7

7

 

7

 

สิ้นเสียงเธอ ภายในห้องนอนก็ตกอยู่ในความเงียบ และทันทีที่คะนึงนิตย์รู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไป ร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นเตรียมจะหมุนตัวหนี ทว่าท่อนแขนบางกลับถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้ แรงที่ยื้อยุดทำให้คนหนีไร้อิสระ ร่างทั้งร่างซวนเซถอยกลับมาตกอยู่ในวงแขนของพฤกษ์ 

“พูดอีกครั้งสิครับ” 

แผ่นอกของชายหนุ่มแนบชิดอยู่กับหลัง ยามที่เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยคำขอเช่นนี้ ลมหายใจอุ่นๆ ของพฤกษ์ก็ย่อมปัดผ่านใบหูจนเธอรู้สึกร้อนผ่าว ร่างกายที่แนบชิดกันทำให้คะนึงนิตย์ทำตัวไม่ถูก ความร้อนจากเรือนร่างสูงทำให้เธอรู้สึกว่าอากาศในห้องอบอ้าวขึ้นมาทันตา 

“ปั้น บอกพี่อีกครั้งสิครับ”

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบอ้อนวอนริมหู คะนึงนิตย์บิดชายเสื้อตัวเองไปมาเพราะความขัดเขิน นึกโทษตัวเองที่ประหม่าจนพลาดหลุดปากบอกความในใจไป ระหว่างที่ตัดสินใจรวนเร พฤกษ์ก็จับไหล่เธอทั้งสองข้างไว้แน่น ก่อนพลิกให้เธอหันไปสบตากับเขาตรงๆ แทน 

“ที่พูดเมื่อครู่นี้ไม่ได้โกหกใช่มั้ยครับ”

ถึงอย่างไรทั้งหมดที่หลุดปากไปก็ไม่ใช่คำโกหกแน่นอน คะนึงนิตย์จึงพยักหน้าเป็นการยอมรับ วินาทีต่อมารอยยิ้มอบอุ่นก็อาบใบหน้าชายหนุ่ม รอยยิ้มนี้ทำให้คะนึงนิตย์ตกอยู่ในห้วงฝัน 

                “พี่ชอบปั้นเหมือนกันครับ”

                พูดจบ พฤกษ์ก็โน้มมาประทับจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอุ่นนุ่มของหญิงสาว สัมผัสนี้ไม่ต่างจากแมลงปอยามร่อนแตะผิวน้ำ ทว่าสัมผัสเบาๆ กลับทำให้สายน้ำที่นิ่งสงบในใจคะนึงนิตย์เกิดวงคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกๆ แผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด 

                “แบบนี้ไม่ต้องดูๆ กันก็ได้หรือเปล่านะ” 

เสียงแซวของพฤกษ์ทำเธอหน้าแดงใจสั่น ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลย เธอก็ดันเผลอบอกชอบเขาเสียแล้ว 

                ทว่าสำหรับพฤกษ์ นี่เป็นสัญญาณที่ดีแค่ไหน คะนึงนิตย์ไม่รู้หรอกว่าเขารอคอยให้เธอเอ่ยคำนี้มากแค่ไหน

                กำปั้นเล็กๆ ของหญิงสาวทุบลงที่อกข้างซ้ายของเขาเบาๆ แรงกระทบที่ไม่ต่างกับปุยนุ่นไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น กลับกันพฤกษ์โอบร่างเล็กของสาวน้อย ก่อนจะทิ้งตัวของพวกเขาทั้งคู่ลงบนเตียงกว้าง โอบกอดเธอไว้พลางทอดเสียงอ่อน

                “น่ารักจัง”

                “พี่พฤกษ์!” ดวงตากลมโตของหญิงสาววาววับ กำปั้นเล็กทุบอกเขาอีกทีคล้ายเป็นการสั่งสอน “ปล่อยปั้นนะ” 

                “ไม่ปล่อย แล้วก็ไม่เป็นแบบแล้ว”

                “เอ๊ะ! พี่พฤกษ์”

                ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของหญิงสาว นัยน์ตาทอดมองด้วยความใคร่รัก อดไม่ได้ที่จะบีบปลายจมูกคนตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว 

                “น่ารักอีกแล้ว อยากฆ่าพี่ให้ตายเหรอครับ หือ”

                “พี่พฤกษ์เพ้อเจ้อ! ปล่อยปั้นนะคะ ไม่งั้นปั้นจะโกรธจริงๆ ด้วย” 

                เธอขู่ขึ้นมา ทว่าเขากลับไม่ทุกข์ร้อน เพียงแค่ขำออกมา ก่อนจะยอมปล่อยให้คะนึงนิตย์เป็นอิสระ หญิงสาวถึงรีบลุกขึ้นนั่งดีๆ สองมือคว้าหมอนสีหวานของตัวเองขึ้นมากอดแน่น ดวงตาเรืองรองราวกับลูกแมวน้อยมองเขาด้วยความโกรธเคืองปนตัดพ้อที่เขาลงมือรังแกเธออีกแล้ว 

                “พี่พฤกษ์ไม่น่ารักเลย” 

พอได้ยินเสียงนุ่มๆ ติเข้า พฤกษ์ถึงรีบผุดลุกนั่งประจันหน้ากับหญิงสาว ใจหายวูบเพราะไม่อยากให้เธอโกรธ 

                “ขอโทษครับ ปั้นอย่าโกรธพี่เลยนะ” เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ เอียงศีรษะพลางเว้าวอน แต่เธอกลับเบี่ยงสายตาไม่ยอมมองกันตรงๆ 

                “ยังไม่ได้โกรธเลยค่ะ” สุดท้ายก็เป็นคะนึงนิตย์ที่ทนสายตาร้อนแรงของชายหนุ่มไม่ไหว จนต้องตอบเขาจริงๆ 

                “คนดี”

                พูดจบพฤกษ์ก็จูบลงที่หน้าผากหญิงสาวเบาๆ ให้เธอต้องยกมือแตะบริเวณที่ถูกสัมผัส พวงแก้มแดงก่ำ ดวงตากลมโตมองเขาด้วยความสงสัย ราวกับต้องการค้นหาบางอย่าง

“พี่พฤกษ์เปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย” 

เสียงพึมพำนี้ไม่อาจรอดจากหูเขาไปได้ ชายหนุ่มยกยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร เขาคิดว่าสักวันหนึ่งคะนึงนิตย์จะเข้าใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะหยอกกลับ

                “ปั้นไม่ชอบเหรอครับ”

                “ปั้นไม่ชิน...” หญิงสาวตอบเสียงเบา เธอช้อนตามองเขา “เหมือนกับปั้นไม่เคยรู้จักพี่พฤกษ์เลย ปั้นทำตัวไม่ถูก”

                “ไม่เป็นไรครับ เรายังมีเวลากันอีกมาก สำหรับพี่ พี่ยินดีให้ปั้นจะได้รู้เรื่องของพี่ต่อไปนี้ชั่วชีวิตเลยครับ” 

                คะนึงนิตย์ก้มหน้าลง ในใจรู้สึกถึงความหวานล้ำกับเวลาตราบชั่วชีวิตที่จะมีเขา เธอจึงยกยิ้มหวานแล้วบอกสิ่งที่อัดอั้นในใจให้เขาฟังเสียงอ่อน

                “ตกลงค่ะ...แต่ก่อนอื่น พี่พฤกษ์ไปใส่เสื้อให้เรียบร้อยนะคะ”

                ...

                ภาพของพฤกษ์ที่ตั้งใจว่าจะวาดสุดท้ายก็ต้องพักเก็บไปก่อน เพราะหลังจากนั้นคะนึงนิตย์ก็ไล่ให้ชายหนุ่มไปแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะบอกให้เขากลับบ้าน โดยอ้างว่าเธอมีงานที่ต้องทำอีก และไม่สะดวกที่จะให้เขาอยู่ต่อ ถึงพฤกษ์จะออกอาการชัดเจนว่าไม่อยากกลับ แต่หลังจากที่ฉวยโอกาสจูบเธออย่างดูดดื่มลึกซึ้งจนพอใจแล้ว ชายหนุ่มถึงยอมอ่อนข้อถอยให้ 

                เธอจับริมฝีปากที่ยังเจือกลิ่นอายและสัมผัสของชายหนุ่มที่ตกค้างอยู่เบาๆ พอคิดถึงความวาบหวามลึกซึ้งที่ทั้งคู่มอบให้กันและกัน ใบหน้าเนียนก็แดงพร้อมกับร้อนผ่าว ประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้รับมากะทันหันทำเอาหัวใจของเธอเต้นระรัว เพิ่งรู้จักอารมณ์ที่พุ่งทะยานอย่างขีดสุดเพราะรสจูบเอาก็วันนี้ 

                เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองจดจ่อกับพฤกษ์มากเกินไป เธอจึงรีบเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งใจทำงานต่อไป ทว่าบางครั้งใบหน้าของพฤกษ์ก็ลอยล่องเข้ามาในหัว ทั้งท่าทาง ทั้งคำพูดของเขายิ่งทำให้หัวใจเจ้ากรรมเต้นกระหน่ำ วินาทีต่อมาถึงตระหนักบางสิ่งได้อย่างแจ่มแจ้ง

                แย่แล้ว...เธอถูกพฤกษ์มอมเมาให้ลุ่มหลงตัวเขามากเกินไปแล้ว

 

