5

5

5

 

ยามที่คะนึงนิตย์ช้อนตามองเขา นัยน์ตาของเธอฉ่ำวาวด้วยน้ำตา ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อ ร่างกายบอบบางของหญิงสาวทิ้งน้ำหนักมาที่ร่างสูงโปร่ง ลมหายใจของเธอหอบถี่ระรัว พฤกษ์ค่อยๆ โอบร่างบอบบางไว้ในอ้อมกอดพลางย้ำถามให้เธอเข้าใจอีกครั้ง

“เด็กโง่ เข้าใจหรือยัง หืม” 

พฤกษ์โน้มใบหน้าเข้ามากระซิบริมหูของเธอ คะนึงนิตย์รู้สึกว่าทั่วร่างร้อนวูบวาบ ผิวกายของชายหนุ่มลวกผิวเธอจนทนไม่ไหว ได้แต่พยายามประคองตัวเองให้ยืนขึ้น 

“ปั้นเข้าใจแล้ว พะ...พี่พฤกษ์ปล่อยปั้นก่อน” เสียงของเธอทั้งแผ่วทั้งพร่าราวกับเสียงกระซิบ คนฟังได้แต่คลี่ยิ้มอ่อนหวาน จากนั้นก็ช่วยประคองร่างเล็กในอ้อมแขนให้ยืนมั่นคง 

“ดีครับ เข้าใจแล้วงั้นเราก็มาคุยกัน”

คะนึงนิตย์เงยหน้าสบดวงตาคู่พราวระยับของชายหนุ่มด้วยความสงสัย ขบริมฝีปากแดงเบาๆ ก่อนจะเม้มมัน 

“คุยอะไรคะ”

“คุยเรื่องของเรา”

หลังจากที่ได้รับคำตอบ พวงแก้มของหญิงสาวก็แดงปลั่ง แม้แต่ลำคอและใบหูก็ขึ้นสี ยามที่พฤกษ์มองคนตรงหน้า แววตาก็แต่งแต้มด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของเขาเป็นประกาย ในใจรู้สึกคันยุบยิบจนทนไม่ไหว มันเขี้ยวจนอยากจะกัดพวงแก้มสวยของเธอสักคำ แววตาสั่นไหวของหญิงสาวทำเอาพฤกษ์อ่อนยวบ นึกทอดรำพึงในใจ

คนอะไร ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้ด้วย...

“ไม่เจอกันไม่กี่ปี กินความน่ารักเข้าไปเหรอครับ ทำไมถึงหวานขนาดนี้” 

ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้าง ยิ่งเขายกปลายนิ้วจิ้มแก้มนวลของเธอ พวงแก้มก็ขึ้นสีแดงมากกว่าเดิม 

“พี่พฤกษ์พูดอะไร” 

เจ้าของเสียงเล็กบ่นในลำคอ พลางหลุบตามองต่ำ ไม่กล้าสบสายตากับเขาอีก 

“พูดความจริง ทำไมปั้นต้องน่ารักขนาดนี้ครับ” เขาไม่หยุดพูด พลางฉวยโอกาสโอบเอวบางของหญิงสาวไว้หลวมๆ ค่อยๆ ดึงร่างเล็กเข้ามาชิดกายมากขึ้น เพ่งพินิจมองคนขี้อายที่อีกนิดจะม้วนตัวหนีด้วยความเอ็นดู 

“ไหนบอกจะคุยไงคะ” 

กว่าคนรู้ตัวช้าจะเข้าใจว่าถูกเขาล่อลวงแล้ว ก็ตอนที่เขาดึงเธอไปใกล้จนลมหายใจรดรินกันและกัน หญิงสาวถึงได้ละล่ำละลักถามเปลี่ยนเรื่อง แต่มีหรือที่พฤกษ์จะไม่เข้าใจ 

“โอเค งั้นเรามาคุยกัน”

“...งั้นปล่อยปั้นก่อนสิคะ” 

“คุยแบบนี้ก็ได้ พี่ไม่ถือ”

แต่ปั้นถือ...

คะนึงนิตย์เม้มริมฝีปากแน่น ได้แต่พูดในใจ พลางมองชายหนุ่มที่ถือโอกาสตอนเธอเผลอโอบกอดเธอไว้ 

“ไม่เอาค่ะ ปล่อยปั้นก่อน” หญิงสาวพยายามดื้อดึง ทั้งปั้นหน้าขึงขังจริงจัง ต่อให้เก็บอาการเท่าไหร่ กระแสความหวั่นไหวในแววตาก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาคนมองไปได้ 

พฤกษ์ไม่อยากทำเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนหนีกระเจิงไปเสียก่อน เขาจึงค่อยๆ ผ่อนแขนลง ปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระ 

“ตามใจปั้นครับ พี่ปล่อยปั้นแล้ว งั้นเรามาคุยกัน”

คะนึงนิตย์รีบถอยออกจากวงแขนของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ เดินอ้อมหลังเขาไปนั่งเก้าอี้เล็กในห้อง พลางเลื่อนเก้าอี้แบบเดียวกันอีกตัวไปใกล้ๆ ร่างสูงโปร่ง

พฤกษ์อมยิ้ม เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าเก้าอี้เล็กสีครีมตัวนี้จะไม่ค่อยเข้ากับเขาสักเท่าไหร่ แต่กับหญิงสาวข้างๆ ยิ่งมองพฤกษ์ก็ยิ่งจินตนาการถึงภาพร่างนิ่มนวลของเธอบนเก้าอี้ระหว่างที่เขาปรนเปรอรักให้ไม่หยุด ทว่าพอเห็นดวงตากลมโตที่เพ่งมองอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องระงับเก็บความคิดของตนกลับไปในทันที เขากระแอมเบาๆ พลางเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมา 

“เรื่องของพี่ ปั้นก็เข้าใจแล้ว ทีนี้เรามาสรุปความสัมพันธ์ของเราดีกว่า”

“คะ?”

“พี่ชอบปั้น แล้วปั้นก็ชอบพี่ใช่ไหม” ท้ายประโยคเขาช้อนตามองหญิงสาว ราวกับคาดหวังคำตอบแบบเดียวกัน

“ปั้น...” 

คนตัวเล็กหลบสายตา แต่พฤกษ์ไม่ยินยอม รีบขยับตัวลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นต่อหน้าหญิงสาว เอียงใบหน้าเพียรสบตากับเธออย่างไม่ลดละ ถ้าเธอเบี่ยงซ้ายเขาก็จะเอียงใบหน้าตาม ถ้าเธอเบนหลบขวาก็ไม่อาจหลบดวงตาของเขาไปได้ 

“หลบตาพี่ทำไมคะ” 

พอได้ยินชายหนุ่มทอดเสียงหวาน มือของคะนึงนิตย์ก็สั่น นึกอยากจะหายไปจากตรงนี้ แต่พฤกษ์ไม่มีทีท่าจะปล่อยเธอไปง่ายๆ หากเธอไม่ตอบคำถามนี้ให้ชัดเจน 

