9

9

9

 

        หลังจากที่นักเรียนคนสุดท้ายกลับบ้าน คะนึงนิตย์ก็ทำความสะอาดห้องเรียน เนื่องจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้ติดตัว เธอจึงไม่รู้เลยว่าเวลานี้พฤกษ์อยู่ที่ไหนแล้ว 

        “ปั้น เหมือนจะมีคนมาหานะ” พสุเหลือบมองจากหน้าต่างชั้นบน นัยน์ตาอบอุ่นของอาจารย์หนุ่มพราวระยับ คะนึงนิตย์ถึงได้เดินมาดูบ้างที่หน้าต่างบ้าง ถึงแม้จะมั่นใจแล้วว่าเป็นใครก็ตามที เธอวางมือบนขอบหน้าต่าง สำรวจชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าอาคารด้วยรอยยิ้มจางๆ 

เขาสวมเสื้อคอปกสีขาว ขับให้เห็นสัดส่วนของไหล่กว้างหนา แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอกเผยกล้ามเนื้อบริเวณท่อนแขนแน่นกำยำ วงแขนคู่นี้เองที่ยกร่างของเธอไปไหนต่อไหนได้ง่ายๆ ยิ่งมอง ภาพเรือนร่างของพฤกษ์ยามทาบทับอยู่บนกายของเธอยิ่งแจ่มชัด ความร้อนขุมหนึ่งค่อยๆ หลอมหัวใจของเธอให้ละลาย ทั้งๆ ที่พยายามตั้งสติให้จดจ่ออยู่กับงานแล้วแท้ๆ ทว่าแค่เห็นใบหน้าของพฤกษ์อีกครั้ง ตัวเธอก็อ่อนปวกเปียก ไร้กำลังในการป้องกันแทบจะในนาทีเดียวกัน

ราวกับรู้ว่ากำลังถูกมอง พฤกษ์ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ทันทีที่ตาของทั้งคู่สบกัน ทั้งเขาและเธอก็ยกยิ้มขึ้นพร้อมๆ กัน

       “ห้องสะอาดแล้ว รีบกลับเถอะ พี่ว่าบางคนน่าจะรอเจอปั้นไม่ไหวแล้ว” เสียงกระเซ้าเย้าแหย่จากรุ่นพี่คนสนิททำให้คะนึงนิตย์ไม่รู้จะรักษาสีหน้าอย่างไร ต่อให้ตอนนี้พยายามปั้นหน้านิ่ง ก็ไม่อาจเก็บอาการเลิ่กลั่กเขินอายของตัวเองได้แล้ว 

                “ปั้นไม่รู้เลยนะคะว่าพี่รักแซวคนอื่นเก่งแบบนี้” ปกติแล้วภาพลักษณ์ของพสุจะเป็นผู้ชายอบอุ่น ยิ้มง่าย นุ่มนิ่มเหมือนขนมสายไหม แต่พอสนิทกันจริงๆ แล้ว เขากลับมีมุมเจ้าสำราญ ชอบแกล้ง รวมถึงความเจ้าเล่ห์ที่สะท้อนผ่านดวงตาคู่อบอุ่นคู่นี้เหมือนกัน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวเขากลับไปบ้าง

          “น้องเดียร์ก็มีแพลนจะแต่งงานแล้วหรือเปล่าคะ แบบนี้โดนแซงแล้วนะคะอาจารย์รัก”

          ได้ยินแล้วพสุกลับไม่โกรธ เขาเพียงขำเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นทั้งสองข้างทำท่าทางยอมจำนนโดยดี 

          “เรื่องนี้ขอยอมแพ้เลย” เขายิ้มแล้วรีบถามต่อ “นานแล้วนะที่พี่ไม่เห็นปั้นสดใสแบบนี้ คุณพฤกษ์คนนี้คงใช้ได้เลย ใช่ไหม” 

           คะนึงนิตย์ยิ้มหวานตอบรับ สำหรับเธอ พฤกษ์คือความสวยงามที่เธอเคยปรารถนามาตลอด ตอนนี้ต่อให้ยกเงื่อนไขใดๆ มาอ้างเพื่อกันตัวเองออกจากเขา แต่ในใจก็รู้ดีที่สุดว่าเขาคือฝันที่เป็นจริงของเธอ เป็นภาพวาดที่สวยงามที่สุดที่เธอเคยพบเจอ 

           “คำตอบชัดแบบนี้ พี่ก็ไม่สงสัยแล้ว ไปเถอะ เขาคงรอเรานานแล้ว” 

           สิ้นเสียงพสุ เธอก็พยักหน้ารับ รีบเก็บของแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ก่อนจะพบพฤกษ์ที่เข้ามานั่งรอภายในตึกแล้ว แสงสีส้มนวลๆ ด้านล่างทำให้บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มผ่อนคลาย ความอบอุ่นและความสุขยามที่ได้พบหน้ากันเป็นอย่างไร คะนึงนิตย์ค่อยๆ ซึมซับรับรู้ได้ในวินาทีนี้เอง 

            “ปั้น พี่ไปก่อนนะ” พสุที่ตามลงมาไม่เสียเวลาอยู่เป็นก้างขวางคอคู่รัก เขาพยักหน้าโค้งศีรษะให้แฟนหนุ่มของรุ่นน้องสาว ก่อนออกจากตึกไปเงียบๆ 

            จังหวะนั้นเขาหมุนตัวกลับไปมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ของตึก ภาพของชายหญิงที่กำลังยืนสบสายตากันท่ามกลางบรรยากาศอ่อนหวานทำให้พสุนึกอยากจะบันทึกภาพนี้เอาไว้ ชั่วแวบหนึ่งใบหน้าของน้องสาวยามที่มองคนรักก็ผ่านเข้ามาในหัว พสุถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาติดใจมาตลอดเวลาคืออะไร...ที่แท้รอยยิ้มและแววตาแบบนี้ทั้งหมดคือ แววตาของหญิงสาวที่กำลังมีความรักนั่นเอง 

            อาจารย์หนุ่มหัวเราะกับตัวเอง เขาหันหลังเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันก็นึกถึงงานแต่งงานของน้องสาวคนเดียวด้วยความรู้สึกวูบโหวง แต่พอคิดถึงหน้าน้องเขย ก็ได้แต่นึกหมั่นไส้อีกฝ่ายในใจ

            ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยให้ตัวเองเดียวดายแบบนี้ไม่ได้เสียแล้ว 

 

            “เหนื่อยไหมครับ ร่างกายโอเคแล้วหรือเปล่า” 

            หลังจากที่ได้อยู่กันสองต่อสอง พฤกษ์ถึงได้ไถ่ถามคนรักด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของคะนึงนิตย์ร้อนผ่าว มุมปากของหญิงสาวยกเป็นรอยยิ้มนุ่มนวล พลางตอบทีละคำถาม 

            “ไม่เหนื่อยค่ะ วันนี้ปั้นมาช่วยดูความเรียบร้อยของคลาส แล้วก็...” ปลายเสียงหวานแผ่วลง ดวงตาที่สบประสานเต็มไปด้วยความเอียงอาย “...ปั้นโอเคค่ะ” 

            ดวงตาของพฤกษ์ที่ทอดมองร่างเล็กตรงหน้าเต็มไปด้วยประกายอ่อนโยนไม่ต่างจากสายน้ำ เขาค่อยๆ เลื่อนมือกุมมือเรียวเล็กของหญิงสาวไว้ 

            “ดีครับ มีอะไรให้พี่ช่วยเก็บก่อนไหม เราจะได้กลับบ้านกัน” 

            คำว่า ‘บ้าน’ คำนี้ทำให้หญิงสาวอุ่นวาบในใจ เธอยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ศีรษะเล็กๆ ส่ายปฏิเสธจนเรือนผมพลิ้วไหวตาม 

            “ไม่ค่ะ เราไปกันเลยก็ได้นะคะ” จากนั้นคะนึงนิตย์ก็ตรวจไฟภายในตึกทั้งหมดว่าปิดแล้ว ก่อนจะปิดประตูกระจกและดึงประตูม้วนลงมาล็อกให้เรียบร้อย ทั้งคู่ถึงค่อยเข้าไปในรถเตรียมเดินทางกลับบ้านอย่างที่ชายหนุ่มว่า 

            “โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ของปั้นยังอยู่ที่บ้านนะครับ” ระหว่างที่ขับรถอยู่เขาก็บอกเสียงเบา 

            คะนึงนิตย์พยักหน้ารับรู้เงียบๆ เธอไม่คิดมาก เพราะปกติแล้วโทรศัพท์มือถือของเธอก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อยู่แล้ว เบอร์ติดต่อของโรงเรียนก็เป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านที่เธอขอติดตั้งใหม่โดยเฉพาะ จึงไม่กังวลเลยว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนอะไร 