                หลังจากพ้นช่วงหยุดยาว พฤกษ์ก็แวะเวียนมาหาเธอที่โรงเรียนบ่อยครั้ง ยกเว้นช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอติดสอน เขาไม่ได้มารบกวนการเรียนการสอนภายในโรงเรียน บางครั้งก็จะแวะเอาขนมนมเนยมาให้เธอ หรือไม่ก็มารับเธอไปกินมื้อเย็นด้วยกัน จะมีก็แต่ช่วงที่ใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดโรงแรมที่เขาไม่ได้แวะมาหาเธอ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็เพียรโทรศัพท์หาเธอเช้าเย็น ก่อนนอนทั้งคู่ต้องวิดีโอคอลกันอีกครั้ง เขาถึงจะพอใจ 

                คืนนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เธอเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะเข้านอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตามเวลานัดหมาย คะนึงนิตย์เอนตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม มือคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสาย หลังจากนั้นใบหน้าชายหนุ่มที่คุ้นตาก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ 

                พฤกษ์ยังอยู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ที่เก้าอี้ทำงานด้านหลังเธอเห็นสูทสีเข้มของเขาพาดอยู่ได้ชัด พื้นหลังในจอทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาอยู่ที่ไหน 

                “พี่พฤกษ์เพิ่งถึงบ้านเหรอคะ” คะนึงนิตย์ถามพลางเหลือบมองเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่วันใหม่แล้ว ทำไมเขายังไม่เตรียมตัวเข้านอนอีก การที่พฤกษ์ยังนั่งอยู่ในห้องหนังสือที่บ้านแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ความหมายคือ เขาจะทำงานต่อ หรือไม่ก็มีแพลนจะทำกิจกรรมอื่นก่อนเข้านอน

                “ครับ ที่โรงแรมยุ่งๆ นิดหน่อย พี่เลยต้องเอาเอกสารกลับมาดู” 

แม้สีหน้าของพฤกษ์ติดยิ้มบางๆ ที่มุมปากยามมองเธอ ทว่าคะนึงนิตย์ก็ยังเห็นได้ชัดว่าใต้ตาของเขาเริ่มมีรอยคล้ำจางๆ เพราะนอนน้อย 

                “พรุ่งนี้ค่อยมาทำก็ได้ค่ะพี่พฤกษ์ สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลย ปั้นว่ารีบไปอาบน้ำนอนดีกว่านะคะ” 

                น้ำเสียงหวานที่เจือความเป็นห่วงทำเอาความเหนื่อยล้าที่ชายหนุ่มพบเจอมลายหายไปอย่างรวดเร็ว พฤกษ์ยกยิ้มกว้าง มองหญิงสาวที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความคิดถึง เพราะมีหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ ทำให้สองสามวันที่ผ่านมานี้ไม่ได้แวะไปหาคะนึงนิตย์เลย ทว่าแค่ได้เห็นใบหน้าของเธอ เขาก็รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาที่แสนอ่อนโยนแล้ว 

                ใบหน้าของหญิงสาวนอนแนบกับหมอนสีขาว เรือนผมสีน้ำตาลเกลี่ยคลอเคลียล้อมรูปหน้า ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ยามที่ดวงตาของเธอมองตรงผ่านเข้ามา ราวกับกำลังออดอ้อนและเชื้อเชิญอยู่ในที

“แบบนี้ไม่ดีเลย”

                “อะไรคะ”

                คะนึงนิตย์กะพริบตามองเขาช้าๆ ดวงตากลมสุกใสชวนให้ใจสั่นสะท้าน 

                “คิดถึงปั้นครับ”

                แค่คำสั้นๆ เขาก็เห็นการเปลี่ยนแปลงบนแก้มนวลได้อย่างชัดเจน ผิวขาวเนียนละเอียดแดงระเรื่อขึ้น เพราะอย่างนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลูบไล้หน้าจอโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา ราวกับว่าหากทำเช่นนี้แล้ว เขาจะสัมผัสความนุ่มเนียนของเธอได้ 

                “..ไว้พี่พฤกษ์ว่าง ก็มาหาปั้นสิคะ” 

เสียงของเธอทำให้ดวงตาของเขาลุ่มลึกขึ้น มุมปากยกเป็นรอยยิ้มพลางเสนอบางอย่างแทน

                “ให้ปั้นมาอยู่กับพี่ดีกว่าครับ ตื่นเช้าพี่ก็จะได้เจอปั้น ก่อนเข้านอนก็ได้เจอปั้นอีก”

                “ไม่เอาค่ะ” พูดแล้วหญิงสาวก็ยกปลายผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่าง เห็นเพียงดวงตาแวววับสะเทิ้นอาย 

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือของพฤกษ์เอาแต่กดบันทึกภาพหน้าจอไปไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ทุกภาพล้วนเก็บอิริยาบถและสีหน้าของคะนึงนิตย์ไว้ทั้งหมดแล้ว

                “วันอาทิตย์ตอนเย็นพี่จะไปรับนะครับ” วันอาทิตย์ที่เขาพูดถึงก็คือ วันจัดงานเลี้ยงที่โรงแรมเครือรัตนเวคินทร์ครบรอบยี่สิบปี

                “ให้ปั้นไปที่โรงแรมก็ได้นะคะ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลามารับ”

                “พี่ไม่ลำบากครับ”

                “หรือว่าให้ปั้นไปพร้อมบัวก็ได้นะคะ เจอกันโรงแรมทีเดียวเลย ดีไหมคะ”

                “ถ้าปั้นอยากได้แบบนั้น พี่ให้บัวไปรับนะครับ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ”

                “ปั้น...”

                พอเห็นพฤกษ์เอ่ยปากแล้ว เธอก็ไม่อยากค้านเขาอีก เลยพยักหน้ารับ 

“ก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้พี่พฤกษ์ต้องพักได้แล้วนะคะ” หญิงสาวเว้นช่วงไปอีกนิด “จะวันใหม่แล้ว” 

“พี่ขออีกยี่สิบนาทีครับ แล้วจะไปอาบน้ำนอนเลย” 

“ไม่เชื่อหรอกค่ะ ปั้นรู้จากบัวหมดแล้ว กว่าพี่พฤกษ์จะนอนจริงๆ ก็ตีสองตีสามนู่น” 

ที่คะนึงนิตย์พูดก็ไม่ผิดจากความจริงเลย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่พฤกษ์จะทำงานหามรุ่งหามค่ำ กว่าจะเข้านอนจริงก็เกือบเช้า ยิ่งตอนที่ชายหนุ่มโหมทำงานหนัก กชนันท์บอกเธอว่าบางทีพี่ชายก็โต้รุ่งด้วยซ้ำ ยิ่งเขาบอกว่าที่โรงแรมมีเรื่องให้จัดการอีกมาก เธอก็ไม่ไว้ใจเลยว่าเขาจะเข้านอนจริงๆ ตามที่พูด 

“ปั้นจะถือสายแบบนี้นะคะ จนกว่าพี่พฤกษ์จะนอนปั้นค่อยวาง”

คติของเธอคือสุขภาพต้องมาก่อน ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจการทำงานของพฤกษ์ เพราะเมื่อก่อนเธอก็เป็นสายนอนเช้า ใช้เวลากลางคืนในการทำงาน และเพราะอย่างนั้น ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพราะเรื่องสุขภาพก็สูงไม่แพ้กัน เธอจึงไม่อยากให้พฤกษ์ต้องทำงานจนเสียสุขภาพ 

“ได้ครับ”

พฤกษ์ยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะตั้งโทรศัพท์ไว้ที่แท่นวาง จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงาน ระหว่างนี้เองที่คะนึงนิตย์เอาแต่จดจ้องชายหนุ่มยามทำงานโดยไม่รู้ตัว พลางพินิจใบหน้าเขาอย่างเพลินตา สิ่งที่เคยได้ยินมาว่า ผู้ชายจะมีเสน่ห์ที่สุดก็ตอนทำงานไม่ได้เกินจากความเป็นจริงเลย 

เธอวางโทรศัพท์พิงกับหมอนอีกใบ พลางเปลี่ยนไปเปิดไฟหัวนอนแทนไฟบนเพดาน ค่อยๆ ฟังเสียงเขาพลิกหน้ากระดาษ เสียงเขาตวัดปากกาขีดเขียนลงกระดาษ ราวกับว่ามันเป็นทำนองที่ช่วยขับกล่อมคนเข้านอน 

อากาศเย็นสบาย ที่นอนนุ่มและผ้าห่มที่คลุมพอดีตัว บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เปลือกตาของหญิงสาวค่อยๆ คล้อยต่ำจนปิดลงในที่สุด อีกสิบนาทีต่อหน้าลมหายใจของคะนึงนิตย์ก็เข้าออกสม่ำเสมอ 

พฤกษ์ละสายตาจากเอกสารในมือ มองใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยแววตาอ่อนแสง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูช้าๆ นิ้วมือกดบันทึกภาพหน้าจอนี้เอาไว้ จากนั้นก็ขยับให้ไมค์จ่อปาก เพื่ออวยพรให้นางฟ้าในใจของตน

“ฝันดีครับปั้น”

 

                กล่องของขวัญสีแดงกล่องใหญ่ที่ส่งมาถึงที่สร้างความประหลาดใจให้คะนึงนิตย์ไม่น้อย เธอหยิบการ์ดที่แนบมาคู่กันมาเปิดดู ก่อนจะพบข้อความของคนใกล้ตัว

                พี่จะรอเจอปั้นคืนนี้นะครับ หวังว่าปั้นจะถูกใจ

                คะนึงนิตย์เปิดกล่องของขวัญ ก่อนจะพบว่ามันคือชุดเดรสสีส้มอ่อน มีทั้งรองเท้าและเครื่องประดับครบชุด เธอค่อยๆ หยิบชุดเดรสขึ้นมาแล้วคลี่ออกช้าๆ เนื้อผ้าโปร่งพลิ้ว ผ้าด้านในก็ลื่นนุ่ม แค่สัมผัสเบาๆ ก็รู้สึกสบายผิว แขนเดรสทรงปีกผีเสื้อทำให้ทุกครั้งที่ขยับ ผ้าก็พลิ้วไหวไม่ต่างจากผีเสื้อตัวน้อย 