หญิงสาวกลั้นใจมองใบหน้าของชายหนุ่มอีกครั้งชัดๆ แต่ก่อนแต่ไรก็มักจะคุ้นชินกับท่าทางนิ่งเฉยติดจะเย็นชาของเขา บางครั้งพฤกษ์ก็มีสีหน้าอ่อนโยนยามที่อยู่กับครอบครัว และมีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอได้ใกล้ชิดชายหนุ่มที่อ่อนโยน ทว่าพฤกษ์ในเวลานี้ดูแปลกไปจากคนเดิมที่เธอรู้จักไม่น้อย โดยเฉพาะนัยน์ตาพราวระยับที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน ต้อนเธอเสียจนมุมเช่นนี้ 

พอนึกถึงจูบอันร้อนแรงของเขา เธอก็ใจสั่น ประสบการณ์ที่แสนใกล้ชิดนี้มีเขาเป็นคนแรกที่ได้ครอบครอง และสอนให้เธอรู้จักความรู้สึกวาบหวาม หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่หยุด ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวจนหญิงสาวอดไม่ได้ ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดมันเอาไว้ แต่แล้วพฤกษ์ก็จับมือของเธอแล้วกดให้มันห่างออกจากใบหน้า 

“ไม่ได้เจอปั้นมาตั้งนาน ให้พี่มองหน้าปั้นนานๆ หน่อยไม่ได้เหรอครับ”

สุดท้ายก็เป็นเธอที่พ่ายแพ้ผู้ชายคนนี้ทุกทาง ราวกับว่าถ้าวันนี้พฤกษ์ไม่ได้คำตอบ เขาก็จะไม่ลดละทำให้เธอร้อนจนตาย

“ปั้นครับ พี่รอคำตอบอยู่นะ” 

คะนึงนิตย์สูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ แล้วตอบคำถามนี้อย่างแผ่วเบา 

“ปั้น...พยายามเลิกชอบอยู่ค่ะ”

พฤกษ์ขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ ทว่าเขาก็ยังใจเย็นมากพอที่จะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 

“ปั้นอย่าพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกเลยนะครับ”

“คะ?” ดวงตากลมโตกะพริบมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ 

“แบบนี้พี่ก็น่าสงสารสิ ปั้นยังไม่ทันได้เปิดใจรับพี่เลย แบบนี้พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จีบปั้นเลยนะ ไม่สงสารพี่เหรอครับ” 

คะนึงนิตย์นิ่งงัน ริมฝีปากอ้าออกช้าๆ ทว่ากลับไร้สุ้มเสียงใดๆ ออกมา ในหัวคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้คำพูดอะไรดี ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่าจะใช้เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดตัดใจจากพฤกษ์ แต่วันนี้ทันทีได้พบเขาอีกครั้ง ทุกอย่างก็พลิกผันเปลี่ยนไปหมด เขาดักทางและต้อนเธอจนไปไม่ถูก แต่สุดท้ายก็พยายามรวบรวมสติ แล้วเอ่ยเหตุผลที่ติดค้างในใจออกมา

“ชอบพี่พฤกษ์แล้วปั้นเจ็บค่ะ...ปั้นเป็นคนขี้ขลาด เจ็บนิดเดียวปั้นก็กลัว” 

มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ทว่ารอยยิ้มนี้กลับเสียดแทงใจคนมองจนอยากลบมันออกจากใบหน้าแสนเศร้า 

“พี่ก็กลัวเจ็บเหมือนกัน ถ้าปั้นไม่รักพี่ พี่ก็เจ็บครับ” 

คำว่าเจ็บที่เขาบอกเป็นคำเว้าวอนซึ่งทำให้ส่วนหนึ่งในใจของเธอลังเลจนเกิดเป็นคำถามขึ้นมา 

...ความเจ็บของเขาจะหนักหนาเท่าไหร่กันนะ ในเมื่อคนอย่างพฤกษ์มีหญิงสาวอีกเป็นร้อยที่ต้องการหัวใจของเขา หากไม่ใช่เธอ ก็ยังมีวราลีที่พร้อมจะเปิดรับชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว 

“ถ้าไม่ใช่ปั้น พี่ก็ไม่ยอมหรอกนะครับ”

                ราวกับพฤกษ์จับความสับสนในใจของเธอได้ คำพูดนี้จึงทำให้ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก 

ดวงตาคะนึงนิตย์หลุบมองต่ำ เพราะรู้ถึงความผิดของตน

“พี่ชอบของพี่มานาน อย่ามาปฏิเสธกันเลยครับ”

“ทำไมล่ะคะ ถ้าปั้นจะไม่ชอบพี่พฤกษ์แล้ว...ก็สิทธิ์ของปั้นนะคะ” 

คะนึงนิตย์ไม่เข้าใจพฤกษ์เลยว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขาชอบเธอจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่อธิบายอะไรตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมถึงปล่อยให้เธอห่างไปง่ายๆ กันล่ะ โดยเฉพาะเรื่องวราลีคนนั้น ทำไมเขาถึงปล่อยให้ใครต่อใครเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนมเกินกว่าเป็นเพื่อนกัน

ถ้าเขาบอกว่าชอบเธอ...แล้วทำไมถึงไม่แสดงอะไรออกมาเลย 

หญิงสาวเม้มริมฝีปาก แม้แต่ดวงตายังสะท้อนความขัดใจ และความรู้สึกไม่เป็นธรรมออกมาอย่างชัดเจน คนมองได้แต่อ่อนใจ ใจหนึ่งก็นึกมันเขี้ยวคนน่ารักนัก 

พฤกษ์ค่อยๆ ยกมือวางแนบพวงแก้มเนียนนุ่ม พอคะนึงนิตย์ช้อนตาขึ้นมองคล้ายจะถาม เขาก็ฉวยโอกาสนี้จุมพิตเบาๆ ลงบนปลายจมูกของเธอ 

“พะ...พะ...พี่พฤกษ์ทำอะไรคะ!”

“จุ๊บครับ”

“แล้วพี่พฤกษ์จะ...จะ...จะมาจุ๊บ...ปั้นทำไม” พอถึงว่า ‘จุ๊บ’ ปลายเสียงของคะนึงนิตย์ก็เบาลง แก้มของเธอเห่อร้อนจนแม้แต่ฝ่ามือของเขายังสัมผัสได้ 

“ปั้นน่ารัก พี่อดใจไม่ไหว” 

คะนึงนิตย์ได้ยินแล้วก็ต้องถลึงตาใส่ชายตรงหน้า เธอกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาที่ทำอะไรเขาไม่ได้เลย เหมือนตอนนี้เธอกำลังทะเลาะกับนุ่นก้อนโต ใส่อารมณ์ไปมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์ 

มือหนาแสนอบอุ่นของชายหนุ่มรวบมือของเธอไว้ ขณะเดียวกัน ใบหน้าคมเข้มก็ขยับเข้าประชิด หน้าผากประสานแนบกัน แม้แต่ปลายจมูกของพฤกษ์ยังอ้อยอิ่งเฉียดปลายจมูกของเธอไปมา ราวกับลูกแมวเวลาต้องการคลอเคลียกันและกัน 

กระแสความอบอุ่นจากคนตรงหน้ารดริน ผสานลมหายใจของทั้งคู่เป็นหนึ่ง คะนึงนิตย์รับมือไม่ถูกขึ้นมาว่าตัวเองต้องทำอย่างไรต่อไป เพราะในใจของเธอตอนนี้กำลังตีรวนสับสนอย่างหนัก แม้สมองจะสั่งการให้ถอยออกมา แต่ใจกลับเอนเอียงอยากตกอยู่ภายใต้ความใกล้ชิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

“อย่าปฏิเสธพี่เลยครับ”

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบ แม้ว่าในเวลานี้คะนึงนิตย์จะมองไม่เห็นดวงตาคู่สวยของชายหนุ่ม แต่เธอกลับจินตนาการมันออกได้อย่างชัดเจน 

“ทำไมคะ”

“พี่รักปั้นไงครับ” 

“...อย่าแกล้งปั้นแบบนี้สิคะ” เสียงของคะนึงนิตย์ขาดห้วงเป็นพักๆ คำบอกรักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาเธอไปไม่ถูก “เล่นแบบนี้ปั้นไม่ขำด้วยจริงๆ นะคะ”

“ใครบอกปั้นว่าพี่เล่นๆ ล่ะครับ” 

“...”

