องที่เราเจอกันจะไม่ใช่ความลับ ผมเลยอยากถามให้ชัวร์ว่าคุณโอเคไหมถ้าต้องเป็นขี้ปากใคร”

                “เราก็...ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่คะ คุณกับฉันโตๆ กันแล้ว เรื่องคำนินทาก็นึกเสียว่าเขาใส่ใจเราเป็นพิเศษ” หญิงสาวที่เพิ่งบอกว่าตัวเองโตแล้วหน้าแดงระเรื่อ เธอกับเขาไม่ได้ทำผิดก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้องดีงาม ผู้หญิงกับผู้ชายขลุกอยู่ในห้องด้วยกันข้ามวันข้ามคืนจะให้คิดเป็นอื่นก็คงไม่ได้แล้วจะไปห้ามใครไม่ให้พูดถึงก็ยิ่งยาก

                “ผมก็คิดเหมือนคุณ”

          “คุณไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” สีหน้านิ่งขรึมของอชิระทำวสุวีเดาอารมณ์ไม่ถูก เขาอาจจะไม่พอใจ แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะปกปิดสายตาคนนอกได้อย่างไร ในเมื่อเธอทำสัญญาเลี้ยงเสือกับเขาไปแล้ว ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็คงต้องลักลอบนัดพบกัน แบบนั้นยิ่งไม่เข้าท่าใหญ่

                “เปล่า ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มว่า

                “บางทีเรื่องของเราอาจทำให้คนที่รู้จักคุณเข้าใจผิด”

                “ความเข้าใจของคนพวกนั้นไม่มีผลกระทบต่อชีวิตผม” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่านึกห่วงชื่อเสียงผมขึ้นมา ผมไม่ใช่คนที่เสียหายนะวสุวี คิดดีๆ เรื่องนี้คุณน่าจะโดนหนักกว่าผม”

                “แต่ฉันเป็นคนดึงคุณเข้ามาในวังวนนี้”

                “นี่กลัวชื่อเสียงผมเสียหายจริงๆ เหรอ”

                วสุวีพยักหน้านิดๆ นิดเดียวจริงๆ ซึ่งหากไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น แต่อชิระจับตามองเธออยู่ พอเห็นท่าทีเหมือนกลัวว่าจะทำให้ชื่อเสียงเขามัวหมอง ชายหนุ่มก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เขากร้านโลกขนาดนี้ยังอุตส่าห์มีคนเป็นห่วงซะด้วย

                “เรื่องของเราคุณคงเลี่ยงยาก แต่ฉันจะระวังให้มากขึ้น”

          “ไม่จำเป็นเลย ผมไม่สนใจความคิดคนอื่น สนแค่คุณคิดยังไง ถ้าคุณโอเค ผมก็โอเค”

          อชิระลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาหญิงสาว เธอเหมือนจะผงะถอยหลังหนี แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจยืนนิ่งกับที่เผชิญหน้ากัน ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะปลายคางของเธอดันขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สบตากันได้ถนัดถนี่ แล้วบอกให้เธอสบายใจ

                “เรื่องชื่อเสียงผมไม่สนหรอก ครึกโครมกว่านี้ผมก็เคยมาแล้ว ถ้าจะมีเรื่องน่าห่วงก็ห่วงอยู่เรื่องเดียว คุณจะเลี้ยงเสือไหวหรือเปล่าเท่านั้น” 

                เขาขยิบตาใส่ ยิ้มให้เธออย่างร้ายกาจ ยืนยันความห่วงใยด้วยการรั้งเอวเธอเข้ามาชิด วสุวีหน้าแดงระเรื่อ เกร็งกายฝืนแรงรั้ง มือยันอกกว้างเอาไว้ หายใจแรงขึ้นด้วยความประหม่า พยายามไม่สบตากับเขา แต่อชิระไม่ยอมให้เธอหลบเลี่ยงได้ เขาตรึงปลายคางเธอเอาไว้อย่างนิ่มนวลพร้อมจ้องลึกลงไปในตาคู่สวย

