8

8

8

 

                “พี่พฤกษ์คะ”

                เสียงทักของหญิงสาวทำให้เจ้าของชื่อชะงัก ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเขาพาหญิงสาวเดินออกมาที่หน้างานแล้ว ทันทีที่หันหลังกลับไป โมกข์กับกชนันท์ก็ตามมาติดๆ 

                “พี่พฤกษ์” กชนันท์ก้าวเร็วๆ มายืนข้างๆ เพื่อนรัก “ลุงตุลย์ป้าชมมาได้ไงคะ พี่พฤกษ์เชิญ?”

                โมกข์และกชนันท์รู้ว่าญาติของพ่อไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ ยามที่คนเราลำบาก จะเห็นได้ชัดว่าใครกันแน่ที่เป็นมิตร ใครกันแน่ที่มุ่งร้าย ตุลธรและชมนาดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ทั้งคู่หวังจะเอาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ของพ่อแม่ไปทันที สามพี่น้องจึงไม่เหลือความทรงจำดีๆ ให้ญาติทั้งสองคนนี้แม้แต่น้อย 

                “เปล่า แต่คงได้ยินข่าวมา” 

                พฤกษ์ยิ้มเหยียด ทว่าหลังจากนั้นราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกคะนึงนิตย์มองอย่างใคร่รู้ ชายหนุ่มถึงได้พยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ 

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่าลุงเขาจะยังกล้ามาพบหน้าเรา ยังจำงานศพพ่อกับแม่ได้ไหม เอาแต่ถามอยู่ได้ว่าใครได้เงิน น่าเกลียด!” กชนันท์เบ้ปาก แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูแคลนอย่างถึงที่สุด ส่วนโมกข์ก็รักษาสีหน้าของตนเอาไว้ พยายามปลอบน้องสาวให้ใจเย็น

                “ช่างเถอะบัว พี่พฤกษ์คงไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอยู่แล้ว เราก็ใจเย็นๆ”

                “ไม่อยากเย็นเลยพี่โมกข์ เห็นชัดๆ ว่าอยากชุบมือเปิบโรงแรมเรา” 

                โมกข์เห็นสีหน้าพฤกษ์แสดงอาการล้าๆ ขึ้นมา แถมข้างกายยังมีคะนึงนิตย์อยู่ เขาจึงตัดสินใจบางอย่างฉับพลัน แม้จะไม่แน่ใจก็ตามว่าความคิดนี้ของตนจะถูกต้องหรือไม่

                “พี่พฤกษ์ยุ่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ที่งานก็เหลืออะไรไม่เยอะ ให้ผมกับบัวจัดการก็ได้ครับ” 

                ตอนแรกกชนันท์จะโวยวายเพราะเธอก็เบื่อกับการปั้นหน้ายิ้มเต็มที แต่พอเห็นดวงตาของโมกข์ที่เหลือบมองระหว่างพฤกษ์กับเพื่อนสนิท หญิงสาวก็แทบจะหลุดร้องอ๋อ คำพูดที่ติดอยู่ในลำคอพลันไหลกลับลงไป

                “โอเค้! ใช่แล้ว พี่พฤกษ์ไปพักก่อน โหย หน้าซีดมาก! ไปๆ ค่ะ ไปห้องด้านบนก็ได้ บัวจำได้ว่าพนักงานทำความสะอาดเนี้ยบกริ๊บ เออใช่! ปั้นไปนั่งรอเป็นเพื่อนพี่พฤกษ์ก่อน ไว้เราค่อยกลับพร้อมกันนะ”

                คะนึงนิตย์ยังไม่ทันได้ออกความเห็น โมกข์กับกชนันท์ก็พากันจูงมือเข้าไปในงานโดยไม่หันกลับมามองเธอเลยสักนิด ส่วนพฤกษ์ที่เห็นท่าทางของน้องๆ ก็รู้ทัน ดวงตาซึ่งตกอยู่ที่ร่างเล็กข้างกายจึงเต็มไปด้วยประกาย 

                “พี่รู้สึกปวดหัวเหมือนกัน แต่ปั้นอยากเข้าไปในงานกับบัวหรือเปล่าครับ พี่ขึ้นไปคนเดียวได้นะ”

                แม้คะนึงนิตย์อยากจะตามกชนันท์ไปด้วย แต่พอเห็นว่าพฤกษ์มีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ เธอก็ลังเลขึ้นมา ยิ่งได้ยินเขาเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ เธอกระชับมือที่ประสานกับชายหนุ่มไว้แน่น ก่อนกระซิบถามด้วยความเป็นห่วง

                “พี่พฤกษ์เป็นอะไรมากไหมคะ ข้างบนมียาหรือเปล่า”

                “มีครับ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอง ปั้นไปอยู่กับบัวก่อนก็ได้”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ปั้นจะไปเป็นเพื่อนพี่พฤกษ์” 

                ระหว่างที่คะนึงนิตย์มัวแต่กังวลเรื่องสุขภาพของพฤกษ์ เธอจึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่พาดผ่านดวงตาของชายหนุ่ม 

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นที่พักส่วนตัว เมื่อเข้ามาในห้องพักของพฤกษ์แล้ว หญิงสาวก็รีบบังคับให้เขานั่งรอที่โซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วรีบไปหายาสามัญประจำบ้าน หลังจากดูฉลากและวันหมดอายุแล้ว เธอก็หยิบยาแก้ปวดมา จากนั้นถึงเดินไปเอาขวดน้ำในตู้เย็นแล้วส่งให้ชายหนุ่มในทันที 

พฤกษ์ถอดสูทสีเข้มพาดไว้กับพนักพิงหลัง ตอนนี้กระดุมเสื้อเชิ้ตก็ถูกปลดออก ทำให้เห็นบ่าและกระดูกไหปลาร้าได้อย่างชัดเจน แขนเสื้อสีขาวสะอาดถูกพับทบขึ้นไปถึงข้อศอก เผยท่อนแขนกำยำสมส่วน ท่ามกลางแสงไฟในห้อง คะนึงนิตย์เห็นเส้นเลือดสีเข้มใต้ผิวของเขาอย่างชัดเจน 

                “พี่พฤกษ์กินยาก่อนนะคะ” คิ้วเรียวของหญิงสาวค่อยๆ ขมวดเพราะความกังวล แต่แล้วพฤกษ์กลับวางยาบนโต๊ะแทน

                “เดี๋ยวพี่กินครับ ตอนนี้พี่อยากพักมากกว่า” 

                ยังไม่ทันเข้าใจกระจ่างในความหมายคำพูดของร่างสูง คะนึงนิตย์ก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอด ร่างผอมบางถลาลงทรุดนั่งบนตักแกร่ง 

                “พี่พฤกษ์!”

                “เหนื่อยจัง พี่ขอพักหน่อยนะ” พูดแล้วเขาก็กระชับกอดหญิงสาวเต็มอ้อมแขน ปลายคางวางลงที่ไหล่บาง ลมหายใจอุ่นปักผ่านเนื้อผ้าบางเป็นจังหวะเข้าออก 

                คะนึงนิตย์เห็นพฤกษ์กอดเธอแล้วหลับตาพริ้มไปก็ทำตัวไม่ถูก สุดท้ายถึงได้ค่อยๆ วางมือลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วลูบขึ้นลงเบาๆ ทั้งสองร่างที่แอบอิงแนบชิดเช่นนี้ทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน 

                คะนึงนิตย์ลอบสังเกตใบหน้าของพฤกษ์ในระยะใกล้ ปลายนิ้วอุ่นไล้ใต้ตาของเขาเบาๆ 

                “ปั้นบอกพี่พฤกษ์แล้วนะคะว่าอย่าโหมงานเกินไป” 

                น้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้ดี มุมปากยกยิ้มนุ่มนวล พริบตาพฤกษ์ก็ลืมตาขึ้นมา ครั้นทั้งสองสบตากัน ภายในห้องก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ร่องรอยบางอย่างพาดผ่านดวงตาของเขา 

                ร่างระหงในอ้อมแขนจู่ๆ ก็กระสับกระส่ายขึ้นมา คะนึงนิตย์เม้มริมฝีปากเพราะทำอะไรไม่ถูก ทว่าหลังจากนั้นเสียงแหบพร่าของพฤกษ์ทำลายความพยายามที่จะสงบใจของเธอให้เป็นผุยผง