            พฤกษ์ชวนหญิงสาวคุยด้วยเรื่องทั่วๆ ไป ราวกับกำลังชดเชยช่วงเวลาสองปีที่ห่างหายกันไป ทำให้ช่องว่างและความรู้สึกเก้อเขินที่มีต่อชายหนุ่มค่อยๆ ลดลงโดยที่คะนึงนิตย์ก็ไม่รู้ตัว 

            เมื่อพวกเขาถึงบ้านแล้ว ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม ทว่าพอถึงห้องรับแขกใหญ่ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของชายหนุ่มก็พลันเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยติดจะเย็นชาภายในพริบตา ยามที่เห็นใครบางคนภายในห้องรับแขก

            “ตายแล้วตาพฤกษ์ ทำไมกลับบ้านกลับช่องเย็นแบบนี้ล่ะ ดูสิ พวกป้ากับหนูลูกจันทร์รอกันนานแล้วนะ”

            นอกจากกชนันท์กับโมกข์ที่นั่งอยู่ภายในห้องรับแขกด้วยสีหน้าอึดอัด ยังมีแขกที่คาดไม่ถึงอีกสามคน สองคนแรกพวกเขาไม่เอะใจเท่าไหร่ เพราะตุลธรกับชมนาดคงหมายมั่นตั้งใจจะมาที่นี่เพราะเป้าหมายบางอย่าง แต่หญิงสาวอายุน้อยอีกคนอย่างวราลี...ไม่ว่าจะขบคิดกี่ครั้ง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาอยู่กับสองสามีภรรยาคู่นี้ได้เลย 

            ใบหน้าชมนาดประดับรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าหลานทั้งสามเริ่มมีสีหน้าไม่น่ามอง เธอรีบลุกขึ้นมาต้อนรับพฤกษ์ราวกับว่า เวลานี้ตัวเองคือเจ้าบ้านที่เตรียมต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ทว่าสำหรับพฤกษ์ การปรากฏตัวของแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสามทำให้อารมณ์ดีๆ ของเขาดิ่งลง 

            “ลุงตุลย์ ป้าชม ลูกจันทร์ ไม่คิดว่าเราจะเจอกันเลยนะครับ” แม้ว่าน้ำเสียงของพฤกษ์จะสุภาพนุ่มนวลแค่ไหน แต่แววตาของชายหนุ่มกลับไม่มีความเป็นมิตรเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย 

            “พี่พฤกษ์คะ” คะนึงนิตย์แอบขยับมือข้างที่ร่างสูงกุมอยู่เบาๆ จังหวะที่พฤกษ์ผินหน้ามามองเธอ แววตาของเขาถึงกลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ก่อนกระชับมือที่กุมเธอไว้แล้วหันกลับไปหาญาติผู้ใหญ่ของตนอีกครั้ง 

            “ว่าแต่มีอะไรกันหรือเปล่าครับ คุณลุงคุณป้าถึงมาพร้อมกับคุณลูกจันทร์ได้”

            “พูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ตาพฤกษ์ ป้ากับลุงเป็นห่วง เห็นเราเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ไหนจะต้องมาช่วยตาโมกข์ดูแลโรงแรมอีก พวกป้าบังเอิญเจอหนูลูกจันทร์ คุยไปคุยมาก็ถูกคอ เลยชวนหนูลูกจันทร์มากินมื้อเย็นที่บ้านเราด้วยกัน” 

            แม้ว่าคะนึงนิตย์จะเป็นคนนอก แต่เท่าที่ได้ใกล้ชิดสามพี่น้องรัตนเวคินทร์ เรื่องภายในอย่างมรดกของพวกเขาเธอก็รับรู้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง ตอนนั้นเธอยังจำได้ขึ้นใจเลยว่า มรดกของพวกเขาถูกพวกญาติๆ จ้องตาเป็นมัน โดยเฉพาะบ้านหลังนี้ที่สุดท้ายแล้ว ก็กลายเป็นของสามพี่น้องซึ่งถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่ได้พินัยกรรมที่พ่อและแม่ผู้ล่วงลับทำไว้ ก็เดาไม่ถูกเลยว่าอะไรบ้างที่จะถูกญาติๆ ของพวกเขาแย่งไป ดังนั้นคำพูดของหญิงวัยกลางคนคนนี้จึงเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องนัก

             “น่าเสียดายนะครับวันนี้พวกผมเองก็มีแขกสำคัญ แบบนี้คงไม่สะดวกลุงกับป้าเท่าไหร่” 

             คำพูดเชือดนิ่มๆ ของพฤกษ์ทำเอาใบหน้าของสองสามีภรรยาซีดเผือด ขณะเดียวกัน รอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้าของวราลีก็พลันชะงัก ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเธอยังคงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมบนโซฟารับแขก ราวกับไม่รับรู้ถึงความคับข้องใจระหว่างสองลุงป้ากับหลานแม้แต่น้อย ผิดกับกชนันท์ที่ลอบมองอยู่นาน ในเมื่อพี่ชายเปิดช่องแล้ว หญิงสาวก็ไม่ยอมทิ้งโอกาสรีบเสริมทัพเข้าไปโดยเร็ว

             “จริงด้วยค่ะ บัวก็บอกแล้วไงคะว่าที่บ้านไม่สะดวก แต่บัวเข้าใจนะคะ ก็แหม ลุงตุลย์กับป้าชมไม่ใช่คนบ้านเรานี่นา เลยไม่รู้ว่าวันนี้มีแขกด้วย วันหลังโทร. หาบัวได้นะคะ บัวจะดูเวลาให้” 

            กชนันท์พูดพร้อมรอยยิ้มน่ารัก ดวงตาเป็นประกายอย่างถึงที่สุด เสียงสดใสนี้ทำให้พฤกษ์ยกยิ้มออกมาได้ แต่ก็ยังกระแอมในลำคอ ก่อนพูดตัดบทน้องสาว เพราะเขารู้ว่าญาติผู้ใหญ่คู่นี้ไม่ยอมปล่อยคำพูดของผู้เป็นน้องไปง่ายๆ แน่นอน

            “ตามที่บัวว่าครับ วันนี้พวกผมไม่สะดวกจริงๆ ไม่อยากให้คุณลุงคุณป้ากับแขกลำบากใจเปล่าๆ” 

            ตุลธรลุกพรวด ใบหน้าแดงก่ำด้วยโกรธที่ถูกคนอายุน้อยกว่าเป็นรอบลูบคม อีกทั้งอับอายต่อหน้าวราลีที่ตนพยายามหว่านล้อมนักหนาให้มาด้วยกัน ดูท่าตอนนี้น้ำหนักในใจของวราลีที่มีต่อพวกเขาสองคนต้องต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็นแน่แท้ แต่ในฐานะญาติผู้ใหญ่ ตุลธรได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ ปากคลี่ยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดเสียงอ่อน 

             “เอาน่าเจ้าพฤกษ์ ลุงกับป้า รวมถึงหนูลูกจันทร์ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล นี่เพื่อนยายบัวใช่ไหม คนกันเองกันทั้งนั้น มื้อเย็นมื้อเดียวคงไม่รบกวนหนูใช่ไหม”

            เขารู้ว่าไม่อาจใช้ไม้ซีกไปงัดไม้ซุกอย่างพฤกษ์ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นหญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ข้างกายหลานชายคนโตแทน พอเห็นสายตาตกใจของอีกฝ่าย ตุลธรก็ยกยิ้มเพราะคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้มีทางลงแล้ว เขาไม่ปล่อยให้หญิงสาวคิดตก รีบย้ำทันที  

            “หนูคงไม่ถือนะ ถ้าพวกลุงจะร่วมโต๊ะด้วย เราก็คุ้นๆ เหมือนเจอกันที่งานเมื่อวานนี่ คนกันเองทั้งนั้นจริงไหม” 

            คะนึงนิตย์รับมือไม่ทันที่จู่ๆ กลายเป็นเป้าหมายของญาติคนรัก เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนขี้ใจอ่อน แต่ก็รู้ดีว่าหากตอบรับไปแล้ว คนใกล้ชิดเธอทั้งสามคนจะต้องลำบากใจ แต่อีกใจก็หวั่นเหมือนกันว่าหากปฏิเสธ เธอจะเป็นต้นเหตุให้พฤกษ์เดือดร้อนหรือไม่ 

            “เรื่องนี้ปั้นตัดสินใจไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพี่พฤกษ์ชวนปั้นมา ปั้นคงต้องถามพี่พฤกษ์ก่อนอยู่ดีค่ะคุณลุง” สุดท้ายนี่อาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้ 