                “วสุวี...คุณจะอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องจับผิดของคนอื่นตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ ให้ผมเดา พ่อเลี้ยงคุณคงวางคนคอยสอดแนมไว้หมดแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของคุณ พวกเขาจะรู้หมด ไหนๆ เราตกลงร่วมมือกันแล้ว คงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด จะปล่อยให้พวกเขาเห็นจุดอ่อนของเราไม่ได้”

                “เราจะทำยังไงกันดีคะ”

                คำถามของเธอถูกใจเขานัก

                “เราก็แสดงให้รู้ไปเลยว่าไม่แคร์และคุณก็ย้ายไปอยู่กับผม”

                “โห...ไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวเบิกตากว้าง ส่ายหน้ารัวๆ ย้ายไปอยู่กับเขาเนี่ยนะ

                “สำหรับโครงการเลี้ยงเสือให้อิ่ม การย้ายไปอยู่กับผมก็นับเป็นข้อดีเหมือนกันนะ อยากกินตอนไหนก็ได้กิน”

                “ตกลงว่าให้ฉันเป็นคนเลี้ยงเสือหรือเมียเก็บคะ” วสุวีเจ็บใจกับคำพูดนั้น อยากตอนไหนก็ได้สมใจอยาก เธอนี่มันช่างง่ายดายสำหรับเขาเหลือเกิน เอาเข้าจริงวสุวีก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ เพราะยังไงก็ต้องอาศัยเขา แต่เธออยากมีเซฟโซน มีพื้นที่ที่เป็นของเธอ “ฉันว่าต่างคนต่างอยู่ดีแล้วค่ะ คุณหิวก็มาหาฉัน”

                “งั้นผมย้ายมาอยู่กับคุณก็ได้ เพราะผมหิวบ่อย”

                “คุณเสือ!” วสุวีนึกอ่อนใจ ผู้ชายบ้าอะไรหน้าด้านอย่างนี้ “เจอกันเฉพาะเวลาให้อาหารเสือก็พอค่ะ ถ้าฉันไปอยู่ด้วยคุณจะทนได้เหรอ จะว่าไปแล้วเราทั้งคู่ก็แทบไม่รู้จักพื้นฐานนิสัยใจคอกันเลยนะคะ”

                “การมีคุณอยู่ใกล้ๆ ผมไม่จำเป็นต้องใช้ความอดทนนะ”

                แต่ฉันทนอยู่กับคุณไม่ได้ค่ะ 

                วสุวีตะโกนเถียงอยู่ในใจ เผลอค้อนใส่เขาอย่างลืมตัว “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ”

                “แล้วถ้าเสือหิวขึ้นมาล่ะ”

                “หิวก็หากินสิคะ”

                “แล้วถ้าหิวตอนนี้”

                “ไม่ได้ค่ะ”

                “อ้าว นี่จะเบี้ยวผมเหรอ”

                “คุณก็รู้ว่าฉัน...เบี้ยวไม่ได้” 

                “คือถ้าเบี้ยวได้ก็จะเบี้ยวว่างั้น”

                “อย่าแกล้งกันสิคะ” หญิงสาวว่าเสียงอ่อน สองแก้มเข้มขึ้นอย่างขัดเขิน ยิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อเขาใช้หลังนิ้วเกลี่ยแก้มสุกปลั่งเล่นแผ่วๆ สัมผัสของเขาทำให้เธอตัวเบาหวิว 

“ฉะ...ฉันอยากจัดการเรื่องโรงแรมให้เรียบร้อยก่อน ถึงฉันจะทำเรื่องหน้าไม่อายเอาไว้ แต่การย้ายไปอยู่กับคุณก่อนที่คุณจะซื้อโรงแรม ฉันมองว่ามันจะไม่ส่งผลดีกับเราทั้งคู่ และถ้าคุณหิวตอนนี้ ฉันยินดีจะเลี้ยงข้าวกลางวันคุณฟรีหนึ่งมื้อเป็นการขอโทษ เอ่อ...เชฟโรงแรมฉันฝีมือระดับมิชลินสตาร์นะคะ”

          “ผมไม่ได้อยากกินข้าวนี่นา” อชิระหน้าง้ำ โน้มหน้าเข้าไปกระซิบบอกความต้องการข้างหูเธอ “คุณก็รู้ผมอยากกินคุณ”