                “ปั้น...จูบพี่ได้ไหมครับ” เขาไม่พูดเปล่า ฝ่ามืออุ่นทั้งสองข้างยังกอดเธอไว้แน่น 

                ลำคอของคะนึงนิตย์แห้งผาก เธอคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมาเสียที จนเสียงของพฤกษ์ดังขึ้นอย่างอ้อนวอนอีกครั้ง 

                “ปั้นครับ จูบพี่หน่อยนะ” 

                พวงแก้มของหญิงสาวแดงก่ำ ดวงตาของพฤกษ์ราวกับมีประกายไฟ เธอทั้งร้อนใจทั้งทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็ปล่อยอารมณ์และความคิดในขณะนั้น ลองทำตามความรู้สึกของตนบ้าง เธอค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างคล้องลำคอของชายหนุ่ม เอ่ยเสียงเบาๆ

                “พี่พฤกษ์หลับตาก่อนนะคะ” 

                ริมฝีปากของพฤกษ์คลี่เป็นรอยยิ้ม เขาทำตามคำขอของเธออย่างว่าง่าย ทันทีที่เขาปิดตาลง คะนึงนิตย์จึงมีความกล้าขึ้นมา เธอขยับตัวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ จากนั้นถึงค่อยๆ จรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากชายหนุ่มเบาๆ เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็รีบผละออกมา 

                “สะ...เสร็จแล้วค่ะ”

                พฤกษ์ลืมตาขึ้นในทันที ความเอ็นดูฉายชัดบนดวงตาของเขา ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะเสียงอ่อน 

                “แบบนั้นพี่ไม่นับนะครับ”

                “เอ๊ะ!”

                กว่าที่คะนึงนิตย์จะเข้าใจความหมาย เธอก็ถูกดึงเข้าไปแนบชิดร่างกายร้อนผ่าวของชายหนุ่มอีกครั้ง 

                “จูบของจริงต้องเป็นแบบนี้นะครับ”

                นัยน์ตาของพฤกษ์พราวระยับ ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ โน้มลงมา จากนั้นริมฝีปากก็ประทับลงมาอย่างแช่มช้า ปลายลิ้นตวัดแทรกผ่านริมฝีปากอิ่ม ระเกี่ยวกับลิ้นอุ่นของหญิงสาว ทั้งขบและดูดเม้มอย่างดุดัน 

                สาวน้อยในอ้อมกอดช่างหอมหวาน ชวนให้หลงใหลยิ่งกว่าดอกไม้นับร้อย พฤกษ์รู้สึกว่าอาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลหายไปในพริบตา หากไม่ได้ยินเสียงเล็กหวานแหบพร่าที่อ้อนวอนให้เขาผ่อนแรงลง เสี้ยววินาทีนั้นเขาเกือบจะทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษไปแล้ว

                “พะ...พี่พฤกษ์ พอก่อน ปะ...ปั้นหายใจไม่ออก”

                ใบหน้าของเธอแดงก่ำ มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นปิดริมฝีปากด้วยความเขินอาย 

                “คราวหลังปั้นไม่ต้องกลั้นหายใจนะ” 

                ดวงตากลมของคะนึงนิตย์ค้อนใส่เขาวงใหญ่ พฤกษ์ฉวยโอกาสนี้อุ้มหญิงสาวขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าอาดๆ วางร่างเล็กลงที่โต๊ะหินสีเทาเข้ม มือข้างหนึ่งวางประสานแนบแน่นกับมือเรียวที่อยู่บนโต๊ะ ส่วนมืออีกข้างดึงปลายริบบิ้นที่ผูกบริเวณคอออกอย่างเชื่องช้า คะนึงนิตย์รู้สึกได้ถึงแขนเสื้อทั้งสองข้างที่หลวมโพรกลงในวินาทีต่อมา หากสะกิดอีกนิดเดียว เดรสท่อนบนก็เลื่อนหลุดได้ในพริบตา 

                “พี่พฤกษ์!”

                คะนึงนิตย์กำสาบเสื้อของร่างสูงไว้แน่น หญิงสาวเงยหน้ามองอย่างตกใจระคนเขินอายถึงขีดสุด 

                “พี่อยากรักปั้น”

                คำสารภาพที่ตรงไปตรงมาของชายหนุ่มชวนให้เธอนิ่งงัน ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนโต๊ะสูง ต่อให้ก้มต่ำหลบสายตาก็หนีไม่พ้นอยู่ดี 

                “ถ้าปั้นอยากให้พี่หยุด พี่ก็จะหยุดนะครับ” 

                น้ำเสียงของพฤกษ์เจือด้วยความเย้ายวน หัวใจของคะนึงนิตย์ในเวลานี้เต้นกระหน่ำ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายหนุ่ม มองใบหน้าที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักอย่างไม่เข้าใจ ลำคอแห้งผาก แม้แต่วิธีการหายใจก็เหมือนกับตัวเองลืมไปแล้ว 

                ปลายนิ้วของพฤกษ์วนเวียนลูบแผ่วเบาบนแผ่นหลัง ลากจากต้นคอลงไปถึงขอบเดรส ก่อนจะวนขึ้นมาเป็นวงกลม ชวนให้ขนกายลุกชัน ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของชายหนุ่มลากผ่านผิวกาย ทั้งร่างเธอก็พลันรุ่มร้อนราวกับโดนลวกให้สุก 

                “ปั้น...” 

                คะนึงนิตย์คิดอะไรไม่ออก ได้แต่พึมพำ อารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนกำลังพลุ่งพล่านในอก ดวงตากลมโตฉายแววไม่แน่ใจ ความรู้สึกนึกคิดในเวลานี้ต่างล่องลอย จัดระเบียบใดๆ แทบไม่ได้ รอบตัวพลันหยุดนิ่ง จนกระทั่งริมฝีปากอิ่มค่อยๆ เผยอพูดเสียงแผ่วเบา

                “ปั้นไม่รู้...”

                “ตกลงครับ”

                หญิงสาวไม่รู้เลยว่าความหมายของคำว่าตกลงคืออะไร แต่ขณะที่กวาดตามองชายหนุ่มตรงหน้า เขาก็โน้มลงมาอีกครั้งจนริมฝีปากประกบกันช้าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

                ท่ามกลางความงุนงง คะนึงนิตย์กลับเพิ่งตระหนักถึงความปรารถนาบางอย่างที่กำลังทะลักเข้ามา ดวงตาเต็มไปด้วยม่านหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ มือเรียวค่อยๆ วางแนบแผ่นอกชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ ขยุ้มสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวจนยับ 

                “ปั้น...ดีไหม” พฤกษ์กระซิบถามเสียงแผ่วหลังจากริมฝีปากทั้งคู่ผละออกจากกัน ลมหายใจของพวกเขาผสานเป็นหนึ่ง

                สมองของคะนึงนิตย์มึนงง รู้แค่ว่าตอนนี้รู้สึกดีเหลือเกิน จึงได้แต่พยักหน้าตอบเท่านั้น ต่อมาโลกทั้งใบของเธอก็แทบพลิกคว่ำ ท่อนแขนแกร่งช้อนบั้นท้ายงอนยกเรือนร่างเพรียวขึ้นในทันที การกระทำที่เกิดขึ้นโดยไร้สัญญาณบอกกล่าวทำให้เรียวขางามทั้งสองข้างโอบรัดเอวแกร่งของชายหนุ่มไว้ทันที ร่างสูงโปร่งเร่งฝีเท้าเดินผ่านห้องนั่งเล่นตรงไปยังห้องนอน ไม่ช้าแผ่นหลังของคะนึงนิตย์ก็แนบสนิทกับเตียงนุ่ม โดยมีร่างสูงโปร่งของพฤกษ์คร่อมอยู่

“ถ้าพี่รักปั้นตอนนี้ ปั้นยินดีหรือเปล่าครับ”

ดวงตาของเธอฉายแววสะเทิ้นอายถึงขีดสุด ใจแกว่งไปมา ลมหายใจติดขัดในทันที ความกลัวและความรู้สึกไม่กล้าเหนี่ยวรั้งให้ปฏิเสธ ทว่าในใจอีกส่วนหนึ่งกลับเรียกร้องหารสหวานจากเรือนร่างกำยำตรงหน้า แต่จะให้บอกคำตอบนี้ตรงๆ เธอก็อายเกินกว่าจะพูด สุดท้ายจึงพยุงตัวขึ้น สองมือโอบกอดเขาไว้แทนคำตอบ 