            พอคะนึงนิตย์พูดจบ สีหน้าของอีกฝ่ายก็เจื่อนระคนขัดใจ ผิดกับพฤกษ์ที่ยกยิ้มอารมณ์ดี ดวงตาของเขาที่มองต่ำลงมาเห็นได้ชัดว่ามีแววระริก เจือด้วยความสนุกสนานและพึงพอใจไม่น้อย

            “โถ่ ไม่เห็นต้องถามตาพฤกษ์เลยจ้ะ เราก็เคยเห็นกันอยู่แล้วแท้ๆ เอาเป็นว่าพวกป้ากับหนูลูกจันทร์ขอฝากท้องสักมื้อนะตาพฤกษ์ วันอื่นๆ พวกป้าคงไม่มีเวลาแล้ว อีกอย่างหนูลูกจันทร์ก็มาทั้งที อย่าเสียมารยาทเลยดีไหมจ๊ะ”

            เป็นชมนาดที่รีบถลาเข้ามายื้อสถานการณ์ กชนันท์แทบจะกลอกตามองบนเป็นสิบรอบ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าญาติคนนี้หน้าไม่อาย แต่ก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะกล้ามากขนาดนี้ เธอเหลือบมองหน้าของพี่ชายคนโต พลางส่งซิกให้พี่ชายคนรองราวกับรู้กันว่า พี่ชายของทั้งคู่ต้องแผลงฤทธิ์ออกมาให้ประจักษ์สักหน่อยแน่นอน

            “ลุงกับป้าพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าผมปฏิเสธอีกคงใจร้ายเกินไป เอาเถอะครับ แค่มื้อเย็นมือเดียวใช่ว่าผมจะลำบากอะไร เห็นลุงกับป้าพยายามหนักจนต้องเหนื่อยแบบนี้ ผมคงพูดอะไรไม่ได้อีก เชิญครับ” 

           เยส! 

           กชนันท์ชูมือตะโกนร้องสุดเสียงอยู่ในใจ ไม่เก็บรอยยิ้มของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ความจริงอยากจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บสีหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามคนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะวราลีที่ชอบสำคัญตัวผิดเสมอว่า ตัวเองมีน้ำหนักในใจของพี่ชายเธอมากกว่าใคร 

          หึ! ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร นี่พี่พฤกษ์ไง! จะธรรมดาที่ไหน ฟาดแบบนี้เหมือนลากไปตบกลางสี่แยกด้วยซ้ำ! 

          คะนึงนิตย์ที่เห็นทุกสีหน้าและอาการของทุกคนในที่นี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย รู้ดีว่าพฤกษ์ไม่ค่อยพึงพอใจในตัวญาติของตัวเอง แต่ไม่คิดว่าเขาจะตอบกลับด้วยคำพูดเรียบๆ ที่แฝงไปด้วยหนามแหลมเช่นนี้ ทว่าคำพูดทั้งหมดก็ปล่อยไปแล้ว จะเก็บกลับคืนมาก็ไม่ได้ ในฐานะที่อยู่ข้างกายชายหนุ่ม เธอจึงเอ่ยปากกับเขาเบาๆ 

           “พี่พฤกษ์คะ ปั้นขอคุยด้วยได้ไหมคะ” 

           ความสงสัยพาดผ่านบนใบหน้าของชายหนุ่ม แต่พริบตาต่อมาเขาก็ยิ้มรับตกลงง่ายๆ 

           “ได้ครับ” 

           ว่าแล้วพฤกษ์ก็หันไปหาทุกคนในห้องนั่งเล่น แล้วเอ่ยด้วยท่าทางผ่าเผย ราวกับผู้นำที่อยู่เหนือทุกคน 

           “ผมขอตัวก่อนนะครับ ตอนทุ่มครึ่งอาหารคงพร้อม เชิญทุกคนที่ห้องอาหารนะครับ ตอนนี้ผมขอตัวก่อน”

            โมกข์กับกชนันท์ที่รอคอยเวลานี้มาตลอดก็รีบสลายโต๋ หายไปอยู่ในมุมของตนเกือบจะในทันที ส่วนพฤกษ์ก็กุมมือคะนึงนิตย์เดินตัดผ่านแขกทั้งสามไปง่ายๆ แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบมองเลยสักนิด 

            วราลีกำมือแน่น ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าขนาดนี้มาก่อน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตุลธรและชมนาดต่างเป็นตัวหมากที่พึ่งไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นแค่ตัวละครที่มีบทโง่ๆ ทึ่มทื่อ ไม่มีลูกไม้ชั้นเชิงอะไรเลย แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพฤกษ์จะไม่ไว้หน้าทั้งสองคนเช่นนี้ ดูเหมือนว่าทั้งคู่ก็เป็นได้แค่ตัวประกอบที่มีหน้าที่เป็นแค่กันชนเท่านั้น หากจะรอพึ่งพาอาศัยอะไรแล้วละก็...คงไม่มีหวัง 

            เอาเถอะ อย่างไรเสีย การมาในครั้งนี้ก็ไม่ใช่แผนการของวราลีอยู่แล้ว รอแค่เธอไปอธิบายกับพฤกษ์เสียหน่อยว่าเธอปฏิเสธผู้ใหญ่ไม่ได้ เขาก็คงเข้าใจโดยปริยาย ก็ในเมื่อญาติของเขาไม่ต่างจากพวกเพลี้ยที่หิวเงิน พอเห็นเธอมีฐานะทางสังคมหน่อยก็รีบวิ่งมาหา

             สำหรับเธอแล้ว สองสามีภรรยาคู่นี้ก็เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้แผ้วทางให้เรียบเท่านั้น หลังจากนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องสลัดเครื่องมือที่หมดประโยชน์ทิ้งเสีย

 

             พฤกษ์พาคนรักมาที่สวนหลังบ้าน บริเวณนี้เป็นมุมโปรดของเขา เวลาที่ต้องการพักผ่อน สวนหลังบ้านจะเป็นพื้นที่พิเศษซึ่งเขาใช้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ในสวนมีชิงช้าหวายตัวใหญ่สำหรับนั่งสองคนที่ยึดกับกิ่งไม้หนา ล้อมด้วยพุ่มดอกไม้ ด้านบนมีโครงหลังคาไม้ที่ต้นช่อม่วงพวงครามเลื้อยพันกันหนา พวงดอกสีม่วงเข้มและอ่อนย้อยลงมา เมื่อรวมกับโคมไฟสีส้มที่เปิดอยู่รอบๆ ทำให้บรรยากาศตรงหน้าเหมือนตกอยู่ในห้วงฝันก็ไม่ผิดนัก 

             “พี่พฤกษ์เปลี่ยนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” 

             ชายหนุ่มไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่คะนึงนิตย์ทักเช่นนี้ เพราะช่วงเวลาที่หญิงสาวมาพักที่บ้านของเขาชั่วคราวนั้น พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นแค่ศาลาไม้เก่าๆ ไว้สำหรับพักผ่อนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญได้ยินคะนึงนิตย์คุยกับน้องสาวว่าอยากมีชิงช้าหวายไว้นั่งเล่นพักผ่อนในสวนสวยๆ ก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ตรงนี้ 

ทุกครั้งที่พฤกษ์มานั่งพักผ่อนที่นี่ ก็จะนึกถึงหญิงสาวอีกคนที่เขาอยากให้เห็นพร้อมกันมาโดยตลอด ทว่าความคิดนี้เขาไม่คิดจะบอกคนตรงหน้า จึงได้แต่ยกยิ้มแล้วชักชวนคนตัวเล็กไปลองนั่งที่ชิงช้าหวายตัวใหญ่พร้อมกัน 

             “ปั้นชอบหรือเปล่าครับ”

             หลังจากเอนหลังพิงเบาะนุ่มแล้ว คะนึงนิตย์ก็อดไม่ได้จะเอื้อมมือไปแตะพวงดอกช่อม่วงพวงครามที่อยู่ใกล้มือ นอกจากนี้เธอยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ไม่คุ้นลอยปนอยู่ในอากาศ กลิ่นนี้เตะจมูกจนเธอต้องหันไปถามหาที่มาของมัน

             “เหมือนปั้นจะได้กลิ่นดอกไม้...”