                ของขวัญทั้งหมดนี้ถูกใจคนรับเป็นอย่างมาก รอยยิ้มที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่ได้จางลงแม้แต่น้อย เธอยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายกล่องของขวัญแล้วส่งไปในโปรแกรมสนทนา

                ‘พี่พฤกษ์คะ ปั้นได้รับของแล้วนะคะ’

            ‘ปั้นชอบมาก’

            ‘ขอบคุณนะคะ’

                ไม่ถึงนาทีชายหนุ่มก็อ่านข้อความแล้วตอบกลับมา 

                ‘ดีใจที่ปั้นชอบครับ’

            ‘คืนนี้พบกันนะครับ พี่จะรอปั้นนะ’

                คะนึงนิตย์กดส่งสติกเกอร์กลับไปว่า ‘รับทราบ’ หัวใจเต้นระรัวเพราะความเอาใจใส่ของพฤกษ์ ยิ่งมองชุดเดรสที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งทนไม่ไหว 

                เขาแสนดีกับเธอแบบนี้ แล้วจะทนไหวได้อย่างไร...เธอจะหนีจากเขาได้อีกหรือ 

 

                ห้าโมงตรง กชนันท์ก็มาจอดรถรอเธอที่หน้าตึก อีกฝ่ายลดกระจกลงก่อนจะตะโกนบอกเสียงใส 

                “ปั้นมาเร็ว”

                คะนึงนิตย์ถือกล่องของขวัญที่พฤกษ์ส่งมาให้ไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็มีกระเป๋าเป้ใบเล็ก ในนั้นมีเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวสำหรับค้างนอกบ้าน ก่อนหน้านี้เธอคุยกับกชนันท์ อีกฝ่ายก็บอกว่า กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็ดึกมากแล้ว สามพี่น้องในฐานะเจ้าภาพยังต้องดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดอีก กลายเป็นกลับบ้านกลุ่มสุดท้าย เพื่อนรักจึงชวนเธอมาค้างที่บ้าน แล้วค่อยกลับตึกในเช้าวันถัดไปแทน 

                ตอนแรกคะนึงนิตย์ปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน แต่สุดท้ายก็ทนลูกอ้อนของอีกฝ่ายไม่ไหว ต้องตอบตกลงไปโดยปริยาย 

                “ว้าว อันนี้ที่พี่พฤกษ์ส่งให้ปะ” กชนันท์ถามทันทีที่เพื่อนเข้ามานั่งในรถ สายตาตกอยู่ที่กล่องของขวัญอย่างใคร่รู้

                “อืม”

                “ป๋าจริงๆ โอ๊ยยย อยากเห็น รีบกลับบ้านดีกว่า” 

                พูดจบเพื่อนรักก็รีบเข้าเกียร์ ออกตัวสู่ถนนหลักไปทางที่คุ้นเคยในทันที ระหว่างทางกชนันท์เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีเหมือนเคย เล่าเรื่องราวระหว่างที่พฤกษ์อยู่ต่างประเทศ และพฤติกรรมของชายหนุ่มหลังจากกลับมาให้เธอฟังละเอียดยิบจนคะนึงนิตย์ต้องขมวดคิ้ว แซวเพื่อนสาวกลับไปบ้าง

                “ตกลงบัวกลายเป็นเลขาฯ พี่พฤกษ์เต็มตัวแล้วใช่ไหม” 

                คนฟังหัวเราะร่วน ขณะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยบ้าน 

                “ก็คนมันตื่นเต้นนี่ปั้น อยากรู้ใจจะขาดว่าพี่พฤกษ์จะมาไม้ไหนอีก ถามจริง เจอแบบนี้ไม่ใจเต้นเหรอ” 

                เต้นสิ...เธอตอบในใจ ทว่าสิ่งที่แสดงออกไปกลับมีเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก

                “โหย ไม่สนุกเลยปั้น” 

                พูดจบรถก็จอดที่หน้าบ้านรัตนเวคินทร์พอดี สองสาวพากันลงจากรถ ก่อนที่คะนึงนิตย์จะถูกเพื่อนซี้ที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดลากเข้าบ้านโดยไว 

                ทั้งคู่เข้ามาอยู่ในห้องนอนของกชนันท์ อีกฝ่ายดันให้คะนึงนิตย์ไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น จากนั้นก็ตบอกรับปากจะช่วยตระเตรียมเสื้อผ้าให้ คะนึงนิตย์ที่เห็นอีกฝ่ายกำลังสนุกจึงไม่ห้ามปราม ทำตามที่เจ้าบ้านแนะนำอย่างอ่อนใจ 

                พอออกจากห้องน้ำมาอีกครั้ง เดรสสีส้มอ่อนของตนก็ถูกแขวนไว้ที่หน้าตู้กระจก คะนึงนิตย์ลูบไล้เนื้อผ้าแผ่วเบา สุดท้ายเพื่อไม่ให้เสียเวลาเธอจึงคว้ามันมาสวม จากนั้นไม่นานกชนันท์ก็กลับเข้ามาพร้อมข้าวของในมือ 

                “โอเอมจี1ตอนแรกว่าชุดสวยแล้วนะ แต่พอปั้นใส่แล้ว แม่เจ้า! พี่พฤกษ์ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย” 

                ชุดเดรสแนบเรือนร่างของคะนึงนิตย์ราวกับจับวาง ทุกสัดส่วนถูกดึงออกมาให้ดูโดดเด่น ทั้งเอวคอดกิ่ว สะโพกผาย ยามที่หญิงสาวขยับตัว เนื้อผ้าก็จะพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหว ทำให้เธอดูเหมือนความงามที่ไม่มีอยู่จริง ด้านหลังเดรสมีริบบิ้นผูกเป็นโบตรงคอระหง พร้อมทั้งเผยแผ่นหลังเนียนละเอียดจนคนมองต้องจุปากด้วยความพึงพอใจ 

                “มาๆ เราทำผมแต่งหน้าให้ รับรองสวยปัง!”

                กชนันท์ที่รอเวลานี้มานานจับเพื่อนสาวนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อุปกรณ์ต่างๆ ที่เตรียมไว้อย่างดีถูกหยิบเอามาใช้เกือบทุกชิ้น และที่ไม่ได้บอกคะนึงนิตย์ไปอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องสำอางทุกชิ้นในวันนี้ล้วนแต่เป็นของใหม่แกะกล่องที่พฤกษ์อนุมัติซื้อให้น้องสาวเพื่องานนี้โดยเฉพาะ 

                ใบหน้าของคะนึงนิตย์ปกติไม่ค่อยได้แต่งหน้าเท่าไหร่ เธอมักจะดูแลผิวด้วยการทำความสะอาด และการใช้เซรั่มกับครีมบำรุงผิวเท่านั้น ผิวของหญิงสาวเนียนละเอียดจนคนมองนึกอิจฉาขึ้นมา 

                “ถือเป็นวาสนาของพี่พฤกษ์แล้วสินะ” กชนันท์รำพัน ส่วนสองมือก็ค่อยๆ บรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้าเพื่อนสาว พวงแก้มถูกแต้มด้วยสีโอลด์โรสอ่อนๆ ให้ดูสุขภาพดี เปลือกตาปาดพาเลตสีโทนส้มอมแดงที่หางตาเข้ามาถึงตรงกลางแล้วเกลี่ยให้ฟุ้ง เพิ่มประกายกากเพชรสีทองบางๆ ให้ดูมีมิติ โดยไม่ลืมปัดขนตาและเพิ่มอายไลเนอร์ลากหางยาวออกไปแค่เล็กน้อยให้ดูเป็นธรรมชาติ ขับเน้นดวงตากลมโตของคะนึงนิตย์ให้รู้สึกชวนฝัน สุดท้ายก็จบที่ลิปสติกสีแดงอ่อนๆ 

ส่วนเรือนผมสีน้ำตาลยาวของหญิงสาว กชนันท์ก็รวบทั้งหมดแล้วถักเปียเกล้าต่ำๆ เพื่ออวดแผ่นหลัง ปล่อยปอยผมระต้นคอ จากนั้นก็หยิบเครื่องประดับผมที่อยู่ในกล่องของขวัญมาเสียบมวยผม หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กชนันท์ก็อดไม่ได้ที่จะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ 

“โอ๊ย! สวย ภูมิใจมากค่าพี่สะใภ้”

คนฟังไม่สามารถควบคุมพวงแก้มที่แดงระเรื่อของตัวเองได้ จึงทำได้เพียงปรามอีกฝ่ายเสียงดุ 

“บัว! พูดอะไร”

“พูดความจริงไงคะเพื่อนสาว ฮัลโหล” 

คะนึงนิตย์มองตัวเองในกระจกแล้วก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีเธอไม่ใช่คนที่แต่งหน้าเป็นประจำ ดังนั้นพอกชนันท์จัดเต็มแต่งให้อย่างสุดฝีมือเช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองตัวเองด้วยความไม่คุ้นชินบ่อยๆ แต่พอเห็นเพื่อนสนิทยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่งสายตาล้อเลียนมาไม่หยุด ก็ได้แต่กระแอมไล่อีกฝ่ายไปแต่งตัวบ้าง

“ทำไมยังไม่แต่งตัวละบัว เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”

