6

6

6

 

                ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของชายหนุ่มสอดประสานเข้ากับนิ้วทั้งสิบของเธอ ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นกำลังประกบเข้ากันอย่างแนบแน่น เหมือนกับสายตาอันแรงกล้าที่ไม่ยอมผละออก มันแผดเผาราวกับกำลังดูดดึงวิญญาณของเธอไปช้าๆ ลมหายใจของหญิงสาวติดขัดกะทันหัน ในใจราวกับกำลังถูกมดนับพันตัวไต่จนทั้งคันทั้งเจ็บยุบยิบไปหมด 

คะนึงนิตย์ไม่อาจแสร้งได้ว่าไม่ได้ยินคำถามนี้ รู้ดีแก่ใจว่าพฤกษ์จะไม่ปล่อยให้คำถามของเขาถูกทิ้งค้างอย่างไร้คำตอบแน่นอน

                ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวค่อยๆ เม้มเข้าหากัน คะนึงนิตย์ช้อนตามองชายหนุ่ม รวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมดเอื้อนเอ่ยคำตอบที่อยู่ในใจออกมา 

                “ในใจของปั้น...มีพี่พฤกษ์มาตั้งนานแล้ว”

                เสียงของเธอเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ แต่เสียงอันแผ่วเบานี้กลับดังกังวานในหูของชายหนุ่ม 

                พฤกษ์เก็บใบหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาวไว้ในสายตา ราวกับต้องการพิมพ์ภาพตรงหน้านี้ลงในใจให้ละเอียดที่สุด แม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าดวงตาของคะนึงนิตย์มีเงาของเขาทับซ้อนตั้งแต่ในอดีต ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็เทียบไม่ได้เลยกับคำตอบที่เปิดเผยหัวใจออกมา 

                เขาค่อยๆ โอบร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน กอดเธอให้แนบแน่นเพื่อพิสูจน์ว่า คนที่อยู่ตรงหน้ามีตัวตนจริง ไม่ใช่ภาพฝันที่เขาสร้างขึ้นมาเอง 

                “พี่พฤกษ์ปล่อยปั้นสิคะ” เสียงหวานร้องประท้วง 

เขากลั้วหัวเราะเบาๆ ยอมผ่อนแรงที่อ้อมแขนออก กระทั่งหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา สายตาของพวกเขาถึงได้สบประสานกันอีกครั้ง 

                “แบบนี้พี่เข้าใจว่าเราเป็นแฟนกันได้แล้วเนอะ” ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้ม คำว่า ‘แฟน’ เหมือนกับสารเร่งปฏิกิริยา พวงแก้มเนียนของหญิงสาวถึงได้แดงปลั่ง อีกนิดก็คงเค้นหยดเลือดออกมาได้แล้ว 

                “ปั้นยังไม่ได้รับปากสักหน่อย” 

เธอตอบเสียงเบา แต่พฤกษ์ก็ไม่สนใจ เขาเพียงรวมมือเรียวของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ แล้วยกขึ้นมาจูบประทับปลายนิ้วทั้งสิบเบาๆ รับรู้ถึงร่างกายของคะนึงนิตย์ที่สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะช้อนตามองเธอด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ 

                “ทำไมครับ”

                คะนึงนิตย์เข้าใจคำถามนี้ได้ในทันที สายตาร้อนแรงของพฤกษ์แทบจะละลายให้เธอตายทั้งเป็นอยู่แล้ว หญิงสาวตั้งสติก่อนจะตอบตามจริง 

                “พี่พฤกษ์ยังไม่รู้จักปั้นดีเลย”

                “เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว พี่มั่นใจว่ามันมากพอครับ”

                “เราไม่เจอกันตั้งหลายปี ยังมีอีกหลายเรื่องที่พี่พฤกษ์ไม่รู้”

                “ใครบอกว่าพี่ไม่รู้ล่ะครับ”

                “...ปั้นก็บอกพี่พฤกษ์แล้วนี่คะว่า ปั้นพยายามเลิกชอบพี่อยู่”

                “แต่ก็ไม่สำเร็จ...ใช่ไหมล่ะ”

                “ปั้น...”

                “พี่ก็บอกปั้นแล้วนะครับ ว่าไม่ยอมให้หนีอีกแล้ว”

                แทบจะในวินาทีเดียวกันที่ชายหนุ่มสวนตอบ ทำเอาเธอชะงักกับความจริงที่เขาพูด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยกเหตุผลข้อไหนขึ้นมาอีก

                “พี่รู้ว่าปั้นกังวล...”

                คะนึงนิตย์มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาค้นหา ดวงตาสีนิลเข้มของเขาเป็นประกาย ทว่านอกจากความรักและความอ่อนโยนที่เอ่อล้นออกมาแล้ว เธอกลับเห็นความดื้อดึงผ่านสายตาคู่นี้ได้อย่างชัดเจน 

                “แต่ว่าพี่ไม่อยากปล่อยให้เวลาของเราหมดไปง่ายๆ แล้ว ปั้นคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าพี่รอเวลานี้มานานแค่ไหน” 

เขาเว้นจังหวะการพูด ขณะเดียวกันใบหน้าที่เอาแต่ล่อลวงเธอในฝันก็ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 

                “ปั้นได้หัวใจของพี่ไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นหัวใจของปั้น...พี่ขอนะครับ”

                พูดจบพฤกษ์ก็บรรจงจุมพิตอย่างนุ่มนวลบนริมฝีปากอิ่ม คล้ายจะหยั่งเชิงหญิงสาว เขารู้สึกได้ว่าคะนึงนิตย์ในตอนนี้เพียงแต่ชะงักเพราะความตกใจเล็กน้อย ทว่าเธอกลับไม่มีท่าทีขัดขืน ชายหนุ่มถึงได้มีกำลังใจ ค่อยๆ ใช้สองมือตระกองโอบเอวบางเข้ามาในอ้อมแขน ให้ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันมากขึ้น 

ปลายลิ้นอุ่นละเลียด พยายามแง้มปากจิ้มลิ้ม กวาดระแนวฟันไปเกี่ยวปลายลิ้นเล็กๆ ของหญิงสาวอย่างย่ามใจ ลมหายใจของเขาอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของคะนึงนิตย์ ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ชวนให้ลุ่มหลง และเคลิบเคลิ้มอยู่ในฝันอย่างห้ามไม่อยู่ 

                ส่วนคะนึงนิตย์ แรกเริ่มเธอได้แต่ตระหนกตกใจที่ริมฝีปากของพฤกษ์เชยชิมริมฝีปากของเธอ ทั้งร่างนิ่งชะงัก แต่วินาทีต่อมาที่สัมผัสอุ่นร้อนแสนใกล้ชิดนี้ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเธอกลับโอนอ่อนไปตามแรงเย้ายวนของชายหนุ่ม ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากลีบปากอันบอบบางถูกเขาขบเม้ม แลกเปลี่ยนความหอมหวานอย่างหนักหน่วง 

ลมหายใจที่เจือกลิ่นอายบุรุษเพศอบอวลอยู่รอบตัว พอจะผละถอยออกมา ก็พบว่ามือข้างหนึ่งของพฤกษ์ช้อนประคองศีรษะของตนไว้อย่างมั่นคง ทำให้เธอไม่สามารถหลุดจากพันธนาการแสนหวานนี้ได้ง่ายๆ 

                “ปั้นครับ ทำไมถึงหวานขนาดนี้ล่ะครับ” 

                พฤกษ์ถอนจูบก่อนจะกระซิบไม่ห่างริมฝีปาก นัยน์ตาคมมองดวงตาหวานของหญิงสาวที่กำลังพร่าเลือนเพราะมึนเมาอยู่กับรสจูบ ยามเห็นใบหน้าของเธอที่เหม่อค้างในห้วงรัก เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องขยับกายเข้าไปช่วงชิงลมหายใจของเธออีกครั้งและอีกครั้ง

                “ชอบหรือเปล่า”

                ไม่เพียงแค่เชยชิมรสจูบจากหญิงสาว ทุกครั้งที่ล่อลวงความหวานได้สำเร็จ เขาก็เพียรกระซิบถามเสียงพร่า ชวนให้คนฟังหัวใจสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า

                “ปั้นชอบหรือเปล่าครับ”

                “ปั้น...พี่ใจจะขาดแล้ว”