              “อ๋อ น่าจะเป็นต้นบุหงาส่าหรี ต้นนี้ออกดอกตลอดปี ดอกเล็กๆ ขาวๆ ช่อมันอยู่ใกล้ๆ กันนี่เอง” 

             “ปั้นก็ว่า หอมดีจังเลยค่ะ”

             “แล้วปั้นชอบไหม” 

             “ชอบค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่บ้านมีมุมนี้ด้วย” 

             “เดี๋ยวปั้นก็ชินครับ” ไม่พูดเปล่า พฤกษ์ยังเอื้อมมาใช้หลังมือเกลี่ยพวงแก้มเธออย่างอ้อยอิ่ง 

             “หมายความว่าไงคะ” คะนึงนิตย์เก็บความหวั่นไหวในดวงตา กลั้นใจถามเสียงแผ่ว 

             “ก็...ถ้าปั้นมาอยู่แล้ว มุมนี้ สวนนี้ ปั้นอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้เลย พี่กลัวว่าปั้นจะมองจนเบื่อด้วยซ้ำ”

             คะนึงนิตย์จะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายลึกล้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในประโยคนี้ก็ไม่ได้ หญิงสาวหลุบตามองมือของตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้แก้มทั้งสองร้อนฉ่า ทว่าก็ยังให้คำตอบกลับไป

             “อะไรที่ปั้นชอบ ปั้นก็ไม่เบื่อง่ายๆ หรอกนะคะ”

             “หืม เดี๋ยวนี้มีพัฒนาการแล้วนะ” 

             พฤกษ์เย้าแหย่อย่างอารมณ์ดี ได้จังหวะที่ใบหน้าหวานเงยขึ้นมา เขาก็ฉวยโอกาสนี้จูบไวๆ บนริมฝีปากอิ่มหนึ่งครั้ง ก่อนจะดึงให้เธอเอนมาซบตัวเอง พลางออกแรงขยับให้ชิงช้าไกวเป็นจังหวะช้าๆ เนิบนาบ ชวนให้เคลิ้มตาม

              คะนึงนิตย์ที่ถูกขโมยจูบไปอย่างไม่ทันตั้งตัวก็อ่อนใจ ยอมเอนกายสบายๆ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพฤกษ์ เก็บช่วงเวลาดีๆ นี้ไว้ ระหว่างนั้นเองที่เธอถามขึ้นมา

             “พี่พฤกษ์คะ”

             “หืม ว่าไงครับคนดี”

             คำขานของเขาทำให้เธอนึกอยากฝังเขี้ยวลงบนเนื้อชายหนุ่ม ทว่าก็ได้แต่กระแอมอย่างขัดเขินแทน

              “ปั้นพอรู้มาว่า พี่พฤกษ์รวมถึงพี่โมกข์กับบัวไม่ค่อยลงเอยกับญาติๆ เท่าไหร่ แต่แบบนี้จะไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ” 

แค่หญิงสาวเอ่ยเท่านี้ พฤกษ์ก็เข้าใจความหมายที่เธอต้องการสื่อได้ชัดเจน คะนึงนิตย์กำลังห่วงว่าท่าทีของเธอจะทำให้พวกเขาสามพี่น้องเกิดปัญหาอะไรตามมาหรือไม่...ในอกของพฤกษ์อุ่นวาบ รู้สึกว่านานแล้วที่ไม่ได้รับความอบอุ่นอันอ่อนหวานเช่นนี้ เขากระชับวงแขนก่อนตอบเสียงเบา

              “ไม่อยู่แล้วครับ ทั้งบ้าน แล้วก็โรงแรม ทุกอย่างของพ่อกับแม่คือของพวกพี่สามคน ที่จริงพวกเขาก็ได้จากเราไปเยอะแล้ว ที่พี่ยังยั้งมืออยู่ก็เพราะเห็นแก่พ่อครับ”

น้ำเสียงของพฤกษ์ยามที่เขาพูดถึงญาติๆ ช่างฟังดูเย็นชาและห่างเหิน ส่วนกระแสเสียงยามพูดถึงบุพการีที่เสียไปนั้นอ้างว้างเสียจนในใจคะนึงนิตย์เจ็บปวดขึ้นมา เธอขยับตัวกอดร่างสูงโปร่งตอบเบาๆ 

“โอเคค่ะ ปั้นเข้าใจแล้ว... พี่พฤกษ์ไม่ต้องเครียดนะคะ ยังมีพี่โมกข์ บัว...แล้วก็ปั้นอยู่กับพี่พฤกษ์นะคะ” 

มุมปากของพฤกษ์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาอ่อนแสงและอ่อนโยนผิดกับท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออกเมื่อครู่ เขาค่อยๆ ปล่อยให้หญิงสาวในอ้อมแขนแอบอิงตน ทั้งนี้ก็ตระกองกอดซึมซับความอ่อนหวานของเธอเข้ามาในหัวใจอย่างไม่ปิดบัง 

“พูดแบบนี้แสดงว่ายอมเป็นคนของพี่แล้วใช่ไหมครับ” 

ประโยคเย้าแหย่ของชายหนุ่มทำให้คะนึงนิตย์ยู่ปาก ดวงตากลมโตค้อนควักใส่ ทว่าสุดท้ายก็ทอดเสียงอ่อนหวานให้คำตอบที่เขาอยากฟัง

“พี่พฤกษ์บอกคนอื่นๆ ไปหมดแล้วว่าปั้นเป็นแฟนพี่พฤกษ์...แบบนี้จะให้ปั้นเป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอคะ”

น้ำเสียงเง้างอดกึ่งออดอ้อนทำเอาหัวใจชายหนุ่มอ่อนยวบ นึกอยากจะรักหญิงสาวให้เต็มแรง ทว่าเขาก็กดกลั้นอารมณ์อันตรายของตัวเอง ยกมือบีบจมูกรั้นของคนในอ้อมกอด พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าครั้งไหน

“ตั้งแต่นี้ต่อไป ปั้นเป็นคนรักของพี่แล้วนะครับ ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนใจแล้วด้วย”

“...ใครจะรู้ล่ะคะ ไม่แน่ วันข้างหน้าพี่พฤกษ์อาจจะ...”

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดให้จบประโยค พฤกษ์ก็เดาความคิดของคะนึงนิตย์ได้ไม่ยาก จึงต้องรีบชิงเอ่ยตัดบทเธอเสียก่อน 

“ก่อนที่ปั้นจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ พี่ว่าปั้นยังไม่รู้ความตั้งใจของพี่อีกข้อนะครับ”

แววตาของหญิงสาวแสดงความงุนงงออกมาชั่วขณะ ดวงตาไร้เดียงสาเช่นนี้มีหรือพฤกษ์จะหักห้ามใจไหว 

“อะไรคะ”

เขากลืนความกระหายที่ผุดลามขึ้นมาลงคอ ก่อนตอบด้วยเสียงแหบพร่า

“พี่ตั้งใจไว้แล้วว่านอกจากปั้นแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ ดังนั้นปั้นต้องเตรียมใจให้ดีๆ แทนมากกว่าครับ”

สิ้นคำตอบ ดวงตาของคะนึงนิตย์ก็เบิกกว้าง ร่างเล็กบอบบางลุกลี้ลุกลนจนเขาต้องกอดเธอไว้ ราวกับเธอเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ถึงได้ถามเสียงตะกุกตะกัก

“ตะ...เตรียมใจอะไรคะ”

“ก็เตรียมใจเป็นภรรยาของพี่ไงคะ คนดี” เขายกยิ้มหยอกเย้า ก่อนจะเอ่ยต่อให้จบตามเป้าหมาย “พี่เสียตัวให้ปั้นแล้ว รับผิดชอบพี่เสียดีๆ เลยนะครับ พี่ไม่มีค่าสินสอด รอแค่ชื่อปั้นบนทะเบียนสมรส แล้วย้ายเข้ามาอยู่กับพี่ก็พอแล้วครับ”

 

มื้อเย็นครั้งนี้พฤกษ์เป็นคนตระเตรียมเอาไว้ทั้งหมด หลังจากที่เขาตั้งใจเข้ามาดูแลบริหารโรงแรมของครอบครัวต่อ ก็ปรับปรุงและเปลี่ยนระบบภายในหลายๆ อย่างใหม่ ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงเป็นเมนูชั้นนำที่เชฟคนใหม่ของห้องครัวโรงแรมเตรียมมาทั้งหมด บนโต๊ะกินข้าวมีอาหารไทยหน้าตาหลากหลาย สีสันสวยงามจัดเรียงเป็นระเบียบ นอกจากอาหารหน้าตาดีที่อยู่บนโต๊ะแล้ว คะนึงนิตย์ก็เพิ่งเห็นว่าวันนี้ที่บ้านรัตนเวคินทร์เหมือนจะมีสาวใช้ทั้งชายและหญิงเพิ่มขึ้นมาสามสี่คน หลังจากที่หันไปถามเพื่อนสนิทแล้ว กชนันท์ถึงบอกว่าทั้งหมดเป็นพนักงานจากบริษัททำความสะอาดที่พฤกษ์ตัดสินใจจ้างมาดูแลบ้านเป็นบางวันเท่านั้น เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะจำได้ว่าสามพี่น้องบ้านนี้ล้วนรักความสงบ และไม่ชอบให้มีคนมาวุ่นวายอยู่รอบตัว