“รู้แล้วๆ เนี่ย แต่งหน้ารอตั้งนานแล้ว ใส่ชุดแป๊บเดียวก็เสร็จ” 

พูดจบกชนันท์ก็ไปหยิบชุดเดรสของตนที่เตรียมไว้ แล้วเข้าห้องน้ำไปทันที ภายในห้องจึงตกอยู่ภายใต้ความเงียบ 

คะนึงนิตย์มองตัวเองในกระจกแล้วยกยิ้มบางๆ ไม่รู้ว่าถ้าพฤกษ์เห็น เขาจะว่าอย่างไรบ้าง

คิดถึงช่วงเวลาที่จะเจอกันแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังเลยจริงๆ 

 

พฤกษ์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่แน่ใจ โทรศัพท์ของเขาก็ไม่มีวี่แววที่กชนันท์จะโทร. เข้ามาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าน้องสาวจอมยุ่งพาคะนึงนิตย์ไปเตรียมตัวถึงไหน เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนต้องเข้าไปรวมตัวในงานเต็มที เขาอดไม่ได้จึงลองต่อสายหมายเลขของน้องสาว ทว่าปลายสายก็เงียบงันไร้การตอบรับ เช่นเดียวกับหมายเลขของคะนึงนิตย์ เขาจึงหันไปถามน้องชายที่ยืนอยู่ข้างกาย

“โมกข์ได้โทร.หาบัวหรือยัง ใกล้จะถึงเวลาเข้างานแล้ว”

โมกข์ขมวดคิ้ว ในใจแอบบ่นพี่ชาย...พี่พฤกษ์มั่นใจเหรอครับว่าอยากรู้ว่าบัวอยู่ไหนจริงๆ 

“โทร. ไม่ติดเหมือนกันครับ แต่นัดไว้สองทุ่ม บัวคงไม่สายหรอกครับพี่พฤกษ์ เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง” 

น้องชายได้แต่พูดอ้อมๆ เพื่อไม่ให้พี่ชายคิดมาก ทว่าในใจก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาเหมือนกัน เขาไม่รู้เลยว่าแม่น้องสาวตัวแสบของตนอยู่ที่ไหน แค่เห็นพฤกษ์เริ่มขมวดคิ้ว ตัวเขาก็สั่นขึ้นมาแล้ว! 

“พฤกษ์ เป็นไง” 

เสียงทักหนึ่งทำให้พี่ชายต้องหันไปตามต้นเสียง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาพร้อมทักทายแขกที่โมกข์คุ้นหน้าคุ้นตาคนนั้น 

“เฌอ สบายดีนะ” พฤกษ์เอ่ยทักเพื่อนรุ่นน้องคนนี้อย่างสนิทสนม แม้ว่าชารัฐ2จะอายุน้อยกว่า แต่พวกเขาก็นับถือกันในฐานะเพื่อนสนิท ดวงตาชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเพื่อนสนิท เพราะคลับคล้ายได้ยินมาเหมือนกันว่าอีกฝ่ายใกล้จะแต่งงานแล้ว 

ชารัฐเองก็เหมือนจะเห็นสายตาของเพื่อนสนิท จึงแนะนำคนรักแก่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเป็นทางการ 

“พฤกษ์ นี่นับดาว แฟนเราเอง งานแต่งคงเร็วๆ นี้ แล้วจะส่งการ์ดมานะ”

“ยินดีด้วยนะ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนับดาว” พฤกษ์หันไปส่งยิ้มตามมารยาทให้หญิงสาว ขณะเดียวกันเธอก็ยกยิ้มหวาน แล้วแนะนำตัวให้เขาฟังอย่างที่พฤกษ์เองก็คาดไม่ถึง

“สวัสดีค่ะคุณพฤกษ์ เรียกเดียร์ก็ได้ค่ะ ที่จริงเราเคยเจอกันสองสามครั้งที่โรงเรียนพี่ปั้นนะคะ” 

ได้ยินนับดาวพูดแล้ว พฤกษ์ก็พยายามขบคิด ทว่านอกจากคะนึงนิตย์แล้ว คนอื่นๆ ที่โรงเรียนเขาก็แทบไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ ที่เขาทำความรู้จักกันพอเป็นพิธีก็มีแต่จอมขวัญและพสุ รุ่นพี่ของคะนึงนิตย์ก็เท่านั้น 

“ครับ? ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมจำไม่ได้” 

นับดาวหัวเราะร่วนคล้ายไม่ถือสา เธอส่งยิ้มสดใสพลางตอบอย่างอารมณ์ดี 

“ไม่ถือค่ะ เพราะจริงๆ ฉันเองก็แวะไปที่โรงเรียนพี่ปั้นไม่บ่อย แค่สองสามครั้งค่ะ ฉันเป็นน้องสาวพี่รัก หมายถึงคุณพสุน่ะค่ะ” 

พอได้ยินอีกฝ่ายอธิบายแล้ว เขาก็ร้องขานรับในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มจางๆ ให้ “ทราบแล้วครับ”

แววตาของนับดาวยามที่จดจ้องมองพฤกษ์มีประกายแปลกจนเขานึกสงสัย ติดตรงที่ว่าชารัฐยกมือขึ้นตบบ่าเขาเบาๆ คล้ายให้ทำใจ 

“อย่าถือสาเดียร์เลยนะ ไม่มีอะไรหรอก”

พฤกษ์พยักหน้ารับ เดิมทีก็ไม่คิดว่านับดาวมีปัญหาอะไรกับตนอยู่แล้ว เพียงแต่ดวงตาที่จ้องมองมาคล้ายกำลังมองหาบางสิ่งทำให้นึกแปลกใจก็เท่านั้น 

“เข้าไปด้านในก่อนก็ได้นะ” 

ชารัฐรับคำ จากนั้นก็จูงมือคนรักพากันเข้าไปด้านใน ส่วนพฤกษ์ก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เหลือเวลาอีกสิบนาทีก็จะถึงเวลางานตามกำหนดการแล้ว ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะพาคะนึงนิตย์มาหรือยัง ใจหนึ่งก็กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองสาวหรือไม่

หน้าทางเข้าห้องบอลรูมสำหรับจัดเลี้ยง นอกจากพนักงานโรงแรม แขกส่วนใหญ่ก็เข้าไปเตรียมตัวและพูดคุยกันด้านในแล้ว พฤกษ์วานให้โมกข์เข้าไปดูแลความเรียบร้อยด้านใน ส่วนตนจะรอน้องสาวกับคะนึงนิตย์ข้างนอก จวบจนดวงตาเห็นร่างหญิงสาวที่คุ้นตาค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างมั่นใจแล้ว คิ้วของเขาถึงได้เลิกขึ้น

“พี่พฤกษ์” 

กชนันท์ก้าวเท้าไวๆ ตรงเข้ามา ก่อนจะคล้องแขนเขาไว้อย่างออดอ้อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นพี่มีสีหน้าดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว 

“บัว”

“โหย เสียงแข็งไปแล้ว บัวไม่ได้มาช้านะ ก่อนเวลาตั้งห้านาที” กชนันท์ยิ้มเย้าแหย่ แล้วมองพี่ชายที่เอาแต่จ้องทางเข้า เธอจึงส่งเสียงเรียกความสนใจกลับมา “พี่พฤกษ์ นี่น้องไง จำไม่ได้เหรอ”

พฤกษ์ยิ้มมุมปากอย่างนึกมันเขี้ยวน้องสาว เขาพลิกหลังมือเคาะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ สุดท้ายค่อยถามเสียงเข้ม 

“แล้วปั้นล่ะ”

“ปั้นเข้าห้องน้ำ บัวเลยถือโอกาสเดินมาดูก่อน กลัวคนแถวนี้ใจร้อนอยู่ไม่ติดที่” 

พฤกษ์ส่ายศีรษะระคนอ่อนใจ รู้ดีว่ากชนันท์ชอบหยอกเล่นแบบนี้ และเบาใจที่น้องสาวกับคะนึงนิตย์ไม่ได้เกิดเรื่องขึ้น 

“พฤกษ์คะ” 

ระหว่างนั้นเองที่เสียงหวานเสียงหนึ่งทักพวกเขาจากอีกด้าน พอชายหนุ่มหันกลับไปมอง เขาถึงเจอคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน 

“ลูกจันทร์”

วราลีเดินเข้ามานวยนาดเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้าที่แต่งมาอย่างสวยงาม หญิงสาวอยู่ในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มเปลือยไหล่ ขับผิวขาวของเธอให้โดดเด่น เรือนผมสีดำขลับแผ่สยายอยู่ที่กลางหลัง แม้ความงามตรงหน้าจะดูเย้ายวนใจแค่ไหน ทว่าแววตาของพฤกษ์ก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ปรากฏขึ้นมาแม้แต่น้อย 

ปฏิกิริยาของชายหนุ่มทำให้วราลีผิดหวังอยู่บ้าง แต่วินาทีต่อมาหญิงสาวก็ให้กำลังใจตัวเอง ยกยิ้มพลางเดินเข้าหาชายหนุ่ม หมายจะวางมือบนท่อนแขนของเขาตามความเคยชิน แต่อุปสรรคที่มีรอยยิ้มเยาะอย่างกชนันท์กลับขยับกายเข้ามาขวางไว้ 

“อุ๊ย! ไม่เจอคุณลูกจันทร์ตั้งนาน กลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” 

แม้จะเป็นการทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตรสนิทสนม แต่วราลีก็รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับเธอมาแต่ไหนแต่ไร หากไม่เห็นว่ากชนันท์เป็นน้องสาวของพฤกษ์แล้วละก็ เธอคงไม่อดทนอดกลั้นโดนหาเรื่องแบบนี้แน่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งฉีกกว้าง แสดงความเป็นมิตรและอ่อนหวานออกมาให้มากที่สุด 