                กว่าที่พฤกษ์จะยอมปล่อยคะนึงนิตย์ให้เป็นอิสระ ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวก็เจ่อและแดงไม่ต่างจากกลีบกุหลาบ สองขาอ่อนแรงจนต้องอาศัยแรงพยุงของอีกฝ่าย ช่วยให้ร่างบอบบางไม่ให้ยวบลงไปกองกับพื้นเสียก่อน 

                คะนึงนิตย์ได้แต่ก้มหน้างุดซุกอกของชายหนุ่มอย่างขัดเขิน ก่อนหน้านี้เธอต้านทานความรักลึกซึ้งที่เขามอบให้ไม่ได้เลย ยามที่พยายามเผยอปากหมายจะเอ่ยให้เขาล่าถอยไปก่อน กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรุกคืบเข้ามาอย่างใจกล้า เพราะอย่างนี้ยามที่ได้ยินถ้อยคำพร่ำรักของชายหนุ่มประโยคแล้วประโยคเล่า เธอถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมอมเมาให้ถลำลึกจนสุดจะถอนตัวและหัวใจได้อีก ต้องยอมปล่อยให้ตัวเองคล้อยตามเสียงเรียกร้อง ใกล้ชิดแอบอิงกับชายหนุ่มตรงหน้า 

                “พี่พฤกษ์...”

                “ว่าไงครับปั้น” 

เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มชิดริมหูเช่นเดียวกับลมหายใจอุ่นร้อนที่รดริน ทำเอาสติอันน้อยนิดของเธอสะท้านจนเกือบละลายไปในชั่วพริบตา

                เขาตั้งใจจดจ่อฟังหญิงสาว ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงหวาน

                “ปั้นเหมือนจะตายเลย”

                “เด็กโง่ พี่ไม่ปล่อยให้ปั้นตายเพราะแบบนี้หรอกครับ”

                คนตัวเล็กได้แต่เม้มปากแน่น ในดวงตากลมโตเจือการประท้วง ทว่าในเวลาเดียวกันก็มีความสะเทิ้นอายถึงขีดสุด แววตาตรงหน้ากำลังเพ่งฟ้องความไม่เป็นธรรมที่เขา ‘รังแก’ เธอด้วยจูบเหล่านั้น พฤกษ์ได้แต่หัวเราะ จากนั้นก็กระชับอ้อมแขนของตนให้แน่นขึ้นแล้วปลอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

                “ปั้นของพี่น่ารักขนาดนี้ พี่ตัดใจรังแกไม่ลงหรอก”

                พฤกษ์ยิ้มขัน ยกมือของหญิงสาวขึ้นมาจดริมฝีปากอีกครั้ง ราวกับไม่รู้เบื่อเมื่อได้สัมผัสแสดงความรักแบบนี้ เขากระชับมือเรียวบางขาวเนียนดั่งของล้ำค่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า 

                “แบบนี้ดูเหมือนปั้นต้องตอบรับพี่ได้คำเดียวแล้วละ ว่าไงครับ”

                “...พี่พฤกษ์ขี้โกง”

น้ำเสียงของหญิงสาวเง้างอดออดอ้อนจนคนฟังได้แต่กดข่มคลื่นอารมณ์ที่ตีตื้นขึ้นมา สองมือรวบโอบกอดหญิงสาวไว้แนบอก ท่าทางทึมทื่อบริสุทธิ์ไร้มลทินเช่นนี้ทำให้พฤกษ์ต้องห้ามใจไว้ให้มากที่สุด ปลายจมูกจดลงที่ขมับของร่างเล็ก พลางเอ่ยคำหวานนำทางอีกฝ่ายทีละนิด

                “ไม่เอาคำนี้ครับ พี่รู้ว่าปั้นตอบได้ดีกว่านี้”

                เขามองคะนึงนิตย์ที่กำลังอับจนคำพูด มองเธอค้อนสายตาใส่ ใบหน้าเรียวเล็กแสดงอารมณ์ที่เขาไม่เคยเห็นออกมา ทว่าในสายตาของพฤกษ์ มีเพียงหนึ่งคำที่เขานึกออกในเวลานี้ก็คือ...น่ารัก

                “เร็วสิครับ พี่ไม่ปล่อยปั้นนะ ถ้าปั้นไม่ตอบ แล้วถ้าโมกข์หรือบัวมา...พี่ก็ไม่รู้ด้วยนะ” 

                “พี่พฤกษ์แกล้งปั้น”

                “ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกนะคนดี”

                ดวงตากลมโตมองเขาอย่างคาดโทษ สุดท้ายเธอก็โน้มร่างบอบบางมากอดเขา ทำให้พฤกษ์ไม่อาจเห็นสีหน้าของหญิงสาวในเวลานี้ มีเพียงใบหูแดงเถือกที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญให้เขาจินตนาการถึงเท่านั้น

                “...ดูกันไปก่อนนะคะ”

                ถึงจะยังไม่ใช่คำตอบที่พฤกษ์พอใจที่สุด แต่มันก็มากพอที่จะให้โอกาสเขาได้เข้าไปอยู่กลางใจของคะนึงนิตย์ รวมถึงมากพอที่จะให้โอกาสเขาได้จัดการมดแมลงรอบๆ ตัวหญิงสาว พร้อมประกาศกร้าวให้รู้เสียทีว่าเธอคือของเขา 

                “ดูก่อนก็ดูก่อน แต่พี่ไม่ยอมหยุดแค่นี้หรอกนะครับ”

                

                “หยุดได้แล้วพี่พฤกษ์” 

                เสียงของกชนันท์ที่เข้มขรึมกว่าปกติทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อต้องผินหน้าและสายตามองน้องสาว เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเบื่อใส่พร้อมเอ่ยต่อ 

                “พี่พฤกษ์หยุดได้แล้วมั้ง...ถ้ามองปั้นมากไปกว่านี้ บัวว่ามื้อนี้ปั้นไม่ได้กินอะไรกันแล้ว”

                คนพูดถูกหญิงสาวข้างตัวกระตุกชายเสื้อยิกๆ กชนันท์เห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทแดงซ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเหน็บแนบพี่ชายของตนอีกประโยค 

                “พี่พฤกษ์เอาแต่จ้องแบบนี้ ใครจะกล้ากินข้าว”

พูดให้ถูกคือพฤกษ์เอาแต่จ้องเพื่อนสาวของเธอ ราวกับว่าถ้าเปลี่ยนคะนึงนิตย์เป็นมื้อเย็น เธอก็เชื่อว่าพี่ชายคงประทับใจมากกว่า และคงกลืนกินเพื่อนเธอเข้าไปทั้งเป็นแล้ว

                “พี่ก็กินข้าวปกติ”

                กชนันท์อยากเถียงใจจะขาดว่าไม่ใช่ พอนึกย้อนไปยังก่อนหน้าที่จะตั้งโต๊ะ เธอกับโมกข์ยึกยักกันอยู่นานว่าควรจะเข้าไปในครัวหรือไม่ ทว่าพวกเธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอียงศีรษะโผล่ไปแอบดูด้วยซ้ำ 

                ‘พี่โมกข์ออกมาทำไมเล่า! แบบนี้ปั้นก็เผชิญหน้ากับพี่พฤกษ์คนเดียวสิ!’

                ‘ก็พี่พฤกษ์มองพี่ขนาดนั้น พี่ไม่ออกก็บ้าแล้วบัว’

                สองพี่น้องกระซิบโทษกันไปโทษกันมา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นกับข้าวในครัวที่เสร็จไปแล้ว หรือจะเป็นคะนึงนิตย์กันแน่ที่เสร็จลูกไม้ของพี่ชายพวกเขา 

                ‘พี่โมกข์ โผล่ไปดูเลยว่าพี่พฤกษ์ทำอะไร’

                ‘จะบ้าเหรอบัว’

                ‘ไม่บ้า ถ้าเป็นพี่โมกข์ พี่พฤกษ์ไม่โกรธหรอก’ แต่อาจจะมาจัดการทีหลัง...ประโยคนี้กชนันท์เติมต่อท้ายให้ในใจ ไม่ยอมพูดออกไป 

                ถึงอย่างนั้นโมกข์ก็ยื่นคำขาด ไม่ยอมเป็นตัวตายตัวแทนเข้าไปแน่นอน 

                ‘เราก็อยู่ พี่พฤกษ์คงไม่ทำอะไรน่าเกลียดหรอก’

                ‘เรื่องนั้นบัวรู้! แต่บัวหิวข้าวแล้ว!’ 