“พี่เอาจริงเรื่องปั้นมาตลอดนั่นแหละ” 

หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ขยับตัวออกไป ปล่อยให้เธอมีโอกาสหายใจหายคอ 

เมื่อมองใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของพฤกษ์ รวมถึงดวงตาคมกริบที่มองเธอราวกับจะกลืนกินแล้ว คะนึงนิตย์ก็สะเทิ้นอาย คำพูดมากมายในหัวถูกตีให้เสียขบวน จะเรียงหยิบคำพูดอะไรออกมาตอบโต้ก็ไม่เป็นภาษา 

“แล้วพี่จะบอกปั้นอีกเรื่องนะครับ”

“อะไรคะ”

เธอหลุดถามออกไปอย่างลืมตัว เป็นผลให้นัยน์ตาของชายหนุ่มพราวระยับมากกว่าเดิม พวกเขาสบประสานสายตาไม่ละออกจากกันสักวินาที เพราะแบบนี้เองคะนึงนิตย์ถึงเห็นเงาร่างของตัวเองที่สะท้อนผ่านดวงตาของพฤกษ์ได้ชัดเจน 

“พี่ไม่จูบใครพร่ำเพรื่อนะครับ ถ้าไม่ใช่คนที่พี่รัก แม้แต่ขาอ่อนของพี่เขาก็ไม่มีทางได้เห็นหรอกนะ”

                

                “บัว! บอกเรามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ตกลงพี่ชายบัวเขากลับมาแล้วจริงๆ หรือเปล่า”

                หลังจากรับมือกับพฤกษ์แล้วทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ให้เขากลับไปได้แล้ว คะนึงนิตย์ก็รีบติดต่อกชนันท์อย่างเร่งด่วนเป็นพัลวัน เพราะการกระทำของชายหนุ่มทำเอาสมองเธอชาวาบ คิดแล้วคิดอีกว่าผู้ชายคนนี้คือพฤกษ์ที่เธอรู้จักจริงๆ หรือไม่! 

                “อ้าว! แม่กระต่ายน้อยของฉัน เธอรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่อะ เนี้ย! รู้ปะว่าพี่พฤกษ์แกงเรากับพี่โมกข์หม้อเบ้อเร่อ! อุตส่าห์จะออกไปรับ แต่ที่ไหนได้พี่พฤกษ์กลับไทยมาได้สองสามวันแล้ว ทำไม อย่าบอกนะว่าเห็นพี่พฤกษ์น่ะ”

                คะนึงนิตย์ไม่ใช่แค่เห็นด้วยซ้ำ แถมยังถูกเขาสัมผัสอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก ทว่าเรื่องนี้ตนก็ไม่ใจกล้ามากพอที่จะเล่าให้กชนันท์ฟังอยู่แล้ว จึงได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ 

                “ตกลงเจอพี่พฤกษ์เหรอปั้น” 

สุ้มเสียงของกชนันท์ทำให้เธอตั้งสติ ก่อนจะเออออขานตอบในลำคอเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

                “อืม...”

                “หืม เดี๋ยวนี้พี่พฤกษ์ร้ายขึ้นแล้ว กับน้องกับนุ่งไม่มาให้เห็นหน้า แต่ไปหาปั้นซะงั้น”

                “ไม่ได้มาหาเราสักหน่อย แค่เจอกันโดยบังเอิญ” คะนึงนิตย์แก้ต่าง ไม่ใช่เพราะอยากรักษาหน้าให้ชายหนุ่ม แต่เธอไม่อยากเข้าข้างตัวเองมากกว่าว่าพฤกษ์จงใจมาหาเธอ แต่พอได้ยินกชนันท์พูดแล้ว เธอก็เกิดคำถามในใจขึ้นเหมือนกัน ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือเป็นเพราะความตั้งใจของพฤกษ์กันแน่ 

                ตลอดเวลาที่เขาไปทำงานต่างประเทศ หญิงสาวก็ไม่เคยพูดคุยเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง ถึงกชนันท์จะเล่าสู่กันฟังในฐานะคนสนิท แต่มันจะเป็นไปได้หรือไงที่พวกเธอจะมาเจอกันแบบนี้ 

                คำถามนี้ติดค้างในใจของเธอ ไม่ว่าจะยกหาเหตุผลใดๆ มาเพิ่มน้ำหนัก ‘ความบังเอิญ’ ก็ดันเป็นคำตอบที่ดีที่สุด 

                “ไหนๆ ก็โทร. มาพอดีเลย เย็นนี้เดี๋ยวไปรับ”

                “หืม? บัวจะมารับเราทำไม” 

                “ไปกินข้าว”

                “กินข้าว?” เธอขมวดคิ้วคล้ายจะไม่เข้าใจคำคำนี้ขึ้นมา แม้จะเป็นปกติที่กชนันท์จะชวนหรือมารับเธอไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แต่ภาพที่พฤกษ์ลากเธอไปกินข้าวด้วยวันนี้ผุดขึ้นมาทำให้หญิงสาวนึกสังหรณ์ใจ 

                “ใช่แล้ว วันนี้พี่โมกข์ลงครัวทำกับข้าวเองเลย ว่างไม่ใช่เหรอ อย่ามากุธุระกะทันหันนะยะ” 

                ในเมื่อกชนันท์ดักคอขนาดนี้แล้ว คะนึงนิตย์ก็ได้แต่ตอบตกลงพลางนึกในใจ

ขอให้เย็นนี้ไม่ต้องเจอพฤกษ์ด้วยเถอะ...ก็ในเมื่อเขาบอกต้องทำธุระก่อน หวังว่าจะไม่ต้องเจอเขาอีกนะ

 

                รอยยิ้มสุกสกาวของชายหนุ่มเป็นสิ่งแรกที่คะนึงนิตย์เห็น ขาที่จะก้าวขึ้นรถยนต์เป็นอันต้องชะงัก เธอเผลอถอยหลังดูให้แน่ใจว่ารถคันตรงหน้าเป็นรถของกชนันท์จริงๆ หรือไม่ แต่ทั้งตรวจสอบยี่ห้อ รุ่น กระทั่งทะเบียนรถแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ไม่ถูกอย่างเดียวคงเป็น ‘คนขับ’

                “ปั้น ขึ้นมาได้แล้วครับ ข้างหลังติดแล้วนะ” 