                ดวงตาของพฤกษ์เกิดประกาย เขาค่อยๆ พรมจูบใบหน้าของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่เปลือกตา ปลายจมูก และริมฝีปากอิ่ม ขณะที่สองมือก็ค่อยๆ สัมผัสเรือนร่างอ่อนนุ่มผ่านเนื้อผ้าเนียนละเอียด 

                อากาศเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศภายในห้องไม่อาจบรรเทาความร้อนที่มาจากเรือนร่างทั้งคู่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ที่เดรสสีอ่อนถูกปลดเปลื้องออกจากร่าง ผิวกายเปลือยเปล่าจึงสัมผัสกับความรุ่มร้อนของชายหนุ่มโดยไร้สิ่งใดกั้นขวาง มวยผมที่ประดับเครื่องประดับสวยค่อยๆ ถูกแกะออก เรือนผมสีน้ำตาลถึงทิ้งตัวเป็นคลื่น ราวกับผ้าแพรที่กางคลุมแผ่นหลังเนียน 

                ดวงตาของพฤกษ์เข้มจัด ยามมองเรือนร่างที่สวยงามของคะนึงนิตย์ตั้งแต่ลาดไหล่เล็ก ลำคอเรียวงาม แล้วค่อยๆ ไล่สู่เนินอกอิ่ม เอวคอดที่ไร้ไขมัน มือหนาเลื่อนขึ้นกุมดอกบัวงามข้างหนึ่งของเธอไว้ นิ้วโป้งสะกิดยอดเกสรที่กำลังชูชัน ก่อนที่เขาจะขยับตัวจุมพิตที่เนินอกเนียน ทิ้งรอยประทับสีแดงจางไว้ 

                “พี่พฤกษ์คะ” เสียงหวานเอ่ยเว้าวอน ดวงตาของหญิงสาวฉ่ำวาวเพราะความตื่นตระหนก พฤกษ์จึงได้แต่ประคองเธอขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน 

                “ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ทำร้ายปั้นนะ” 

                ร่างบอบบางสั่นเทิ้ม พฤกษ์จึงต้องค่อยๆ ลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆ สลับกับการเชื้อเชิญโดยจุมพิตริมฝีปากอย่างนุ่มนวลเป็นการปลอบประโลม ขณะเดียวกันปลายนิ้วอีกข้างก็ลูบไล้ไปทั่วร่างระหง สำรวจทุกความอ่อนนุ่มอย่างอุกอาจ ไล่ต่ำลงไปถึงเนินเนียน สะกิดผ่านดอกไม้งาม เพียงแค่สัมผัสอย่างแผ่วเบา คะนึงนิตย์ก็สะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างตื่นตระหนก ดวงตากลมโตสบประสานด้วยความกลัวปนไม่เข้าใจ 

                “ปั้นกลัวเหรอ”

                หญิงสาวพยักหน้าทั้งที่พวงแก้มแดงก่ำ ตอบเขาเสียงแผ่ว

                “ปั้น...ไม่เคย”

                หัวใจของพฤกษ์อ่อนยวบด้วยความสงสาร เขาเลื่อนฝ่ามือออกมา พลางถามความสมัครใจของหญิงสาวอีกครั้ง

                “ให้พี่หยุดก่อนไหม พี่รอได้ จนกว่าปั้นจะพร้อม”

                วินาทีนั้นคะนึงนิตย์รู้สึกราวกับว่า ส่วนหนึ่งในใจถูกดึงออกจากร่างไป ความรู้สึกชาวาบทำให้เธอส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ พลางกระซิบบอกเสียงหวาน

                “พี่พฤกษ์...อย่าทิ้งปั้น”

                ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบา พลางใช้หลังมือลูบไล้พวงแก้มของเธออย่างทะนุถนอม ราวกับหญิงสาวคือสิ่งล้ำค่า หากเขาไม่ระวังให้ดี เธออาจจะแตกสลายได้ในพริบตา 

                “พี่ไม่มีวันทิ้งปั้นแน่นอนครับ” พูดจบพฤกษ์ก็จูบเบาๆ ที่ปลายจมูกของหญิงสาว คลอเคลียไม่ห่างจากร่างบอบบาง ระหว่างนั้นมือหนาก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำไปยังส่วนที่แสนอ่อนไหว 

                “เด็กดี เชื่อพี่นะครับ พี่จะช่วยให้ปั้นผ่อนคลาย”

                ปลายนิ้วของพฤกษ์สัมผัสกลีบดอกไม้อย่างอ่อนโยน ทุกครั้งที่นิ้วของเขาเคลื่อนไหว คะนึงนิตย์ก็จะหลุดเสียงครางแผ่วหวานออกมาจากลำคอ ปลายเท้าจิกลงบนผ้าปูที่นอน สองมือโอบกอดแผ่นหลังของพฤกษ์ไว้ราวกับนี่คือที่ยึดมั่นสุดท้ายของตน 

                จวบจนที่ปลายนิ้วของพฤกษ์ค่อยๆ กดลึก ผ่านกลีบดอกไม้เข้าสู่พื้นที่อันบอบบาง เพียงแค่ตวัดปลายนิ้วไม่กี่ครั้ง ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นเทิ้ม จนคะนึงนิตย์ไม่อาจเก็บกลั้นความรู้สึกที่พุ่งทะยานขึ้นมาได้ เธอถึงกับหวีดร้อง ร่างกายกระตุกตอบโต้แล้วอ่อนระทวยภายใต้อ้อมกอดของชายหนุ่ม 

                หญิงสาวหายใจหอบถี่ ดวงตาล่องลอยคล้ายกำลังอยู่ในห้วงฝัน เธอเชิดใบหน้าขึ้นมองร่างสูง เว้าวอนขอความรักอย่างน่าสงสาร

                “พี่พฤกษ์จูบปั้นหน่อยนะคะ”

                พฤกษ์ทำตามคำขอแบบไม่มีอิดออด เขาค่อยๆ ประคองร่างของคนรักแนบลงกับเตียง สองมือถอดอาภรณ์ตัวเองออกจนร่างกายเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน สบสายตาระคนตกใจของหญิงสาวอย่างนึกขัน เพราะตอนนี้เธอกำลังกวาดมองทั่วร่างของเขาอย่างไม่ปิดบัง 

                “ปั้นจำไว้นะครับ ว่าทั้งหมดนี้เป็นของปั้น ของปั้นคนเดียวเท่านั้น” 

                วาจานี้คล้ายคำสาปที่หยั่งรากลึกลงในใจของหญิงสาว คะนึงนิตย์ครางรับในลำคอ เธอจ้องมองเรือนร่างของพฤกษ์ที่ขยับเข้ามาแนบชิด จวบจนบางอย่างที่ทั้งอุ่นและแข็งกร้าวค่อยๆ ครอบครองร่างกายของเธอทีละนิด สัมผัสนี้สร้างความเจ็บปวดให้เธออย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความพยายามจะต่อต้าน ความหวาดหวั่นประหนึ่งเงามืดแทรกผ่านเข้ามาในทันที 

                “พะ...พี่พฤกษ์ เจ็บ...ไม่เอาแล้ว” 

                ร่างกายของหญิงสาวเริ่มเกร็ง ม่านน้ำตาเอ่อคลอขอบตาคู่งาม พฤกษ์เห็นแล้วก็พลันสงสาร หากขยับต่อก็หวั่นกลัวคนใต้อาณัติบอบช้ำ แต่จะถอยกลับก็ไม่มีทางเลือก เพราะตอนนี้ส่วนหนึ่งของร่างกายเข้าไปในร่างอ่อนนุ่มแล้ว สัมผัสของคะนึงนิตย์ที่ไม่เคยมีใครรุกล้ำนั้นมีเขาเป็นคนแรกที่ได้ตีตรา ความอ่อนหวานนี้กอดรัดเขาแน่นเสียจนแทบหลอมละลาย ทั้งคู่จึงติดอยู่ระหว่างความรู้สึกที่ราวกับกำลังจะขึ้นสู่สวรรค์ หากก้าวพลาดนิดเดียว ก็จะดำดิ่งสู่ห้วงลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด 