                ‘เอ้า! พี่ก็นึกว่าเราห่วงเพื่อน ไหนกลายเป็นห่วงกินเฉย’ โมกข์เหล่ตามองน้องสาวอย่างเอือมระอา กชนันท์เห็นพี่ชายมองมาแบบนี้แล้วก็ทำทู่ซี้ไม่รู้ไม่ชี้แทน 

                ‘พี่โมกข์อย่ามองบัวแบบนี้สิ ถ้าได้ปั้นเป็นพี่สะใภ้ เรื่องนี้บัวไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เตรียมต้อนรับอย่างดี ดูท่าพี่พฤกษ์ก็ไม่ยอมปล่อยปั้นไปง่ายๆ หรอก เรื่องนี้เหมือนตอนจบของนิทานที่กำหนดบทสรุปไว้แล้ว บัวไม่ได้กังวลซะหน่อย’

                ‘พูดง่ายจังนะเรา ยังกับวางแผนมาดิบดี กลายเป็นพี่คนเดียวที่ห่วงปั้นว่างั้น?’

                ‘แหม ถ้าพี่โมกข์ห่วงจริงก็ต้องไม่ทิ้งปั้นให้อยู่กับพี่พฤกษ์สองต่อสองสิ’

                โมกข์ยกกำปั้นแจกมะเหงกใส่น้องสาวเบาๆ หนึ่งทีเป็นรางวัล ในใจเขายังขนลุกไม่หาย ถ้าเมื่อครู่ยังดึงดันไม่ยอมถอยออกมา เขาต้องโดนพี่ชายคาดโทษไปตลอดชีวิตแน่! 

                ‘แต่ไปๆ มาๆ บัวอยากเห็นพี่พฤกษ์เวอร์ชันคนคลั่งรักเหมือนกันอะ’

                ‘ยายตัวแสบ เก็บความคิดนี้ไปเลย’

                ‘โอ๊ย! ตกลงพี่โมกข์จะอยู่ทีมปั้นหรือทีมพี่พฤกษ์เนี้ย!’

                น้องเล็กของบ้านโวยวายเตรียมเถียงเต็มที่ ระหว่างที่สองพี่น้องสบประสานสายตาเตรียมจะปะทะฝีปาก เสียงทุ้มเย็นๆ ของพี่ชายคนโตก็ดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ร่างกายทั้งคู่สะดุ้งโหยงตามๆ กันในทันที

                ‘ทำอะไรกัน’

                ‘พี่พฤกษ์...’ กชนันท์หันไปส่งยิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบพูดตัดหน้าพี่ชายคนรอง ‘ใช่! บัวมาตามข้าว ใช่ๆ โอ๊ย หิวมากกกก ปั้นทำแกงจืดอยู่เนอะ งั้นบัวไปดูแกงดีกว่า’

                พูดจบร่างเล็กๆ ก็รีบเดินผ่านหลังพี่ชายคนโตเข้าไปในครัวทันที เหลือแต่โมกข์ที่มองหน้าพฤกษ์พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้า รู้ดีว่าตอนนี้โกหกพี่ชายไปก็ไม่มีประโยชน์ 

                ‘ผมมาดูเผื่อปั้นอยากให้ช่วย...’

                ‘อืม กับข้าวเสร็จแล้วไปเตรียมตั้งโต๊ะเลย’

                แม้ว่าพฤกษ์จะตอบเสียงราบเรียบ แต่ในแววตาทั้งสองข้างกลับเจือด้วยประกายความสุขจนคนมองสงสัย ความอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นมาในใจเป็นชั้นเบาบาง

                ‘ว่าแต่พี่ไม่ได้แกล้งปั้นใช่มั้ยครับ’

                ดวงตาคมปลาบของพฤกษ์มองตรงมาดั่งทีเล่นทีจริง ต่างจากพฤกษ์คนเดิมที่มีแต่ความเด็ดขาดมั่นคง ดวงตาคู่นี้เจือด้วยรอยยิ้มอ่อนใจและความอ่อนหวานที่คนเป็นน้องผู้ใกล้ชิดมาหลายปีไม่คุ้นตา จากนั้นชายหนุ่มตรงหน้าถึงได้เอ่ยออกมา ชวนให้โมกข์รู้สึกอยากกระอักเลือดในกายออกมาทั้งหมด 

                ‘ทำไม คนของพี่ พี่รักพี่แกล้งได้คนเดียว แกมีปัญหา?’

                พอพี่ชายพูดจบ โมกข์ก็ได้ยินเสียงของกชนันท์ลอยมาก่อนตัว จากนั้นถึงได้เห็นคะนึงนิตย์เดินออกมา พร้อมกับมีน้องสาวของเขาตามหลัง 

                ใบหน้าแดงซ่านของเพื่อนน้องสาวและไหนจะริมฝีปากแดงเจ่อผิดกับตอนที่เข้าไปนั้นเป็นหลักฐานชั้นดีว่า พี่ชายของเขาทั้ง ‘รัก’ ทั้ง ‘รังแก’ อีกฝ่ายอย่างไร พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดเขินของหญิงสาว เขาก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาแม้แต่กชนันท์เองก็เกร็งตามไปด้วย ส่วนคนก่อเรื่องน่ะหรือ...ก็ยืนยิ้มสบายใจอยู่คนเดียวน่ะสิ! 

                ดังนั้นพอถึงเวลากินมื้อเย็นจริงๆ สายตาของพฤกษ์ก็เอาแต่จดจ้องที่คะนึงนิตย์ จนสองพี่น้องที่เหลือรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความรักของทั้งคู่ที่เกิดขึ้น คนต้นเรื่องตักกับข้าวให้หญิงสาวที่หมายปอง แต่สายตาร้อนแรงที่สัมผัสได้นั้นยิ่งทำให้ผู้ร่วมโต๊ะรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มีแต่รสหวานไปแล้ว ไม่สิ! เรียกว่ามีแต่อาหารสุนัขทั้งนั้นจะเหมาะสมกว่าอีก! 

                “ปั้นตักแกงให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”

                “...ค่ะ” 

                คะนึงนิตย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพฤกษ์ตอบรับเสียงแผ่ว จากนั้นมือเรียวบางถึงค่อยๆ ใช้ช้อนกลางตักแกงจืดที่เธอมีส่วนร่วมในการปรุงใส่ถ้วยเล็ก แล้วยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า ทว่าวินาทีนั้นเองที่มือหนาอบอุ่นของพฤกษ์ทาบทับบนมือเรียว จนร่างบางสะดุ้ง ดวงตากลมโตจ้องมองอีกฝ่ายดุๆ หวังให้เขาปล่อยมือ แต่พฤกษ์กลับอมยิ้ม เอาแต่ประคองมือข้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย 

                “พี่พฤกษ์คะ แกงได้แล้วนะคะ” 

                เสียงหวานของคะนึงนิตย์เจือด้วยกระแสความเข้มงวดอยู่บ้าง ชายหนุ่มจึงยอมปล่อยมือเรียวบางนั้นแล้วรับถ้วยแกงถ้วยเล็กกลับไป สัมผัสอุ่นนุ่มเนียนของผิวกายหญิงสาวยังคงติดอยู่เบาบางบนปลายนิ้ว ชวนให้นึกเสียดายอยู่ไม่น้อย

                พฤกษ์ไม่สนใจดวงตาสองคู่จากน้องๆ ที่มองเขาแทบถลนออกมา กลับกันก็ยังคอยตักกับข้าวให้คะนึงนิตย์ สายตาทอดมองพวงแก้มสีแดงระเรื่อและริมฝีปากอิ่มยามขยับ 

                “กินเยอะๆ พี่ว่าปั้นผอมลงไปเยอะแล้ว”

                “..ก็ปกติค่ะ ปั้นยังคิดว่าปั้นอ้วนด้วยซ้ำ” พูดถึงเรื่องนี้หญิงสาวก็ตอบเขาอย่างไว คิ้วเรียวเข้มเขยิบเข้าหากัน ถึงจะไม่เชิงเป็นความคับข้องใจ แต่ใบหน้าของเธอในเวลานี้ก็บอกได้อย่างดีว่าคิดอะไรอยู่ 

                พฤกษ์ยกยิ้มบางๆ พลางตอบตามจริง

                “ไม่อ้วนครับ ปั้นผอมมาก พี่รวบเอวได้ในมือเดียวแบบนี้อ้วนที่ไหน”

                เคล้ง! เคล้ง!!