“กลับมาสักพักแล้วค่ะน้องบัว” เธอเว้นจังหวะพลางช้อนตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ลูกจันทร์มาแสดงความยินดีกับพฤกษ์นะคะ คุณพ่อคุณแม่เองก็ฝากทักทายด้วย ว่างๆ พฤกษ์แวะไปที่บ้านได้นะคะ พวกท่านคิดถึง ลูกจันทร์เองก็คิดถึงพฤกษ์เหมือนกัน ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”

หากฟังอย่างผิวเผิน คำพูดของวราลีนั้นตีความได้หลากหลาย โดยเฉพาะนัยที่ดูสนิทสนมเกินเพื่อน แม้แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็ยังมีท่าทีที่เป็นมิตรกับอีกฝ่ายเป็นพิเศษ แบบนี้ต่อให้ไม่รู้จักทั้งพฤกษ์และวราลี ก็คงเข้าใจว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเลย    

กชนันท์กัดฟัน อยากจะบอกให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้สักทีว่าพี่ชายของเธอไม่ว่าง รีบไปให้พ้นเสียที แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา พฤกษ์ก็เป็นฝ่ายชิงตัดหน้าเสียก่อน 

“ขอบคุณครับ ไว้ว่างๆ ผมจะเชิญพวกท่านมาทานข้าวที่โรงแรมนะครับ ตอนนี้ครัวเราก็เพิ่งปรับใหม่ หวังว่าท่านจะให้คำแนะนำ คอมเมนต์มาได้นะครับ” 

สีหน้าของวราลีเจื่อนลงตอนได้ยินชายหนุ่มตอบตามมารยาท ไม่ได้แสดงท่าทางสนิทสนมอย่างที่หวัง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้เป็นอย่างดี 

“ได้ค่ะ พฤกษ์รอใครอยู่หรือเปล่าคะ ถ้าไม่ติดอะไร เราเข้าไปพร้อมกันเลยไหมคะ” 

กชนันท์เห็นวราลีทำเป็นยิ้มใสซื่อก็คันปากยิบๆ 

แหม แม่ลูกเหม็น พี่ชายฉันจะเข้าหรือไม่เข้าหล่อนเกี่ยวอะไรยะ! 

“เชิญลูกจันทร์ก่อนได้เลยครับ ผมอยากจะตรวจความเรียบร้อยอีกนิด” 

ถึงพฤกษ์จะพูดแบบนั้น ทว่าวราลีก็เพียงยกยิ้ม ไม่เข้าไปในงานอย่างที่เอ่ยปากชวนสักนิด กชนันท์เห็นแล้วก็ร้องตะโกนหาเพื่อนสาวในใจ...ปั้น! เมื่อไหร่จะมาเนี่ย!!! 

วราลีคิดว่าพฤกษ์คงไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเธอในทางที่ผิด ถึงจะผิดหวัง แต่เธอก็เตรียมใจมามากพอแล้วรอเข้างานพร้อมชายหนุ่ม ในแวดวงสังคมใครต่อใครก็คาดเดากันไว้แล้วว่า ระหว่างเธอกับพฤกษ์ รัตนเวคินทร์คนนี้คงไม่แคล้วต้องเกี่ยวดองเป็นบ้านเดียวกัน ตัวเธอเองก็คาดหวังไว้แบบนั้น ดังนั้นความเพียรพยายามหลายปีมานี้จะหยุดลงง่ายๆ เพราะท่าทีนิ่งเฉยของเขาไม่ได้ 

เธอจะทำให้พฤกษ์เห็นว่า นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนคู่ควรกับเขาอีก 

ขณะที่วราลีตั้งใจจะเปิดปากพูดคุยกับชายหนุ่ม เสียงส้นรองเท้าที่กระทบพื้นกระเบื้องหินอ่อนก็ดังกังวานขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ที่ปลายสุดของทางเดินมีร่างหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น 

ทุกฝีก้าวของหญิงสาวทั้งมั่นคงและหนักแน่น วินาทีนั้นวราลีจึงสังเกตถึงอันตรายบางอย่าง เพราะดวงตาของพฤกษ์ในเวลานี้กำลังจดจ้องที่หญิงสาวคนนี้ นัยน์ตาคมกริบของเขาเกิดเป็นคลื่นความรู้สึกกระเพื่อมออกมาจนเธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในนั้น

อ่อนโยนอย่างนั้นเหรอ...

คนที่เย็นชากับทุกคนอย่างพฤกษ์น่ะหรือจะมีกระแสความอ่อนโยนออกมาอย่าตอนนี้

ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่

 

ทันทีที่ร่างเพรียวระหงของคะนึงนิตย์ปรากฏขึ้นในสายตา พฤกษ์ก็มองหญิงสาวตรงหน้าจนตาเป็นประกายคมเข้มที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ดวงตาทั้งสองข้างจดจ้องเธอไม่วางตา ชุดเดรสสีส้มอ่อนขับกับผิวขาวของหญิงสาวให้ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ทรวดทรงที่รับกับชุด และการแต่งหน้าที่ดึงเสน่ห์ทั้งหมดของคะนึงนิตย์ออกมาอย่างโดดเด่นนั้นล้วนทำให้ความพึงพอใจของพฤกษ์ฉายชัด จนคนถูกมองเริ่มแสดงอาการประหม่า 

ไม่รอช้า พฤกษ์ก็ขยับฝีเท้าก้าวไปหาหญิงสาวทันที ในใจนึกอยากทิ้งทุกอย่างไว้ด้านหลัง แล้วโอบอุ้มร่างเล็กของคะนึงนิตย์เข้าสู่อ้อมกอด พาเธอล่องลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้าที่เขาจะเป็นคนมอบให้ 

“พี่พฤกษ์...” 

ดวงตาคู่งามเหลือบขึ้นมอง วินาทีนั้นพฤกษ์นึกว่าตัวเองเห็นดวงดาวนับร้อยในดวงตาคู่นี้ เขายกยิ้มอ่อน พลางขยับท่อนแขนให้เธอสอดมือเรียวเล็กคล้องไว้

คะนึงนิตย์มองกลับไปด้วยความงุนงง เธอกะพริบตาไม่เข้าใจท่าทางของเขา ทว่าเมื่อรู้ตัวแล้วว่าต้องทำอะไรต่อริมฝีปากของหญิงสาวก็ค่อยๆ ยกยิ้มเอียงอาย เสียงหวานพึมพำขึ้น 

“รบกวนด้วยนะคะ”

“เป็นเกียรติของพี่ครับ” เขากดรอยยิ้ม โน้มตัวไปกระซิบริมหูคนข้างกาย “ปั้นสวยมากครับ” 

พวงแก้มของหญิงสาวแดงระเรื่อ มือเรียวที่คล้องท่อนแขนกระชับแน่นขึ้น ใบหน้าเล็กก้มต่ำ ไม่อาจทนต่อสายตาลุ่มหลงของชายหนุ่มได้อีก 

ทั้งคู่ค่อยๆ เดินมาหยุดข้างกชนันท์ จากนั้นคะนึงนิตย์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาวอีกคน...วราลี 

คะนึงนิตย์ยังไม่เคยพูดคุยหรือทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว เพราะวงสังคมที่แตกต่างกัน ระหว่างพวกเธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ให้แวะเวียนมาพบกันได้เลย ดวงตาของวราลีที่มองมาจึงเป็นการสำรวจ และพิจารณาเธอไม่ต่างจากสินค้าชิ้นหนึ่ง 

คะนึงนิตย์เก็บความอึดอัดไว้ในใจ ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ว่าควรทักทายอีกฝ่ายอย่างไรดี อย่างน้อยเธอก็เป็นแขกของพฤกษ์ วินาทีต่อมาเสียงทุ้มต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของคนตัวสูงก็ดังขึ้น 

“ลูกจันทร์ครับ นี่ปั้น แฟนผมเองครับ”

คะนึงนิตย์เงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างคิดไม่ถึง ขณะเดียวกันก็เผลอเหลือบไปมองวราลีที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของหญิงสาวเจื่อนชะงัดปนตกใจ ก่อนจะค่อยๆ ยกยิ้มจางๆ ออกมา แม้อีกฝ่ายจะพยายามควบคุมสีหน้าแค่ไหน แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าวราลีตกใจไม่น้อยจริงๆ 

“อ๋อ! ใช่ค่ะ เมื่อกี้บัวก็ว่าจะแนะนำให้คุณลูกจันทร์รู้จักอยู่พอดี แต่คิดดูแล้วให้พี่พฤกษ์แนะนำเองจะดีกว่า” 

ดูเหมือนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ จะมีเพียงแค่สองพี่น้องรัตนเวคินทร์เท่านั้นที่พอใจสุดๆ 

“พี่พฤกษ์คะ...แบบนี้...” คะนึงนิตย์พยายามสะกิดแล้วเอียงหน้ากระซิบถาม ทว่าพอเห็นดวงตาคู่ตรงหน้าที่แสนล้ำลึกไม่มีสิ้นสุดของเขา คำพูดที่ต้องการเอื้อนเอ่ยกลับขาดหายไปในทัน 

พฤกษ์ยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น มืออีกข้างของเขาเคลื่อนมาจับลูกผมที่ระใบหน้าของเธอเกี่ยวทัดหลังใบหู 

“ดีแล้วครับ มาเถอะ เข้าไปในงานกับพี่นะ”