                “ปั้นครับ พี่จะค่อยๆ ขยับนะ” ร่างกายของพฤกษ์เกร็งจนท่อนแขนปรากฏเส้นเอ็นเด่นชัด ใบหน้าขณะที่กำลังปลอบโยนหญิงสาวก็ปะปนไปด้วยความทรมานเช่นเดียวกัน 

                คะนึงนิตย์ใช่ว่าไม่รู้ว่าพฤกษ์กำลังอดทนเพื่อตนเองอยู่ เธอจึงกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ แล้วจูบปลายคางของเขาอย่างอ้อยอิ่ง

                “ปะ...ปั้น ชะ...เชื่อพี่พฤกษ์นะคะ อย่าทิ้งปั้นนะ”

                สิ้นเสียงหวาน ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ขยับท่อนล่าง นิ้วมือทั้งสิบของพวกเขาประสานกันแนบแน่น เสียงครางแผ่วเบาที่แสนเย้ายวนและทรมานของคะนึงนิตย์กระตุ้นความต้องการในใจที่เป็นดั่งไฟสุมอก พฤกษ์คำรามกระหึ่มในลำคอ จนเมื่อร่างกายขยับเข้าสุดจนมิด ทั้งคู่ถึงรู้สึกราวกับได้รับพรวิเศษ

                ส่วนที่ยากที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนี้สะโพกและเอวสอบของชายหนุ่มจึงค่อยๆ เริ่มขยับเป็นจังหวะเชื่องช้าเหมือนทำนองดนตรีที่อ่อนหวาน ผ่อนคลาย ชวนให้เคลิบเคลิ้ม 

                หญิงสาวที่อยู่ภายใต้อาณัติช้อนตามองเขาอย่างเชิญชวนโดยไม่รู้ตัว เสี้ยววินาทีต่อจากนี้พฤกษ์ถึงได้โน้มกายลงไปจูบเธอ กลืนกินริมฝีปากแดงตรงหน้าอย่างหิวกระหาย จูบซับน้ำตาที่ไหลผ่านพวงแก้มอย่างละเอียดอ่อน ร่างทั้งสองแนบชิดติดกันจนไม่อาจเห็นช่องว่าง 

                ครั้งแรกของทั้งคู่ถูกสัญชาตญาณขับเคลื่อนให้ไปต่อบนท่วงทำนองแสนรัญจวนนี้ เสียงครางของหญิงสาวลอยคละเคล้ากับเสียงเตียงที่กำลังสั่นไหว ร่างกายของคะนึงนิตย์หอมหวานกว่ารสชาติรสโปรดใดๆ ที่เขาเคยสัมผัส ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พฤกษ์ค่อยๆ เพิ่มความเร็วและความรุนแรงในการขยับกายเข้าออก 

                ยามที่พฤกษ์โอบหญิงสาวให้ลุกขึ้นกอดเขาเอาไว้ ทั้งสองก็ยิ่งสอดประสานลึกล้ำมากขึ้น เรือนผมยาวสยายเต็มกลางแผ่นหลังที่เริ่มเปียกชื้น คะนึงนิตย์ไม่รู้ว่าตัวเธอถึงฝั่งฝันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว รู้เพียงว่าร่างกายของเธอเหมือนตกอยู่ในน้ำร้อนและน้ำเย็นสลับกัน ผ่านคลื่นทะเลที่พัดโหมกระหน่ำใส่ ร่างกายบิดเร่ารุนแรง ท่อนแขนเพรียวบางโอบรอบไหล่กว้าง ได้แต่กอดเกี่ยวร่างของพฤกษ์ไว้แน่นเป็นที่พึ่ง

                โทนเสียงร้องครางของหญิงสาวไพเราะจนทำพฤกษ์ทนไม่ไหว ราวกับในใจถูกเจ้าลูกแมวน้อยข่วนยับเย้าแหย่ไม่หยุด นัยน์ตาสีเข้มจดจ้องเธอเขม็ง ไม่ยอมพลาดทุกความรู้สึกบนใบหน้างาม หากเธอครางแผ่วออดอ้อน เขาจะจดจำเอาไว้ว่าเป็นจุดอ่อนหวานที่หญิงสาวชอบ หากเป็นโทนเสียงไต่ระดับขึ้นสูง นั่นคือจุดอ่อนไหวที่ทำให้เธอสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์รัก 

                ยามที่เธอส่งเสียงออดอ้อนร้องขอให้เขารักมากขึ้น ชายหนุ่มก็แทบทนไม่ไหว นึกอยากรังแกซ้ำๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขา พฤกษ์จึงค่อยๆ ทำรักอย่างอ่อนโยนสลับกับจังหวะดุดัน กดกลั้นความดิบเถื่อนที่อยู่ในกาย ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป ทั้งสองที่แนบอิงโถมทับกันและกันก็ไม่มีทีท่าจะหยุดยั้งเปลวไฟนี้ง่ายๆ 

                ร่างกายของคะนึงนิตย์โอบรัดเขาไม่ปล่อย ความรู้สึกนี้ทำให้พฤกษ์แทบคลั่ง ได้แต่จับประคองเอวผอมบางไว้แล้วเคลื่อนไหวสอดประสานร่วมกัน พลางถามเสียงแตกพร่า

                “ปั้น ชอบหรือเปล่าครับ”

                หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจ สองแขนและท่อนขาของเธออ่อนแรง ทั้งร่างอิงแผ่นอกชายหนุ่ม พยุงตัวเองเอาไว้ พลางขบกัดไหล่อีกคนเพื่อระบายความรู้สึกที่กำลังแผดเผา น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเป็นน้ำตาที่ไม่ได้มาจากความเศร้า แต่เป็นความสุขบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูก ความปรารถนาในใจขับเคลื่อนแรงกาย เธอสูดลมหายใจพร่ำบอกกระซิบชิดริมหูชายหนุ่ม 

                “ชอบค่ะ...ปั้นรักพี่พฤกษ์นะคะ”

                สิ้นเสียงหวาน ร่างกายของพฤกษ์ก็พุ่งทะยานถึงขีดสุด วินาทีต่อมาทั้งสองร่างต่างสั่นสะท้าน ความรู้สึกอุ่นร้อนรินทะลักเข้ามาสู่ร่างกายของหญิงสาว ลมหายใจหอบหนักของพวกเขาเคล้าคลอกันจนผสานเป็นเสียงเดียว 

                พฤกษ์กดจูบเธออย่างอ่อนหวาน รวบสะโพกเธอไว้ประทับความเป็นเจ้าของอย่างเนิ่นนาน จนร่างกายที่ร้อนผ่าวถอนออกจากเรือนร่างบอบบางอย่างแช่มช้า คะนึงนิตย์แนบตัวอ่อนระทวยอยู่กับอกของพฤกษ์ พอขยับตัวของเหลวอุ่นร้อนก็ไหลลงเรียวขาคู่งาม 

                หลักฐานจากการร่วมรักทำเอาคะนึงนิตย์หน้าแดง หันไปซุกตัวโอบชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น ส่วนพฤกษ์ที่เห็นท่าทางเขินอายของเธอแล้วก็อุ่นวาบในใจ เขาค่อยๆ ช้อนร่างเพรียวระหงขึ้นจากเตียง ค่อยๆ สาวเท้าพาตัวเองและคนงามในอ้อมอกไปห้องน้ำ จัดแจงวางเธอบนขอบอ่างอย่างอ่อนโยน

                “รอพี่ก่อนนะครับคนดี”

                ว่าแล้วร่างสูงเปลือยเปล่าก็ไปเปิดน้ำอุ่นลงอ่างน้ำ ปล่อยให้ปริมาณน้ำสูงขึ้นจนถึงระดับที่พอเหมาะ จากนั้นค่อยพาทั้งตัวเองและหญิงสาวก้าวลงในอ่างพร้อมๆ กัน ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน ปล่อยให้สัมผัสอุ่นสบายจากน้ำลูบไล้ผิวกายทีละนิด 

ร่างกายเปลือยเปล่าเช่นนี้ทำให้คะนึงนิตย์ไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ที่ไหน อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่เธอผ่านประสบการณ์ร่วมรัก อารมณ์เคอะเขินจึงปรากฏฉายชัดบนใบหน้า ท่อนแขนเพรียวยกขึ้นมากอดที่เข่า หวังว่าอย่างน้อยจะช่วยบดบังร่างกายของตนได้บ้าง ทว่ายังไม่ทันจะได้หายใจคล่องคอ พฤกษ์กลับขยับตัวเข้ามาใกล้ ไม่ทันระวังเขาก็กระซิบเสียงต่ำ