เสียงเตือนจากชายหนุ่มทำให้คนขี้ระแวงต้องสูดลมหายใจ พลางเสตามองถนนด้านหลัง รถหลายคันที่ชะลอรอพวกเธออยู่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคะนึงนิตย์จึงต้องก้าวเข้าไปนั่งในรถให้เรียบร้อย ระหว่างที่คาดเข็มขัดนิรภัยก็ทำเป็นไม่สนใจนัยน์ตาพราวระยับจากคนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย 

                “บัวช่วยโมกข์เตรียมของที่บ้าน พี่เลยอาสามารับ”

                คำอธิบายสบายๆ ง่ายๆ ของพฤกษ์ทำให้เธอเถียงแย้งในใจ กชนันท์ไม่ชอบเข้าครัว ดังนั้นที่บอกว่าเพื่อนสาวอยู่ช่วยโมกข์ทำงานบ้านจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ 

                เจ้าของร่างบอบบางไม่เอ่ยอะไรออกมา ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจึงมีแต่ความเงียบปกคลุม 

                “ปั้นโกรธพี่เหรอครับ”

                ระหว่างทาง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของพฤกษ์ถาม เธอเลยเผลอละสายตาจากถนนด้านนอก แล้วเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายแทน แต่วินาทีต่อมาก็หันออกไปมองด้านนอกต่อ 

                “...ไม่ได้โกรธค่ะ”

                “ไม่มองพี่หน่อยเหรอครับ”

                “พี่พฤกษ์ขับรถอยู่นะคะ”

                “งั้นถึงบ้านก็มองพี่ได้เนอะ” 

                ถึงไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่คะนึงนิตย์กลับได้ยินกระแสเสียงที่เจือความยินดีของชายหนุ่มอย่างชัดเจน 

                ไม่กี่อึดใจ รถที่พวกเธอกำลังนั่งก็เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน จากนั้นไม่นานพฤกษ์ก็ขับรถมาจอดในบ้านรัตนเวคินทร์ พอถึงจังหวะที่ควรจะลงจากรถ ประตูรถข้างคนขับกลับถูกล็อกจากข้างใน จะเปิดก็เปิดไม่ได้ กลายเป็นว่าวินาทีต่อจากนี้คะนึงนิตย์ถูกกระชับพื้นที่ให้อยู่ในวงล้อมของอีกฝ่ายเข้าแล้ว

                หญิงสาวร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ทันทีที่หันไปสบสายตากับพฤกษ์ รอบกายกลับนิ่งงันในทันที เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า กลิ่นอายของชายหนุ่มที่กำลังโอบล้อมรอบตัวอย่างช้าๆ นั้นกำลังล่อลวงให้เธอตกลงไปในหลุมที่ไม่มีทางปีนกลับขึ้นมาได้ 

                “โกรธพี่เหรอครับ”

                พฤกษ์ถามเสียงอ่อย ทำเอาใจของเธอครึ่งหนึ่งอ่อนยวบ แต่อีกครึ่งก็พยายามต้านทานพลังทำลายล้างของชายหนุ่ม คะนึงนิตย์กระแอมกระไอในลำคอเบาๆ พลางตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

                “เปล่าค่ะ พี่พฤกษ์เปิดประตูรถสิคะ...เรามากินข้าวกันไม่ใช่เหรอคะ”

                “แต่พี่อยากอยู่กับปั้นมากกว่า”

                ได้ยินคำหวานแบบนี้ จะบอกให้ชินก็เป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งเห็นสายตาหวานระยับที่ประสานกันตรงๆ แบบนี้ คะนึงนิตย์ก็ไม่อาจควบคุมหัวใจที่เต้นระรัวได้ แม้แต่ใบหูก็ล้วนแดงซ่าน 

                “ปั้นเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือพี่พฤกษ์จริงๆ หรือเปล่า”

                คำถามนี้ทำชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง เขาแสร้งเอียงศีรษะมองร่างบางด้วยความสงสัย 

                “ทำไมครับ ถ้าพี่ไม่ใช่พี่พฤกษ์ของปั้น แล้วพี่เป็นใคร” 

                “ไม่ใช่ของปั้นเสียหน่อย พี่พฤกษ์พูดดีๆ สิคะ...อีกอย่าง พี่พฤกษ์ที่ปั้นรู้จักไม่ใช่คนพูดอะไรแบบนี้” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ แต่คนฟังกลับไม่รู้สึกขัดใจ เขาเพียงหัวเราะร่วน สบโอกาสที่หญิงสาวเผลอก็เชยปลายคางมนเล็กขึ้น แล้วโน้มใบหน้าประทับริมฝีปากของตนอย่างแผ่วเบาที่มุมปากอีกฝ่าย

                ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือเรียวยกจับจุดที่ถูกช่วงชิงสัมผัสแทบจะในทันทีที่ชายหนุ่มผละออก ต่อให้หญิงสาวถลึงตามองสวนกลับมาอย่างดุดัน ทว่าภาพตรงหน้ากลับไม่ต่างจากลูกแมวที่พยายามขู่ศัตรู มองแล้วน่าเอ็นดูมากกว่าที่พฤกษ์จะเกรงกลัว 

                “นี่ไงคะหลักฐาน...พี่พฤกษ์ไม่ใช่คนแบบนี้”

                คะนึงนิตย์ไม่หยุดความคลางแคลงใจ เธอไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าคนอย่างพฤกษ์จะมีมุมแบบนี้กับคนอื่นเขา ราวกับว่าท่าทางหยอกล้อเจ้าเล่ห์แบบนี้เป็นใครคนอื่นที่อาศัยรูปร่างหน้าตาเดียวกันกับเขา 

                “พี่ก็เป็นแบบนี้มาตลอด แต่แค่ปั้นไม่ได้สังเกต”

                “ไม่จริงค่ะ เมื่อก่อนพี่พฤกษ์ไม่เป็นแบบนี้ ไม่เคยเห็นจะพูดแบบนี้กับปั้น” 

                หญิงสาวสวนกลับเขาแทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่ชายหนุ่มพูดจบ แต่พฤกษ์ก็ไม่แสดงท่าทีร้ายๆ ใดๆ ออกมา กลับกันเขายังคงยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ซ้ำยังเฉลยความในใจออกไปให้คนน่ารักรู้ตัว

                “เมื่อก่อนพี่ต้องอดทนล้วนๆ เลย เพราะกลัวปั้นหนีไปก่อน แต่ว่าตอนนี้...”

                ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มอย่างระแวดระวัง ส่วนอีกฝ่ายยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบไล้เรือนผมอ่อนนุ่มของหญิงสาว 

                “ตอนนี้พี่ไม่ต้องทนแล้ว ต่อให้ปั้นจะหนี พี่ก็ไม่ยอมหรอก”

                “...”

