3

3

3

 

“ทำไมไม่ไปรับพี่” เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มทำให้คะนึงนิตย์ตั้งสติกลับมาอีกครั้ง การปรากฏตัวของพฤกษ์ทำให้เธอตั้งตัวไม่ทันไปครู่ใหญ่ 

คำถามนี้ของเขาจะให้เธอตอบอย่างไรดี จะบอกเขาว่าเธอยังไม่พร้อมเจอเขาอย่างนั้นหรือ...

“...วันนี้ปั้นไม่สะดวกค่ะ” 

แม้มันจะเป็นคำตอบกึ่งเท็จกึ่งจริง แต่เมื่อพูดออกไปแล้วเธอก็รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง ทว่ายังไม่ได้ทันจะได้ขยับตัวถอยห่างจากชายหนุ่ม คะนึงนิตย์รู้สึกได้ถึงแรงบีบกระชับที่ฝ่ามือ จากการกุมมือของเธอไว้หลวมๆ เวลานี้มือหนาของเขาขยับเปลี่ยนเป็นผสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับมือของเธออย่างแนบแน่น ขนาดฝ่ามือที่ต่างกันเช่นนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกมือใหญ่ของชายหนุ่มครอบครองไว้

“โกหก” 

ไม่ทันตั้งตัว พฤกษ์ก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบลงที่ข้างหู เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนจากชายหนุ่ม พอคิดจะยกมือข้างที่ถนัดขึ้นมากุมใบหูก็ไม่อาจทำได้ เพราะมือข้างเดียวกันนั้นตกอยู่ในอุ้งมือของชายหนุ่ม

“ปะ...ปั้นไม่ได้โกหก แล้วพี่พฤกษ์มาที่นี่ได้ไงคะ” เธอพยายามเฉไฉ พร้อมกับย้อนถามเขาไป

“พี่กลับมาก่อนหน้านี้ได้สองสามวันแล้ว พี่มีเรื่องต้องมาจัดการก่อน”

คะนึงนิตย์เลิกคิ้วขึ้นมองชายหนุ่มเล็กน้อย จู่ๆ ชั่ววูบหนึ่ง เธอก็เผลอคิดไปว่าธุระที่ว่าของเขาคือเรื่องวราลี ถ้าเป็นอย่างนั้น นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขากลับเมืองไทยล่วงหน้าโดยไม่บอกใคร ส่วนที่เจอกันวันนี้คงเป็นเรื่องบังเอิญ

“บัวกับพี่โมกข์รู้หรือยังคะว่าพี่พฤกษ์อยู่เมืองไทยแล้ว”

เธอไม่แน่ใจเลยว่าถ้ากชนันท์ไปรอพี่ชายที่สนามบิน แล้วมารู้ทีหลังว่าเขากลับมาแล้วแบบนี้จะโมโหแค่ไหน 

“พี่โทร. บอกบัวเมื่อเช้าแล้ว” 

“ค่ะ” เธอตอบและพยักหน้ารับรู้ ส่วนมือที่ถูกเขากุมไว้ ยิ่งขยับถอยหนีออกมาก็ยิ่งถูกรั้งไว้เช่นเดิม เมื่อความพยายามไม่เป็นผลก็ได้แต่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจกลับไป 

ทั้งท่าทางและคำพูดโต้ตอบทั้งหมดของพวกเขาทั้งสองคน หากฟังดูมันคงเป็นประโยคธรรมดาๆ ซึ่งคนที่สนิทกันใช้พูดคุย แต่ในความจริงแล้วทั้งเธอและพฤกษ์ไม่ได้สนิทสนมกันมากพอจะทำแบบนี้ แม้จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เธออยู่ในสภาวะอ่อนไหวจนทั้งสองคนเคยใกล้ชิดอยู่ระยะหนึ่ง ทว่ามันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่แม้แต่คะนึงนิตย์ยังไม่แน่ใจเลยว่าระหว่างพวกเธอคืออะไร พอถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองก็ห่างกันไปอย่างไม่มีเหตุผล 

ช่วงเวลาอ่อนหวานผ่านมานานมากแล้ว ในงานเลี้ยงฉลองก่อนที่พฤกษ์จะเดินทางไปเมืองนอก เขาก็ยังไม่เห็นมีท่าทีสนิทสนมกับเธอเช่นนี้ 