                “คุณเสือ นี่มันห้องทำงานนะคะ” วสุวีร้องห้ามเสียงหลง เอนกายหนีสุดฤทธิ์ แต่อชิระตามติดไม่ปล่อยง่ายๆ “อย่าเพิ่งเลยนะคะ”

                “อย่าเพิ่งอะไร”

                “อย่าเพิ่งกินฉัน”

                “ก็คนมันหิว” ชายหนุ่มบอกอย่างดื้อดึง ทว่าแววตาเป็นประกายขบขัน ความจริงก็ไม่ได้จะอะไรกับเธอหรอก พอคิดตามแล้วก็เห็นด้วย เขาน่ะไม่เคยสนเสียงนกเสียงกา แต่วสุวีจะเสียหายไม่ใช่น้อย และอาจถูกตราหน้าว่าขายตัวพร้อมกับโรงแรม เขาเคารพคุณแม่ของเธอและจะไม่ทำให้เธอถูกใครตราหน้าอย่างนั้นแน่

                ทางออกของวสุวีถือว่าใช้ได้ มีการไตร่ตรองถ้วนถี่ไม่ผลีผลาม คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมารอบด้าน นับว่าจัดการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แต่ที่เขายังพัวพันกับเธอนี่ก็เพราะอยากแกล้งเล่นแค่นั้น

                “ผมให้เลขาฯ เตรียมสัญญาซื้อขายไว้แล้ว บ่ายนี้คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่า”

                “ไม่มีค่ะ”

          “งั้นเราก็...” อชิระลากเสียงยั่วเย้านัยน์ตาวาววิบวับ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ทั้งคู่รีบผละออกจากกัน ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามเจ้าของห้อง ขณะที่วสุวีเองก็งุนงงสงสัยว่าใครมีธุระกับเธอตอนนี้

                “เชิญค่ะ” เธอร้องบอก พอประตูเปิดออกก็เห็นเลขาฯ ของภพธรเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจ วสุวีพยักหน้าให้อีกฝ่าย “มีอะไรเหรอคะ”

                “คุณภพธรทราบว่าคุณอชิระมาค่ะ เลยให้ดิฉันมาเรียนเชิญรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน คุณวีด้วยนะคะ”

                อชิระเหลือบมองไปทางวสุวี เธอหันมามองเขาพอดี ชายหนุ่มยิ้มมุมปากราวกับจะบอกเธอว่า ‘เห็นไหม บอกแล้ว ขยับตัวทำอะไรฝ่ายนั้นรู้หมด’ แล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมตอบตกลงรับคำเชิญ

          “บอกคุณภพธรให้ด้วยว่าเราสองคนจะไป”

                “งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

                วสุวีนั่งลงที่เก้าอี้ ขณะที่อชิระทิ้งสะโพกพิงขอบโต๊ะทำงาน แล้วคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ เจ้าของมือบุ้ยใบ้บอกว่าแขกยังเดินออกไปไม่พ้นห้อง แต่มีหรือที่เขาจะฟัง แถมยังพูดเสียงดังกว่าปกติอีกด้วย

                “ผมรู้ว่าคุณกำลังเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมจะกำจัดทุกอุปสรรคให้คุณเอง เชื่อใจผมนะครับ” มือนุ่มถูกดึงขึ้นไปจดปลายจมูกโด่ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีประตูห้องก็ปิดสนิท

                “คุณเสือเล่นอะไรคะ ก็เห็นว่าเลขาฯ นั่นยังไม่ทันออกจากห้อง” วสุวีกำลังมึน อชิระปล่อยมือแล้วคืนพื้นที่ให้ตัวเขาขยับมายืนที่กลางห้อง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงไม่จางหาย

                “ผมประกาศสงครามให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็เตรียมตัวจัดทัพออกรบได้เลย”

          “เมื่อกี้คุณแกล้งทำให้เขาเห็นเหรอคะ”

                “ตั้งใจเลยละ พวกนั้นจะได้รู้ว่าเราเป็นทีมเดียวกัน”

                หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด “คุณว่าอาภพจะมีแผนไหมคะ”

                “แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว แต่คุณไม่ต้องห่วง ผมยังอยู่ทั้งคน ขืนกล้าทำอะไรคุณต่อหน้าผมได้เห็นดีกันแน่” 

                “คุณจะปกป้องฉันหรือคะ” วสุวีย้อนถามยิ้มๆ ภายในใจอุ่นซ่านขึ้นมาอย่างประหลาด อชิระกำลังจะทำให้เธอเป็นไบโพลาร์ เมื่อกี้เขาพูดดูถูกเธอ พอมาตอนนี้ทำเหมือนจะปกป้อง ไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอได้ นี่เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ

                อชิระเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดอะไรออกไป ถึงเขาจะเต็มใจช่วยเธอ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เธอเหลิงจนเกินไปนัก วสุวีมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองไม่น้อย เขาจะต้องดึงเธอลงมาสักหน่อยไม่ปล่อยให้ลอยจนสูงลิ่ว 

                แล้วชายหนุ่มก็กระแอมกลบเกลื่อนความรู้สึก ก่อนหาเหตุผลมาแถจนสีข้างแทบถลอก

                “ผมแค่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองต่างหาก”

                “ตัวฉันนับเป็นผลประโยชน์ที่คุณต้องปกป้องด้วยรึเปล่าคะ”

                “เลิกสงสัยแล้วไปเติมแป้ง เติมลิปเตรียมตัวจะดีกว่า ป่านนี้พ่อเลี้ยงคุณคงลับมีดรอเชือดแล้วมั้ง” อชิระนึกหมั่นไส้ประกายตาแวววาวของเธอจึงแกล้งขู่ “หรือจะให้ผมล็อกห้องแล้วเชือดคุณเดี๋ยวนี้ ข้าวปลาไม่ต้องกินกัน”

          “ฉันขอไปเสี่ยงตายเอาดาบหน้าดีกว่าค่ะ” วสุวีลุกพรวดราวกับถูกไฟจี้

                ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่โตพอจะรู้ความและเข้าใจโลกมากขึ้น อชิระมักบอกตัวเองเสมอว่าทุกครอบครัวย่อมต้องมีปัญหา วรปัทม์ของเขามีปัญหามากมาย และดูท่าว่ากิตตินันท์ของวสุวีก็คงจะดุเดือดไม่แพ้กัน

                อาหารกลางวันมื้อนี้จึงค่อนข้างอึดอัด การขาดหายไปของเสาหลักอย่างคุณวิรงรองส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกสาว วสุวีต้องรับมือกับทีมของพ่อเลี้ยงที่มัดรวมกันมาถึงสามคน ซึ่งเขามองว่าไม่ยุติธรรมเลย

                อชิระมองภูรีตักอาหารใส่จานวสุวีด้วยสีหน้าเรียบเฉย พี่ชายต่างสายเลือดของเธอคนนี้ค่อนข้างเอาใจใส่น้องสาวนอกไส้เป็นพิเศษ แต่จะดีกว่ามากถ้าหากเปลี่ยนจากวสุวีเป็นภานิดา อชิระจะไม่ติดใจเลย ชายหนุ่มถอนใจเบื่อๆ คงต้องเล่นงานไอ้หมอนี่ก่อนใครเพื่อน เพราะมันกะลิ้มกะเหลี่ยเด็กเขาเหลือเกิน

                “คุณเสือลองชิมเนื้อนี่ดูสิคะ” 

                อชิระก้มมองชิ้นเนื้อที่ภานิดาเพิ่งตักมาให้ ยายนี่ก็น่ารำคาญไม่แพ้พี่ชายเลย

                “นุ่มดีครับ” เขาเอ่ยชมตามมารยาท ก่อนจะแบ่งให้วสุวีชิมบ้าง “นี่หรือเปล่าที่คุณเคยคุยให้ฟังว่าเชฟทำอร่อย”

                “สมคำเล่าลือไหมคะ”