จากนั้นพฤกษ์ถึงได้เลื่อนมือข้างนั้นมาวางทับมือของเธอที่อยู่บนท่อนแขนของเขา อุณหภูมิอุ่นที่สัมผัสได้จากมือของชายหนุ่มค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ขับไล่ความรู้สึกประหม่าและความกังวลทั้งหมดออกไปภายในพริบตา 

ก่อนที่พฤกษ์ต้องขึ้นไปบนเวที เขาพาเธอไปสมทบกับโมกข์ที่มุมหนึ่งในงาน จากนั้นหญิงสาวถึงได้มองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ เดินขึ้นเวทีอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงกระซิบเย้าแหย่จากกชนันท์ที่อยู่ข้างๆ มาตั้งแต่ต้น 

“ว่าไงคะพี่สะใภ้ แบบนี้ชัดไหมคะ” 

ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังหันไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ให้พี่ชายคนรองฟังอย่างสนุกปาก ส่วนเธอน่ะหรือ ตอนนี้ก็มีเพียงคำตอบเดียวในใจ

ชัดสิ...ชัดมากด้วย

เห็นได้ชัดเลยว่าตอนที่พฤกษ์แนะนำตัวเธอให้วราลีรู้จัก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นคงและหนักแน่น ดวงตาคมเข้มที่มองอีกฝ่ายก็นิ่งสงบ ไม่หลงเหลือความรู้สึกอื่นเลยสักนิด เพียงแค่นี้ หัวใจที่มีแต่เขาอยู่แล้วก็เอนเอียงไปหาพฤกษ์ได้ในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ 

ราวกับเขารู้มาตลอดว่าเธอกังวลเรื่องอะไร ถึงได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาให้เธอรับรู้ความจริงใจของเขา 

เมื่อนึกถึงความใส่ใจที่พฤกษ์มีให้ ความรู้สึกอ่อนหวานอันลึกล้ำก็แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจโดยไม่ทันที่คะนึงนิตย์จะรู้ตัว นัยน์ตาของเธอที่มองชายหนุ่มอยู่ในเวลานี้จึงเต็มไปด้วยความรัก 

พฤกษ์ที่อยู่บนเวทีหันมาสบดวงตาคู่นี้ก็เป็นอันชะงัก จู่ๆ ลำคอของเขาก็แห้งผาก ดวงตาที่มากล้นด้วยความรู้สึกของคะนึงนิตย์ทำเอาหัวใจของเขาคันยุบยิบ อยากตอบแทนดวงตาคู่งามด้วยจุมพิตที่ไม่รู้จบ 

ชายหนุ่มกระแอมกระไอ บังคับตัวเองให้อดกลั้นความรู้สึกที่กำลังปะทุพล่านเดือดในกาย แล้วเบนความสนใจออกจากสาวน้อยแสนหวานด้วยงานตรงหน้า จวบจนที่คำพูดสุดท้ายของเขาหลุดออกไปแล้ว เสียงปรบมือที่ดังเกรียวกราวก็ดึงเขาออกจากทุกสิ่ง จากนั้นพฤกษ์ถึงเดินตรงมาสมทบกับหญิงสาวที่จะเป็นของเขาเพียงคนเดียวในทันที 

                “ปั้น”

                พอเขามาหยุดที่ต่อหน้าเธอ คะนึงนิตย์ก็ยกยิ้มหวาน “พี่พฤกษ์ ยินดีด้วยนะคะ” 

                คำอวยพรของเธอเป็นเหมือนน้ำเย็นดึงให้เขาได้สติ ความรู้สึกร้อนรุ่มที่อยู่ในใจค่อยๆ ดับลง ดวงตาที่เข้มขึ้นเพราะความปรารถนาก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน 

                “ขอบคุณครับ” เขามองเธอตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นยื่นแขนให้เธอคล้องอีกครั้ง “ปั้นไปกับพี่นะ” 

                แม้คะนึงนิตย์จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของชายหนุ่ม แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ รู้ตัวอีกครั้งพฤกษ์ก็พาเธอเดินไปพบแขกของเขาภายในงาน แล้วแนะนำต่อหน้าทุกคนว่าเธอคือคนรักของเขา...

                หลังจากคุยกับแขกคู่สามีภรรยาที่พฤกษ์ให้ความเคารพจบแล้ว ชายหนุ่มก็หันมาสบตากับเธอ พลางถามเสียงเย้า “พี่แนะนำคนอื่นไปตั้งเยอะว่าปั้นเป็นแฟนพี่ ปั้นอย่าเมินเรื่องนี้นะครับ” 

                คะนึงนิตย์เม้มริมฝีปากพลางเงยมองใบหน้าที่มีต่อรอยยิ้ม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูออดอ้อนอย่างไม่ได้ตั้งใจ

                “พี่พฤกษ์ไม่บอกปั้นก่อน” 

                “พี่กลัวปั้นปฏิเสธ มัดมือชกเลยแล้วกัน”

                เจ้าของดวงตากลมโตส่งสายตาค้อนให้เขาหนึ่งวง พฤกษ์หัวเราะในลำคอก่อนจะเอียงศีรษะถามเสียงนุ่ม 

                “ปั้นจะปฏิเสธพี่เหรอครับ”

                ยามที่รอคำตอบจากหญิงสาว เขาก็ลอบสังเกตเธออย่างละเอียดว่า ชุดเดรสและเครื่องประดับทั้งหมดที่เขาเลือกให้นั้นเหมาะกับคะนึงนิตย์แค่ไหน จนบางครั้งเขาก็เห็นสายตาของหนุ่มๆ ในงานหลายคนที่เบนมายังหญิงสาวอยู่บ่อยครั้ง สายตาเหล่านั้นทำให้เขาหงุดหงิดใจ ทว่าพอเห็นร่างบอบบางอยู่ในอ้อมแขนของตน บางทีก็หันมายิ้มหวานให้ ความรู้สึกเหล่านั้นจึงค่อยๆ ทุเลาลงจนไม่เหลือทิ้งไว้อีก 

                เขาตั้งใจจะบอกทุกคนให้รับรู้ ว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาคนนี้...คะนึงนิตย์ จะเป็นความรู้สึกคำนึงหาที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครอง 

                “...พี่พฤกษ์อย่ามองปั้นแบบนี้สิคะ” จู่ๆ เสียงหวานของเธอก็ดังขึ้น เขาถึงยิ้มที่มุมปากแล้วถามกลับ

                “แบบไหนครับ”

                “แบบที่...”

                “หืม? ที่อะไรครับ”

                ตอนนี้หัวใจของหญิงสาวสั่นระรัว ไม่กล้าให้คำตอบเลยว่าสายตาของเขาในตอนนี้ราวกับจะกลืนกินเธอไปทั้งตัว มันทั้งลุ่มลึกและเต็มไปด้วยเสน่หาที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มได้โดยง่าย 

                “ไม่มีอะไรค่ะ” สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าเสียเอง ได้แต่ยกแก้วเครื่องดื่มในมือที่ถือติดไว้ขึ้นมาจิบเบาๆ รสชาติหวานๆ เจือด้วยแอลกอฮอล์แผ่ซ่านในโพรงปาก ดึงสติให้กลับมา 

                “แต่ปั้นยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะครับ”

                คะนึงนิตย์หันไปสบสายตาของพฤกษ์อีกครั้ง...สุดท้ายปากก็เอ่ยคำตอบที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาให้เขาฟัง 

                “ปั้นไม่คิดจะปฏิเสธพี่พฤกษ์เลยค่ะ”

 

                วราลีจดจ้องสองร่างที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่กลางงานด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ หญิงสาวที่อยู่ข้างกายพฤกษ์ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ทว่าในความทรงจำของเธอกลับไม่มีตัวตนของผู้หญิงคนนี้ปรากฏอยู่เลย กระทั่งเห็นกชนันท์และโมกข์เข้ามายืนสมทบกับทั้งคู่ ภาพหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง 

                เธอจำได้แล้ว คืนงานเลี้ยงก่อนที่พฤกษ์จะไปต่างประเทศ...ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของกชนันท์นี่เอง 

                วราลีกำมือแน่น เธอกระแทกแก้วน้ำลงอย่างไม่พอใจ คิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่เธอพึงใจมาตลอดหลายปีจะมีม้ามืดโง่ๆ ตัวหนึ่งชิงตัดหน้าไปเสียได้ ทว่าดูท่าทีเงอะงะของอีกฝ่ายแล้ว ในใจก็พลันกระจ่าง อย่างผู้หญิงคนนี้คงไม่มีทางเข้าหาพฤกษ์ด้วยตัวเองได้หรอก คงเป็นกชนันท์ที่พยายามยัดเยียดอีกฝ่ายให้พี่ชาย มันทั้งน่าหงุดหงิดและน่าเสียดายที่สุดท้ายพฤกษ์ก็ดันหลงท่าทีไร้เดียงสาแบบนี้ได้ 

                ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเธอแล้ว วราลีคิดว่าทั้งรูปร่าง การศึกษา และฐานะของตน ดูอย่างไรก็เหมาะสมกับพฤกษ์มากกว่าด้วยซ้ำ ทว่าใจหนึ่งก็นึกหวั่นขึ้นมา เพราะสายตาของชายหนุ่มที่มีให้หญิงสาวคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนหวาน  และความอบอุ่นเอาใจใส่ที่แม้แต่เธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน 

                หัวใจของวราลีตอนนี้ยิ่งบีบรัดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ทั้งรับไม่ได้ ทั้งไม่ยินยอม 

                แต่คนอย่างวราลี ทายาทสาวไฮโซ ไม่จำเป็นต้องลดตัวไปแข่งกับใคร ศักดิ์ศรีที่มีทำให้เธออดกลั้น ฝืนเชิดใบหน้า และคว้าแก้วน้ำมาไว้ในมือ ก่อนจะปลุกใจตัวเองเยื้องย่างเข้าไปร่วมวงสนทนาของชายหนุ่มอย่างมั่นใจ 