กชนันท์มีทีท่าว่าจะชวนเธอคุยบางอย่าง ทว่าแขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมายทั้งสามคนก็เดินเข้ามาภายในห้องอาหารเสียก่อน น้องเล็กของบ้านจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอลงไปอย่างช่วยไม่ได้ 

พฤกษ์หันมามองคะนึงนิตย์ ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ ส่วนเธอก็ถูกสายตาของเจ้าบ้านไล่ตามจนต้องเดินมานั่งทางขวามือของเขา ตามด้วยกชนันท์และโมกข์ที่มานั่งสมทบอยู่ฝั่งเดียวกัน ครู่ต่อมาวราลีที่ตั้งสติได้ก่อนรีบยกยิ้มหวาน แล้วเดินมานั่งข้างกายพฤกษ์ฝั่งซ้ายมือ ตามด้วยตุลธรและชมนาดที่นั่งถัดกันมา 

กชนันท์ที่เห็นว่าวราลีนั่งชิดพี่ชายของตน แถมยังจงใจเดินมานั่งตัดหน้าลุงและป้าของเธอ ในใจก็รู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย เธอบ่นกับตัวเองอย่างเจ็บใจที่พลาดท่าไป ทั้งที่รู้ดีแท้ๆ ว่าอีกฝ่ายจงใจเข้าหาพี่ชายของตนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว 

“อาหารหน้าตาดีเลยนะคะพฤกษ์” 

ยังไม่ทันขาดคำ วราลีก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมา กชนันท์แอบเบ้ปากเพราะท่าทางแอ๊บโลกสวยของแขกสาว

“ขอบคุณครับ” พฤกษ์ตอบตามมารยาท ก่อนจะเบนสายตามองทุกคนบนโต๊ะ “ถ้าเรียบร้อยแล้ว ก็กินกัน

เถอะครับ” 

พูดจบ พฤกษ์ก็ใช้ช้อนกลางตักอาหารแล้ววางลงในจานของคะนึงนิตย์ที่อยู่ข้างกาย 

“ลองกินดูนะครับ ชอบไม่ชอบบอกพี่ได้เลย” 

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกยิ้มก่อนตักอาหาร ละเลียดรับรสเค็มและหวานที่เข้ากันในปาก รสชาติและส่วนผสมทุกอย่างลงตัว เธอยิ้มแล้วพยักหน้า “อร่อยค่ะ” 

คำตอบนี้เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าพฤกษ์ได้เป็นอย่างดี คนอื่นๆ ก็พากันตักอาหาร กชนันท์ชวนเพื่อนสนิทและพี่ชายคุยอย่างออกรส เมินแขกทั้งสามราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน เพราะแบบนี้คะนึงนิตย์จึงอึดอัดเล็กน้อย

“ปั้น อันนี้อร่อย ต้องลอง” กชนันท์พยักพเยิดหน้าไปทางจานปลาทอดราดซอสมะขาม คะนึงนิตย์พยักหน้ารับแล้วตั้งใจจะตักแบ่งให้พฤกษ์ แต่ระหว่างที่ยื่นมือออกไป ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่มือของวราลียื่นมาพอดี 

คะนึงนิตย์และวราลีเงยหน้าขึ้นมาพบกัน ทั้งคู่ไม่ได้มีทีท่าชะงักงัน มีเพียงความนิ่งสงบ ตามมารยาทเธอควรหลบให้อีกฝ่ายก่อน ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ จึงไม่ปล่อยช้อนกลางให้ถูกฉกฉวยไปได้ง่ายๆ แล้วยิ้มอย่างขออภัยไปแทน 

ความกล้าครั้งนี้ทำให้หัวใจเต้นระส่ำ จากนั้นเธอถึงตักเนื้อปลาทอดมาวางลงบนจานของพฤกษ์ 

“พี่พฤกษ์ชอบปลาใช่ไหมคะ ปั้นจำได้” คะนึงนิตย์ยิ้มบางๆ ไม่หลบสายตาพึงพอใจของพฤกษ์เลยสักนิด 

“ขอบคุณครับ” 

พฤกษ์ตักชิ้นปลาคู่กับข้าวสวยเข้าปาก ขณะดวงตาจดจ้องใบหน้าหญิงสาว ราวกับโลกใบนี้และบนโต๊ะอาหารมื้อนี้มีเพียงพวกเขาสองคน 

กชนันท์ยกนิ้วให้ความกล้าของเพื่อนสาว ขณะเดียวกันก็ให้คะแนนความเยี่ยมยอดของพี่ชายในใจ จนกระทั่งเสียงแหลมๆ ที่ชวนแสบหูของชมนาดดังแทรกขึ้นมา

“เอ๊ะ ว่าแต่หนูคนนี้เป็นเพื่อนบัวสินะ เหมือนป้าจะเห็นตั้งแต่เมื่อวาน เราเรียนคณะเดียวกันเหรอ ดูสนิทกับพฤกษ์ไม่น้อยเลยนะจ๊ะ” 

ไม่รู้ว่าคะนึงนิตย์คิดไปเองหรือไม่ แต่คำถามของชมนาดคนนี้ดูเป็นการหาเรื่องตนเสียมากกว่า หากเธอเป็นฝ่ายบอกว่าเป็นคนรักของพฤกษ์ ก็ไม่รู้จะถูกมองว่าไม่สำรวมหรือเปล่า เธอจึงเลี่ยงคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่ม 

“คุณลุงคุณป้าเรียกหนูปั้นก็ได้นะคะ หนูกับบัวเราไม่ได้เรียนคณะเดียวกันค่ะ แต่เราเป็นรูมเมตกัน”

“อ๋อ แล้วหนูเรียนอะไรจ๊ะ”

“ปั้นจบศิลปกรรมศาสตร์ค่ะ”

“จบมามีงานทำหรือเปล่า พวกวาดรูปๆ แบบนี้เขาทำงานอะไรกันเหรอจ๊ะ ดูไม่มั่นคงเลยนะ” 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอชะงัก ทว่าเสียงทุ้มของพฤกษ์ก็เอ่ยแทรกสวนขึ้นมา 

“ปั้นเปิดโรงเรียนสอนวาดรูป อีกอย่าง วงการนี้เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปไกลแล้ว ผลงานของปั้นมีศิลปินญี่ปุ่นร่วมงานด้วย แต่คุณป้าคงไม่ทราบ” 

นอกจากใบหน้าที่แสดงความคาดไม่ถึงของชมนาดแล้ว คนรักตัวน้อยข้างตัวพฤกษ์ก็ประหลาดใจเช่นกัน เรื่องที่เธอได้มีโอกาสทำโพรเจกต์พิเศษร่วมกับศิลปินญี่ปุ่นนั้นมีคนรู้แค่ไม่กี่คน และก็เคยย้ำนักย้ำหนากับกชนันท์ว่าห้ามบอกเขา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพฤกษ์จะรู้

ความรู้สึกคล้ายได้รับการดูแลปกป้องและใส่ใจเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าบางอย่างกำลังเติบโตขึ้นในใจ หัวใจอัดแน่น ฟูฟ่องเหมือนได้อากาศอันสดชื่น ทั้งอบอุ่นทั้งนุ่มนวล เกิดเป็นความรู้สึกตื้นตันจนขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา 

“อาจจะเป็นอย่างที่พฤกษ์ว่า ป้าก็ไม่ได้สนใจงานสายนี้ แหม แต่ป้าเป็นห่วง งานพวกวาดรูปมันจะได้กี่สตางค์เชียว แบบนี้จะลำบากเปล่าๆ ถ้าเป็นงานมีหลักแหล่ง มีความมั่นคงอย่างหนูลูกจันทร์ก็ว่าไปอย่าง ลองดูแบรนด์เสื้อผ้าหนูลูกจันทร์สิ เป็นงานศิลปะที่อาศัยความรู้และทักษะการบริหาร ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็ทำได้ จริงไหมจ๊ะ” 

“เรื่องของปั้น ผมไม่รบกวนให้คุณป้าเป็นห่วงหรอกครับ ผมว่าปั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร แต่ละคนก็มีหน้าที่มีบทบาทต่างกันไป ไม่ควรตัดสินใครจากอีกคนนะครับ” 