                “ต่อจากนี้ปั้นเตรียมรับมือพี่ดีๆ นะครับ”

                หลังจากพูดจบ พฤกษ์ก็ยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมผละออกไปโดยง่าย เคลื่อนมือวางแนบพวงแก้มของเธอ ปลายนิ้วโป้งกรีดผ่านริมฝีปากล่างอย่างหยอกล้อ 

                “ถ้าเมื่อก่อนทำแบบนี้ ปั้นจะยอมมาค้างบ้านพี่เหรอ”

                ชายหนุ่มเฉลยจุดประสงค์ของตัวเองออกมาหน้าตาเฉย ผิดกับเธอที่ใบหน้าค่อยๆ ร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ 

                “บอกแล้วไงครับว่าพี่ชอบของพี่นานแล้ว ทำไมไม่เชื่อกัน หืม”

                คะนึงนิตย์ไร้ซึ่งคำพูดใดจะโต้ตอบ เสียงของเธอถูกกลืนหายไปในลำคอ แม้แต่การหายใจยังเป็นเรื่องลำบากขึ้นมา จวบจนใบหน้าของชายหนุ่มโน้มเข้ามาใกล้จวนเจียนจะแนบชิดริมฝีปากของเธอ เขาถึงได้หยุดแล้วกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า

                “ของอร่อยพี่ก็ต้องอดใจไว้กินทีหลังสิครับ”

                

                “ปั้น ทำไมหน้าแดง” 

                เสียงทักของกชนันท์ทำคนมีพิรุธสะดุ้งเฮือกใหญ่ หลังจากที่รับมือกับคนพี่มาแล้ว เธอยังจะต้องมารับมือกับคนน้องอีก 

                “...เปล่า ก็ปกติ” 

                ทว่าทันทีที่ตอบ คะนึงนิตย์ก็ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ จากด้านหลัง เป็นพฤกษ์ที่ยืนห่างอยู่ไม่กี่ก้าวกำลังมองเธอด้วยนัยน์ตาพราวระยับ ความทรงจำในรถยนต์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็แวบเข้ามาในหัว 

                พวงแก้มที่แดงก่ำยิ่งขึ้นสีมากจนคนมองนึกแปลกใจ แต่พอหันไปเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของพี่ชายคนโต กชนันท์ก็ร้องอ๋อยาวๆ เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาได้ทันที เธอยกมือเท้าเอว พลางมองพี่ชายกับเพื่อนสนิทสลับกันด้วยสายตาคมกริบ ยิ่งเห็นคะนึงนิตย์เขินอายจนแทบจะม้วนตัวบิดเข้าหากันแบบนี้แล้วก็ยิ่งมั่นใจ 

                พี่พฤกษ์รุกฆาต! 

                คิดไปคิดมาก็ต้องเห็นใจเพื่อนสาว แบบคะนึงนิตย์ก็มีแต่ชวนให้สงสาร เพื่อนแสนดีของเธอคนนี้ตามเกมรุกของพี่ชายไม่ทันแน่ๆ กชนันท์หันไปยักคิ้วใส่คนเป็นพี่ เมื่อเห็นเขายิ้มอ่อนใจมาเช่นนี้ก็เข้าใจ จากนั้นถึงหันไปบอกร่างเล็กที่หน้าแดงจนสุกข้างกาย

                “ปั้นมาพอดีเลย เราเพิ่งหนีจากพี่โมกข์มา คนอะไรก็ไม่รู้บ่นเก่ง! ปั้นไปรับมือแทนหน่อยสิ” 

                คนที่รอหาโอกาสหนีจากพฤกษ์อยู่แล้วมีหรือจะปฏิเสธ ร่างเล็กรีบพยักหน้ารับแล้วออกฝีเท้าก้าวเร็วๆ ไปทางห้องครัวแต่โดยดี เพราะขืนยืนอยู่ที่เดิมแม้แต่วินาทีเดียวก็เหมือนจะทนไม่ไหวอีกแล้ว สายตาของชายหนุ่มที่จับจ้องมายังร่างของตนนั้นเอาแต่แผดเผาลามเลียจนเธออยู่ไม่สุขเลยสักนิด 

                “เบาได้เบานะพี่พฤกษ์ แหม ไอ้เราก็ว่าพี่ชายอาสาไปรับ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” กชนันท์อดไม่ได้ที่จะแซวพี่ชาย มือเรียวยกขึ้นตบบ่าคนเป็นพี่เบาๆ 

                “พี่ก็ไม่ได้ทำอะไร”

                “เชื่อก็บ้าแล้ว ปั้นอายตัวม้วนขนาดนั้น สารภาพมาซะดีๆ ทำอะไรเพื่อนบัว” 

                พฤกษ์เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเบนสายตามองน้องสาว มุมปากที่ยกขึ้นนั้นค่อยๆ คลี่เป็นรอยยิ้มที่นานๆ ทีจะได้เห็น 

“ก็จีบเพื่อนบัวไง”

กชนันท์เบิกตากว้าง จากนั้นก็หลุดหัวเราะร่วนออกมายกใหญ่จนน้ำตาไหล เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตบมือให้ความแน่วแน่ของพี่ชาย 

                ไม่เสียแรงเลยที่เป็นพี่ชายของเธอ! 

                “แหม แล้วตอนนั้นทำเป็นเก๊กนิ่ง ถามจริง เตรียมหลอกปั้นมานานแค่ไหนแล้วคะ” 

                ชายหนุ่มไม่ตอบ แถมยังปรายตามองคนถามด้วยสีหน้าดุๆ แทน จนคนเป็นน้องต้องเบ้ปาก กลอกตามองบน 

                “เคๆ บัวไม่เซ้าซี้ก็ได้ แต่พี่พฤกษ์เห็นปั้นหงิมๆ นุ่มนิ่มแบบนั้น ปั้นก็ใจแข็งอยู่นา จะจีบได้เร้อ” 

                พฤกษ์ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำปรามาสจากน้องสาว เขาเบนสายตาไปยังทิศทางที่คะนึงนิตย์จากไป แววตาเปล่งประกายเรืองรองจนคนมองใจสั่น นึกหวั่นๆ ขึ้นแทนเพื่อนสนิท ทว่าสุ้มเสียงของพี่ชายที่เอ่ยถึงอีกฝ่ายกลับอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด

                “แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่จะจีบไม่ติดล่ะ พี่มองของพี่ไว้นานแล้ว ไม่รู้หรือไง”

                กชนันท์ลูบขนแขน ไม่คิดไม่ฝันว่าพี่ชายที่แสนเย็นชาของตนจะมีโมเมนต์อ่อนหวานแบบนี้กับคนอื่นเขาด้วย ทว่าในใจเธอลึกๆ กลับยินดีขึ้นมาเช่นกัน 

                “โอเคๆ บัวจะดูอยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน ถ้าเป็นปั้นก็ดี บัวหายห่วง เต็มที่เลยนะพี่พฤกษ์”

                พฤกษ์ไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงยกยิ้มแล้วเอ่ยปากเตือนน้องสาวหนึ่งอย่างที่สำคัญ

                “ดี แต่อย่าลืมไปซ้อมมาใหม่ด้วยล่ะ”

                “อะไรพี่พฤกษ์”

                “ก็เตรียมเรียกพี่สะใภ้ให้คล่องปากไงล่ะ”

 

                “พี่โมกข์ มีอะไรให้ปั้นช่วยไหมคะ” 

                คะนึงนิตย์โผล่ศีรษะเข้าไปในครัว จังหวะนั้นเองถึงเห็นโมกข์กำลังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้า เสียงร้องทักของเธอทำให้อีกฝ่ายหันกลับมามอง เมื่อเห็นชัดว่าเป็นใคร เขาถึงเผยรอยยิ้มอบอุ่นตามแบบฉบับของตนออกมา ชายหนุ่มหรี่ไฟบนเตาแก๊สลงแล้วถามด้วยความสงสัย 