                “พอเห็นสามพี่น้องมารวมตัวแบบนี้ เป็นภาพที่น่ารักมากเลยนะคะ” 

                วราลีเอ่ยทักพร้อมโปรยรอยยิ้มหวาน แต่ก็รับรู้ได้ในทันทีว่า คนที่เอาแต่ตั้งแง่กับเธออย่างกชนันท์กลอกตามองบนอยู่ ทว่าเธอก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นร่องรอยความไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่าย ดวงตาของเธอในเวลานี้เอาแต่พินิจจดจ่อหญิงสาวที่อยู่ข้างกายพฤกษ์ 

                ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากลมโตสุกใส เรือนร่างเล็กบอบบางที่น่าทะนุถนอม ชุดเดรสสีส้มก็ช่วยขับให้ผิวของอีกฝ่ายผ่องนุ่มนวล และเข้ากับสรีระที่สวยงาม ไม่ได้ดูเด็กจนเกินไปและไม่ได้ข่มคนใส่ให้ด้อย 

                “น้องปั้นใช่ไหมคะ เหมือนเราจะเคยเจอกันมาก่อน” วราลียกยิ้มหวาน แสดงท่าทางเป็นมิตรออกมา

                “ค่ะ เราเคยพบกันที่งานเลี้ยงส่งพี่พฤกษ์” เสียงนุ่มนวลโต้ตอบกลับมาอย่างสุภาพ ดวงตาของอีกฝ่ายติดรอยยิ้มนอบน้อม ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นศัตรูออกมาสักนิด วราลีอึ้งในใจ นึกค้นหาร่องรอยบางอย่างจากอีกฝ่าย แต่ก็คว้าน้ำเหลว 

                “เรียกฉันว่าลูกจันทร์ได้เลยนะคะ ถ้าไม่รังเกียจจะเรียกพี่ก็ได้ค่ะ ฉันอยากมีน้องสาวน่ารักๆ อย่างคุณปั้นมาตลอดเลย” 

                “ขอบคุณนะคะ” 

                อีกฝ่ายยิ้มตอบบางๆ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นเท่าที่ควร วราลีเก็บความไม่พอใจเอาไว้อย่างแนบเนียน จากนั้นถึงได้ชวนคุยอย่างสนิทสนม

                “อย่าคิดมากเลยค่ะ ว่าแต่เห็นพฤกษ์ไม่มีใครมาตลอด เผลอแป๊บเดียวก็ตัดหน้าลูกจันทร์ไปซะได้ ร้ายจังเลยนะคะ” วราลีแสร้งหัวเราะเบาๆ ขณะเดียวกันก็ยกมือวางบนต้นแขนของชายหนุ่มด้วยท่าทางสนิทสนม เช่นเดียวกับเมื่อก่อนที่เธอทำเป็นประจำ 

                ทว่าคราวนี้พฤกษ์กลับจับมือของเธอขยับออกอย่างสุภาพ ไม่หลงเหลือท่าทางสนิทสนมอย่างเช่นเมื่อก่อน เขาคลี่รอยยิ้มยามที่ก้มมองหญิงสาวข้างกาย พลางเอ่ยเสียงทอดอ่อนที่แม้แต่วราลีเองก็ไม่เคยได้ยิน 

                “ถ้าเป็นคนนี้ รอไม่ได้หรอกครับ ผมมองมานานแล้ว” 

                เทียบกับพวงแก้มสีแดงก่ำของหญิงสาวข้างกายพฤกษ์แล้ว วราลีรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเจื่อนจนไม่เหลือแม้แต่สีเลือดฝาด เธอข่มความรู้สึกขมปร่าที่ตีขึ้นมาไว้ด้วยท่าทางนิ่งสงบ ยังคงรักษารอยยิ้มนุ่มนวลไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังหัวเราะเสียงใส หยอกหนุ่มสาวตรงหน้าราวกับไม่รู้สึกอะไร 

                “ไม่นึกเลยนะว่าลูกจันทร์จะมีโอกาสเห็นพฤกษ์แบบนี้” 

                พฤกษ์หันมามองพร้อมยกยิ้มบางๆ ตามมารยาทที่มักทำเป็นประจำ เพราะไม่ต้องการให้ความรู้สึกแย่ๆ ตีรวนขึ้นมา วราลีจึงแสร้งยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบ 

                “พี่ปั้น” 

                เสียงนุ่มที่ดังทักทำให้ทุกคนหันไปมองแขกชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินตรงเข้ามา สำหรับวราลี เธอพอคุ้นหน้าคุ้นตาแขกผู้ชาย เพราะจำได้ว่าเขาคือชารัฐ เพื่อนรุ่นน้องของพฤกษ์ แต่พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้สนิทสนมกันเป็นพิเศษ ส่วนหญิงสาวที่มาพร้อมกับชารัฐ คงเป็นคู่ควงของเขาในคืนนี้ 

                “เอ๊ะ เดียร์เหรอคะ” คะนึงนิตย์ที่อยู่ข้างกายพฤกษ์ยกยิ้มหวาน ทักทายอีกฝ่ายด้วยความดีใจและประหลาดใจ 

                “เดียร์มองตั้งแต่ไกล ก็ว่าอยู่ต้องเป็นพี่ปั้นแน่ๆ เลยแวะเข้ามาทักสักหน่อย” 

                คะนึงนิตย์ยกยิ้ม พลางแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับอีกฝ่าย

                “นี่เดียร์ค่ะ น้องสาวพี่รัก” 

                “สวัสดีค่ะทุกคน” นับดาวยิ้มหวาน แล้วหันไปหาคนรักข้างกาย “บังเอิญจังเลยนะคะ ที่พี่เฌอเป็นเพื่อนกับคุณพฤกษ์ ส่วนฉันก็รู้จักกับพี่ปั้นอีก โลกกล๊มกลม” 

                “ปั้น โมกข์ บัว นี่เฌอ เพื่อนพี่เอง ยังไม่เคยแนะนำให้รู้จักเป็นทางการเลย เฌอเขาเป็นคนเขียนโปรแกรมและเขียนระบบใหม่ให้โรงแรมเราเอง” พฤกษ์เองก็แนะนำเพื่อนสนิทให้สมาชิกในครอบครัว 

                “เอ ว่าแต่พี่ปั้นเป็นแฟนคุณพฤกษ์เหรอคะ เดียร์ก็ว่าเหมือนเห็นคุณพฤกษ์ที่โรงเรียนด้วย” 

                “ค่ะ” พอน้องของรุ่นพี่ที่สนิททักแบบนี้ คะนึงนิตย์ก็ขัดเขินขึ้นมา ใบหูและพวงแก้มก็แดงระเรื่อให้เห็นอย่างชัดเจน 

                คำตอบสั้นๆ ของหญิงสาว ทำให้พฤกษ์ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ นัยน์ตาที่มองคนรักก็ยิ่งลุ่มลึกขึ้น 

                วินาทีนี้วราลีได้แต่ยกยิ้มประดับใบหน้า แม้ตอนนี้ตัวเองจะคล้ายว่าถูกกีดกันออกจากบทสนทนาอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตาม เธอแสร้งยืนฟังและหัวเราะตามกลุ่มคนตรงหน้า ทว่าในใจจริงๆ กลับมีแต่ความไม่พอใจแน่นอยู่ในอก จวบจนที่คู่รักชารัฐนับดาวจากไปแล้ว วราลีถึงรู้สึกหายใจคล่องขึ้นบ้าง 

                “พฤกษ์!”

                ทว่าไม่ทันไร เสียงทักอีกเสียงก็ดังขึ้น วราลีจึงหันกลับไปมองเจ้าของเสียงก่อนจะพบใบหน้าที่คุ้นเคย จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอถึงเป็นประกายแจ่มชัดขึ้นมา พฤกษ์เบนสายตามองใบหน้าญาติของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีทั้งความยินดียินร้ายอยู่ในนั้น ราวกับว่าชายหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้สลักสำคัญใดๆ แม้แต่น้อย 

                โมกข์และกชนันท์เบิกตามองญาติฝั่งพ่อที่ไม่ได้เจอกันนานด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะหลังจากเห็นครั้งสุดท้ายในงานศพพ่อกับแม่ พวกเขาก็ไม่เจอญาติๆ ที่จ้องจะเอาแต่ผลประโยชน์นี้อีกเลย ดังนั้นสองพี่น้องจึงแปลกใจที่พฤกษ์เปิดโอกาสให้ทั้งคู่มางานนี้ แต่กระนั้นคนเป็นน้องก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ตามมารยาท พลางลอบสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ 

                “อ้าว หนูลูกจันทร์ก็อยู่ด้วยนี่เอง แหม พอเห็นแบบนี้แล้ว เจ้าพฤกษ์กับหนูก็เหมาะสมกันมากเลย” 

                ชายวัยกลางคนยิ้มแย้มแจ่มใส ปากพูดเสียงหวานพยายามเอาใจกลุ่มหนุ่มสาวตรงหน้า ทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น หากไม่ติดว่าครอบครัวของวราลีเป็นไฮโซที่มีชื่อเสียง อีกทั้งนึกไว้ว่าหากทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน ผลประโยชน์ที่ตามมาจะมากมายขนาดไหนแล้ว เขาก็คงไม่ปากหวานเอาใจแบบนี้

                “นั่นสิ อย่าหาว่าป้าจู้จี้เลยนะพฤกษ์ ผู้หญิงสวยเก่งอย่างหนูลูกจันทร์หายากจะตายไป ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ จะมาเสียดายทีหลังก็ไม่ได้แล้วนะ”