                “รสชาติกลมกล่อม เนื้อก็นุ่มดี แต่ตัวคุณนุ่มกว่า” เขาแกล้งกระเซ้า แต่ก็จงใจให้ได้ยินกันทั่ว โดยเฉพาะภูรีที่ชักสีหน้าไม่พอใจ

                ภพธรที่นั่งมองอยู่ก็เห็นไม่ต่างจากชายหนุ่ม เขากลัวลูกชายจะทำเสียเรื่องจึงชวนคุยเรื่องงานแทน “วันประชุมใหญ่คุณเสือจะมาเองหรือส่งตัวแทนมาครับ”

                “ได้ยินว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารกันใหม่ด้วยใช่ไหมครับ”

                “ใช่ครับ ผมน่ะแก่แล้ว อยากทำให้ทุกอย่างชัดเจนเข้าที่เข้าทาง คุณวิจะได้หมดห่วง ตัวผมก็รักษาการมาสักระยะแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะหาคนมีคุณสมบัติเหมาะสมมานั่งตำแหน่งประธานบริหารจริงจังเสียที”

                “การบริหารโรงแรมก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นไม่เว้นในแต่ละวัน มีปัญหาให้ตามแก้ไข บางอย่างก็ต้องตัดสินใจเด็ดขาดและทันท่วงที ดีแล้วละครับที่ทำให้ทุกอย่างชัดเจน คุณภพธรก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย”

                “คุณเสือจัดการยังไงครับ เท่าที่ทราบโรงแรมในเครือของวีพีกรุ๊ปแทบไม่มีปัญหาเลย”

                “คนก็พูดกันไปเรื่อยครับ มีที่ไหนบ้างไม่มีปัญหา”

                “คุณเสือยังหนุ่มยังแน่นก็คงเห็นเป็นเรื่องท้าทาย”

                “อาจเป็นเพราะผมชอบจัดการปัญหาก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ใครที่พอมีสิทธิ์บริหารโรงแรมวิรงรองได้บ้างครับ” อชิระแกล้งถาม และภูรีเป็นคนตอบ

                “ถ้าวัดจากประสบการณ์และวัยวุฒิ คนที่เหมาะสมที่สุดตอนนี้ก็คงเป็นคุณพ่อ”

                “จากที่ผ่านมาคุณภพธรก็พิสูจน์ความสามารถให้เห็นกันแล้ว เพียงแต่ถ้านับจากจำนวนผู้ถือหุ้นตอนนี้ วสุวีก็มีสิทธิ์ที่จะได้ตำแหน่งนั้นเหมือนกัน ประสบการณ์กับวัยวุฒิสำคัญก็จริง แต่ผู้บริหารรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ก็อายุน้อยๆ กันทั้งนั้น” อชิระหันไปส่งยิ้มหวานแล้วถามความเห็นของหญิงสาว “ผมต้องมาไหม”

                “คุณตัดสินใจเองสิคะ จะมาถามฉันได้ไง คุณก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนเหมือนกัน”

                “ผมเชื่อใจคุณ” สายตาที่ใช้มองวสุวีนั้นหยาดเยิ้มเสียจนเธอขัดเขินได้โดยไม่ต้องเสแสร้ง

                “ความสัมพันธ์ของพวกคุณน่าสนใจดีนะคะ ถ้าอาวิรับรู้คงดีใจมากแน่ๆ”

                “ใช่ค่ะ ถ้าแม่รับรู้อะไรดีๆ ก่อนหน้านี้ วีเชื่อว่าแม่ต้องดีใจมาก และคงมีเวลามากพอจะสอนวีแก้ปัญหา สถานะทางการเงินของโรงแรมก็คงไม่ย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่”

                “แหม ว่าที่ท่านประธานของเราไฟแรงจังเลยนะ ถึงอาวิจะไม่อยู่ แต่พวกเราก็ช่วยกันแก้ปัญหานั้นได้จ้ะ” ภานิดาแดกดันน้องสาว

          วสุวีแค่นเสียงขึ้นจมูก “กลัวว่ายิ่งช่วยจะยิ่งแย่สิคะ ปัญหาของเรามันเรื้อรังมานาน วีไม่ค่อยมั่นใจนักว่าคนที่สร้างปัญหาจะสามารถแก้ปัญหาได้ มันน่าจะถึงเวลาที่เราต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้แล้ว”