                “บัวใช้ให้เรามาละสิ” 

                หญิงสาวหัวเราะร่วน ในใจนึกอิจฉาความสัมพันธ์ที่น่ารักอบอุ่นของสามพี่น้องรัตนเวคินทร์ เธออมยิ้มพลางตอบพี่ชายคนดีตรงหน้า 

                “ค่ะ พี่โมกข์มีอะไรให้ปั้นช่วยไหมคะ” คะนึงนิตย์เดินมาหยุดที่หน้าซิงก์ล้างจานแล้วล้างมือให้สะอาด จากนั้นก็หยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาสวมด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติและคุ้นชิน ทำให้โมกข์เผลอคิดถึงตอนที่สาวเจ้ามาอยู่กับพวกเขาระยะหนึ่ง จากนั้นถึงหลุดถามออกไปอย่าลืมตัว

                “ปั้นเจอพี่พฤกษ์แล้วใช่ไหม”

                คำถามนี้ทำร่างบอบบางชะงักเล็กน้อย ทว่าวินาทีต่อมาเธอก็หันมาส่งยิ้มให้ตามปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าดวงตาที่สั่นไหวเช่นนี้มีหรือคนมองจะเดาไม่ออก 

                “ค่ะ”

                “อ๋อ ดีแล้ว ก่อนหน้านี้พี่พฤกษ์ถามถึงปั้นบ่อยๆ เหมือนกัน” โมกข์รับรู้มาตลอดว่าพี่ชายของเขารู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวร่างเล็กข้างกาย สำหรับตนแล้วคะนึงนิตย์เป็นน้องสาวที่น่ารัก หากพี่ชายของเขากับเธอจะพัฒนาความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาก็ไม่ติดใจอะไร แถมยังจะสนับสนุนด้วยซ้ำ 

                คะนึงนิตย์เป็นเด็กน่ารัก โมกข์เห็นเธอมานานและมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดี ไม่มีอะไรให้กังวล อีกทั้งการมาของเธอยังทำให้บรรยากาศรอบตัวพฤกษ์เปลี่ยนไปโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คงมีแค่หญิงสาวคนนี้เท่านั้นแหละที่เขาเห็นว่า เธอทำให้พฤกษ์แสดงท่าทางอ่อนหวานผิดกับนิสัยของตนออกมามากที่สุด

                ระหว่างนั้นโมกข์จับจ้องร่างบางที่คุ้นตากำลังช่วยงานครัวด้วยท่าทางกระตือรือร้น มือขาวเนียน นิ้วเรียวยาวทั้งดูบอบบางและชวนให้ลุ่มหลง คะนึงนิตย์ขยับมืออย่างคล่องแคล่ว ไม่กี่นาทีผักสดที่เขาเตรียมไว้ก็ถูกหั่นเรียงอย่างสวยงาม เขาเห็นเธอก้มสูดกลิ่นหอมๆ ของแกงในหม้อ แล้วเอียงใบหน้าหวานซึ้งถามเขาเสียงเบา

                “พี่โมกข์ทำแกงจืดไข่ม้วนหมูสับวุ้นเส้นสินะคะ”

                ไอน้ำทำให้ภาพตรงหน้าเหมือนอยู่ในห้วงฝัน มีเพียงดวงตาของหญิงสาวที่กระจ่างชัดเจน 

                สุดท้ายโมกข์ถึงได้เข้าใจว่าทำไมพี่ชายของเขาตกหลุมรักหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ 

                “ใช่จ้ะ พี่เพิ่งเริ่มทำน้ำซุปเอง พวกเครื่องยังไม่ทันได้เตรียมเลย แต่อย่างอื่นเรียบร้อยแล้วละ” 

คะนึงนิตย์พยักหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปยังโต๊ะเตรียมกับข้าวกลางห้องครัวที่มีกับข้าวใส่จานสวยเรียงรายอยู่สามสี่เมนู 

                “งั้นเดี๋ยวปั้นช่วยพี่โมกข์ทำเครื่องก่อนนะคะ” 

                หญิงสาวล้างมือก่อนผละจากผักตรงหน้าไปยังถ้วยหมูสับ เธอลงมือผสมหมูสับกับวุ้นเส้น และแคร์รอตหั่นเป็นชิ้นๆ จากนั้นปรุงรสด้วยซีอิ๊วถั่วเหลือง นวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและพอเหนียว ก่อนนำไปแช่เย็นเพื่อเตรียมให้เนื้อเซตตัว 

                คะนึงนิตย์ล้างมืออีกรอบ จากนั้นก็เตรียมไข่สำหรับใช้ห่อหมู หญิงสาวหยิบไข่ไก่ในแผงขึ้นมาตอกแล้วตีให้แตก 

ต่อด้วยตั้งกระทะอีกเตาที่อยู่ใกล้ๆ กัน มือเรียวหยิบน้ำมันพืชมาทาให้ทั่ว รอจนกระทะร้อนก็นำไข่ไก่ลงทอด กลอกให้เป็นแผ่นกลมบาง ยามที่ไข่สีเหลืองทองสุกทั่วๆ กันถึงได้ตักขึ้นมาพักไว้ แล้วก็ทำอีกจนกว่าไข่ไก่ที่เตรียมไว้จะหมด 

                สุดท้ายก็เดินไปหยิบส่วนผสมอย่างพวกหมูสับในตู้เย็นออกมา ตักส่วนผสมหมูสับใส่ลงบนไข่ ห่อให้เป็นแท่งกลมแล้วมัดด้วยก้านขึ้นฉ่ายลวกให้แน่น จากนั้นหั่นไข่ม้วนให้สวยงาม 

ทุกขั้นตอนการทำของหญิงสาวทั้งคล่องแคล่วชำนาญ เหมือนคนที่ผ่านการเข้าครัวมาแล้วนักต่อนัก ทว่าสิ่งหนึ่งที่คะนึงนิตย์ไม่รู้เลยก็คือ ทุกขั้นตอนที่เธอเพ่งสมาธิอยู่นั้นตกอยู่ในสายตาของพฤกษ์มาโดยตลอด 

                ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่โมกข์ปิดแก๊สที่กำลังอุ่นหม้อน้ำซุป แล้วปล่อยให้พี่ชายทอดสายตาบันทึกทุกท่วงท่าอิริยาบถของหญิงสาวหนึ่งเดียวในนี้เพียงลำพัง 

                กระทั่งคะนึงนิตย์จะนำหมูห่อไข่ลงไปในหม้อน้ำซุป เธอถึงค้นพบความผิดปกติ ในห้องครัวไม่มีร่างของโมกข์แล้ว มีแต่พฤกษ์ที่ยืนพิงกรอบประตูพลางทอดสายตามองเธออย่างเพลิดเพลินอยู่ 

                มือเรียวชะงักงันไม่ต่างจากร่างกายที่พลันสะดุด เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะถามเขาเสียงเบา “พี่โมกข์ล่ะคะ”