“ปั้น ขยับขาให้พี่ครับ”

“คะ!? ทะ...ทำไมคะ” น้ำเสียงของเธอตื่นตระหนกอย่างชัด เรียวขาหุบเกร็งไม่ยอมขยับตาม 

“พี่จะช่วยปั้น”

หญิงสาวเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ คำตอบของเขาคลุมเครือเสียเหลือเกิน จวบจนที่นัยน์ตาคมกริบหลุบมองต่ำมายังจุดอ่อนไหวของเธอ คะนึงนิตย์ถึงเพิ่งกระจ่างว่าที่เขาต้องการช่วยคืออะไร 

“มะ...ไม่ต้องค่ะ ปะ...ปั้นจะทำเอง” 

สีหน้าของพฤกษ์ยังคงประดับรอยยิ้มสบายๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย 

“เขาว่าถ้าปล่อยไว้ในร่างกาย ปั้นจะไม่สบายตัว พี่จะช่วยให้ปั้นสบายตัวไงครับ”

ทั่วใบหน้าของคะนึงนิตย์ร้อนผ่าว ขณะที่คิดจะเอ่ยปฏิเสธ ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ประชิดส่วนที่แสนบอบบางเสียแล้ว หลังจากร่วมรักยังเหลือหลักฐานชิ้นดีไว้ ปลายนิ้วอุ่นค่อยๆ ลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เธอ 

“พะ...พี่พฤกษ์!!”

หญิงสาวหวีดร้อง ความรู้สึกเสียวซ่านทำให้ร่างกายของเธอสั่น สุดท้ายก็ได้แต่ขยับศีรษะเอนพิงไหล่คนตรงหน้า พร้อมกดเขี้ยวฝังบนไหล่กว้างจนเป็นรอย คล้ายเป็นการเอาคืน ทว่าพฤกษ์ก็แค่หัวเราะเสียงสดชื่น ท้ายที่สุดคะนึงนิตย์ก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของร่างสูง ยอมให้เขาทำความสะอาดร่างกายของเธอทุกซอกทุกมุม แม้ว่าทุกครั้งที่ทำความสะอาดนั้น พฤกษ์จะประทับรอยจูบร้อนๆ ทิ้งไว้บนร่างกายก็ตาม

ไอและม่านหมอกในห้องน้ำค่อยๆ บดบังเงาชายหญิงที่แอบอิงคู่กัน จวบจนที่อุณหภูมิของน้ำเย็นลงมาแล้ว พวกเขาถึงได้ออกจากอ่าง พฤกษ์จัดแจงห่อร่างเพรียวด้วยชุดคลุมอาบน้ำที่เหมือนกับของตน หากมองผ่านๆ เหมือนกับว่าพวกเธอเป็นคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน 

พฤกษ์ปล่อยให้เธอนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง รอเขาจัดการร่องรอยหลักฐานต่างๆ อย่างผ้าปูที่เปื้อนเลือดของเธอ พอคะนึงนิตย์ทำท่าจะลุกไปช่วย ชายหนุ่มก็จะหันมาออกคำสั่งผ่านสายตาให้เธอนั่งอยู่เฉยๆ แทน ไม่กี่นาทีต่อมาเตียงนอนที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรักก็ถูกเก็บกวาดเรียบร้อย

“ปั้นเป่าผมก่อนนอนนะครับ”

ไม่พูดเปล่า พฤกษ์ก็คว้าไดร์เป่าผมขึ้นมา ลมอุ่นๆ กำลังดีพัดผ่านเรือนผมยาวของเธอ โดยที่มืออีกข้างของชายหนุ่มคอยถือผ้าขนหนูผืนเล็กช่วยประคองซับให้อย่างเอาใจ 

“พี่พฤกษ์ให้ปั้นทำเองก็ได้ค่ะ”

แต่ไม่รู้ว่าเสียงของเธอถูกเสียงใบพัดกลบหรือเป็นพฤกษ์เองที่ไม่ยอมฟังกันแน่ คะนึงนิตย์ถึงต้องปล่อยให้เขาทำตามใจ จนกระทั่งผมทุกเส้นแห้งสนิทแล้วจริงๆ ชายหนุ่มถึงลดมือลง แล้วคว้าหวีแปรงขึ้นมาหวีเรือนผมยาวอย่างเชื่องช้า แผ่วเบา ชวนสบายจนคนถูกปรนนิบัติเผลอหลับตาพริ้ม เผลอหลุดเสียงระบายลมหายใจพร้อมเสียงครางต่ำๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว 

หากคะนึงนิตย์ลืมตาขึ้นมาในตอนนี้ ที่หน้ากระจกเธอคงเห็นเงาสะท้อนใบหน้าของพฤกษ์ที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและความรักใคร่เต็มสายตาไปแล้ว 

“เหนื่อยแล้วใช่ไหมครับ”

คะนึงนิตย์ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นเหนือหัว พลังงานที่ใช้ไปในวันนี้ รวมถึงร่างกายที่ถูกเคี่ยวกรำจนหมดแรงทำให้แม้แต่จะลืมตาขึ้นเสียตอนนี้ก็ยังฝืนทำไม่ได้ 

“ค่ะ”

น้ำเสียงหญิงสาวงัวเงียอ่อนแรงเต็มที พฤกษ์จึงช้อนร่างเล็กไว้เต็มสองแขน เพียงแค่ขยับไม่กี่ก้าวก็ถึงเตียงกว้าง พวกเขาเอนตัวลงนอนอีกครั้ง 

คะนึงนิตย์ไม่มีแรงจะลืมตาขึ้นแล้ว ทันทีที่สัมผัสความนุ่มสบายของเตียง เธอไม่รอช้าขยับเข้าหาจุดที่อบอุ่นและสบายที่สุด เตรียมทิ้งตัวสู่ห้วงฝัน วินาทีเดียวกันนั้นเองที่พฤกษ์ค่อยๆ ดึงร่างเล็กมากอดไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของหญิงสาวจึงซุกอกแกร่ง ท่อนแขนสมบูรณ์แบบกอดรอบเอวบาง พลางกระซิบแนบชิดริมหูของคะนึงนิตย์แผ่วเบา 

“ฝันดีครับปั้น” 

 

หากเป็นเมื่อก่อน ใบหน้าของชายหนุ่มมักจะแสดงออกอยู่เพียงอารมณ์เดียว แววตาคมมีแต่ความเด็ดเดี่ยวเฉยเมินต่อทุกอย่าง กลิ่นอายสูงส่งและห่างเหินที่เขาแสดงออกมักคอยกันผู้คนรอบตัวออกไป แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เขาน่าดึงดูดและโดดเด่นยิ่งกว่าใคร 

ทว่าเช้าวันใหม่นี้ ภาพแรกที่คะนึงนิตย์เห็นเมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็คือ ดวงตาอันลึกล้ำของพฤกษ์ทอประกายรักใคร่และอ่อนหวาน จนคนมองที่ยังตื่นไม่เต็มตาสับสนกับตัวเองชั่วครู่เหมือนกันว่า ทั้งหมดนี้เป็นความฝันของเธอหรือไม่ 

พฤกษ์นอนหนุนศีรษะด้วยฝ่ามือ ส่วนมืออีกข้างก็เกี่ยวม้วนปลายผมของเธอเล่นอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาที่สบประสานคู่กันเต็มไปด้วยความหมายนับร้อยมากมายที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา แต่คะนึงนิตย์กลับรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ได้อย่างดี

“อรุณสวัสดิ์ครับปั้น” พูดเสร็จแล้ว เรือนผมสีน้ำตาลของหญิงสาวถูกเชยขึ้นจดริมฝีปากของพฤกษ์ 

“พี่พฤกษ์...”

