ตำรวจไปนานแล้ว แซนด์วิชทูน่ารูปร่างหน้าตาสุดแสนอัปลักษณ์ก็หมดจานไปแล้ว แต่แมคเคนซี่ยังถือมันไว้แล้วกัดทีละคำ เคี้ยวช้าๆ เพราะสติสตังไม่อยู่กับตัวอีกต่อไป เธอไม่รับรู้ว่ารสชาติแซนด์วิชแย่เหมือนหน้าตาหรือเปล่า สิ่งเดียวที่นึกถึงอยู่ตลอดเวลาคือช่วงเวลาแสนหวานแต่ชวนให้สับสนที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ
เดฟจูบเธอ...
เขาอาจไม่เรียกมันว่าจูบ ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แมคเคนซี่รู้ดีว่าจูบไม่มีแค่นั้นแน่ เธอเคย ‘แอบเห็น’ หนุ่มสาวสมัยนี้จูบกันดูดดื่มในที่สาธารณะมาแล้ว ยิ่งตอนที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ นี่ทำเอาแทบทำใจไม่ได้ แต่หลังๆ ก็เริ่มชินเสียแล้ว และเธอรู้ดีว่า ‘จูบ’ จริงๆ เป็นอย่างไร แต่สำหรับเธอแล้ว แค่ตอนที่อยู่กับเดฟเธอก็เรียกว่า ‘จูบ’ แล้ว
แมคเคนซี่เริ่มกระสับกระส่ายทันทีที่คิดมาถึงตรงนี้ ทั้งที่อยากลืม แต่ยิ่งพยายามลืมมากเท่าไร ก็ยิ่งกระจ่างชัดมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าสัมผัสของเขายังติดตรึงไม่จางหาย มิหนำซ้ำตัวก่อเหตุยังนั่งจ้องเธอด้วยดวงตาเป็นประกายแพรวพราวอีกด้วย
“รีบกินเข้าสิแม็กกี้ มัวเหม่ออะไร”
ดวงตากลมโตตวัดขึ้นมองเขาอย่างเอาเรื่อง พลางก่นด่าเขาในใจว่ายังจะมีหน้ามาถาม ในเมื่อเขาน่ะ ‘ต้นเหตุ’ ทั้งหมดทีเดียว
ขโมยจูบแรกของเธอยังไม่พอ ยังจะมีหน้ามาล้อเลียนอีก
คิดไปถึงเหตุการณ์นั้นพลันใบหน้าก็ร้อนวูบ ตอนที่เดฟปล่อยเธอแล้วจูบแก้มจูบหน้าผากเธอต่อ แมคเคนซี่ได้ยินเสียงตำรวจถอนหายใจแล้วบ่นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจว่า ‘เรื่องผัวเมียแท้ๆ’
ตอนนั้นแมคเคนซี่อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เหลือเกิน ขายหน้าต่อหน้าตำรวจไม่พอ คนที่ปั่นจักรยานผ่านมาที่เธอขอความช่วยเหลือยังจะอุตส่าห์ปั่นจักรยานกลับมาดูผลงานที่เป็นคนแจ้งความไปอีกต่างหาก เรียกได้ว่าอายไปทั้งเมืองทีเดียว ป่านนี้คนเขาไม่คิดว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงแกะแถมยังมีรสนิยมวิตถารกับเดฟไปหมดแล้วหรือ
“หรือว่ายังคิดถึงจูบเมื่อกี้” น้ำเสียงล้อเลียนดังขึ้นอีก
แมคเคนซี่ตวัดสายตามองค้อนเขา เห็นสายตากรุ้มกริ่มแล้วก็ต้องกำหมัดห้ามตัวเองไว้ไม่ให้เผลอจิ้มตาเขาไปเสียก่อน
“ไม่ได้คิดถึงเสียหน่อย”
“แล้วทำไมหน้าแดง”
“อยากฆ่าคน” เธอแยกเขี้ยวใส่ ไม่คิดว่าเขาจะกลัวผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธออยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้ไว้ว่าเธอไม่ชอบ
“โอเค ผมอัดเสียงไว้แล้ว ถ้าผมตาย ตำรวจคงไปหาคุณ”
แมคเคนซี่ถอนหายใจแรงๆ ทันทีแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง เธอเริ่มทนความบ้าของเขาไม่ไหวแล้ว “คุณมีโทรศัพท์ไหมคะ”
“จะโทร. หาเรนนี่หรือ”
“ฉันจำเบอร์เรนนี่ไม่ได้หรอกค่ะ แต่จำเบอร์เก้าหนึ่งหนึ่งได้ดีเลยละ” หญิงสาวยิ้มเย็น คิดว่าอย่างน้อยเดฟก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างละ แต่...
“ถ้าตำรวจมาอีกก็ดีเลย ผมจะได้จูบคุณอีก”
“คุณ!”