ขณะที่ชมนาดหน้าแดงเถือก ปากอ้าๆ หุบๆ คล้ายจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะยกอะไรมาเทียบได้อีก เจ้าหญิงตัวน้อยของสองพี่น้องรัตนเวคินทร์กำลังกลั้นขำจนไหล่สั่นด้วยความอดทน ทว่าทุกคนบนโต๊ะอาหารก็ยังได้ยินเสียงขำคิกคักดังแทรกขึ้นมาอยู่ดี 

“พฤกษ์คะ ผัดเผ็ดเม็ดมะม่วงนี้ไม่เลวเลยนะคะ”

เสียงหวานที่แทรกขึ้นมาไม่ใช่ใครนอกจากวราลีที่เงียบอยู่นาน ไม่เพียงพูดเปล่า หญิงสาวยังตักกับข้าววางลงบนจานของชายหนุ่ม พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวาน 

“เมื่อก่อนลูกจันทร์จำได้ว่าพฤกษ์ไม่ชอบของเผ็ด ชอบปลา ชอบผัก โดยเฉพาะผักสด ลองชิมดูนะคะ รสดีทีเดียว”

“แหม่ หนูลูกจันทร์สนิทสนมกับพฤกษ์จังเลยนะจ๊ะ เท่าที่ป้าจำได้ พวกหนูสองคนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันใช่หรือเปล่านะ” 

คำถามของชมนาดเรียกรอยยิ้มหวานๆ จากใบหน้าแขกสาว ผิดกับคะนึงนิตย์ที่ค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม ทว่าก็ยังคงรักษาสีหน้าและมารยาทที่ดีเอาไว้ 

“ค่ะ ลูกจันทร์กับพฤกษ์เรียนตรีกับโทด้วยกัน ลูกจันทร์โชคดีมากเลยที่ได้พฤกษ์คอยช่วยให้คำแนะนำ” หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทั้งยังพูดต่อราวกับกำลังย้อนไปยังช่วงเวลาที่อยู่กับชายหนุ่ม 

“จำได้ไหมคะพฤกษ์ ตอนนั้นที่คณะจัดงานบายเนียร์ ตอนนั้นประธานรุ่นเมาร้องไห้ วิ่งมากอดคุณเสียแน่นเลย แถมก่อนเลิกงานคุณยังถูกเพื่อนๆ โยนลงสระน้ำอีก”

“ครับ” พฤกษ์ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล

จากนั้นบนโต๊ะอาหารก็มีเสียงของวราลีที่กำลังเล่าเรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รวมถึงความทรงจำสำคัญที่มีร่วมกับชายหนุ่ม คำพูดของแขกสาวมีเสียงสองสามีภรรยาตอบรับและส่งต่อกันเป็นจังหวะ ขณะที่วราลีพูด เธอก็มองผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาแฝงนัย

คะนึงนิตย์รู้สึกได้ว่าภายใต้ดวงตากลมโตที่มีแต่รอยยิ้มของอีกฝ่ายกำลังสื่อความหมายบางอย่าง ซึ่งมันก็คือการแสดงอำนาจเหนือกว่าออกมา ราวกับจะประกาศให้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เคียงข้างพฤกษ์มายาวนานกว่ากัน 

หากเป็นเมื่อก่อน คะนึงนิตย์คงไม่มั่นใจ ในใจคงมีแต่ความคิดหลายอย่างวนเวียนอยู่ และคงรู้สึกราวกับถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้ในตัวเธอไม่หลงเหลือความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว เพราะมือของเธอที่อยู่ใต้โต๊ะกินข้าวกำลังถูกใครบางคนกุมไว้แน่นและออกแรงบีบเป็นจังหวะ

ดวงตาที่จดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของวราลีจึงเบนไปมองคนข้างตัว วินาทีต่อมาคะนึงนิตย์ถึงได้ยิ้มออก เช่นเดียวกับรอยยิ้มและนัยน์ตาของพฤกษ์ที่มองตอบมาเช่นกัน วินาทีนั้นเสียงเจื้อยแจ้วเป็นทำนองหวานของวราลีที่กำลังเล่าเรื่องราวอดีตแสนสวยงามของตนก็คล้ายเป็นแค่เสียงหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญใดๆ เลย 

ตลอดเวลาที่เธอรู้จักพฤกษ์ เขาเป็นคนที่หนักแน่นมากพอ แม้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอจะเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคำพูดและการกระทำของพฤกษ์ทำให้รู้สึกมั่นคง และมั่นใจมากพอที่จะมองข้ามสิ่งเร้ารบกวนใจนี้ 

“ปั้นว่ากุ้งผัดพริกเกลืออร่อยมากเลยนะคะ” คะนึงนิตย์โน้มตัวเอียงไปหาชายหนุ่ม กระซิบอย่างแผ่วเบาให้รู้กันแค่สองคน

“โอเคครับ พี่จะได้จำไว้ว่าปั้นชอบ” 

พฤกษ์โน้มตัวมาตอบใกล้ๆ ทั้งสองเงยหน้าสบตากัน พลางยกยิ้มที่มุมปาก 

“แต่พี่พฤกษ์ไม่ชอบของเผ็ด”

“พี่กินได้ครับ”

“ระดับไหนคะ”

พฤกษ์ทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบเสียงเบา ราวกับเป็นแค่การพูดคุยกันแค่สองคน “ถ้าเปรียบเทียบเป็นระดับ พี่คิดว่าคงไม่เกินสี่จากห้า”

“ไม่เลวนะคะ”

“ขอบคุณครับ” 

ระหว่างที่พฤกษ์กับคะนึงนิตย์กระซิบคุยกันนั้น กชนันท์และโมกข์ก็ทำเป็นไม่เห็นโลกสีชมพูของพี่ชาย ทั้งคู่ตักอาหารกินกันอย่างสุภาพ และทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของแขกสาวที่กำลังเล่าเรื่องอย่างสนุกสนานด้วย 

แม้ว่าพฤกษ์จะพยายามรักษาท่าทางให้ดูเหมือนกำลังรับฟังมากเท่าไหร่ ในสายตาของวราลีก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของตนถูกเมินอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนที่เธออยากให้ฟังมากที่สุดกลับไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ ทั้งพฤกษ์กับคะนึงนิตย์จึงไม่รู้เลยว่าวราลีค่อยๆ ลดเสียงของตัวเองลง ใบหน้าที่คลี่ยิ้มหวานก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉยอย่างเชื่องช้า 

ตุลธรและชมนาดที่คอยเอาใจหญิงสาวมีหรือจะไม่เห็นความผิดปกตินี้ ผู้เป็นสามีจึงกระทุ้งสีข้างภรรยาให้เอ่ยปากขึ้นก่อน

“ตาพฤกษ์ มารยาทบทโต๊ะอาหารของหลานไปไหนหมดแล้ว ไม่เห็นเหรอจ๊ะว่าหนูลูกจันทร์กำลังพูดอยู่ พวกเธอกระซิบกระซาบกันแค่สองคนแบบนี้มันไม่น่ารักเลยนะ”

         ถ้อยคำของชมนาดทำให้พฤกษ์เบนสายตามามองญาติของตนด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็วางช้อนส้อมลง ก่อนใช้มืออีกข้างยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเบาๆ 

          “ผมกับปั้นกำลังคุยเรื่องสำคัญ” 

          ชมนาดได้ยินก็หน้าเสีย เห็นชัดๆ ว่าพฤกษ์กำลังโกหก แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ แถมยังโดนหลานชายของสามีฉีกหน้าด้วยซ้ำ ทั้งที่ตนเป็นเลขานุการอาวุโสที่ผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชน แต่พอเจอพฤกษ์ตีแสกหน้าอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ ชมนาดก็รู้ได้ทันทีว่าไม่อาจตำหนิชายหนุ่มได้ พูดง่ายๆ ก็คือพฤกษ์ไม่ใช่คู่มือของเธอ จึงรีบเบี่ยงไปหาหญิงสาวที่ท่าทางหัวอ่อนคนนี้ 

       “หนูก็เหมือนกัน ป้าเห็นนะว่าเราเป็นฝ่ายเริ่ม ถึงจะสนิทกันแค่ไหน แต่เป็นสาวเป็นนางทำอะไรก็ดูกาลเทศะด้วยสิ”

         คะนึงนิตย์ที่ถูกตำหนิอย่างไม่มีเหตุผลขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจตรรกะความคิดของญาติคนรักเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่ากชนันท์กับพฤกษ์ทำท่าจะพูดตอบโต้ เธอก็รีบชิงตอบเสียก่อน อย่างน้อยให้คนนอกอย่างเธอเป็นฝ่ายพูด น่าจะลดการปะทะภายในครอบครัวนี้ได้ 

       “ถ้าคุณป้าไม่สบายใจ ปั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ”

        “ที่ต้องขอโทษไม่ใช่ป้าหรอก แต่หนูลูกจันทร์ต่างหาก”

       “คะ?”