“มอร์นิงคิสนะครับคนดี” ชายหนุ่มช้อนตามองกลับมาอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นถึงได้ฉวยโอกาสจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว

แสงแดดที่สาดผ่านเข้ามาในห้องนอนจนต้องใบหน้าของชายหนุ่มดูสว่างไสว เผยสัดส่วนที่ละเอียด เค้าโครงใบหน้าที่สมส่วนลงตัว ยามที่มองแล้วทำให้สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปหลายนาที เบื้องหน้าที่คล้ายกับความฝันมีเพียงรอยยิ้มที่พาดผ่านดวงตาคม และเสียงลมหายใจของทั้งคู่เท่านั้นที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ 

คะนึงนิตย์เหม่อมองภาพที่สวยงามที่สุดอย่างเหม่อลอย พฤกษ์ที่ปล่อยให้เธอนอนมองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง สาบเสื้อของชุดคลุมอาบน้ำเปิดออกจนเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่า คะนึงนิตย์กะพริบตามองคนตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ราวกับยังไม่ตื่นเต็มที่ ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็รู้ตัว ท่าทางถึงได้ดูร้อนรน 

หญิงสาวรีบลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วเพราะเร่งรีบไม่ทันระวัง สาบเสื้อที่เดิมทีก็เผยออยู่แล้วก็ยิ่งเปิดกว้าง ชายชุดคลุมก็เลิกขึ้นสูง ทั้งลาดไหล่ขาวเนียน เนินอกอิ่ม ต้นขาขาว ผมยาวของหญิงสาวที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย รวมถึงดวงหน้าหวานที่กำลังเงยขึ้นมาสบประสานสายตา ทำให้ทิวทัศน์ยามเช้านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายรัญจวน ชวนให้หัวใจสั่นไหว 

หัวใจของพฤกษ์กระตุกสั่นระรัว ภาพที่แสนเย้ายวนตรงหน้าทำให้ลำคอของเขาแห้งผาก รวมถึงสร้างความตื่นตัวตามธรรมชาติของมนุษย์ผู้ชายจนสมองตื้อไปชั่วขณะ เขาข่มใจให้สงบ แม้ว่าบางอย่างในร่างกายจะเริ่มออกอาการตื่นตัวยามเช้าก็ตาม แต่พฤกษ์ก็ยังคงรักษาสีหน้า แล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้หญิงสาวแทน

“ปั้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่จะเตรียมเสื้อผ้าให้”

“ค่ะ”

หญิงสาวรีบรับคำแล้วหมุนตัวลงจากเตียง ทว่าทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านเพราะความรู้สึกปวดหน่วง จนต้องเซถอยกลับมานั่งที่ขอบเตียง

“ปั้น! เป็นอะไรหรือเปล่า” พฤกษ์รีบสาวเท้ามาหยุดอยู่ที่หน้าหญิงสาว ย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อดูว่าคนตัวเล็กบาดเจ็บที่ตรงไหนหรือไม่ แต่เจ้าตัวก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมเอ่ยเสียงเบา

“ไม่เป็นไรค่ะ...ปั้นแค่เจ็บ...ตรงนั้น” 

ท้ายประโยคเหมือนหญิงสาวพึมพำบอกตัวเองเสียมากกว่า ทว่าพฤกษ์กลับเข้าใจความหมายนี้ได้ชัดเจน 

เมื่อวานถึงจะเป็นครั้งแรก แต่พลังกายและแรงใจที่ฮึกเหิมก็ไม่ได้หยุดยั้งลงง่ายๆ ตอนนี้ร่างกายของคะนึงนิตย์จึงยังไม่คุ้นชินกับสัมผัสวาบหวามและการถูกรุกเร้า ทันทีที่ยืนหรือจะขยับก้าวเดินด้วยตัวเอง ท้องน้อยของเธอถึงได้ปวดเสียด เกิดอาการหน่วงๆ รู้สึกโหวงหวิว ท่อนขาก็ล้าราวกับผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก

คิดถึงประสบการณ์ร้อนที่ผ่านมาแล้ว ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว 

“พี่ช่วยครับ”

พฤกษ์ประคองอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็พาหญิงสาวเข้าไปในห้องน้ำ วางลงบนขอบอ่างที่เดิม ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มเย้า

“ปั้นอยากให้พี่ช่วยอาบด้วยไหมครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ! ปั้นดีขึ้นแล้ว” 

หญิงสาวละลักละล่ำบอกอย่างเอียงอาย พฤกษ์หัวเราะร่วนเสียงเบาก่อนจะโคลงศีรษะ ยอมออกมาจากห้องน้ำแต่โดยดี 

 

                หลังจากที่ประตูห้องน้ำปิดลง คะนึงนิตย์ก็ถอนหายใจเบาๆ เธออายจนแทบไม่กล้าสบตาพฤกษ์ด้วยซ้ำ ยิ่งความทรงจำเมื่อคืนเด่นชัดมากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเต้นระรัว ทั้งเธอที่อ้อนวอนขอให้เขารัก ทั้งเขาที่โหมกระหน่ำโถมกายทาบทับเข้ามา ทุกสีหน้า ทุกความรู้สึกที่ผ่านดวงตาของชายหนุ่มยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของเธอ

                ยามที่เธอหวาดกลัว พฤกษ์จะลดความรุนแรงลงราวกับกำลังอดกลั้นเพื่อเธอ เสียงนุ่มทุ้มที่คอยปลอบประโลม รวมถึงจูบอันอ่อนหวานค่อยๆ กล่อมให้เธอวางใจ จากนั้นก็พาเธอทะยานขึ้นไปบนขอบฟ้า เปิดโลกใบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจนทั่วร่างอิ่มเอม ความสุขพร่างพรายถึงขีดสุด ความลับของชายหญิงอันเป็นนิรันดร์นั้นพฤกษ์ทำให้เธอกระจ่างและเข้าใจก็วันนี้ 

                หญิงสาวค่อยๆ ขยับร่างกายทั้งที่ยังปวดล้า ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปลดเปลื้องชุดคลุมอาบน้ำออก พลางลอบสำรวจตัวเองหน้ากระจก ร่างกายมีรอยประทับสีแดงเหมือนกลีบกุหลาบกระจายไปทั่ว ทั้งตามลำคอ ลาดไหล่ หน้าอก แม้แต่เอวและหน้าท้อง พฤกษ์ก็ยังฝากรอยรักไว้อย่างชัดเจน 

                ปลายนิ้วของเธอไล่ลูบตามรอยไปทีละนิด เมื่อสมองนึกถึงยามที่เขาจ้องมองเธอ พร้อมกับโน้มตัวขบเม้มตามร่างกาย ทั้งกายก็พลันตื่นราวกับโดนน้ำร้อน จู่ๆ อารมณ์เสน่หาแสนรัญจวนก็มอมเมาจนเธอรู้สึกกระสันระคนอายขึ้นมา อาการลนลานทำให้เผลอปัดขวดเจลล้างมือที่ตั้งอยู่ข้างๆ ตกกระแทกพื้นเกิดเสียงก้องกังวาน 

                ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูห้องน้ำก็เปิดพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยร่างสูงที่นุ่งผ้าขนหนูสีเข้มรีบตรงเข้ามาถามอย่างตกใจ 

                “ปั้นเป็นอะไรหรือเปล่า พี่ได้ยินเสียง...”

                พอมองเห็นสภาพเปลือยเปล่าที่แสนเย้ายวน คำพูดในลำคอก็ขาดหาย ดวงตาตื่นตระหนกทั้งสองคู่สบกันด้วยความคาดไม่ถึง 

                คะนึงนิตย์จำได้ว่าที่ห้องนั่งเล่นด้านหน้าก็มีห้องน้ำสำรอง พฤกษ์คงตั้งใจไปอาบน้ำที่นั่น แต่เธอทำเสียงดังเขาถึงได้รีบปรี่มาดูความปลอดภัย เธอตั้งใจจะบอกเขาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ทว่าสายตาร้อนแรงของพฤกษ์กลับทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไรออกไปทั้งนั้น

                เปลวไฟที่ลามเลียร่างกายยิ่งทำให้เธอสั่นสะท้าน พอรวมกับจินตนาการภาพร่วมรักเมื่อวานซึ่งยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำก็ทำให้สมองของเธอพร่าเลือนไปชั่วขณะ ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาของตัวเองสะท้อนความปรารถนาใดออกมา ริมฝีปากที่เผยอค้างเหมือนจะพูดนั้นก็เชื้อเชิญให้คนมองอยากลิ้มลองใจจะขาด 

                “พี่พฤกษ์...ปั้นรู้สึกจะร้อนนิดหน่อย...ปั้น...”