“พี่ไม่ได้กลับเมืองไทยนานแล้ว พี่กลัวหลง” 

ราวกับคะนึงนิตย์กำลังฟังเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในโลก สองปีที่เขาจากไป บ้านเกิดของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากอย่างที่เขาเข้าใจหรอก คำตอบที่คล้ายมุกตลกของเขาทำให้นึกหมั่นไส้ขึ้นมา เพราะแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปบ้าง

“แล้วสองวันก่อนพี่พฤกษ์ไม่กลัวหลงบ้างเหรอคะ” 

คิ้วของชายหนุ่มเลิกขึ้น ก่อนที่แววตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นประกายจ้า เขาค่อยๆ เผยรอยยิ้ม มันไม่ใช่การยิ้มที่มุมปากหรือการยกยิ้มตามมารยาท แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกถึงความปีติยินดีของเขา จนเธอไม่อาจละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายไปได้ 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของชายหนุ่มทำให้คะนึงนิตย์ทำตัวไม่ถูก คนที่ควรจะทำตัวไม่ถูกต้องเป็นเขาสิ ไม่ใช่เธอ แต่ทำไมตอนนี้เขายังทำตัวสบายๆ อยู่ได้

“โอเค งั้นปั้นพาพี่ไปทานข้าวหน่อยนะ พี่หิวจะแย่แล้ว” 

พฤกษ์ยอมปล่อยมืออย่างอ้อยอิ่ง ทันทีที่มือของคะนึงนิตย์เป็นอิสระ ความรู้สึกวูบโหวงในใจก็ทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจเล็กน้อย ยอมรับว่าช่วงเวลาที่เขาประสานมือเธอแนบแน่นราวกับว่าโลกทั้งใบอยู่ในมือของตัวเอง แต่พอไร้สัมผัสที่อบอุ่นเธอถึงเข้าใจว่า บางครั้งการเผชิญหน้ากับความจริงเช่นนี้อาจจะทำให้เธอตั้งสติ และตัดใจจากคนตรงหน้าได้เร็วขึ้นก็ได้ 

หญิงสาวกำมือและคลายออกช้าๆ เป็นจังหวะ ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่ม พลางถามความเห็นของเขา 

“พี่พฤกษ์อยากจะทานอะไรคะ ปั้นจะพาไป”

เขามองเธอและครุ่นคิด ริมฝีปากของเขายังคงยกยิ้มน่ามอง ก่อนนิ้วชี้เรียวยาวของชายหนุ่มจะชี้มาที่เธอแทนคำตอบ 

“คะ?”

ดวงตาของคะนึงนิตย์ไหววูบ หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา วินาทีนั้นเธอได้แต่อ้ำอึ้งตอบอะไรไม่ถูก ความทรงจำที่แสนวาบหวามก็พลันผุดขึ้นมาจนพวงแก้มร้อนผ่าว 

“พะ...พี่พฤกษ์หมายความว่าไงคะ”

เสียงของเธอตะกุกตะกัก ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี เหมือนกับว่าการแกล้งหยอกล้อเธอแบบนี้ทำให้เขาพึงพอใจที่สุด 

“แล้วปั้นคิดว่ายังไงคะ” 

ปลายเสียงอ่อนนุ่มทำหัวใจคนฟังอ่อนยวบ เธอเบิกตากว้างมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา คะนึงนิตย์เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมาถูกหรือไม่ 

“ปะ...ปั้น ปั้นไม่รู้ค่ะ”

“พี่ไม่เชื่อ...ปั้นกำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม เด็กทะลึ่ง”

นัยน์ตาพราวระยับไม่ต่างจากแสงแดดแรงจ้าที่ทำให้เธอต้องหลบสายตา หลายความรู้สึกตีกันรวนในหัวจนทำอะไรไม่ถูก เห่อร้อนลามไปทั่วใบหน้า แต่วินาทีต่อมาเธอก็กลั้นฝืนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างท้าทาย พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ยอมแพ้ไปก่อน 

“พี่พฤกษ์อย่าแกล้งปั้นสิคะ...ปั้นไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” แม้เสียงของเธอสั่นอย่างฟังได้ชัด แต่ครั้งนี้คะนึงนิตย์ไม่ยอมให้คนตรงหน้ากลั่นแกล้งเธอได้อีกแล้ว