                ช้อนส้อมในมือของกชนันท์กับโมกข์ร่วงกระทบขอบจานไล่เลี่ยกัน ดวงตาของน้องสาวเบิกกว้าง ปากเรียวได้รูปอ้าๆ หุบๆ ไร้สุ้มเสียงใดๆ ออกมาจากลำคอ ได้แต่ยกนิ้วชี้พฤกษ์สลับกับเพื่อนสาวอย่างตกใจ ส่วนโมกข์ก็ดีกว่าน้องสาวคนสุดท้องหน่อย ชายหนุ่มเพียงแค่เบิกตากว้าง มองเขากับคะนึงนิตย์สลับกันอย่างประหลาดใจและสงสัยถึงขีดสุด

“พี่พฤกษ์!”

เสียงร้องและใบหน้าแดงก่ำของคะนึงนิตย์ไม่ได้ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยน พฤกษ์ยกยิ้มบางๆ รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า แล้วปลอบสุดที่รักของตนเสียงอ่อน

                “พวกนี้ก็เกินไปอย่างนั้นแหละปั้น...”

                “แต่เราไม่ได้โฟกัสกันเรื่องนี้นะคะ”

                “หืม? งั้นเรื่องอะไรครับ”

                พฤกษ์แกล้งทำเป็นไม่รู้เสียอย่างนั้น ส่วนคะนึงนิตย์ก็หน้าบางเกินกว่าจะยอมรับออกมาต่อหน้ากชนันท์และโมกข์ว่าพี่ชายของพวกเขาทั้งเคยลูบ เคยกอด...กระทั่งจูบเธออย่างสนิทชิดเชื้อก็ทำมาแล้ว 

                หญิงสาวเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็เบนสีหน้าทำเป็นไม่สนใจผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันสักนิด 

ส่วนสองพี่น้องที่ร่วมโต๊ะอยากจะเป็นมนุษย์ล่องหนขึ้นมาเสียก็วินาทีนี้ กชนันท์ที่ถูกโมกข์กดดันผ่านสายตาได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ สุดท้ายก็กระแอมกระไอ ชวนเพื่อนสาวคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารนี้โดยด่วน

                “เออ ปั้น เรื่องโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าไปได้สวยเลยนี่”

                “ก็เรื่อยๆ ช่วงนี้หลายๆ อย่างเริ่มลงตัวแล้ว เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่”

                “ดีแล้วๆ เออ พี่พฤกษ์! พี่เคยไปโรงเรียนของปั้นยัง บรรยากาศดีมาก มองจากข้างนอกบัวยังคิดว่าเป็นคาเฟ่เลย” 

                ได้ยินถึงตรงนี้แล้วคะนึงนิตย์ก็ชะงัก ดวงตากลมโตเหลือบมองคนในบทสนทนาทันที ก่อนหลุบลงมองอาหารตรงหน้าแทน 

                “พี่แวะไปแล้ว น่ารักมากเหมือนปั้นเลย” 

                อีกแล้ว...บรรยากาศบนโต๊ะเงียบกริบในทันที 

                นอกจากคะนึงนิตย์ คนฟังอย่างกชนันท์กับโมกข์ต่างพากันขนลุกซู่ สุดท้ายก็เป็นพี่ชายคนรองที่เริ่มทนไม่ไหว ภูมิคุ้นกันความรักต่ำเต็มทีเหมือนระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูง แม้แต่อาหารอร่อยตรงหน้าก็ไม่ชวนให้รู้สึกหิวอีก

                “ผมอิ่มแล้ว พี่พฤกษ์กับปั้นตามสบายเลยนะ”

                “บัวก็อิ่มเหมือนกัน มาพี่โมกข์ เดี๋ยวบัวไปช่วยล้างจาน”

จากนั้นร่างของสองพี่น้องก็รีบเผ่นหายไปจากสายตาของคนที่เหลือ คะนึงนิตย์รีๆ รอๆ อยากจะลุกตามไปด้วยอีกคน ทว่าเสียงทุ้มของพฤกษ์กลับรั้งเธอไว้ 

                “ปั้นอยู่กินกับพี่นะ”

                “อะไรนะคะ!” ความสนใจทั้งหมดถูกดึงกลับมาด้วยประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว เธอถึงต้องรีบสวนถามกลับไปเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรผิดไป

                “อยู่กินข้าวกับพี่ก่อนนะครับ ทำไมครับ ปั้นคิดอะไรเหรอ” 

                หญิงสาวรู้ดีว่าพฤกษ์กำลังแกล้งตัวเอง ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบกลับอะไรได้อีก จึงได้แต่ทดจำนวนครั้งที่เขาแกล้งหยอกไว้ในใจ 

                “ปั้นว่าปั้นไปตามบัวกับพี่โมกข์ดีกว่าค่ะ เพิ่งกินไปนิดเดียวเอง” 

                “พวกนั้นคงไม่มาหรอกครับ”

                ถึงอยากจะคัดค้าน แต่ความจริงแล้วคะนึงนิตย์ก็เห็นด้วยกับที่ชายหนุ่มบอก เพราะดูท่ากชนันท์กับโมกข์คงไม่คิดจะมาร่วมโต๊ะอีกแล้วแน่ๆ 

                “ช่วงสิ้นเดือนที่โรงแรมจะจัดงานเลี้ยง พี่ตัดสินใจจะเข้าไปช่วยโมกข์ดูแลโรงแรม เลยใช้โอกาสวันครบรอบจัดงาน พี่อยากชวนปั้นไปกับพี่”

                นัยน์ตาของพฤกษ์ยังคงลึกซึ้งเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเขาอยากให้เธอไปร่วมงานด้วยมากแค่ไหน 

                “...ปั้นไม่ค่อยรู้จักใคร ไม่รู้ว่าไปแล้วจะทำให้พี่พฤกษ์เบื่อหรือเปล่า” 

                “ไม่ครับ ถ้าพี่จะเบื่อก็เพราะไม่มีปั้นมากกว่า”

                พฤกษ์วางช้อนส้อมลง ก่อนที่เขาจะส่งมือข้างหนึ่งมาหาเธอช้าๆ คล้ายต้องการให้เธอวางมือลงกลับไปเช่นกัน 

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงตาของเขาหรืออะไรกันแน่ สุดท้ายคำปฏิเสธถึงถูกกลืนกลับเข้าลำคอ กลายเป็นคะนึงนิตย์เองที่วางมือลงบนมือหนาอุ่นของชายหนุ่ม แล้วตอบตกลงเสียงแผ่วเบา

                “ได้ค่ะ ปั้นจะไปกับพี่พฤกษ์”

 

                ทันทีที่มื้อเย็นจบลง กชนันท์รีบเข้ามาล็อกตัวเพื่อนสาวเอาไว้ กึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายเข้าห้องส่วนตัวของตนแทบจะในทันที 

                “เหลามาเดี๋ยวนี้เลย ตกลงยังไงกันแน่”

“เล่าอะไร” 

                “ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยงเลยปั้น ตกลงยังไงกันแน่ กับพี่พฤกษ์คือยังไง คบกันแล้ว? ฉันต้องเตรียมเรียกพี่สะใภ้แล้วใช่เปล่า” 

                ท่าทางของกชนันท์เต็มไปด้วยความหยอกเอิน ชวนให้คนฟังขัดเขินเสียเหลือเกิน แต่เพราะความเป็นเพื่อนที่มีให้กันมานาน คะนึงนิตย์ถึงได้โต้กลับอย่างไม่กลัวเช่นกัน

                “ไม่ต้องเลยบัว! เมื่อกี้ไม่ยักเห็นมาช่วยเรา หนีไปกับพี่โมกข์เฉยเลย”