                หญิงวัยกลางคนที่เกี่ยวดองเป็นญาติเพราะแต่งเข้าบ้านรัตนเวคินทร์ก็พูดอวยตามสามี โดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้บนใบหน้าของพฤกษ์กำลังเจือโทสะเบาบาง ผิดกับวราลีที่ยกยิ้มอ่อนหวาน 

                แม้ในใจของหญิงสาวจะทราบดีว่าญาติของพฤกษ์ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ แต่ถ้อยคำหวานหูเช่นนี้ใครจะไม่อยากได้ยินบ้างล่ะ

                “ลุงตุลย์ ป้าชม ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” 

                พอได้ยินเสียงราบเรียบของหลานชายคนโตแล้ว ตุลธรกับชมนาดก็ชะงัก ยามที่เห็นแววตาของพฤกษ์ พวกเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เพราะวีรกรรมครั้งสุดท้ายที่ฝากไว้กับหลานๆ ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ 

                หลังจากที่พ่อและแม่ของสามพี่น้องเสียชีวิต แน่นอนว่าทรัพย์สินและธุรกิจทั้งหมดของสองสามีภรรยาย่อมตกเป็นของลูกชายลูกสาว ทว่าธุรกิจโรงแรมที่พวกเขาเป็นหุ้นส่วนนั้นตุลธรกลับยอมรับไม่ได้ที่สุดท้ายแล้ว มันตกเป็นของทายาทของน้องชายอย่างพฤกษ์ โมกข์ และกชนันท์ด้วย 

                หลายปีมานี้ พวกเขาพยายามขอตามซื้อหุ้นที่เหลือจากผู้ถือหุ้นคนอื่น แต่ใครจะรู้ว่าหุ้นเกือบทั้งหมดเหล่านั้นได้กลับคืนสู่มือของพฤกษ์ไปทั้งหมดแล้ว ดังนั้นหุ้นอีกไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ที่เขาถือไว้เป็นแค่ส่วนน้อยนิดเท่านั้น และไหนจะปัญหาที่พวกเขากำลังประสบอีก ทำให้ตนกับภรรยาต้องบากหน้าพบหลานร่วมสายเลือด

                ตั้งแต่ทางเข้ายังมาห้องจัดเลี้ยง ตุลธรตื่นตาตื่นใจกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของโรงแรมเป็นอย่างมาก รวมถึงผลประกอบการล่าสุดที่พวกเขาได้เห็นแล้ว ความโลภในใจจึงไม่อาจหยุดยั้งอยู่เท่านี้ พวกเขาต้องการมากกว่านี้! ดังนั้นวันนี้ที่ตุลธรและชมนาดมาก็เพื่อเจรจากับหลานชาย ขอซื้อหุ้นบางส่วนมาไว้ในมือเสียเอง

                “พอลุงได้ข่าวว่าพฤกษ์กลับมาทำงานที่โรงแรมก็เป็นห่วง เลยอยากมาดูสักหน่อย เผื่อลุงจะช่วยพฤกษ์ได้” ใบหน้าของตุลธรยกยิ้มอย่างหวังดี ทว่าพฤกษ์ก็ยังแสดงท่าทีนิ่งเฉย ไม่สนใจแม้แต่น้อย 

                จวบจนที่ตุลธรและชมนาดสังเกตหญิงสาวที่อยู่ข้างกายหลานชายคนโตได้ พวกเขาถึงขมวดคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความสงสัย ทว่าพฤกษ์กลับทำเป็นไม่เห็นท่าทางเหล่านี้ของผู้เป็นญาติ แล้วเอ่ยเสียงเรียบที่แม้แต่คะนึงนิตย์ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเยือกเย็นที่เจืออยู่ในน้ำเสียง

                “ผมจำไม่ได้เลยว่ารายชื่อแขกมีชื่อลุงอยู่ด้วย”

                กระแสเสียงเย็นชาของชายหนุ่มทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าชายหญิงวัยกลางคนเจื่อนลง หางตาและริมฝีปากกระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่ตุลธรก็พยายามยิ้มแล้วเอ่ยเสียงอ่อน

                “พฤกษ์ ลุงก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงแรมนะ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดของโรงแรมลุงก็ควรจะรู้ไม่ใช่เหรอ”

                พฤกษ์ยกยิ้มที่มุมปาก แววตาเป็นประกายถือดียามที่มองญาติตรงหน้านั้นไม่ต่างจากสายตาของจักรพรรดิที่มองเหล่าข้าทาสบริวาร 

                “เรื่องนี้ผมว่าลุงอาจจะต้องพิจารณาใหม่นะครับ ว่าตอนนี้พวกลุงยังถือหุ้นไว้จริงหรือเปล่า”

                เพียงแค่ประโยคและรอยยิ้มของหลานชายก็ทำให้ภายในใจคนมองสั่นสะท้านเพราะความกลัว ราวกับถูกจ้องมองจนเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่

                “พฤกษ์พูดอะไร ลุงไม่เห็นเข้าใจ!”

                ตุลธรทำทีเป็นยิ้มสู้ ทว่ากระแสเสียงยามที่พูดนั้นกลับเผยความหวาดหวั่นออกมาชัดเจน ผิดกลับพฤกษ์ที่ส่งเสียงขำกลั้วคอเบาๆ 

                “อย่างนั้นเหรอครับ”

                คะนึงนิตย์ที่อยู่ข้างกายชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของเขา เธออดไม่ได้จะมองร่างสูงให้เต็มตา ราวกับตัวตนที่แสนเย็นชาสูงส่งของพฤกษ์ในเวลานี้เป็นความรู้สึกที่เธอไม่คุ้นชินเลยสักนิด ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความห่างเหิน ไร้ความเป็นมิตรสิ้นเชิง 

                “ถ้าลุงอยากร่วมสนุกในงานก็ตามสบายครับ” พูดจบพฤกษ์ก็พาหญิงสาวข้างตัวถอยออกมา ส่วนโมกข์กับกชนันท์ที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ก็จากไปพร้อมพี่ชาย ทิ้งให้ตุลธรกับชมนาดยืนนิ่งอยู่กับที่ทั้งอย่างนั้น 

                ชมนาดที่ตั้งสติได้กระแอมก่อนจะส่งยิ้มให้วราลีที่อยู่ข้างๆ “ทำให้หนูลูกจันทร์เห็นเรื่องน่าอายซะแล้ว”

                วราลีเห็นชัดว่าพฤกษ์อารมณ์ไม่ดีอย่างถึงที่สุดเพราะพวกเขาสองคน ทว่าเธอยังคงส่งยิ้มหวาน เอ่ยปลอบชายหญิงวัยกลางคนตรงหน้า

                “ไม่หรอกค่ะ ลูกจันทร์เข้าใจ บางทีลูกจันทร์เองก็ยังมีเรื่องผิดใจกับคุณพ่อคุณแม่บ้างเลย คุณลุงคุณป้าอย่าคิดมากนะคะ”

                ตุลธรที่เหมือนจะตั้งสติได้แล้วก็ยกยิ้ม รู้สึกได้ว่าตนเองเริ่มมีหนทางแล้ว เขาถึงเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว 

                “ลุงว่าแล้วว่าหนูลูกจันทร์ต้องเข้าใจ ลุงคิดมาตลอดเลยว่าลูกหนูจันทร์เหมาะกับเจ้าพฤกษ์มากที่สุด” เขาเว้นจังหวะไปช่วงหนึ่งแล้วรีบพูดต่อ “ถ้าหนูลูกจันทร์ไม่รังเกียจ ช่วยพิจารณาหลานชายของลุงคนนี้ไว้หน่อยนะ”

                วราลีรู้ว่าตุลธรกับภรรยาไม่มีความสามารถมากพอจะช่วยเหลือเธอได้อย่างที่อวดอ้าง แต่ก็นับได้ว่าพวกเขาสองคนยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ถ้าจะเก็บไว้เป็นต้นทุนสำรองในอนาคตก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ 

                “ลูกจันทร์ไม่รังเกียจอยู่แล้วค่ะ แต่ตอนนี้พฤกษ์คงไม่สะดวกแล้ว”

                “เอ๊ะ หนูลูกจันทร์หมายความว่าไง”

                “ตอนนี้พฤกษ์มีแฟนแล้วค่ะ ลูกจันทร์คิดว่าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะอยู่ข้างๆ พฤกษ์นะคะ”

                “อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนั้น...” ชมนาดและตุลธรนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ข้างกายพฤกษ์แล้วก็อุทานด้วยความตกใจ 

                “ค่ะ ถ้าจำไม่ผิด เธอน่าจะเป็นเพื่อนกับน้องบัว”

                “โอ๊ย ก็แค่แฟนเอง พฤกษ์ไม่น่าจะจริงจังอะไร ถ้าจะแต่งภรรยาก็ควรจะเป็นผู้หญิงดีๆ แบบหนูลูกจันทร์มากกว่าอยู่แล้ว ไม่ได้ๆ เรื่องนี้ลุงกับป้าจะต้องคุยกับพฤกษ์ให้รู้เรื่องเอง” ตุลธรพูดเกลี้ยกล่อมเอาใจวราลีอย่างถึงที่สุด 

                “อย่าเลยค่ะ คิดซะว่าหนูกับพฤกษ์ไม่มีวาสนากันดีกว่าค่ะ” 

                วราลีพูดเสียงอ่อน ทว่าในใจลิงโลดขึ้นมา ขณะที่คู่สามีภรรยาตรงหน้าไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อผลประโยชน์ข้างหน้า พวกเขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องจับคู่หลานชายกับวราลีให้จงได้ 


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น