“พี่ไม่ได้แกล้งปั้นสักหน่อย พี่แค่จะบอกว่า ปั้นอยากกินอะไรก็แล้วแต่ปั้นเลย”

พอได้ยินคำตอบจากปากของชายหนุ่มแล้ว คะนึงนิตย์นึกอยากจะค้อนสายตาให้เขาหนึ่งวง ยิ่งเห็นแววตาของคนตรงหน้า เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาแกล้งหยอกเธออยู่ชัดๆ แม้จะมั่นใจแล้วว่าเขาจงใจแกล้ง แต่คะนึงนิตย์ก็ทำเป็นไม่สนใจ เธอกระแอมกระไอก่อนถามความเห็นอีกฝ่ายตรงๆ

“ถ้าเป็นของที่ปั้นชอบกิน ก็ไม่รู้จะถูกปากที่พฤกษ์หรือเปล่า”  

“ไม่เป็นไร เลือกร้านที่ปั้นชอบได้เลยค่ะ พี่ไม่ติดอะไร” 

ได้ยินเขาพูดจาสนิทสนมเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่หวั่นไหว คะนึงนิตย์ตั้งคำถามขึ้นในใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่เจอกันสองปีแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงวางตัวสนิทชิดเชื้อกับเธอแบบนี้ 

“ถ้าปั้นชอบ พี่พฤกษ์ก็จะชอบเหรอคะ” 

คะนึงนิตย์รู้ดีว่าในคำถามนี้ของเธอมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ มันแฝงอีกคำถามหนึ่งที่ค้างคาในใจเธอมานาน

“ปั้นหมายถึงอาหารหรือว่าอย่างอื่นละ”

“...อาหารค่ะ” 

“อืม พี่ชอบ...”

คำตอบของเขาทำให้เธอใจกระตุก ยิ่งไปกว่านั้นคะนึงนิตย์พลันได้ยินเสียงบางอย่างแตกร้าวลงมา ราวกับกำแพงที่ปิดกั้นหัวใจเธอไว้ค่อยๆ ถูกทำลายลง ผิดกับที่ตั้งใจไว้

“...ถ้าเป็นปั้น อะไรพี่ก็ชอบ”

 

สุดท้ายคะนึงนิตย์ก็เลือกร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่เธอกินเป็นประจำเป็นคำตอบ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามคนตรงหน้า 

“พี่พฤกษ์ไม่มีเวลาพักเลยหรือเปล่า ปั้นว่าพี่พฤกษ์ดูผอมลงนะคะ” 

พฤกษ์ยิ้มบางๆ พลางตอบอย่างใจเย็น “ไม่หรอก พี่ก็พักตามปกติ” 

คะนึงนิตย์เผลอสำรวจชายหนุ่มอีกครั้ง แต่พอคิดทบทวนตามคำตอบของเขา เธอก็พอเข้าใจได้คร่าวๆ ถึงพฤกษ์จะเป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพก็จริง แต่การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองท่ามกลางบริบทสังคมที่ไม่เหมือนเดิม บางครั้งเขาก็ต้องปรับตัวและพิสูจน์ตนเองไม่น้อยเหมือนกัน 

แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย 

“ถ้าพี่พฤกษ์ว่าแบบนั้นก็ตามนั้นค่ะ แต่ไม่รู้ว่าบัวจะสังเกตไหมนะคะ” เธอพูดติดตลก เพราะความจริงก็รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนรักติดต่อทางวิดีโอคอลกับเขาบ่อยๆ มีหรือที่กชนันท์จะไม่สังเกตเห็น 

“พี่ก็คุยกับบัวกับโมกข์บ้าง แต่ปั้นไม่ค่อยติดต่อพี่เลยนะ” 

คะนึงนิตย์ไม่รู้ว่าการที่เขาพูดแบบนี้จะมีความหมายว่าอย่างไร อีกอย่าง เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่าชายหนุ่มพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน เพราะท่าทางเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากการพูดถึงดินฟ้าอากาศทั่วๆ ไป  