                “การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี คุณภพธรว่างั้นไหมครับ” อชิระเสริมพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบท่าทางสบายๆ มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกุมมือวสุวีเอาไว้ สายตาที่ใช้มองเธอเชื่อมั่นสุดใจ “หากคุณทำมันได้ ผมกับครอบครัวของคุณก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่”

                ภพธรได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ รู้ตัวว่าพลาดเสียแล้วที่ปล่อยให้วสุวีร่วมมือกับอชิระ แต่ถ้าคิดจะล้มเขาก็ไม่ง่ายนักหรอก คนของเขาไม่มีวันสนับสนุนวสุวี เด็กไม่ประสีประสาอย่างนั้นใครมันจะไปเชื่อถือ

                อชิระยังคงดูแลวสุวีตลอดมื้อนั้น ราวกับว่าโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคน ความสนิทสนมนี้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น ทั้งภูรีและภานิดาไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก แต่อชิระไม่สนใจ เขาทำเพียงจับตามองเงียบๆ 

                ในขณะที่ภานิดาเลือกการโจมตีวสุวีด้วยคำเสียดสีดูแคลน แต่ภูรีกลับนั่งเงียบ มองวสุวีอย่างครุ่นคิดอยู่บ่อยครั้ง สายตาแบบนั้นมันทำให้อชิระไม่คิดไว้ใจ

                หลังจากอาหารกลางวันผ่านพ้น อชิระไม่ปล่อยให้วสุวีอยู่ตามลำพัง เขาชวนเธอไปที่โรงแรมของเขาโดยอ้างว่าจะพาไปดูเอกสารซื้อขายและรายละเอียดของสนธิสัญญาว่าด้วยการเลี้ยงเสือ 

                วสุวีไม่ค่อยอยากจะเชื่อเขานัก แต่ก็ยอมตามเขาไปอย่างว่าง่าย เธอเพิ่งมีโอกาสได้เห็นการใช้ชีวิตอีกด้านหนึ่งของอชิระ ว่าไปแล้วเธอกับเขารู้จักกันน้อยมาก เธอเจอเขาที่ผับ แล้วพากันไปจบบนเตียงในโรงแรม ทั้งหมดนั้นคือการวางแผน เธอรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมหลายแห่ง แต่ไม่รู้เลยว่าเขาทำงานยังไง ต้องไปติดต่อใครบ้างในแต่ละวัน ที่สำคัญเธอเพิ่งรู้ว่าโรงแรมปาริชาตเป็นของแม่เขา ไม่ใช่โรงแรมในเครือของวีพีกรุ๊ป

          ห้องทำงานของอชิระใหญ่โตโอ่อ่า ทั้งห้องตกแต่งอย่างเรียบหรู คุมโทนสีหนักแน่นทรงพลังเหมาะกับบุคลิกผู้เป็นเจ้าของห้อง วสุวีเดินตามเขาเข้าห้องทำงาน ระหว่างทางก็แอบมองด้วยความสนใจ 

                เขาบอกให้เธอนั่งลง หญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปเรื่อย จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างห้อง รูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น ท่าทางใจดี ดูจากเค้าโครงใบหน้าก็มีส่วนคล้ายคลึงกับอชิระอยู่ไม่น้อย น่าจะเป็นคุณรัศมีภรรยาคนที่สามของเจ้าสัวอรุณ แม่แท้ๆ ของอชิระนั่นเอง

                “เป็นไงบ้าง ชอบที่นี่ไหม”

                “ดูเป็นส่วนตัวดีค่ะ”

                “นี่เป็นโรงแรมของแม่ผม ท่านอยากให้แขกที่มาพักรู้สึกถึงบรรยากาศของบ้าน มีความเป็นกันเอง หากเปรียบเทียบขนาดและรายได้ก็ต้องบอกว่ายังเป็นรองที่อื่นอยู่มาก น่าจะเล็กกว่าโรงแรมคุณด้วยซ้ำ แต่ผมชอบทำงานที่นี่มากที่สุด ตอนที่รับมันมาก็ตั้งใจว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร พยายามรักษาทุกอย่างให้ยังคงเป็นเหมือนตอนที่แม่ยังอยู่ ตามที่คนเก่าๆ เขาเล่าให้ฟังนะ ผมน่ะไม่ทันแม่ก็เลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ รู้แค่ว่านั่นคือท่าน” อชิระพยักพเยิดไปที่รูปของแม่