                “โถ่ๆ หนูปั้นไม่งอนนะคะ เพื่อนขอโทษ แหม ตอนนั้นพูดตรงๆ นะปั้น กินข้าวไม่ลงแล้ว เข้าใจว่าอะไรคือทุกอณูเต็มไปด้วยห้วงรักก็วันนี้ บรึ้ยยย อยู่ต่อก็เป็น ก.ข.ค. น่ะสิ”

                คะนึงนิตย์เม้มริมฝีปากเพราะความเขิน สุดท้ายก็ได้แต่ยกหมอนอิงเล็กๆ ตีเพื่อนสนิทเบาๆ หนึ่งที

                “โอ๊ย ปั้นนนน ใจร้าย”

                “บัวทิ้งเราก่อนนี่” เธอค้อนใส่เพื่อนสาว สุดท้ายก็นั่งลงปลายเตียง สองมือยกขึ้นปิดแก้มที่ร้อนฉ่า ส่วนเจ้าของเตียงกลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วรีบกระโดดมานั่งข้างๆ 

                “ตกลงยังไง พี่พฤกษ์รุกหนักเลยปะ”

                “หนักสุดๆ พี่บัวเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” 

                “ไม่รู้ บอกตรงๆ ว่าฉันยังไม่รู้เลย สงสัยคลั่งรักปั้นหนัก พอถึงโอกาสก็เลยใส่ไม่ยั้งแบบนี้...แล้วตกลงชอบเปล่า”

                “บัว!”

                กชนันท์หัวเราะร่วนจนน้ำตาไหล พอเห็นใบหน้าของคะนึงนิตย์แล้วก็คิดว่า คำถามนี้คงไม่ต้องการคำอธิบายแล้ว ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเด่นชัดบนใบหน้าของอีกฝ่ายเสียขนาดนี้ 

                “ก็ว่าอยู่แล้ว ใครกันน้าที่อยู่ในใจเพื่อนฉันมาต้องนาน สุดท้ายดันเป็นพี่ชายตัวเองซะได้”

                คะนึงนิตย์ยังคงไม่ยอมปริปาก แต่ความเงียบเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการยอมรับไปแล้วครึ่งหนึ่ง 

                “ปั้นจะไม่เล่าจริงๆ เหรอ” 

                กชนันท์คะยั้นคะยอไม่หยุด สุดท้ายคะนึงนิตย์ถึงได้ยอมเล่าออกมา โดยละเว้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป โดยเฉพาะการรุกแสนหวานของพฤกษ์ที่เธอจงใจข้ามไปไม่เล่าให้เพื่อนสนิทรู้ 

                พอเล่าจบ ดวงตาของกชนันท์ก็เกิดเป็นประกายวาววับ และหรี่มองเธออย่างพึงพอใจ ขณะเดียวกันสองมือของเพื่อนสนิทก็เลื่อนมากุมมือของเธอ พลางเขย่าไปมาอย่างยินดี 

                “โอ๊ย ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่ชายตัวเอง เราจะกรี๊ดดังๆ เลย พระเจ้า!” กชนันท์เอาแต่แกว่งแขนของเพื่อนไปมาพลางถามไม่หยุด “สรุปตอนนี้คือดูๆ กันไปก่อนสินะ แต่จะดูทำไมล่ะปั้น พี่พฤกษ์ไม่ดีตรงไหน”

                ถ้าให้พูดตรงๆ แล้ว คะนึงนิตย์ไม่คิดว่าพฤกษ์มีส่วนไหนที่ไม่ดีเลย เขาดีมากเกินไปจนเธอไม่มั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำ 

                “...ก็ไม่มีหรอก แต่เรื่องคุณลูกจันทร์ล่ะ”

                “เรื่องแม่ลูกเหม็นไม่เห็นต้องคิดมากเลย นี่ปั้น พูดตรงๆ ไม่ลำเอียงเข้าข้างพี่พฤกษ์นะ คนอย่างพี่พฤกษ์ถ้าชอบยายนั่นจริงๆ เขาคงคบกันไปนานแล้ว ไม่ต้องรอถึงตอนนี้หรอก พี่พฤกษ์ก็บอกไม่ใช่เหรอว่าชอบปั้น มองจากดวงจันทร์ ไม่สิ มองจากดาวอังคารก็ดูออกขนาดนี้ ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย”

                คะนึงนิตย์ก้มมองมือของตน ที่เพื่อนรักบอกก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่เพราะเธอไม่เคยกล้าฝันมาก่อนว่าคนในใจจะมีความรู้สึกเดียวกัน จึงเป็นธรรมดาที่หญิงสาวจะยังไม่มั่นใจกับความรักครั้งนี้ 

                มันเป็นรักแรกที่เก็บซ่อนไว้ในใจมาแสนนาน แต่จู่ๆ พอได้รับรักกลับมากะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ เธอก็กลัวเหลือเกินว่ามันจะหายไปอย่างรวดเร็วอีกเช่นกัน 

                “ไม่ต้องคิดมากปั้น ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยาวนานนะ ใครจะรู้ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เต็มที่ไปเลยๆ”

                “อืม ขอบใจนะบัว”

                “ระหว่างเราต้องขอบคุณกันอีกเหรอ รีบๆ ตอบตกลงพี่พฤกษ์เร็วๆ เถอะย่ะ”

                สุดท้ายเพื่อนซี้ก็ยังไม่วายหยอกล้อเธออีกรอบ คะนึงนิตย์ยิ้มบางๆ พลางให้คำตอบแก่ตัวเองในใจ 

                เมื่อไหร่ที่เรื่องของพฤกษ์กับวราลีชัดเจนกว่านี้ เธอจะตอบตกลงเขาอย่างไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย...

 

                ตอนแรกคะนึงนิตย์คิดว่าคงอีกหลายวันถึงจะได้เจอพฤกษ์อีกครั้ง ทว่าหลังจากมื้อเย็นที่บ้านรัตนเวคินทร์แล้ว กลายเป็นว่าเช้าวันต่อมา เธอก็พบเขาที่หน้าตึกพร้อมกับถุงน้ำเต้าหู้ 

                คะนึงนิตย์เปิดประตูด้วยความแปลกใจ ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้อนรับชายหนุ่มเข้ามาด้านในแต่โดยดี 

                “พี่พฤกษ์มาทำไมแต่เช้าคะ” 

                “พี่เอามื้อเช้ามาฝากครับ” ไม่พูดเปล่า พฤกษ์ยังเดินตรงไปด้านหลังที่เป็นพื้นที่ครัวเล็กของเธอ จัดแจงเทน้ำเต้าหู้ที่หิ้วมาลงในแก้วทรงสูง แล้วยกมันมาให้เธอ 

                “พี่รู้ว่าปั้นชอบดื่มสิครับ”

                คะนึงนิตย์รับแก้วน้ำใบนั้นมาถืออย่างไม่เข้าใจ แต่พอมองใบหน้าประดับรอยยิ้มของพฤกษ์แล้ว เธอก็ก้มจิบละเลียดรสชาติของน้ำเต้าหู้อุ่นๆ แทน ความอุ่นแผ่ซ่านปาก ความหอมนุ่มที่ได้สัมผัสซึมลึกหยั่งลงในใจจนฟูฟ่องไปพร้อมๆ กัน

                “วันนี้โรงเรียนของปั้นยังไม่เปิดใช่หรือเปล่าครับ”

“ค่ะ คงเปิดหลังจากหยุดยาว ช่วงนี้เด็กๆ ปิดเทอมด้วย อาทิตย์หน้าก็คงยุ่งๆ เพราะจะมีคอร์สเรียนติวเข้มเพื่อสอบเข้า แต่ปั้นเองไม่เท่าไหร่ เพราะห้องเรียนพิเศษสำหรับบุคคลทั่วไปคนไม่ได้เยอะมาก” 

เธอเอ่ยตามจริง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงงานที่จะเข้ามาในอนาคต ถ้าจำไม่ผิด สองรุ่นพี่คนสนิทอย่างจอมขวัญและพสุเพิ่งส่งโครงสร้างหลักสูตรของคลาสเรียนให้ทางอีเมลเมื่อคืน ติดอยู่ที่ว่าเธอยังไม่ได้เปิดดูรายละเอียด แต่พอเหลือบเห็นชายหนุ่มที่นั่งมองตนก่อนแล้ว คะนึงนิตย์ก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ จึงกระแอมเบาๆ แล้วถามเขาแทนบ้าง

“นอกจากแวะมาส่งน้ำเต้าหู้แล้ว พี่พฤกษ์ไม่ต้องไปดูโรงแรมเหรอคะ” 

เมื่อวานชายหนุ่มบอกเธอเองว่าจะกลับมาช่วยโมกข์ดูแลกิจการของที่บ้าน เขาเองก็เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก หญิงสาวจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ธุระที่พฤกษ์ต้องไปจัดการเหล่านั้นเรียบร้อยดีแล้วหรือ

“ไม่ต้องเข้าครับ เรื่องนั้นพี่มอบหมายให้โมกข์ไปเก็บข้อมูลงานทั้งหมดแล้ว วันนี้พี่เลยตั้งใจมาอยู่กับปั้น”

“คะ?”