 “ปั้น...” เธอพยายามคิดหาคำพูดสักคำออกมา แต่ในหัวกลับว่างเปล่า 

คะนึงนิตย์ตั้งใจไม่รับรู้เรื่องราวของเขา เพื่อจะตัดใจและตัดทิ้งความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นไปได้ออกไป ยิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ของเขากับวราลี เธอก็ยิ่งจมดิ่งอยู่ในความทุกข์ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่ติดต่อเขาเลยสักช่องทาง แม้แต่การติดตามดูเรื่องราวของเขาตามโซเชียลมีเดียเธอก็ไม่ทำ 

“พี่พฤกษ์เองก็คงยุ่ง ปั้นไม่อยากรบกวน...อีกอย่าง ปั้นก็ไม่รู้จะคุยอะไร” เธอยิ้มบางๆ ขณะตอบ 

ถูกต้องแล้ว...เขามีเรื่องราวต้องทำมากมาย มีอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะสำคัญกว่าเธอ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอต้องติดต่อเขาไป อย่าลืมสิว่าตอนนั้นเป็นเขาพูดขึ้นมาเองไม่ใช่หรือไง 

หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหมือนตัวเองถูกดึงเข้าไปในช่วงความทรงจำที่หวานปนขม แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า คงเป็นช่วงนั้นเองที่ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนห่างกันออกไป จากคนที่ใกล้จะคุ้นเคยกลับกลายเป็นคนอื่นขึ้นมา 

“บัวเล่าเรื่องปั้นให้พี่ฟัง โรงเรียนของปั้นเป็นยังไงบ้างครับ” 

พอรู้ว่าเขาใส่ใจความเป็นไปของเธอเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ คะนึงนิตย์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา และดูเหมือนว่าเธอไม่อาจจะเก็บรอยยิ้มนี้ได้เลย จึงได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ให้ตั้งสติกลับมาดีๆ อย่าปล่อยให้หัวใจหวั่นไหวง่ายๆ จนเผลอทำผิดซ้ำๆ อีก 

“ก็ดีค่ะ หลายๆ อย่างค่อนข้างลงตัวเลยค่ะ ตอนแรกปั้นก็กังวลเหมือนกันว่าจะไม่เรียบร้อย” 

ความจริงเรื่องที่จะเปิดโรงเรียนเธอคิดแล้วคิดอีก และใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลอยู่นานพอสมควร ถึงขนาดคิดไปว่าหากเปิดโรงเรียนไม่รอด เธอจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีนักเรียนมาเรียน เธอจะต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าเป็นงานคอมมิชชันที่รับจากสำนักพิมพ์ หรือจากลูกค้านอกจะพอสำหรับตัวเองไหม 

ปัญหาสารพัดอย่างทำให้เธอคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ แต่ยังดีที่หลายๆ อย่างยังไปได้ดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถหายใจได้เต็มปอดเหมือนตอนนี้ 

“พี่ยินดีด้วยนะ ปั้นบอกพี่ได้ไหมว่าทำไมปั้นถึงลาออก” คำถามของเขาทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจางลง ทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารถูกยกมาเสิร์ฟ คะนึงนิตย์จึงได้โอกาสเปลี่ยนบทสนทนาในครั้งนี้

“อาหารมาพอดีเลยค่ะ เรากินข้าวกันก่อนนะคะ พี่พฤกษ์คงหิวแล้ว” 

พฤกษ์ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงพยักหน้ารับและลงมือจัดการกินอาหารตรงหน้าบ้าง บทสนทนาระหว่างพวกเขาสองคนจึงจบลงเงียบๆ 

เธอเหลือบมองเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเบี่ยงความสนใจเรื่องนี้จากเขาได้ คะนึงนิตย์ก็รู้สึกเบาใจลงไปไม่น้อย จริงอยู่ที่เธอมีเหตุผลที่ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยสอน แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้ใครฟัง ยิ่งกับพฤกษ์แล้วเธอก็ยิ่งไม่อยากพูดถึง 

ใช้เวลากับมื้อเที่ยงไม่นาน พวกเขาทั้งสองคนก็ออกจากร้านด้วยสภาพอิ่มท้อง พลังงานถูกเติมเต็มจนคะนึงนิตย์รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเช่นกัน เธอหันไปหาชายหนุ่มเตรียมจะบอกลาเพื่อแยกทาง แต่เขามองเธอราวกับรอคอยอยู่แล้ว ทว่าสายตาของเขากลับไม่ได้สื่ออย่างที่เธอคิด 