“ถ้าคุณดื้อ...ผมจูบ”
“ฉันไม่ได้ดื้อ!”
“ถ้าคุณเถียง...ผมจูบ”
แมคเคนซี่เม้มปากทันที เล่นอย่างนี้แล้วเธอจะเถียงอะไรได้ แต่ต่อให้พูดไม่ได้ เถียงไม่ได้ ประณามเขาด้วยวาจาไม่ได้ ขอด่าด้วยสายตาก็ยังดี
“ถ้ามองผมแบบนี้ ผมก็จูบ” เดฟไม่พูดอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังสาธิตด้วยการขยับเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งโอบเอวเล็กแล้วดึงเข้ามาแนบชิดลำตัว อีกมือวางลงบนแก้มนุ่มแล้วเลื่อนไล้ไปช้อนใต้ท้ายทอยหญิงสาว ดวงตาคมกริบเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มลงมาหาอย่างช้าๆ แต่...
แมคเคนซี่เห็นท่าไม่ดีรีบยัดแซนด์วิชรสชาติห่วยแตกใส่ปากเดฟทันทีก่อนที่เขาจะจูบเธอจริงๆ อย่างที่พูด เธอเห็นเขามีสีหน้าตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยอมปล่อยเธอแล้วหัวเราะเสียงดัง
“รู้วิธีเอาตัวรอดเสียด้วย” เดฟคายแซนด์วิชแล้วโยนลงถังขยะที่มุมห้องอย่างแม่นยำ ก่อนหันมายิ้มมุมปาก “ทีนี้ไม่เหลืออะไรแล้วนะทูนหัว”
“ฉันจะดูแฟ้ม” มือบางยกแฟ้มขึ้นจะฟาดใส่หน้าเขา คราวนี้เธอเอาจริงแน่ ถ้าเขารุ่มร่ามกับเธออีก เธอจะฟาดด้วยสันแฟ้มนี่ละ
“ก็ได้ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง “เอาเถอะทูนหัว รีบดูแล้วบอกผมว่าคนไหน” เขาบอกแล้วยิ้มบางๆ
แมคเคนซี่ขึงตาใส่ แล้วพลิกตัวนั่งหันหลังให้เขาทันที ไม่อยากเห็นหน้าตากวนประสาทของเขาอีกแล้ว
เดฟยอมนั่งเฉยๆ ไม่ทำตัวรุ่มร่ามหรือมองเธอด้วยดวงตาวาววับอีก แมคเคนซี่จึงมีสมาธิขึ้น หญิงสาวนั่งพลิกประวัติอาชญากรแต่ละคนอย่างช้าๆ พยายามคิดไปด้วยว่าคนที่ตามเธอหน้าตาอย่างไร มีคนไหนที่คลับคล้ายคลับคลาบ้างหรือไม่ แต่ก็ยังไม่เจอ
“มันเยอะมาก ฉันคงต้องใช้เวลา เพราะฉันก็ไม่เคยหันไปมองหน้าพวกที่ตามฉันจริงๆ จังๆ เลยสักคน” เธอบอกด้วยสีหน้าเครียดๆ คิ้วสวยขมวดมุ่น บรรยากาศแสนหวานเมื่อครู่ไม่หลงเหลืออีกแล้ว มีแต่ความเครียดเข้าปกคลุมคนทั้งสอง
“แต่สองคนล่าสุดที่บาร์นี่จำได้ใช่ไหม” เดฟถาม
แมคเคนซี่พยักหน้า เธอจำบาร์เทนเดอร์คนนั้นได้ รวมทั้งผู้ชายคนที่อยู่กับเอมิลี่เป็นคนสุดท้ายด้วย แต่ที่เธอเริ่มสงสัยคือ...เดฟรู้ได้อย่างไร
“มีอะไรหรือเปล่าแม็กกี้...คิดอะไรอยู่”
“คุณรู้เรื่องที่บาร์ด้วยหรือ” หญิงสาวขมวดคิ้ว
“รู้” ชายหนุ่มพยักหน้า พอเข้าเรื่องงานแล้วเขาก็มีท่าทีเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังมากขึ้น จนเหมือนคนละคนกับคนที่แกล้งเธอเมื่อครู่
“คุณตามฉันไปหรือคะ”
“ใช่...ตั้งแต่ที่คุณหนีออกจากอะพาร์ตเมนต์ตัวเองไปอาศัยอยู่กับเพื่อนแล้วละ” มือหนากร้านหยิบแฟ้มภาพใบหน้าสมาชิกพวกกัสซาโนและพวกเดริตโต สองขั้วมาเฟียที่คุมเขตบรองซ์ และสันนิษฐานว่าเป็นศัตรูกันไว้ แต่ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เล่นงานแมคเคนซี่อยู่ ต่อให้พวกกัสซาโนจะเป็นฝ่ายว่าจ้างเขาก็เถอะ แต่เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“คุณตามฉันตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือคะ”
“ใช่”
“แล้วทำไมไม่ช่วยเอ็ม” แมคเคนซี่ถามเสียงสั่น แม้เรื่องจะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง เธอยังจำความหวาดกลัวสุดหัวใจในช่วงเวลานั้นได้ แล้วเขาอยู่ที่ไหน
“ผมไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนั้นน่ะสิแม็กกี้”
“คุณรู้เรื่องทั้งหมดใช่ไหม” เธอหวังเหลือเกินว่าเขาจะตอบว่าไม่ มันคงจะเจ็บน้อยกว่า เพราะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลย แมคเคนซี่จำวันแรกที่เดฟเข้ามาหาเธอได้ เขาเข้ามาหาเธอเพราะมีจุดประสงค์อื่นเช่นกัน
หญิงสาวก้าวขยับหนีเขาในทันที
“ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรอยู่ก็ตามนะแม็กกี้...”