                “ถึงคุณจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่าน แต่ฉันรู้สึกว่าคุณรักท่านไม่น้อยกว่าใคร คุณมีพี่น้องอีกสามคนใช่ไหมคะ”

                “สามสาว เป็นหญิงล้วน” อชิระยิ้มน้อยๆ ดวงตาเขาอ่อนแสงลงเมื่อพูดถึงพี่น้อง ถึงไม่ได้เกิดจากแม่เดียวกัน แต่ก็ผูกพันรักใคร่ “คนในวรปัทม์น่ะค่อนข้างจะหวงแหนพื้นที่ส่วนตัว ในบรรดาพวกเราสี่พี่น้องจะรู้ความเคลื่อนไหวเฉพาะในกลุ่ม และจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของใคร ยกเว้นพี่ปลาที่เป็นพี่ใหญ่ เราสามคนให้ความเคารพและไม่มีความลับ คุณเคยเจอพี่ปลาแล้วที่วีพีกรุ๊ป”

                “ค่ะ พี่สาวคุณท่าทางใจดี แต่เห็นคุณฉุดกระชากลากฉันออกมาแบบนั้นคงต้องสงสัยแน่”

                “พี่ปลาต้องรู้อยู่แล้ว เราปิดไม่ได้หรอก” อย่างน้อยเรื่องของวสุวีก็จะช่วยยุติความวุ่นวายอีกสองสามเรื่องที่เกี่ยวพันกัน เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง “ไว้ให้อะไรๆ มันลงตัวเรียบร้อย ผมจะพาคุณไปรู้จักกับพี่น้องของผม แล้วก็แม่ใหญ่”

                “คุณทำซะเป็นทางการอย่างนี้ แล้วจะไม่มีปัญหาเวลาที่เราแยกย้ายหรือคะ ฉันหมายถึงว่าการที่คนในครอบครัวรับรู้ มันคงจะตอบยากหากฉันหายไปจากชีวิตคุณดื้อๆ”

                “ไม่มีปัญหา เพราะทุกคนน่าจะชินกับผมแล้ว ผมน่ะแนะนำสาวๆ ให้ครอบครัวรู้จักผ่านข่าวสังคมบ่อยๆ แต่คุณจะพิเศษกว่าใครตรงที่แม่ใหญ่ได้เห็นตัวเป็นๆ” 

                อชิระเดินไปกดอินเตอร์คอมเรียกเลขาฯ แล้วกรอกเสียงถามลงไปว่า “เอกสารที่ให้เตรียมเรียบร้อยหรือยัง เออ...ถ้าเสร็จแล้วก็เอาเข้ามาได้เลย”

                “คุณน่าจะเคยเห็นหมอนี่บ้างนะ” อชิระแนะนำวสุวีกับธนูให้รู้จักกัน “ธนูเป็นตัวแทนของผมไปเข้าประชุมที่โรงแรมของคุณตั้งหลายครั้ง”

                “ไม่เคยเจอแบบจังๆ ค่ะ”

          “ถ้าคุณเสือไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม ผมก็คงไม่ได้เจอคุณวีใกล้ๆ แบบนี้เหมือนกันครับ เฉียดไปเฉียดมาตลอด ต้องขอบคุณเจ้านายเลยนะครับเนี่ยที่ลงทุนทำเพื่อผมขนาดนี้”

          “ฉันไม่ได้ซื้อเพื่อแก ไม่ต้องซาบซึ้ง” อชิระยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่เลขา นึกเกลียดลูกตารู้ทันของมันเหลือเกิน ชายหนุ่มหันไปสนใจหญิงสาว “หลังจากโอนหุ้นกันเรียบร้อย ผมจะให้ธนูช่วยเป็นพี่เลี้ยงคุณ”