“ปั้นจะไปไหนต่อ เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน” 

เธอคาดไม่ถึงที่เขาเอ่ยปากเช่นนี้ จู่ๆ ก็ดันนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาใกล้ชิดกัน ความรู้สึกบางเบาแสนสบายค่อยๆ โอบล้อมเธอไม่ต่างจากอากาศที่อยู่รอบตัว แม้มองไม่เห็น แต่เธอก็สัมผัสถึงมันได้ แต่แล้วภาพของหญิงสาวคนหนึ่งก็แวบผ่านเข้ามา ความสดชื่นและแสนสะอาดของอากาศที่ไหลเวียนอยู่ในปอดพลันเปลี่ยนเป็นแรงกดทับที่ทำให้เธอหายใจไม่ออกแทน 

“พี่พฤกษ์...ไม่ต้องมีเรื่องไปจัดการเหรอคะ”

“เรียบร้อยแล้วละ พี่อยากไปกับปั้น” 

“ปั้นแค่จะไปรับของแล้วก็กลับเลย พี่พฤกษ์กลับเลยก็ได้นะคะ จะได้ไม่เสียเวลาพักผ่อนด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่อยากไป” 

เมื่อเขายืนยันเหมือนเดิม คะนึงนิตย์ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตามใจชายหนุ่ม เธอเดินตรงไปที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ทักทายคนขายที่สนิทสนมกันเล็กน้อยก่อนจะรับเหล่าขวดสีที่สั่งมา มันเป็นขวดสีพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยขนาดสิบสองออนซ์ทั้งหมดสิบหกสี น้ำหนักของมันไม่ใช่เบาๆ แต่ไม่ทันที่จะเอื้อมมือไปรับถุงสีเหล่านั้น ชายหนุ่มกลับชิงตัดหน้าเธอรับไปถือทั้งอย่างนั้น 

“พี่พฤกษ์แบ่งมาให้ปั้นก็ได้ค่ะ มันหนักนะคะ” เธอร้องขอถุงสีในมือของชายหนุ่ม แต่เขากลับยิ้มแล้วปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับ ปั้นจะกลับหรือยัง เดี๋ยวพี่ไปส่ง” 

กลายเป็นว่าพฤกษ์ยึดของของเธอแล้วเดินนำตรงไปยังลานจอดในอาคาร แต่ก้าวไปไม่เท่าไหร่ เธอก็รีบรั้งเขาเอาไว้

“พี่พฤกษ์คะ ปั้นกลับเองได้ค่ะ” 

คะนึงนิตย์รั้งแขนเขาเบาๆ ขณะที่เธอเลื่อนมือจะไปคว้าถุงสีมาถือเอง มือของชายหนุ่มข้างหนึ่งก็คว้ามือของเธอไว้ 

“พี่ไปส่ง”

“แต่...”

“ปั้นให้พี่ไปสั่งได้ไหม” 

ต่อให้เธออยากจะค้าน อยากจะปฏิเสธน้ำใจของเขา แต่พอเงยหน้ามองนัยน์ตาคมกริบของชายหนุ่ม และได้ยินน้ำเสียงอ่อนลงแบบนี้แล้ว คะนึงนิตย์ก็ได้แต่กลืนคำพูดต่อจากนั้นทั้งหมดลงคอ 

“ปั้นครับ”

วินาทีนั้นคะนึงนิตย์ไม่ต่างจากคนล้มทั้งยืน เธอรู้ตัวว่าไม่อาจจะเอาชนะเขาได้ เขาคือกฎเกณฑ์ที่เธอไม่อาจต่อต้านหรือปฏิเสธได้ เป็นคนที่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่อาจฝืนทำเป็นว่าไม่ใส่ใจได้ ความรู้สึกหงุดหงิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเธอต่างหากที่แพ้ทางเขาเช่นนี้อีกแล้ว หญิงสาวกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะตอบรับ

“ก็ได้ค่ะ”

 

คะนึงนิตย์บอกจุดหมายที่จะให้เขาไปส่งคร่าวๆ พฤกษ์ขับไปได้โดยไม่มีปัญหา เขาไม่หันมาถามทางเธอเลยสักนิด ราวกับว่ามันเป็นเส้นทางที่เขาแสนจะคุ้นเคย จนเธออดเลิกคิ้วมองชายหนุ่มไม่ได้ด้วยความสงสัย 