“พี่คิดถึงปั้นครับ เลยอยากมาหา ปั้นคงไม่ไล่พี่ไปนะ” 

พูดจบแล้วเขาก็โน้มใบหน้าขยับเข้ามา ถึงจะไม่ได้แนบชิดเกินงาม แต่ก็มากพอที่ทำให้คะนึงนิตย์เห็นแววตาเจ้าเล่ห์คู่นี้ใกล้ขึ้น 

“ปั้นต้องทำงานนะคะ คงไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพี่พฤกษ์” 

“ไม่เป็นไรครับ พี่เอางานมาด้วย ปั้นทำงานของปั้น พี่ก็ทำงานพี่ ไม่วุ่นวายปั้นแน่นอน นะครับ”

เขาทอดเสียงอ่อนแสดงท่าทีออดอ้อนแบบนี้ แล้วใครจะปฏิเสธได้ลง สุดท้ายเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับ ยอมให้เขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวอย่างช่วยไม่ได้ 

หลังจากมื้อเช้าที่เรียบง่ายจบ คะนึงนิตย์ก็ปิดประตูหน้าตึกและปิดม่านไม่ให้คนข้างนอกมองเข้ามาได้ จากนั้นถึงเตรียมอุปกรณ์เตรียมขึ้นไปวาดรูปด้านบน พอหันหลังกลับมา ถึงเห็นพฤกษ์เตรียมตัวเรียบร้อยยืนรอเธอไม่ไกล ในมือเขามีซองกระเป๋าสำหรับใส่แท็บเล็ตมาด้วยพร้อมพรัก 

เธอเดินนำขึ้นไปด้านบน พอถึงห้องเรียนสำหรับวาดรูป ก็เห็นว่าพฤกษ์เริ่มทอดสายตาสำรวจรอบๆ อย่างเชื่องช้า ห้องเรียนนี้ตรงกลางเว้นว่างไว้สำหรับการวางแบบ รอบๆ ด้านจัดเรียงเก้าอี้วาดรูป หญิงสาวตรงไปยังที่นั่งที่คุ้นเคยตามความชื่นชอบในการหามุมวาด กางโต๊ะวาดรูปตั้งแผ่นรองวาดและกระดาษให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นก็บอกชายหนุ่มในห้องเสียงอ่อน

“ปั้นต้องวาดรูปเพื่อเป็นแบบในชั่วโมงเรียน พี่พฤกษ์เลือกนั่งได้ตามสบายเลยนะคะ ถ้าไม่สบายตัว ข้างบนห้องปั้นมีโซฟากับโต๊ะเขียนงาน พี่พฤกษ์จะขึ้นไปทำงานด้านบนแทนก็ได้นะคะ” 

เธออำนวยความสะดวกให้แขกหนุ่ม ในใจรู้สึกว่าเหมือนพาเขามาเปลี่ยนสถานที่ทำงานเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าเขาจะเบื่อหรือไม่ที่ต้องมานั่งเงียบๆ เช่นนี้ 

“ไม่เป็นไรครับ เปลืองไฟบ้านปั้นเปล่าๆ ที่ห้องนี้ก็ดีครับ พี่ทำงานได้อยู่แล้ว” 

เมื่อเห็นว่าพฤกษ์ไม่มีท่าทีติดขัดอะไร เธอก็ค่อยๆ เดินไปจัดข้าวของที่กลางห้องเพื่อใช้เป็นแบบสำหรับวาดรูป จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่นั่งของตัวเอง เพ่งสมาธิไปกับการทำงาน ค่อยๆ วาดโครงร่างของแบบตรงหน้าด้วยดินสอ EE

หลังจากร่างโครงของภาพจวบจนแรเงาสีแล้ว รู้ตัวอีกทีคะนึงนิตย์ถึงพบว่า พฤกษ์ที่เดิมกำลังนั่งทำงานได้เปลี่ยนที่นั่งมาอยู่ข้างๆ เธอเสียแล้ว นัยน์ตาจดจ้องมองตรงมา เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้น พวกเขาก็สบสายตาประสานเข้าหากัน 

หัวใจที่สงบค่อยๆ เปลี่ยนจังหวะการเต้นเป็นเร็วระรัว ดวงตาของชายหนุ่มสะกดทุกการเคลื่อนไหวของเธอ แสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียนต้องใบหน้าจนต้องหรี่ตาลง ทันใดนั้นเงาของร่างสูงโปร่งก็บดบังแสงจ้า พฤกษ์ยืนย้อนแสงจนเธอไม่อาจเห็นใบหน้าเขา ทว่าลมหายใจและกลิ่นอายบุรุษเพศที่ลอยลงมากลับแจ่มชัดกว่าความรู้สึกไหนๆ 

มือหนาลากผ่านพวงแก้ม เขาประคองท้ายทอยของเธออย่างอ่อนโยน ลมหายใจหอมสดชื่นรดรินผสานกับอากาศรอบกายจนเป็นหนึ่ง สุดท้ายความรู้สึกอุ่นนุ่มบนริมฝีปากที่เขาประทับลงมาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งในวินาทีนั้น 

หญิงสาวหลับตาพริ้ม น้อมรับรสชาติความหวานนี้อย่างเต็มใจ มือเรียวที่ถือดินสอไว้ค่อยๆ คลายออก ดินสอไม้กระทบกับพื้น ตามด้วยเสียงของมันที่กลิ้งกลุกๆ ไปตามทาง ทว่าคะนึงนิตย์ก็ไม่อาจเบนความสนใจไปที่มันได้เลย ยกมือวางนาบอกแกร่ง สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนที่เป็นจังหวะของหัวใจใต้ฝ่ามือ 

ยามที่พฤกษ์ผละริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง คะนึงนิตย์ก็รู้สึกว่าความหอมหวานรอบตัวค่อยๆ จางหายไป และไม่อาจรู้เลยว่าดวงตาฉ่ำวาวของตนที่มองชายหนุ่มในเวลานี้เป็นภาพที่เย้ายวนมากแค่ไหน 

พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ พวงแก้มของหญิงสาวถึงได้ร้อนผ่าว แม้แต่ใบหูและลำคอก็ล้วนเจือด้วยสีแดง 

“น่ารักอีกแล้ว”

พฤกษ์พึมพำเสียงเบา แต่ก็ดังมากพอที่จะทำให้เพื่อนร่วมห้องได้ยิน หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวเม้มริมฝีปาก มือที่วางอยู่บนอกชายหนุ่มค่อยๆ กำจนแน่น สาบเสื้อที่เรียบร้อยก็พลันเกิดรอยยับ 

คะนึงนิตย์กำลังคับข้องใจ เธอรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเทียนที่ถูกความร้อนของพฤกษ์หลอมจนแทบละลาย ความรู้สึกที่ตกเป็นเหยื่ออย่างง่ายดายทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ แต่ขณะเดียวกันความอ่อนโยนของเขาก็ทำให้โกรธไม่ลง สองความรู้สึกตีรวนกันอยู่ในใจ จะทำอย่างไรก็แก้ไม่หาย จึงได้แต่กำมือขยุ้มสาบเสื้อเขาเป็นการระบาย 

“โกรธพี่เหรอครับ” 

ราวกับรู้ทัน พฤกษ์ถึงได้โน้มตัวลงมาใกล้ พลางกระซิบถามอย่างใคร่รัก

“เปล่าค่ะ...”

“โกหกอีกแล้ว”

หญิงสามเม้มริมฝีปาก ความสะเทิ้นอายที่เกิดขึ้นทำเธอเสียศูนย์ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี 

“พูดกับพี่นะครับปั้น พี่อยากได้ยินความรู้สึกของปั้น” 

“ปั้น...”