“ต๊าย ยังไม่เข้าใจอีก เฮ้อ ป้าไม่รู้หรอกนะ เราจะสนิทกับพฤกษ์แค่ไหน แต่ทำอะไรก็ให้มันพอดีหน่อยเถอะ คนเขาอยู่กันตั้งเยอะตั้งแยะ ที่จริงผู้ใหญ่อย่างลุงกับป้าก็อยู่ ยังทำเป็นเล่นหูเล่นตา ลอบคุยกันแบบนี้ อย่าหาว่าป้าสอนเลยนะ แต่แบบนี้มันไม่มีมารยาทเลย”

ชมนาดเห็นว่าคะนึงนิตย์ดูนิ่งๆ หัวอ่อน จึงเผลอแสดงท่าทีของคนที่มีอำนาจบารมีเหนือกว่ามาข่ม โดยที่ไม่ทันคิดเลยว่าในเวลานี้ตนเองมีสถานะแบบไหน ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดสั่งสอนเช่นนี้ ใบหน้าของพฤกษ์ โมกข์ และกชนันท์จึงไม่น่าดูขึ้นมา 

ส่วนคะนึงนิตย์ที่อยู่ๆ ถูกต่อว่าตรงๆ เช่นนี้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่ามือของพฤกษ์ที่กุมมือของตนอยู่นั้นบีบแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงยกยิ้มบางๆ คล้ายเป็นการปลอบชายหนุ่ม พลางบีบมือตอบเบาๆ จากนั้นก็หันไปสบตากับชมนาดโดยตรง

อาจเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว และพฤกษ์จะไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งเฉยยามที่ตัวเธอลำบาก ดังนั้นคะนึงนิตย์จึงสงบจิตใจได้ง่าย แม้แต่ความโกรธที่ถูกหมิ่นหยามและหักหน้าเช่นนี้ก็ยังไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ให้ขุ่นใจ 

“เดิมทีปั้นก็เป็นแขกของพี่พฤกษ์ ถ้าปั้นจะพูดกับพี่พฤกษ์ คงไม่นับว่าเสียมารยาทหรอกนะคะ” พูดจบก็ยกยิ้ม แผ่นหลังยังคงตั้งตรง ไร้ท่าทางเขลาขลาด

กชนันท์ที่อยู่ข้างกันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนสาวที่นิ่งๆ ไม่ค่อยโต้ตอบใครอย่างคะนึงนิตย์จะมีฝีมือกับคนอื่นเขาเหมือนกัน ดังนั้นประโยคนี้ไม่ต้องทบทวนซ้ำก็เข้าใจความหมายได้ในทันที ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความพยายามกลั้นขำ เพราะท่าทางไม่เป็นธรรมชาตินี้ โมกข์ถึงได้แอบถลึงตาใส่ หวังให้เก็บอาการดีๆ 

ขอโทษนะพี่ชาย มันอดไม่ไหวจริงๆ 

ชมนาดไม่คิดเหมือนกันว่าคนรักของหลานชายคนโตจะตอบกลับมาเช่นนี้ ถึงนิ่งไปชั่วครู่ ค่อยๆ ทำความเข้าใจประโยคนั้น ยิ่งขบคิด ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็พลันกระจ่าง ใบหน้าที่แต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างดีจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับเขียวทันที 

                “โอ๊ย! ตายแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมพูดจาแบบนี้! ยายบัว อย่าหาว่าป้ายุ่งเลยนะ จะคบเพื่อนทั้งทีก็ดูหน่อย นี่อะไร ไม่มีสัมมาคารวะเลย” ชมนาดโวยวายเสียงดัง ส่วนตุลธรที่เงียบอยู่นานก็รับไม้ต่อพูดขึ้น

                “ใช่ มีอย่างที่ไหน พูดจาเถียงคำไม่ตกฟาก ดูหนูลูกจันทร์สิ ทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา การวางตัว เห็นเป็นตัวอย่างได้ชัดแบบนี้ ยายบัว เรื่องดีๆ ทำไมไม่หันสนใจบ้าง” 

                กชนันท์จิบน้ำดื่ม ก่อนกระแอมให้ลำคอโล่งสบาย แล้วตอบคำถาม “ลุงกับป้าไม่ต้องห่วงบัวหรอกค่ะ บัวรู้จักปั้นมาตั้งหลายปี พี่พฤกษ์ พี่โมกข์ก็เห็นปั้นมาตลอด ถ้าไม่ดีจริง บัวคงไม่เชียร์ให้เพื่อนบัวคนนี้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของบัวหรอกค่ะ”

                “ต๊าย ยายบัว พูดจาน่าเกลียด! พี่เธอกับเขาน่ะเป็นอะไรกันแล้วหรือไง พูดมาได้ อ๋อ ป้ารู้แล้ว เธอคงเสี้ยมหลานชายหลานสาวฉันให้เสียคนสินะ เห็นว่าตาพฤกษ์มีฐานะหน่อยก็คิดจะจับไว้ใกล้ตัว โถ่ๆ ลูกไม้แบบนี้ อย่าคิดว่าพวกฉันดูไม่ออกนะ”

                จู่ๆ ชมนาดก็รีบกวาดสายตาไปที่คะนึงนิตย์ ปากพ่นแต่คำที่ไม่น่าฟังออกมา จนเวลานี้พฤกษ์ที่เงียบอยู่สักพักก็ทนไม่ไหวขึ้นมา 

                “ดูท่าคุณลุงคุณป้าจะรู้ดีมากกว่าผมแล้วนะครับ” 

                เพียงแค่ประโยคไม่ดังไม่เบาของพฤกษ์ประโยคเดียว ชมนาดที่กำลังกระพือตีปีกตีฝีปากก็แข็งทื่อเงียบสนิท

                “ผมกับปั้นเราคบกันแล้ว ถ้าพวกคุณลุงกังวลชีวิตของผมขนาดนี้ ให้พวกเราจดทะเบียนพรุ่งนี้ก็ยังได้ สำหรับผมปั้นไม่ใช่คนอื่น แต่ธุระเรื่องนี้ผมคงไม่รบกวนคุณลุงคุณป้า” พฤกษ์กวาดสายตามองญาติผู้ใหญ่ผ่านๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้กลับไปไม่ถึงดวงตา “...และก็คงไม่ต้องรายงานให้พวกคุณลุงรู้เหมือนกัน”

                คำพูดนี้ทำเอาหญิงสาวทั้งสองคนที่ตกเป็นประเด็นบนโต๊ะสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ คนหนึ่งตกใจที่ชายหนุ่มตัดสินใจอะไรรวดเร็วเกินไปจนไม่เปิดโอกาสให้ตนเลย ส่วนอีกคนตกใจระคนหวั่นไหว เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพฤกษ์หากไม่มั่นใจคงไม่พูดออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์นี้จะก้าวกระโดดไปอยู่ในสถานะที่เธอยังไม่ทันได้วางแผนไว้ด้วยซ้ำ

                หลังจากนั้นพฤกษ์ก็ยังคงหยิบยกประเด็นสำคัญมาหยุดการเคลื่อนไหวของญาติทั้งสองอีก

                “ได้ข่าวว่าโรงงานของสนกำลังมีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนไม่ใช่หรือครับ แต่คุณลุงคุณป้ายังมานั่งกินมื้อเย็นกับผมอย่างสบายใจได้แบบนี้ แสดงว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ จริงไหมครับ”

                สนที่ว่าก็คือสรธร ลูกชายคนเดียวของตุลธรกับชมนาด อีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพฤกษ์ก็จริง แต่พฤติกรรมของสรธรขึ้นชื่อว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาพันเกี่ยวเรื่องผู้หญิงจนเกิดเรื่องซุบซิบในวงสังคม แม้อีกฝ่ายจะอายุใกล้ๆ กับพฤกษ์ แต่ชายหนุ่มไม่เคยให้ความสนิทสนมแก่ญาติคนนี้ อย่างที่คนเขาว่า ใกล้ชาดสีแดง ใกล้ถ่านสีดำ สรธรไม่ใช่แบบอย่างของเพื่อนที่น่าคบหา พฤกษ์จึงไม่คิดเสียเวลาเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวด้วย

                ขณะเดียวกัน พอเป็นเรื่องของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สีหน้าของตุลธรและชมนาดก็ซีดเผือด คำพูดที่ติดอยู่ในลำคอก็ถูกกลืนหายไป ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ ทั้งตกใจทั้งตระหนักถึงปัญหาใหญ่ของพวกตนได้ 