“...พี่พฤกษ์ดูคุ้นเส้นทางจังเลยนะคะ”

เขาดูคุ้นเคยกับเส้นทางบนท้องถนน จนดูไม่เหมือนคนที่อ้างว่ากลัวหลงเมื่อครู่สักนิด 

“ถนนเมืองไทยมันก็ไม่ได้เปลี่ยน พี่ดูป้ายก็ไปถูกนะ” 

“แล้วไหนพี่พฤกษ์บอกปั้นว่ากลัวหลงไงคะ” 

พอเห็นเขาดูชำนาญและชินเส้นทางขนาดนี้ เธอจึงเผลอถามไปโดยไม่ทันคิด แต่วินาทีต่อมาก็ชะงัก เพราะเพิ่งนึกได้ว่านี่เป็นคำถามที่ควรจะถามออกไปหรือไม่ 

“ปั้นอยากได้คำตอบจริงหรือเปล่าละครับ” 

พฤกษ์ส่งสายตากลับมา นัยน์ตาของเขาพราวระยับ พอเห็นแบบนี้แล้วคะนึงนิตย์ก็ดึงสายตาตัวเองกลับมา หัวใจเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อยจนต้องสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ 

“พี่พฤกษ์แกล้งปั้นอีกแล้ว” 

“พี่พูดจริง”

“จะถึงแล้วค่ะ เลี้ยวตามทางด้านหน้าเลยค่ะ” 

พฤกษ์เหลือบมองเธออีกครั้ง ครั้งนี้เขายกยิ้มที่มุมปาก เขาครางรับในลำคอแล้วหักพวงมาลัยรถเข้าไปตามเส้นทาง หญิงสาวให้พฤกษ์ขับอ้อมไปจอดรถด้านหลังตึก จากนั้นพวกเธอก็เดินเข้าตัวตึกจากประตูด้านหลังแทน 

“โรงเรียนปั้นดูอบอุ่นมากเลยนะ” 

นี่เป็นคำพูดแรกหลังจากที่พฤกษ์มาถึงที่นี่ จะว่าไปที่นี่เป็นทั้งที่ทำงานและบ้านของคะนึงนิตย์เอง ดังนั้นการตกแต่งทั้งหมดของอาคารจึงเป็นสไตล์ที่เธอชอบ การตกแต่งส่วนใหญ่เป็นสีไข่ไก่และน้ำตาล เครื่องเรือนเช่นเก้าอี้กับโต๊ะก็เป็นไม้สีขาวและน้ำตาลเข้าชุด 

คะนึงนิตย์รับถุงใส่ขวดสีจากชายหนุ่ม ก่อนจะเชิญให้เขานั่งลงที่มุมรับรองชั้นล่าง ทันทีที่พฤกษ์นั่งลงบนโซฟาสีอ่อนตัวเล็กด้านล่างที่มีหมอนรูปน้องแมวที่เธอทำเอง บรรยากาศและของรอบๆ ตัวทำให้ชายหนุ่มที่ดูเข้มขรึมคนนี้น่ารักขึ้นถนัดตา 

“จริงๆ แล้วที่นี่ก็เหมือนปั้นเลยนะ” 

“คะ?”

พฤกษ์จับจ้อง ส่งสายตาประสานนัยน์ตาของเธอ มองทุกปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวขณะพูด

“ก็อบอุ่น สบายๆ เหมือนเวลาที่พี่อยู่กับปั้น” 

พอพูดจบ เขาก็สังเกตพวงแก้มทั้งสองข้างที่ขึ้นสีแดงเรื่อจางๆ จากคนตรงหน้า 

น่ารัก...นอกจากคำนี้ เขาก็ไม่รู้จะใช้คำพูดไหนมาบรรยายตัวตนของคะนึงนิตย์ได้ดีเท่าคำคำนี้อีกแล้ว 

ชายหนุ่มมองริมฝีปากอิ่มที่อ้าๆ หุบๆ นึกถึงความหอมหวานที่เคยสัมผัสแล้ว เขาก็อยากจะกัดลงไปชิมอีกสักครั้ง แต่พอนึกได้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่จับจ้องอยากเป็นเจ้าของเจ้ากระต่ายขี้กลัวตรงหน้า พฤกษ์ก็นึกอยากเปิดเกมรุกของตัวเองทันที 