เธอพูดได้เท่านี้ก็เงียบไป ราวกับกำลังครุ่นคิดเรียบเรียงคำพูดทั้งหมดออกมา

“...พี่พฤกษ์ ชอบแกล้งปั้น”

ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา เสียงนุ่มทุ้มของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากเสียงเพลงทุ้มต่ำ พานให้คนฟังรู้สึกยุบยิบในใจ 

“อย่าหัวเราะสิคะ!” ยิ่งเขาหัวเราะ ใบหน้าหญิงสาวก็ยิ่งแดงก่ำ มือเรียวเล็กทำได้แต่ตีเขาเบาๆ ราวกับระบายความอัดอั้นนี้

“โอเคครับๆ พี่ไม่หัวเราะแล้ว” พฤกษ์ทำเป็นกระแอม แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าทั้งปากทั้งตาเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มกระจ่างชัด 

“พี่พฤกษ์” คะนึงนิตย์พยายามกดเสียงเข้ม แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอดูนิ่งขรึมจริงจังเลยสักนิด “ทำไมต้องแกล้งปั้นแบบนี้ล่ะคะ”  

                เป็นชายหนุ่มเองที่เข้าใจความคับข้องของเธอ เขาค่อยๆ ย่อตัวลงให้ระดับตัวเสมอกับหญิงสาวแทน ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมทัดที่หลังใบหู แล้วเอ่ยเสียงเบา

                “ไม่ได้แกล้งนะครับ ก็ปั้นน่ารัก พี่อดใจไม่อยู่จริงๆ เรื่องนี้ต้องโทษปั้นนะ”

                “ปั้นก็วาดรูปของปั้น...พี่พฤกษ์นั่นแหละ” 

                อาการเง้างอดของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มได้ดี เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนเข้ากับปลายจมูกอีกฝ่าย พลางทอดเสียงอ่อน 

                “พี่ไม่ดีเองครับ แต่ปั้นน่ารักจริงๆ” 

                ทั้งใบหน้ายามเขินอาย หรือใบหน้ายามที่กำลังมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ในสายตาของพฤกษ์ทั้งหมดล้วนมีแต่คำว่าน่ารัก ไม่ว่าจะพยายามรั้งสายตาให้จดจ่อกับงานตรงหน้าเท่าไหร่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องเบนความสนใจมาที่ร่างบางของคะนึงนิตย์ 

                บางทีอาจจะเป็นเพราะความคะนึงหาที่หลอกหลอนให้เขาลุ่มหลง จึงไม่อาจละสายตาจากหญิงสาวตรงหน้าได้เสียที พฤกษ์เสพติดเธอยิ่งกว่าอะไรดี เขาจึงค่อยๆ ตะล่อมเชยชิมความรักลึกซึ้งทีละนิด รั้งเธอเข้ามาหาตัวเองช้าๆ และสุดท้ายก็จะพันธนาการเธอไว้กลางใจ ตอนนั้นต่อให้คะนึงนิตย์จะหนี ก็ไม่อาจพ้นจากเขาไปได้ 

                “พี่พฤกษ์...” หญิงสาวทอดเสียงหวานคล้ายจนใจ เขาหัวเราะเสียงต่ำพลางโอบกอดเธอไว้เต็มแขน 

                “พี่คิดถึงปั้นมากๆ ปั้นไม่ได้รังเกียจพี่ใช่หรือเปล่า”

                ร่างของหญิงสาวกระตุกและนิ่งเกร็งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะค่อยๆ กอดตอบอย่างเคอะเขิน ปลายนิ้วลูบไล้แผ่นหลังเขาอย่างเชื่องช้า

                “ตอนนี้...ก็เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ” 

                คำตอบนี้เรียกรอยยิ้มจากเขาได้เป็นอย่างดี พฤกษ์ค่อยๆ ขยับถอยออกมาพลางจดจ้องใบหน้าหวานของหญิงสาวไว้เต็มตา แล้วเอ่ยคำขอด้วยเสียงทุ้มที่แหบพร่า

                “ช่วยวาดรูปให้พี่ได้ไหมครับ”

                “คะ?”

                “พี่อยากให้ปั้นวาดรูปพี่ รูปที่พี่จะเป็นแค่ของปั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น” 

                คำขอนี้คะนึงนิตย์กึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ ทว่ายังไม่ทันได้ถามให้แน่ชัด พฤกษ์ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้ออย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้าทำเอาสมองของหญิงสาวว่างเปล่า ได้แต่มองกระดุมที่คลายออกจากรังดุม เผยกล้ามแน่นแกร่งและผิวแสนเนียนละเอียดของชายหนุ่ม หูได้ยินความเคลื่อนไหวแสนเร่าร้อน และเสียงสวบสาบของเสื้อที่ค่อยๆ หลุดออกจากกายตกลงไปกองที่พื้น คอของหญิงสาวแห้งผาก แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนาเคลื่อนไปยังขอบกางเกง

                “พะ...พี่พฤกษ์ทำอะไรคะ!!”

                เสียงตะโกนของเธอแทบจะกลายเป็นเสียงหวีดร้อง คะนึงนิตย์รีบปรี่เข้าไปจับมือที่พยายามจะปลดกางเกงลง ทว่าวินาทีที่สัมผัสผิวกายร้อนผ่าวของเขา ก็เป็นเธอเสียเองที่รีบปล่อยมือออกราวกับถูกชายหนุ่มลวกจนสุก

                พฤกษ์ส่งสายตาล้ำลึกมองตรงมาอย่างเปิดเผย เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาไปทั่วร่างเพียงเพราะการมองของชายหนุ่ม ขวัญกล้าและสติทั้งหลายถูกบีบอัดเพราะกลิ่นอายรัญจวนจนแทบทนไม่ไหว  

“พี่ก็จะเป็นแบบให้ปั้นไงคะ”

เจ้าของน้ำเสียงหวานๆ พูดอย่างเอาใจ ทำเอาหญิงสาวต้านทานไม่ไหว หัวใจทั้งร้อนทั้งอ่อนยวบ แต่ก็ยังคงละลักละล่ำเอ่ยปากให้เขาหยุด

“พะ...พี่พฤกษ์แต่งตัวเดี๋ยวนี้เลยนะ! มะ...ไม่งั้น ปั้นจะ...ปั้นจะ...” สมองคะนึงนิตย์ทำงานด่วนจี๋ คำพูดทั้งหลายวิ่งวนไปมาในหัว เพราะอย่างนั้นการขู่ครั้งนี้จึงยังไม่รู้ผล 

“ปั้นจะทำไมเหรอ หืม” 

เป็นชายหนุ่มที่พาเรือนร่างเย้ายวนเข้ามาใกล้ กลิ่นอายอันตรายทำให้แม่กระต่ายตัวน้อยต้องดิ้นพล่าน รีบถอยไปตั้งหลักเพื่อความปลอดภัย

“มะ...ไม่ได้ค่ะ ปั้นวาดพฤกษ์ไม่ได้” 

เธอแทบจะเค้นแรงที่มีอยู่ทั้งตัวตะโกนออกไป แต่ก็ไม่อาจหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มได้ เขาเอียงศีรษะมองเธอเร็วๆ หนึ่งครั้ง ชั่วพริบตาร่างสูงโปร่งก็ก้าวมาประชิด ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นโดยไม่บอกให้รู้ตัว สองขาก้าวฉับๆ เดินออกไปขึ้นบันไดโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงเล็กๆ แม้แต่น้อย

“พี่พฤกษ์! ปล่อยปั้นก่อนนะคะ”

“นิ่งๆ ครับ เดี๋ยวตกหรอก” 

คำพูดนิ่งๆ แค่นี้ก็ทำให้คะนึงนิตย์เกร็งตัวแข็ง ไม่ใช่ว่ากลัวตกลงไป แต่เธอกลับกังวลถึงสวัสดิภาพของชายหนุ่มแทน หากตกลงไปจริงๆ คนที่จะต้องเจ็บตัวก็เป็นเขา ไม่ใช่เธอ 

จวบจนที่พฤกษ์เตะประตูห้องของเธอให้เปิดออก แล้ววางร่างบอบบางลงบนเตียง หญิงสาวถึงได้ตั้งสติใหม่ สถานการณ์แบบนี้เธอไม่อาจจะคิดให้เป็นอื่นได้เลย

“พะ...พี่พฤกษ์ ดะ...เดี๋ยวก่อน ปั้นมะ...ไม่พร้อม” 

“ชู่...เด็กดี พี่รู้ครับ” เขากระซิบเสียงอ่อน จากนั้นก็ลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา คล้ายปลอบขวัญเจ้าตัวเล็ก “พี่บอกแล้วไง ว่าอยากให้ปั้นวาดรูปพี่เท่านั้น”

“จะ...จริงเหรอคะ” 

หญิงสาวช้อนตาพลางถาม ส่วนคนถูกมองก็ยกยิ้ม และตอบอย่างเจ้าเล่ห์

“จริงครับ แต่ถ้าจะเป็นอย่างอื่นพี่ก็ไม่ว่านะ”

“ค่ะ! วาดรูป! ปั้นจะวาดรูป!”