                พูดยังไม่ทันจบ พฤกษ์ก็สาวเท้าเข้ามาประชิด เขาเชยคางเธอขึ้น ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มและครอบครองไปอย่างสมบูรณ์ ยามที่คะนึงนิตย์พยายามอ้าปากหายใจ เขาก็ฉวยโอกาสนี้ดูดดึงเรียวปากอิ่ม กระหวัดปลายลิ้นเกี่ยวอย่างช่ำชอง เพียงครู่เดียวก็ทำเอาหญิงสาวหายใจหอบ ทั้งร่างอ่อนระทวย

                คะนึงนิตย์เบนใบหน้าออก หอบหายใจเบาๆ “ปั้น...ไม่ได้ตั้งใจ ปั้น...”

                “พี่เข้าใจครับ พี่ก็ร้อนเหมือนกัน”

                ชายหนุ่มอุ้มเธอขึ้น จากนั้นก็พาร่างเล็กพิงผนังกระเบื้องห้องน้ำที่เย็นเฉียบ ร่างกายแนบทับเข้ามา สองมือประคองขาเพรียวของหญิงสาวไว้ ปล่อยให้ผ้าขนหนูที่พันรอบเอวร่วงหล่น ความแข็งกล้าถูไถเบียดท้องน้อยหญิงสาว เคล้าเคลียต้องการความอ่อนหวานอย่างลึกล้ำ 

                พฤกษ์จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วถามเสียงแหบ “พร้อมไหม”

                คะนึงนิตย์เม้มปากสีแดงก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ชายหนุ่มจึงจูบเธอด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง ขบเม้มริมฝีปากเธอเบาๆ ค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสหวาน กลิ่นมินต์หอมสดชื่นของยาสีฟันเคล้าอบอวลอยู่ในปากของทั้งคู่ พฤกษ์พยายามเบนความสนใจของเธอ จากนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อมพรัก เขาถึงช้อนตัวเธอแล้วสอดดันแก่นกายผ่านช่องทางรักไปอย่างเชื่องช้า 

                เสียงหวีดร้องตกใจของคะนึงนิตย์ดังข้างหู ท่อนแขนของเธอโอบกอดเขาไว้แน่ ร่างกายทั้งสองแนบสนิททั้งบนและล่าง เอวสอบขยับอย่างรู้งาน ปรนเปรอให้ทั้งคู่อิ่มเอม แม้แต่ไอเย็นภายในห้องน้ำไม่อาจดับความรุ่มร้อนของทั้งคู่ลงได้ 

 

                กว่าจะได้กินอาหารเช้าก็สายแล้ว บรรยากาศภายในครัวตอนนี้อบอวลด้วยกลิ่นอายประหลาด คะนึงนิตย์ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากถ้วยข้าวต้ม ส่วนพฤกษ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีท่าทางสบายๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างถึงที่สุด 

                “ปั้นอย่าอมข้าวนะ” 

                เสียงทักนี้ทำให้ความเร็วในการกินของหญิงสาวเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายต่อให้ไม่เหลืออะไรในถ้วยอีกแล้ว เธอก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามองง่ายๆ มีเพียงใบหูที่สังเกตได้ชัดเจนว่ามันแดงเข้มแค่ไหน 

                “ปั้นจะไม่มองหน้าพี่อีกตลอดชีวิตแล้วหรือเปล่าครับ”

                “พี่พฤกษ์ก็อย่าเอาแต่จ้องปั้นแบบนี้สิคะ” 

                เสียงหวานๆ ติดจะแหบพร่าชวนให้พฤกษ์นึกถึงเสียงพร่ำครางของหญิงสาวที่ดังเคล้าข้างหู ไม่แปลกใจเลยที่เวลานี้คะนึงนิตย์จะอ่อนแรงถึงเพียงนี้ 

                “พี่มองแบบไหนครับ”

                “ก็...” คะนึงนิตย์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า นัยน์ตาของชายหนุ่มพราวระยับด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอก็อธิบายไม่ถูก แต่มันร้อนแรงเสียจนไม่กล้าสบประสานนานๆ ราวกับว่าเขากำลังจะกลืนกินเธออีกแล้ว พูดให้ถูกคือ สายตาของเขาในเวลานี้ไม่ต่างจากศึกรักเมื่อคืนที่แผดเผาเธอทั้งเป็น 

                “ไม่รู้ด้วยแล้วค่ะ ปั้นต้องกลับแล้ว...วันนี้โรงเรียนปั้นเปิดแล้ว” 

                หญิงสาวลุกขึ้นคว้าถ้วยชามบนโต๊ะออกไป ตั้งใจจะเก็บกวาดล้างให้สะอาด ผืนทำเป็นไม่สนใจสายตาของพฤกษ์ที่จดจ้องตน ระหว่างนั้นเองที่เอวเพรียวบางถูกสวมกอดจากด้านหลัง ทำเอาเธอถึงกับผวาเพราะความตกใจ มือที่กำลังสาละวนอยู่กับถ้วยชามก็ปล่อยมันหลุดกระทบซิงก์เสียงดัง เธอถึงต้องเอ่ยเสียงเข้ม 

                “พี่พฤกษ์!”

                “พี่ช่วยล้าง”

                “ไม่เป็นไรค่ะ พี่พฤกษ์ ปล่อยปั้นสิคะ”

                ราวกับว่าพฤกษ์ไม่ได้ยินเสียงนี้ เขาเลื่อนมือสอดผ่านเอวบางมาทับมือนุ่มเนียนที่ค่อยๆ เช็ดวนรอบขอบจาน ต่อให้หญิงสาวจะพยายามสลัดมืออย่างไรก็ไม่พ้น

                “อย่าดิ้นสิครับปั้น เดี๋ยวล้างจานไม่เสร็จนะ ทำกันสองคนจะได้เร็วๆ ไง” พฤกษ์กลั้วขำในลำคอ เถียงข้างๆ คูๆ ริมฝีปากกดจูบต้นคอเนียนเบาๆ 

                “อ๊ะ!”

                “เร็วครับ ล้างฟองได้แล้วนะ” 

                ไม่รู้ว่าเพราะลมหายใจที่แนบชิดริมใบหูหรือไม่ ตัวของเธอถึงสั่นเบาๆ ไออุ่นจากชายหนุ่มที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังก็ชัดเจนกว่าอะไรทั้งหมด ประสาทและการรับรู้ในเวลานี้มีเพียงกลิ่นอายหอมสะอาดของพฤกษ์เท่านั้น

                “ปั้นขยับตามพี่สิ”

                “คะ!?”

                “ก็ขยับมือไงครับ แบบนี้จะได้ล้างให้ทั่วใบไงครับ” 

                ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้พฤกษ์จงใจแกล้งเธอชัดๆ แต่เพราะตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาเช่นนี้ เธอจึงทำอะไรไม่ได้ 

นอกจากปล่อยให้เขากุมมือพาไปทางนั้นทีทางนี้ที ค่อยๆ ล้างถ้วยชามและมือที่เปื้อนโฟมออกด้วยน้ำสะอาด จนกระทั่งถ้วยทุกใบวางคว่ำบนถาดเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถึงยอมปล่อยมือของอีกฝ่าย พลางหันไปคว้าผ้าเช็ดมือผืนใหม่มาไว้ในมือ 

                “มาครับ พี่ช่วยเช็ด” พฤกษ์ใช้ผ้าซับมือเปียกชุ่มของร่างเล็กช้าๆ ราวกับว่านี่คือกิจกรรมที่รื่นรมย์ที่สุด 

                “จะเที่ยงแล้ว ปั้นต้องรีบกลับแล้วค่ะ”

                ทันทีที่มือแห้งสะอาด คะนึงนิตย์ก็รีบชักมือออกแล้วขยับถอยห่างจากร่างสูงโปร่ง เพื่อที่อย่างน้อยจะได้รู้สึกว่ามีพื้นที่พักหายใจบ้าง 

                “วันนี้ปิดต่อไม่ได้เหรอครับ” พฤกษ์ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รีบก้าวตามประชิด กุมมือหญิงสาวไว้แน่น 

                “ไม่ได้ค่ะ เด็กๆ เริ่มเรียนตอนบ่าย ปั้นจะสายจริงๆ แล้วนะคะ” คะนึงนิตย์ร้อนรนขึ้นมา 