แมคเคนซี่เงยหน้าขึ้นมองเขา
“ทำตามที่ผมบอกเถอะแล้วคุณจะปลอดภัย” เดฟบอกเสียงเข้มท่าทางจริงจัง
แมคเคนซี่ยังไม่แน่ใจนักว่าจะเชื่อใจเขาดีหรือไม่ และเธอควรจะทำอย่างไรดี
สุดท้ายแล้วแมคเคนซี่ก็ไม่มีทางเลือก เดฟคือคนเดียวที่เธอรู้จัก เธอจึงต้องทำตามที่เขาบอก หญิงสาวใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายในการนั่งดูรูปในแฟ้มภาพว่าใครกันที่สะกดรอยตามเธอบ้าง แต่ก็ไม่มีภาพคนที่สงสัยเลยสักคน และนั่นก็ยิ่งทำให้แมคเคนซี่ยิ่งคิดหนัก เดฟบอกว่าคนพวกนี้คือคนที่เข้าข่ายต้องสงสัย แต่ทำไมกลับไม่มีภาพบาร์เทนเดอร์และผู้ชายที่อยู่กับเอมิลี่คืนนั้น หญิงสาวนั่งดูถึงสองรอบ แต่ก็ไม่พบภาพคนที่สงสัยเลยจริงๆ
“ไม่เจอหรือแม็กกี้” เดฟเดินลงมาจากชั้นบนแล้วถามเสียงเรียบ แต่ดวงตายังฉายแววครุ่นคิดตลอดเวลา
“ไม่เลย แต่ไม่มีภาพของบาร์เทนเดอร์กับผู้ชายที่อยู่กับเอมิลี่คืนนั้น”
“ไม่มีแน่ใช่ไหม”
“คุณไม่เห็นหน้าเขาหรือ” ก็ไหนว่าตามเธอทุกฝีก้าวไง แล้วทำไมเดฟจึงไม่เห็นหน้าสองคนนั้นเล่า
“ผมตามคุณห่างๆ เท่านั้นแม็กกี้ เพราะรู้ว่าคุณถูกตาม เห็นรูปร่างท่าทางฝ่ายนั้นบ้าง แต่เพราะไกลกันมากเลยไม่เห็นรายละเอียดใบหน้าพวกมันไง”
“พวกมันเป็นใครคะ”
“ต้องเจอตัวก่อนถึงจะรู้ ตอนนี้แดเนียลเพื่อนผมกำลังสืบจากกล้องวงจรปิดให้”
“คุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือคะ” แมคเคนซี่ลองเสี่ยงถามไปแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเดฟไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเขาเป็นคนดี กระนั้นเธอก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง เธออยากได้ยินให้อุ่นใจว่าเดฟเป็นคนดีพอที่เธอจะเชื่อใจเขา
แต่ชายหนุ่มก็ยังเงียบ...