สาวเจ้าตอบเสียงแข็งขัน เพราะอย่างนั้นพฤกษ์จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา พวงแก้มหญิงสาวแดงซ่าน เธอรีบผุดลุกไปคว้าอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้มือ จากนั้นก็กระโดดถอยไปจากเขาราวกับหาที่ปลอดภัย

“ปะ...ไปนั่งสิคะ ปั้นจะวาดแล้ว” 

น้ำเสียงเคืองๆ เง้างอดทำให้ชายหนุ่มยิ้ม จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการก็คือ การลดช่องว่างระหว่างกันและกัน คะนึงนิตย์มักจะเว้นพื้นที่กับเขาเสมอ เขาจึงต้องใช้แผนชายงามหลอกล่อเธอแบบนี้ หญิงสาวจะได้ไม่ต้องเกร็งและแข็งเป็นหินยามอยู่กับเขาอีก

พฤกษ์ยังจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้ถึงคะนึงนิตย์จะเข้าใจความรู้สึกของเขาผิด ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะยังเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ตัวตนจริงๆ ของหญิงสาวยังคงถูกซ่อนไว้ โดยมีฉากหน้าเป็นความเกรงใจบดบังความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ 

กับเขา...เธอจะเอาแต่ใจเท่าไหร่ก็ได้ จะเรียกร้อง เกเร งอแงเป็นเด็กน้อยแค่ไหนก็ได้ เพราะเขายินยอมให้เธอเรียกร้องทั้งหมด 

พฤกษ์ขยับกายนั่งลงที่ปลายเตียงของหญิงสาว ก่อนจะเรียกเธอเบาๆ

“ปั้นมาหาพี่หน่อย”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ตรงนี้ปั้นวาดได้” 

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจลบรอยยิ้มบนใบหน้าเขาได้ พฤกษ์ยิ้มพลางเรียกเธอด้วยเสียงอ่อนละมุนอีกครั้ง

“ปั้นครับ มาหาพี่ สัญญาครับว่าพี่ไม่แกล้งปั้นแน่นอน”

เพราะเขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ หญิงสาวจึงค่อยๆ ขยับฝีเท้าก้าวเข้ามาหาอย่างแช่มช้า จนใกล้มากพอให้พฤกษ์คว้าเอวบางเข้ามาอยู่ในวงแขนได้ 

ร่างเล็กๆ ของคะนึงนิตย์ยืนอยู่ตรงหน้าระหว่างขาของเขา ใบหน้าเล็กหลุบต่ำมองเขาอยู่อย่างนั้น 

“จะไม่แกล้งปั้นใช่ไหมคะ”

“ครับ”

เขาเพียงแค่โอบกอดเอวบางไว้หลวมๆ จากนั้นค่อยๆ ดึงเธอให้ขยับเข้าไปใกล้ จนสามารถแนบศีรษะลงที่หน้าท้องแบนราบของหญิงสาว ชายหนุ่มถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

“อยู่กับพี่ปั้นไม่ต้องเกร็ง ปั้นเป็นในแบบที่ปั้นเป็นได้ตามสบาย พี่อยากให้ปั้นรู้สึกวางใจเวลาอยู่กับพี่” 

คำพูดของเขาทำให้อาการเกร็งของหญิงสาวลดลง พฤกษ์รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างชัดเจน คะนึงนิตย์ค่อยๆ วางมือบนบ่าเปลือยเปล่าของเขา ดังนั้นพฤกษ์จึงถอยออกมาเล็กน้อย เงยหน้ามองหญิงสาวให้ชัดขึ้น 

พวงแก้มของคะนึงนิตย์ยังคงแดงก่ำ ทว่าสายตาของเธอกลับแน่วแน่มากขึ้น 

“ปั้น...ไม่ได้เกร็ง ปั้นแค่ทำตัวไม่ถูก”

เสียงหวานๆ ลนใจของเขาให้อ่อนยวบ เขายกมือของหญิงสาวขึ้นมาจุมพิตเบาๆ ลงที่ฝ่ามือนุ่มนิ่ม 

“ค่อยๆ ได้ครับ พี่แค่อยากให้ปั้นรู้ไว้ ว่าอยู่กับพี่ปั้นไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำร้ายปั้น”

หญิงสาวหลุบตาทอดมองเขานิ่งๆ จากนั้นจึงคลี่รอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ เพราะอย่างนั้นเอง พฤกษ์ถึงได้กระชับอ้อมแขนมากขึ้น 

พอรู้สึกได้ถึงแรงโอบรัด คะนึงนิตย์ก็ทักท้วงเบาๆ 

“พี่พฤกษ์...จะให้ปั้นวาดรูปอยู่หรือเปล่าคะ”

“...ถ้าบอกว่าไม่อยากเป็นแบบแล้วจะได้หรือเปล่าครับ”

“งั้นพี่พฤกษ์กลับบ้านไหมคะ”

“ไม่เอาครับ”

“...พี่พฤกษ์ดื้อจัง” 

จากนั้นพฤกษ์ก็ได้ยินเสียงหวานเล็กๆ หัวเราะร่วน ใบหน้าหญิงสาวอ่อนโยนเสียจนคนมองใจสั่น อยากแนบอิงร่างหอมบอบบางนี้เรื่อยๆ 

“งั้นพี่เป็นแบบก็ได้ครับ”

“ปล่อยปั้นสิคะ”

“ไม่อยากปล่อยเลย” 

ปากบอกอย่าง แต่พฤกษ์ก็ยอมปล่อยวงแขนแต่โดยดี จากนั้นถึงได้ยลรอยยิ้มแสนหวานอีกครั้ง คราวนี้คะนึงนิตย์ค่อยๆ ถอยห่างออกไปนั่งลงตรงหน้าเขา แล้วยกแผ่นกระดานรองวาดที่มีอยู่ในห้องขึ้นมา 

                “ปั้นจะวาดแล้วนะคะ”

                ทันทีที่เธอเอ่ยปากบอก ชายหนุ่มก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี ทว่าภายในใจของหญิงสาวกลับกำลังปั่นป่วนไปมา คะนึงนิตย์เคยเรียนเรื่องร่างกายคนมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็จริง แต่พอแบบตรงหน้ากลายเป็นพฤกษ์ ในใจก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา 

                ทั้งที่เคยคิดไว้แล้วว่าเขาต้องเป็นแบบที่สมบูรณ์ที่สุด ทว่าเอาเข้าจริง เธอกลับคิดว่าตัวเองยังมีฝีมือไม่มากพอที่จะร่างภาพของเขาเก็บเอาไว้ได้ ดังนั้นทุกเส้นที่ร่างบนกระดาษขาวนอกจากจะแสดงถึงความไม่มั่นใจ มันยังเบี้ยวเบ้เพราะสายตาคนมองด้วย 

                ถ้าพฤกษ์ยังมองเธอด้วยแววตาเช่นนี้ เธอคงไม่อาจแสร้งทนไว้ได้อีก

                “พี่พฤกษ์คะ...” ปลายเสียงที่เอ่ยออกมาแหบพร่า เธอช้อนตามองชายหนุ่มสลับกับโครงร่างในกระดาษ จู่ๆ ก็หลุดปากพูดออกไปไม่ทันคิด

                “ชอบมากๆ เลยนะคะ”

 


 

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น