                พฤกษ์กอดอกมองหญิงสาวอย่างพึงพอใจ เขาตอบคำถามนั้นอย่างไม่เร่งรีบ 

“โมกข์ยกกับข้าวออกไปข้างนอกแล้ว” 

“...ค่ะ” 

หญิงสาวพึมพำตอบ จากนั้นถึงได้ตัดใจ แกล้งไม่สนใจชายหนุ่มที่เอาแต่จับจ้องตน แล้วทุ่มสมาธิที่แกงจืดตรงหน้าแทน เธอเปิดฝาหม้อดูซุปที่โมกข์ทำทิ้งไว้ ดูเหมือนน้ำซุปจะเข้าที่แล้ว เธอตักเครื่องที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงหม้อ แล้วเร่งไฟให้น้ำในหม้อเดือด พลางคอยดูให้ส่วนผสมทั้งหมดสุกโดยทั่ว 

เมื่อไข่ม้วนหมูสับลอยปริ่มน้ำแล้ว เธอจึงปิดไฟให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆ ตักทั้งหมดใส่ถ้วยที่เตรียมเอาไว้ กลิ่นของน้ำแกงหอมฟุ้งไปทั่วครัว คะนึงนิตย์ค่อยๆ ประคองถ้วยแกงจืดอย่างเบามือมาวางบนโต๊ะกลางครัวตามความเคยชิน พอเงยหน้าขึ้นมาถึงเห็นว่าพฤกษ์เคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้ๆ แล้ว 

“หอมน่ากินมากครับ” 

ถึงปากเขาจะพูดถึงอาหารตรงหน้า แต่คะนึงนิตย์กลับรู้สึกว่าสายตาของเขากำลังตกลงที่ร่างของตน

“กับอย่างสุดท้ายเสร็จแล้ว พี่พฤกษ์ออกไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวปั้นเก็บครัวแล้วยกตามไป” 

เธอแสร้งไม่รับรู้นัยน์ตาที่เขาทอดมองมาอย่างมีความหมาย รีบหันรีหันขวางเก็บเครื่องครัวเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้า ขยับตัวไปล้างมือล้างไม้ให้สะอาด ทำเหมือนว่าชายหนุ่มที่เอาแต่จดจ้องมองมานั้นไม่มีตัวตน ทว่าแค่พฤกษ์ก้าวเดินไม่กี่ก้าว เขาก็เข้ามายืนประชิดเธอได้แล้ว 

กลิ่นน้ำหอมและกลิ่นสะอาดจากร่างสูงโปร่งอบอวลอยู่รอบๆ กาย กลิ่นที่แสนอบอุ่นเหมือนแสงแดดทำให้คะนึงนิตย์อดไม่ได้ ต้องเงยหน้าสบเข้ากับดวงตาคมเข้มของชายหนุ่ม 

วินาทีนั้นราวกับมนตร์สะกด เธอได้แต่จับจ้องดวงตาเรืองรองคู่ตรงหน้า ขณะที่พฤกษ์ก็แนบกายแอบอิงขยับเข้ามาใกล้ชิด มือหนาของเขาช้อนปลายคางของเธอ ริมฝีปากเรียวเปิดออกพร้อมเสียงทุ้มที่กระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน 

“พี่เคยจินตนาการเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่า ถ้าปั้นเป็นของพี่ ภาพนี้คงสวยงามที่สุด”

แม้หญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าจะเคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเขาระยะหนึ่ง ทว่าทุกครั้งเธอมักทำตัวเป็นคนนอกเสมอ ต่อให้พยายามใกล้ชิดแค่ไหน คะนึงนิตย์จะสร้างช่องว่างด้วยความเกรงใจ และความเคารพกั้นพวกเขาเอาไว้ ราวกับว่าการที่เขาให้ความช่วยเหลือเป็นเพียงความเมตตาอย่างหนึ่งเท่านั้น 

ทว่าทุกครั้งที่เห็นเธอในบ้าน เขากลับยิ่งรู้สึกว่าในใจของตัวเองได้รับการเติมเต็ม ไม่อาจละสายตาออกจากใบหน้าของเธอได้เลย ดังนั้นเขาถึงพยายามทำทุกอย่างเงียบๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว พยายามเป็นที่พักพิงให้เธอ อยากให้ดวงตาคู่นี้ตกลงที่ร่างของเขาด้วยความรู้สึกลึกซึ้งเช่นเดียวกัน 

เขาตกหลุมรักเธอ ทั้งดวงตาของเธอ ทั้งริมฝีปาก ทั้งเส้นผม เรือนร่างบอบบาง เสียงนุ่มอ่อนหวาน ทั้งหมดที่เป็นคะนึงนิตย์ทำให้เขาไม่อาจลืม เป็นความคิดถึงที่ชวนลุ่มหลงที่สุดที่เขาเคยสัมผัส 

“เป็นแม่ศรีเรือนขนาดนี้แล้ว เตรียมมาอยู่บ้านพี่เถอะครับ”

“คะ!?”

พฤกษ์ใช้หลังมือเคาะที่หน้าผากมนเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงหวาน 

“ไม่ต้องใช้เสน่ห์ปลายจวัก แค่นี้พี่ก็รักก็หลงมากแล้วครับ”

พวงแก้มของหญิงสาวแดงปลั่งจนเขาต้องมองแล้วมองอีก ตั้งแต่ที่พบกับเขา ใบหน้าหวานของคะนึงนิตย์ก็จะแต้มด้วยสีแดงแบบนี้

ทั้งๆ ที่ชอบเขาแท้ๆ ทำไมถึงยังปิดปากไม่ยอมรับอีกกันนะ...

“ปั้น หน้าแดงแล้วนะ” เขาเย้า ส่วนคนตัวเล็กก็ยกมือกุมใบหน้า ดวงตาของเธอมองตรงมาทั้งที่มีแววความไม่พอใจ และดื้อดึงจนคนมองนึกขำ 

...จะโกรธก็โกรธสิ ทำไมต้องน่ารักด้วย

“ปั้น”

“...”

“ปั้นครับ”

คะนึงนิตย์ได้ยินว่าพฤกษ์กำลังเรียกตน แต่เพราะตอนนี้เธอถูกเขาต้อนให้จนมุมอีกแล้ว อีกทั้งเธอไม่ได้มีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะต่อกรเขาได้ ดังนั้นก็ทำได้แค่พยายามเลี่ยงให้มากที่สุด ทว่าพฤกษ์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเอาแต่เรียกเธอเสียงหวาน แถมยังกักเธอเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ทนไม่ไหว ต้องขานรับให้เขาเลิกก่อกวนสักที

“ว่าไงคะ”

คะนึงนิตย์เห็นมุมปากของชายหนุ่มกำลังยกยิ้มอย่างยินดี 

“ชอบนะครับ พี่ชอบปั้นนะครับ”

อีกแล้วคนคนนี้! 