                เป้าหมายหลักในการมากินมื้อเย็นกับสามพี่น้องนั้นนอกจากจะเอาใจวราลีแล้ว ทั้งคู่ต้องการจะมาคุยเปรยๆ เรื่องโรงงานของลูกชาย เพื่อขอหยิบยืมเงินทุนจากพฤกษ์ไปโปะบางส่วนที่กำลังมีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่านอกจากจะสร้างความประทับใจให้วราลีและหลานชายคนนี้ไม่ได้แล้ว พวกเขายังยกหินมาทับขาตัวเองจนร้าวอีก 

                ตุลธรพยายามดึงความคิดกลับมา แม้ว่าใบหน้าจะเจื่อนจนไม่อาจรักษาความสงบได้แล้ว แต่ก็ยังพยายามตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนอบน้อมกว่าปกติ ทั้งยังมีแววพยายามรักษาชื่อเสียงของตนต่อหน้าวราลีด้วย

                “กับพี่กับน้องยังนึกเป็นห่วง ได้ยินแบบนี้ลุงก็ชื่นใจ ว่าจะมาปรึกษาพฤกษ์เรื่องนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้คงไม่สะดวก ไว้หลังมื้อเย็น พฤกษ์มาคุยกับลุงหน่อยแล้วกัน”

                พฤกษ์เลิกคิ้ว สีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะตอบ “วันนี้ผมไม่สะดวก” 

                ตุลธรได้ยินคำตอบก็ชะงักกึก ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก ทั้งๆ ที่ใบหน้ากระตุกเกร็งจนคนมองสังเกตเห็นได้ชัด 

                “ถ้าเรื่องแฟนพฤกษ์ละก็ ลุงขอโทษด้วย ลุงไม่รู้มาก่อนว่าพฤกษ์กำลังคบหากับหนูคนนี้ พวกเราหวังดี อยากให้

พฤกษ์ได้พบคนดีๆ อย่างหนูลูกจันทร์”

                หลังจากที่จบประโยคนี้ แววตาของวราลีพลันเกิดประกายนึกดูแคลนปนสมเพชชายวัยกลางคนคนนี้ขึ้นมาชั่ววูบไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสมองหรือไม่ เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วยังกล้าเอาชื่อของเธอมาอ้างอีก คิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะปลาบปลื้มหรืออย่างไร แบบนี้มันไม่ต่างจากราดน้ำมันเข้ากองเพลิงเลยด้วยซ้ำ 

                มือที่วางอยู่บนตักค่อยๆ กำแน่นขึ้น สุดท้ายวราลีถึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาอยู่ในสนามด้วย เพราะถ้าปล่อยไปมากกว่านี้ ชื่อเสียงของเธอรวมถึงภาพลักษณ์ในใจของชายหนุ่มที่มีต่อเธอต้องมีอันย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน

                เมื่อครู่พฤกษ์พูดออกมาเสียจริงจังขนาดนั้น ในเมื่อตอนนี้น้ำเชี่ยวแรงก็อย่าเอาเรือไปขวาง เรื่องอะไรเธอจะปล่อยให้ตัวเองถูกมองอย่างต่ำค่าเช่นนี้อีก 

                “คุณลุงคุณป้าคะ หนูก็เพิ่งทราบว่าคุณลุงคุณป้าเมตตาหนูขนาดนี้ แต่ว่าความสัมพันธ์ของหนูกับพฤกษ์ เราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ อย่าทำให้พฤกษ์กับน้องปั้นลำบากใจเลยค่ะ เพราะหนูเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน” 

                ประโยคนี้ประโยคเดียวช่วยให้เธอพ้นจากข้อครหาที่เสี้ยมญาติๆ ของพฤกษ์เป็นอย่างดี ทั้งบอกชัดเจนว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ชื่นชมตน ทั้งขีดเส้นบอกสถานะเธอกับเจ้าบ้านชัดเจน ตบท้ายด้วยการให้เกียรติคนรักของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน วราลีก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไปโดยปริยาย 

                แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นความต้องการของเธอเอง วราลีเบนหน้าไปทางคะนึงนิตย์พลางเอ่ยด้วยความเกรงใจและลำบากใจ 

                “น้องปั้น พี่ต้องขอโทษด้วยนะคะ พี่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้น้องปั้นอึดอัด พอได้ยินว่ามื้อนี้จะมีโอกาสได้มาทักทายเพื่อนสนิทของน้องบัว พี่ก็ตื่นเต้นดีใจเกินไป ไม่ทันได้ระวัง ถ้าน้องปั้นไม่พอใจก็บอกพี่ได้เลยนะคะ” 

                ใบหน้าของวราลีในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงถึงความเสียใจ และขอโทษอย่างสุดซึ้ง สำหรับคะนึงนิตย์ ต่อให้เธอพอใจหรือไม่พอใจอย่างไรก็ตาม ก็คงหักหน้าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ เธอจึงเพียงยกยิ้มบางๆ แล้วตอบอย่างสุภาพกลับไป ถึงอีกฝ่ายจะแสดงความต้องการอย่างแจ่มชัดว่าอยากสนิทสนมกับตน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจ คะนึงนิตย์จึงรักษาระยะห่าง ขีดเส้นกั้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวราลีไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว 

                “ไม่เป็นไรค่ะคุณลูกจันทร์ ปั้นไม่ได้คิดมาก”

                พูดจบแค่นี้ คะนึงนิตย์ก็ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรต่อ ดังนั้นวราลีที่เตรียมจะพูดจาหว่านล้อม แสดงถึงความบริสุทธิ์อีกก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจแทน 

                “ขอบคุณค่ะ”

                ตุลธรกับชมนาดถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะรีบพยักหน้าเอ่ยความเห็นออกมา “พฤกษ์ ก็อย่างที่หนูลูกจันทร์ว่า พวกลุงผิดเองที่ไม่ทันดูให้ดี เรื่องนี้ปล่อยผ่านๆ ไปก็แล้วกัน” 

                ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง บนโต๊ะจึงตกอยู่ภายใต้ความเงียบพักหนึ่ง คะนึงนิตย์รับรู้ได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่ไม่มีความสุขของคนรัก มือที่เกาะกุมกันอยู่จึงออกแรงบีบให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว ครั้นสายตาของทั้งคู่สบกัน หญิงสาวจึงมอบรอยยิ้มให้กลับไปเป็นรางวัล ปากที่ปิดสนิทถึงได้ยกโค้งเป็นรอยยิ้ม ร่องรอยบางอย่างพาดผ่านดวงตาคมกริบ สักพักพฤกษ์ก็ทำลายความเงียบงันนี้

                “แต่จริงๆ พูดเรื่องนี้ออกมาแล้วก็ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทันคิด”

                ตุลธรกับชมนาดดวงตาเป็นประกาย เผลอวาดหวังไว้ว่าบางทีหลานชายคนนี้คงยอมฟัง แล้วยื่นมือให้ความช่วยเหลือ 

                กชนันท์กับโมกข์ต่างลอบมองปรึกษากันผ่านสายตา เพราะรู้สึกถึงเค้าลางบางอย่าง เช่นเดียวกับวราลีที่เริ่มรู้สึกเหมือนกันแล้วว่า ท่าทางของพฤกษ์แบบนี้คล้ายว่าเขามีแผนบางอย่างในใจ และแผนการนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เธอคาดหวังแน่นอน

                ส่วนคะนึงนิตย์รู้สึกว่าสิ่งที่พฤกษ์คิดอาจจะเกี่ยวข้องกับตน แม้จะเดาอารมณ์ของเขาในเวลานี้ได้ แต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่อยู่ในหัวหรือแผนการของคนรักคืออะไร สิ่งเดียวที่หวังคือ เขาจะไม่ใช้อารมณ์นำพาและเสียใจทีหลัง 

                “หลานหมายถึงเรื่องอะไรล่ะ” ตุลธรถามอย่างมีความหวัง ดวงตาของชายวัยกลางคนเกิดเป็นประกายขึ้นมา

                “ผมคบกับปั้นแบบนี้คงไม่เหมาะจริงๆ” 

                ชั่ววินาทีนั้น ทุกคนต่างลมหายใจสะดุด หัวใจเกือบกระดอนออกมาจากช่องอก ดวงตาของชายหนุ่มกวาดมองสีหน้าทุกคนอย่างตั้งใจ ก่อนจะหันมาสบสายตากับหญิงสาวข้างตนด้วยแววตาลุ่มลึก พลางทอดเสียงนุ่มพูดต่ออย่างตั้งใจ 

                “ปั้นครับ”

                “...คะ”

                “เรามาหมั้นกันเถอะครับ”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น