ต่อให้คะนึงนิตย์ตั้งรับไม่ทัน เตรียมถอยห่างจากเขาเท่าไหร่ เขาก็จะไม่ปล่อยเธอหนีง่ายๆ 

“บัวบอกพี่ว่าปั้นกำลังมองหาแบบวาด”

พอเห็นหญิงสาวหันมาสบตาคล้ายจะมีคำถาม พฤกษ์ก็ยกยิ้มขึ้นมา 

“พี่ยังว่างๆ อยู่ เอาไว้พี่จะมาเป็นแบบให้ปั้นนะ”

คนตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ มองเขาคล้ายจะไม่เข้าใจ แต่เวลาต่อมา ดวงตากลมโตของเธอก็เบิกกว้างขึ้น เสียงนุ่มหวานของเธอยามรีบท้วงถามก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“พี่พฤกษ์จะมาทำอะไรนะคะ”

คะนึงนิตย์ถามย้ำด้วยความไม่เข้าใจ ขณะจดจ้องร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว้ห่างสบายๆ มือทั้งสองข้างของเขาหยิบเจ้าหมอนหนุนรูปแมวน้อยมาเล่นอย่างอารมณ์ดี 

“พี่จะมาเป็นแบบให้ปั้น”

“แบบให้ปั้น?”

เหมือนกับว่าคำพูดของพฤกษ์กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจยากที่สุดในพริบตา เธอมองดวงตาคู่ตรงข้าม พยายามอย่างยิ่งที่จะค้นหาความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ 

ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่...

“หรือปั้นจะบอกว่าพี่เป็นไม่ได้เหรอ ถ้าไม่ได้ปั้นบอกเหตุผลพี่มาสิ”

ความคิดของคะนึงนิตย์หยุดลงตรงนั้น คราวนี้เป็นเธอที่พูดอะไรไม่ออก ก็จริงอยู่ที่เธอมองหานายแบบสำหรับงานส่วนตัวของตัวเอง แต่เพราะยังหานายแบบที่ถูกใจไม่ได้ หญิงสาวจึงเคยบ่นเปรยๆ ให้กชนันท์ฟัง แต่คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ เพื่อนรักยังจะเล่าให้พี่ชายตัวเองฟัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเหตุผลข้อไหนเลยที่จะต้องปฏิเสธเขา 

“ไม่มีใช่ไหม งั้นปั้นก็น่าจะดีใจ พี่จะเป็นแบบให้ปั้น ปั้นอยากจะวาดอะไรก็วาด อยากให้พี่เปิดตรงไหน พี่ก็จะเปิด”

พอเผลอคิดภาพตามคำพูดของพฤกษ์ ก็ทำให้เธอใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา  

คะนึงนิตย์อยากจะปฏิเสธออกไป แต่ก็ยังไม่สามารถนึกเหตุผลดีๆ สักข้อออกมาได้ เพราะท่าทีงึกๆ งักๆ ของเธอหรือเปล่านะถึงทำให้คนตรงหน้าได้ใจ 

ร่างสูงของพฤกษ์ยืดตัวลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเธอช้าๆ ยามที่เขาก้าวเดินมาใกล้ เธอก็เผลอกลั้นหายใจ ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวจนสะโพกชนกับโต๊ะด้านหลัง แล้วก็เพิ่งตระหนักได้ว่าพฤกษ์เท้ามือที่โต๊ะ ปิดทางหนีทั้งหมด เธอถูกวงแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มขังไว้เสียแล้ว 

กลิ่นอายบุรุษเพศจากร่างสูงลอยวนอยู่ใกล้ตัวจนไม่กล้าหายใจ ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็โน้มต่ำลงมากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงแหบพร่ากว่าปกติ

“ร่างกายของพี่ ปั้นอยากจะทำอะไรก็ได้ พี่ตามใจปั้น แต่พี่มีคำขอแลกเปลี่ยนจากปั้นข้อเดียว”

พฤกษ์นิ่งเว้นจังหวะไปช่วงอึดใจ ก่อนจะเอ่ยคำขอของเขา 

“เป็นของพี่นะครับ เพราะพี่อยากเป็นคนของปั้นแล้ว”


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น