ราวกับหัวใจถูกศรของกามเทพปักลงเข้าอย่างจัง ดวงตาหญิงสาวที่มองเขาในเวลานี้สั่นไหว แม้แต่ลมหายใจก็สะดุดกลางคัน ทุกอย่างในใจวุ่นวายไปหมด หัวใจเจ้ากรรมก็เอาแต่เต้นระรัวด้วยความยินดี เพราะแบบนี้เธอถึงเก็บกระแสความยินดีบนใบหน้าไม่ได้เลย ทำได้เพียงหมุนตัวหันหลังให้ 

แต่แล้วไออุ่นของชายหนุ่มกลับโอบล้อมเธอไว้จากด้านหลัง แขนแกร่งสอดผ่านเอวของเธอทั้งสองข้าง จากนั้นก็โอบกอดเธอไว้ทั้งตัว ปลายคางวางลงที่ไหล่ข้างหนึ่ง ยามที่เขาพูด ทั้งเสียงทุ้มและลมหายใจอุ่นร้อนจึงเป่ารดใบหูของเธอจนร้อนฉ่า

“พี่ชอบปั้นมากขนาดนี้ ยังไม่เชื่อพี่อีกเหรอ”

“พี่พฤกษ์ปล่อยปั้นก่อน...เดี๋ยวคนอื่นมา” ละล่ำละลักบอก แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ กลับเพิ่มแรงที่กอดรัดเธอให้แน่นขึ้น หลังเธอแนบชิดแผ่นอกของเขา จนสัมผัสได้ถึงเจ้าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของชายหนุ่มที่เต้นระรัวไม่แพ้ตน 

“บอกพี่ก่อน แล้วพี่จะปล่อยปั้น”

“บอกอะไรคะ” เธอถามเสียงอ่อน ทว่าไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม 

“บอกรักพี่ก่อน แล้วพี่จะปล่อย”

“พี่พฤกษ์!”

“ถ้าปั้นเกลียดพี่ก็พูดมาเลยครับ ถ้าปั้นไม่ชอบพี่เลยสักนิดก็บอกพี่...พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้ปั้นลำบากใจอีก” 

สิ้นเสียงของพฤกษ์ ทั้งเธอและเขาก็หยุดนิ่ง 

คะนึงนิตย์เหมือนสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างผ่านน้ำเสียงของเขา เพราะแบบนั้นในใจของเธอจึงปวดหนึบขึ้นมา 

เธอกัดริมฝีปากแน่น จู่ๆ ในหัวก็ปรากฏภาพเขากับวราลีขึ้นมา เพียงแค่นึกว่าหากวันหนึ่งเขาไปจากเธอจริงๆ ทั้งการพร่ำกระซิบบอกรัก ทั้งอ้อมกอดแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและดวงตาที่สื่อความหมายแบบนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นของวราลีขึ้นมา ในใจของหญิงสาวก็ปวดร้าวจนเธออยากจะร้องไห้ 

จริงๆ แล้วแค่เขาบอกว่ามีใจให้เธอ หัวใจของเธอก็เอนเอียงไปหาเขาอย่างง่ายดายเลยแท้ๆ แต่ที่ต้องเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้แบบนี้เพราะคำหนึ่งคำที่อยู่ในใจ...กลัว 

คะนึงนิตย์กลัวเหลือเกินว่า ความสุขที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นเพียงม่านหมอกยามรุ่งสาง พออาทิตย์ส่องสว่างมันก็จะจางหายไป ทั้งชีวิตของเธอที่ผ่านมาพบแต่ความผิดหวังอยู่เสมอ น้อยนักที่เธอจะโชคดี ดังนั้นหากเขาเป็นเพียงความสุขที่เข้ามาประเดี๋ยวประด๋าว ไม่มีทางที่เธอจะเป็นเจ้าของได้ แบบนี้สู้ให้เธอไม่ต้องรู้สึกอะไรเลยไม่ดีกว่าหรือ... 

อีกอย่าง แค่มองด้วยตาเปล่า ตัวเธอกับพฤกษ์ก็หาความเหมาะสมแทบจะไม่ได้ เธอไม่มีอะไรสู้วราลีคนนั้นได้เลย แค่มองพวกเขาสองคน ความรู้สึกเปรียบเทียบก็พลันทำให้เธออึดอัดใจเหลือเกิน 

หากวันหนึ่งพฤกษ์รู้ตัวขึ้นมาล่ะ...หากเขาพึงตระหนักได้ว่าเธอไม่อาจเทียบเคียงคนอื่น หรือทำให้เขารู้สึกเชิดหน้าชูตาได้ เขาจะผิดหวังหรือไม่ เขาจะเสียดายหรือไม่ที่ไม่เลือกคนที่เหมาะสมกับตัวเองตั้งแต่แรก... 

“เด็กโง่ คิดอะไรไปไกลอีกแล้วใช่ไหม”

สุ้มเสียงของชายหนุ่มดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ความคิด ในพริบตาพฤกษ์ก็คลายอ้อมกอด วินาทีนั้นเธอรู้สึกว่าหนาวสั่นขึ้นมาทั้งๆ ที่อากาศรอบข้างก็ปกติ นี่อาจจะเป็นเพราะอ้อมแขนของเขาอบอุ่นเป็นพิเศษ เธอถึงได้นึกเสียดายขึ้นมาจับใจ 

พฤกษ์จับไหล่ของคะนึงนิตย์ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเดินอ้อมมาหยุดที่ตรงหน้า จากนั้นก็เชยปลายคางของเธอให้เงยขึ้น ดวงตาทั้งสองคู่ประสานเข้าหากันอย่างเชื่องช้า 

“พี่ชอบปั้นครับ พี่รักปั้น เลิกคิดไร้สาระได้แล้วครับ” 

“ปั้นเปล่า...คิดไร้สาระ”

“โกหกอีกแล้ว”

เธอเม้มปาก พลางหลุบตามองต่ำ ไม่อยากยอมรับว่าเขาพูดถูก

“ปั้น...”

“อะไรคะ”

“พี่ชอบปั้น เรื่องอื่นปั้นไม่จำเป็นต้องสนใจ ปั้นมองพี่ได้ไหมครับ” 

เพราะน้ำเสียงที่เจือด้วยความอ้อนวอนของชายหนุ่ม สุดท้ายเธอก็ยอมช้อนตามองใบหน้าที่โหยหามาหลายปี 

“พี่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปั้นถึงไม่ยอมรับพี่สักที ทั้งๆ ที่ชอบพี่มากขนาดนี้ หือ” พฤกษ์เอ่ยยิ้มๆ เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “สองปีที่ผ่านมานี้ ปั้นลืมพี่ได้ไหม”

คนตัวเล็กส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นมากกว่าเดิม

“พี่ก็ไม่เคยลืมปั้นเหมือนกัน ดังนั้น...เรามาคบกันเถอะครับ ถ้าปั้นปฏิเสธพี่ตอนนี้ พี่จะยอมฟังเหตุผลของเราสักข้อ ถ้าไม่ใช่เหตุผลที่พี่รับได้ พี่ก็จะตามกวนใจปั้นต่อไปแบบนี้แหละ”

“แบบนั้น...!”

แบบนั้นก็เท่ากับไม่มีทางให้หนีเลยไม่ใช่หรือไง คะนึงนิตย์คิดในใจ ทว่าจริงๆ แล้วเธอกลับรู้สึกว่าความคิดนี้ก็ไม่แย่เลยเสียทีเดียว ในใจรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว กระทั่งคำถามสำคัญของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ว่าไงครับ ตกลงปั้นหวั่นไหวกับพี่สักนิดหรือเปล่า ในใจปั้นมีพี่อยู่ไหมครับ”


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น