                “แล้วคุณล่ะคะ”

                “ผมจะนั่งหล่อๆ วางแผนเขี่ยพ่อเลี้ยงคุณให้พ้นทางไง จะมัวไปเดินตามต้อยๆ คอยสอนงานคุณได้ยังไงล่ะ กลบรัศมีนางพญาของคุณหมด แต่คุณไม่ต้องห่วง ถ้ามีปัญหาธนูจะคอยตามประกบรายงานผมทุกอย่าง”

                “งั้นคงต้องรบกวนคุณธนูด้วยนะคะ”

                “ด้วยความยินดีครับ”

                “ผมไม่แน่ใจว่าพ่อเลี้ยงคุณเตรียมแผนรับมือไว้รัดกุมแค่ไหน เท่าที่สังเกตวันนี้คิดว่าทางนั้นก็คงมั่นใจไม่น้อยว่าจะฮุบโรงแรมของคุณได้” อชิระตั้งข้อสังเกต

                “คนของเขามีสิทธิ์เลือกผู้บริหารได้ค่ะ เขาคงมั่นใจตรงนี้”

          “แต่เราสองคนมีหุ้นมากกว่า เสียงนกเสียงกาพวกนั้นก็ไม่สำคัญหรอก พ่อเลี้ยงคุณคงคิดแค่ว่าผมช่วยหนุนหลัง ไม่ได้ออกหน้าเอง เขาจะพลาดตรงนี้ เพราะคิดไม่ถึงว่าคุณจะกล้ายกโรงแรมให้ผม”

                การล้มอำนาจของภพธรไม่ง่าย ดีที่ว่าหุ้นของเขากับวสุวีรวมกันแล้วมากพอตัดสินชี้เป็นชี้ตาย นี่เองถึงทำให้คุณวิรงรองสั่งย้ำลูกสาวนักหนาว่าให้ขายโรงแรมให้เขา ต่อให้วสุวีบริหารโรงแรมไม่ได้ อชิระก็จะไม่นิ่งเฉยปล่อยให้ภพธรกับพวกเสวยสุขอย่างสบายๆ

                “ผมจะออกหน้ารับบทท่านประธานให้ชั่วคราว ระหว่างนั้นคุณก็รีบเรียนรู้งาน เก็บประสบการณ์ให้มากๆ เพื่อที่จะได้ดูแลโรงแรมของคุณต่อไปหลังจากผมวางมือถอยออกมา แล้วคืนอำนาจทั้งหมดให้”

                “ฉันจะตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้ให้เต็มที่ค่ะ”

                “ตั้งใจก็ดีแล้ว แต่ต้องระวังตัวอย่าให้มีช่องโหว่ พวกนั้นเล่นงานคุณกลับแน่ เราต้องรีบจับข้อผิดพลาดของทางนั้นแล้วหาช่องสับเปลี่ยนพนักงาน ธนูเตรียมคนให้พร้อม ส่วนเรื่องเงินที่คุณว่ามีปัญหา ผมจะส่งคนที่เชี่ยวชาญไปช่วยตรวจสอบ”

                อชิระวางแผนการอย่างรัดกุม เมื่อเขายอมตกลงปลงใจกระโดดเข้าสนามรบเองแล้ว เขาก็จะต้องลงมือทำให้มันหมดจด เพื่อป้องกันไม่ให้วสุวีต้องเจอปัญหาในภายหลัง นี่ถ้าไม่ได้ฉกชิงความซิงของเธอมาก่อน คุณวิจะจ่ายค่าเหนื่อยเขาเป็นอะไรนะ แต่ก็นั่นละ เขาคงเรียกร้องค่าแรงจากคนตายไม่ได้ ยังดีหรอกที่ทิ้งลูกสาวไว้ให้เขารีดไถ

                ชายหนุ่มมองค่าแรงแสนหวานตรงหน้า คุณวิรงรองตอบแทนเขาไม่ได้ แต่วสุวีมีพร้อมทุกอย่างที่เขาต้องการ อชิระจะเรียกร้องจากเธออย่างคุ้มค่าสมราคาที่จ่ายไปเลย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น