                “ก็ได้ครับ พี่ไปส่ง แล้วตอนเย็นพี่จะไปรับที่โรงเรียนนะ” พฤกษ์หยุดเย้าคนรัก เขาก้มจูบริมฝีปากอิ่มเร็วๆ อีกครั้ง ก่อนเดินไปคว้าโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ รวมถึงกุญแจรถ

                “ทำไมคะ”

                “โทรศัพท์มือถือกับของของปั้นยังอยู่ที่บ้านพี่อยู่เลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เดี๋ยวพี่ไปรับมากินข้าวเย็นด้วยกันครับ” 

                แม้จะจริงอย่างที่เขาว่า แต่คะนึงนิตย์กลับไม่เห็นด้วยขึ้นมา 

                “เดี๋ยวปั้นวานให้บัวเอามาให้ที่ตึกก็ได้ค่ะ พี่พฤกษ์จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” 

                ใจความสำคัญคือ หญิงสาวไม่เห็นความจำเป็นที่พฤกษ์ต้องเทียวไปเทียวมาหาเธอบ่อยๆ ขนาดเธอยังต้องทำงาน แล้วนับประสาอะไรกับพฤกษ์ เขามีเรื่องให้จัดการหลายอย่างแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เธอไม่อยากให้เขาเหนื่อยเปล่า

                “ไม่เป็นไรครับ พี่มาได้ พี่ไม่เหนื่อย อยากกินข้าวกับปั้นครับ บ้านเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา...ไม่ดีเหรอ” 

                ความหมายที่บอกอย่างชัดเจนทำให้ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหว ต่อให้พยายามเก็บสีหน้าและรักษาความเยือกเย็นอย่างไร ก็ไม่อาจบดบังแววตาพร้อมรอยยิ้มยินดีได้ พฤกษ์รีบตีเหล็กทั้งที่ยังร้อน พูดต่อให้ประโยคในใจและความหวังของตนครบสมบูรณ์

                “มีแค่แฟนคนเดียว พี่ต้องเปิดตัวหน่อย จริงไหม”

 

            ช่วงปิดเทอมเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดของเหล่าติวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นสายวิทย์หรือสายศิลป์ โรงเรียนปั้นรักของคะนึงนิตย์ก็อาศัยช่วงนี้ในการเลี้ยงตัวเองเช่นกัน ยิ่งใกล้เทศกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัย เด็กนักเรียนมัธยมปลายก็พากันหาที่เรียนให้ควั่ก

                คะนึงนิตย์รีบเปิดตึกจัดแจงข้าวของให้เข้าที่ เพราะนักเรียนที่เตรียมตัวและเตรียมพร้อมมาติวก็ตั้งหน้าตั้งตามากันทั้งนั้น ปกติแล้วหญิงสาวไม่ได้รับผิดชอบการเรียนในคลาสติวเข้ามหาวิทยาลัย แต่การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของเธอ บางครั้งเธอก็จะเป็นหนึ่งในคนประเมินและวิจารณ์งานของนักเรียนที่มาติว ชี้ให้เห็นข้อดีและข้อบกพร่องที่แต่ละคนต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข รวมถึงพัฒนาฝีมือของตัวเอง 

                หากเทียบกับคลาสเรียนบุคคลทั่วไปแล้ว ความยุ่งยากใจของคะนึงนิตย์จะต่างจากตอนอยู่กับเด็กๆ โดยสิ้นเชิง นักเรียนรุ่นใหญ่ของเธอบางคนก็อารมณ์ร้อน บางคนก็มีนิสัยเก็บตัว เธอจึงต้องปรับตัวไปตามอารมณ์ของผู้เรียน ผิดกับเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ลุกโชนด้วยจิตวิญญาณของการสอบ เปี่ยมไปด้วยพลังงานล้นเหลือ ซึ่งก็เหมาะกับจอมขวัญกับพสุอย่างมากในการรับมือเด็กๆ เหล่านี้ 

                “อ้าว ปั้นเพิ่งเปิดตึกเหรอ” 

                นึกถึงไม่เท่าไหร่ เสียงทักของจอมขวัญและพสุก็ดังไล่หลัง เธอจึงหันไปยิ้มเจื่อนๆ สารภาพความผิดของตัวเอง

                “เมื่อวานปั้นไปทำธุระค่ะ แต่ผิดแผนนิดหน่อยเลยกลายเป็นค้างข้างนอกคืนหนึ่ง ปั้นเตรียมของด้านในไว้แล้ว พี่ๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ” เธอยกยิ้มจางๆ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้เคาน์เตอร์ด้านหน้า 

                “คิดมากน่า อีกอย่าง วันนี้มีติวแค่ช่วงบ่าย สบายๆ นะ เวลายังเหลืออีกเยอะ” จอมขวัญเดินมาตบบ่าเธอเบาๆ แล้วหันไปเตรียมตัวสอน ส่วนพสุก็มาหยุดยืนข้างๆ ชวนคุยถึงเรื่องที่เขาบังเอิญได้ยินมาเช่นกัน 

                “เห็นเดียร์เล่าว่าเจอปั้นที่งานเลี้ยงเมื่อวานด้วย”

                “อ๋อ ค่ะ ปั้นก็เจอน้องเดียร์เหมือนกัน” 

                ไม่รู้ว่าพสุสายตาดีหรือมีคนจงใจทิ้งรอยประทับความเป็นเจ้าของไว้ ช่วงที่หญิงสาวขยับตัว เขาถึงเห็นรอยแดงจางๆ ที่ลำคอของคู่สนทนา แววตาของพสุจึงปรากฏเค้าความหยอกล้อขึ้นมา

                “มีแฟนแล้วเหรอปั้น” 

                “คะ!?”

                มือที่ถือปากกาถึงกับอ่อน ปล่อยด้ามปากกาตกลงบนโต๊ะ ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองรุ่นพี่คนสนิทอย่างคาดไม่ถึง ก่อนรีบถามเสียงเบา

                “เดียร์บอกพี่รักเหรอคะ”

                “อืม เมื่อวานโทร. มาเมาท์ให้ฟัง บอกว่าผู้ชายที่มาหาปั้นคนนั้นสุดท้ายก็เป็นตัวจริงของปั้นจริงๆ ด้วย” 

                ผู้ชายคนนั้นก็ไม่พ้นไปจาก ‘พฤกษ์’ เลย ได้ยินแล้วคะนึงนิตย์ก็อายเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มดูเหมือนว่าเพิ่งจะถูกยืนยันอย่างชัดเจนเมื่อคืนนี้เลยด้วยซ้ำ

                “ไม่ต้องมาล้อกันเลยนะคะ” หญิงสาวรีบดักคอ อีกฝ่ายจึงได้หัวเราะร่วน 

                “โอเคพี่ไม่ล้อแล้ว ยินดีด้วยนะ” 

                พูดจบแล้วพสุก็เดินไปทางบันไดขึ้นชั้นสอง ส่วนคะนึงนิตย์ก็จับแก้มที่เริ่มร้อน พอเห็นว่าใกล้เวลาเรียนแล้ว ก็เปิดลิ้นชักหากระจกบานเล็กขึ้นมาส่องความเรียบร้อย จึงสังเกตอะไรบางอย่างเข้า

                ชุดที่เธอสวมอยู่เป็นเอไลน์เดรสสีชมพูอ่อนที่พฤกษ์เตรียมไว้ให้ เนื้อผ้าท่อนบนแนบพอดีตัวจนถึงช่วงเอว หลังจากนั้นค่อย ๆ ขยายออกจนถึงชายกระโปรง หากดูผิวเผินก็เรียบร้อยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อครู่ที่เธอขยับ เรือนผมที่ปิดลำคอจึงค่อยๆ แหวกให้เห็นรอยประทับสีกุหลาบจางๆ หากไม่สังเกตก็จะไม่เห็น

                คะนึงนิตย์รีบยกมือแนบบริเวณนั้น ฝ่ามือร้อนผ่าวขึ้นมาในวินาทีเดียวกัน ภาพที่ซิงก์ล้างจานแวบเข้ามาในหัวทันที หญิงสาวกัดริมฝีปาก นึกค่อนชายหนุ่มที่อยู่ห่างไปอีกไกลในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงเค้าความหงุดหงิดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำที่สะท้อนผ่านริมฝีปากและดวงตาออกมาเท่านั้น 

 


 

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น