“ไว้ได้ภาพมาแล้วผมจะเอามาให้คุณยืนยันอีกที”
“ก็ได้ค่ะ”
“คุณอยากพักหรือเปล่าแม็กกี้” เดฟถามเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แสดงถึงความเอาใจใส่
“ฉันอยากรู้มากกว่าว่าเรื่องทั้งหมดคืออะไร ฉันไม่เข้าใจตั้งแต่ที่คุณพยายามเข้ามาถามฉันเรื่อง...บรูซ” แมคเคนซี่ขมวดคิ้ว พยายามคิดถึงความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับบรูซ รวมไปถึงเรื่องบ้าๆ ที่ตามมาไม่หยุดหย่อนนี้ด้วย
“เรื่องเริ่มจากบรูซและคดีสุดท้ายของเขา”
“คุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือว่าคนที่บรูซว่าความให้กันแน่”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ชายหนุ่มระบายลมหายใจเสียงดังอย่างเครียดๆ แล้วยกมือขึ้นเสยผมที่เริ่มยาว และลูบใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราอย่างครุ่นคิด “ผมยังบอกอะไรคุณไม่ได้มากกว่านี้ แต่ที่ผมอยากรู้คือคุณรู้เรื่องคดีสุดท้ายของบรูซบ้างไหม มีหลักฐานอะไรอยู่ที่คุณบ้างหรือเปล่า”
“ทุกคนลงทุนตามล่าฉันเพราะคิดว่าฉันมีหลักฐานของบรูซแค่นั้นหรือคะ” เธอพบว่าเสียงที่เปล่งออกไปแหลมสูงราวกับไม่ใช่ตัวเองเลย แต่แมคเคนซี่ไม่สนแล้ว เธอไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนที่ตามล่าเธอถึงคิดว่าเธอมีหลักฐานบ้าๆ นั่น และมันคือคดีอะไรกันแน่
“เพราะมีข่าวลือแบบลับๆ ว่าบรูซเลี้ยงผู้หญิงไว้คนหนึ่ง”
“เลยคิดว่าเป็นฉันสินะ” นักศึกษาสาวแค่นเสียงเย้ยหยัน ใช่สินะ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนคิดว่าจะต้องเป็นเธอ เพราะแม้แต่เพื่อนในวิทยาลัยยังคิดว่าเธอเป็นเมียเก็บชายแก่คราวพ่อเลย
“คุณอยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกับเขา มันเกินกำลังนักศึกษาธรรมดาที่ไม่ได้ทำงานพิเศษใดๆ เลยจะพักอยู่ในย่านหรูแบบนั้นได้”
“คุณก็คิดด้วยใช่ไหม” แมคเคนซี่มีสีหน้าผิดหวัง
“แต่นั่นมันก่อนที่จะได้รู้จักคุณ”
“ฉันสนิทกับบรูซเพราะเขาเหมือนพ่อของฉัน เวลาที่ฉันมีปัญหาเขาจะเป็นคนแรกที่ช่วยคิดช่วยแก้ไขเสมอเพราะเขาไม่มีลูก และเขาก็อยากมีลูกมาก ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนบ้านกัน และฉันก็รับจ้างทำความสะอาดห้องให้เขาแลกกับการที่เขาหาหนังสือดีๆ ให้ฉันอ่านก็เท่านั้นเอง”
“คุณไม่รู้อะไรเลยหรือ เขาไม่พูดอะไรให้ฟังบ้างเลยหรือ”
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวตอบเสียงสั่น สองขาหมดเรี่ยวแรง เธอเคยอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงสะกดรอยตามเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าพอรู้ความจริงทั้งหมดแล้วจะรู้สึกแย่ได้ถึงขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลังจากคนที่ครั้งหนึ่งเคยทำลายกำแพงหนาในใจจนเธอเริ่มรู้สึกดีด้วย ก่อนจะถูกเขาแทงข้างหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเธอเชื่อใจเขาเอง
เรนนี่เคยบอกให้เธอลองเปิดใจศึกษาผู้คนใหม่ๆ ที่เข้ามาบ้าง เธอก็ลองแล้ว และพบว่าโลกช่างโหดร้ายเหลือเกิน สู้ปิดประตูกั้นตัวเองไว้ให้อยู่เพียงแค่ในโลกส่วนตัวของเธอจะดีกว่า
“ผมต้องทำอะไรสักอย่าง คุณอยู่คนเดียวสักสองสามชั่วโมงได้ไหมแม็กกี้ ผมจะรีบไปรีบมา”
“ตามสบายค่ะ” เธอจะไม่หนีไม่คิดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เธอไร้เรี่ยวแรงจนอยากจะนอนหลับไปยาวๆ ภาวนาให้นี่เป็นแค่ฝันและเธอก็ตื่นขึ้นมาในวันใหม่ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองเสียที
“อย่าเปิดประตูให้ใครทั้งนั้น”
“ค่ะ” นักศึกษาสาวพยักหน้าแต่โดยดี
“แม้แต่ผมจะเป็นคนบอกก็เถอะ”
“แต่...”
“ผมมีกุญแจสำรองไปด้วย ถ้าผมกลับมาผมจะไขเข้ามาเอง แต่ถ้ามีคนเรียกอย่าเปิดเด็ดขาด”
“ค่ะ”
“ถ้ามีอะไรผิดปกติ คุณต้องรีบซ่อนตัวทันทีรู้ไหม ถ้ามีคนบุกรุก คุณต้องรีบออกไปทางประตูด้านหลังแล้วรีบขึ้นเหนือไปอีกสองบล็อกจะเจอบ้านหลังสีเขียว บ้านของโจนาธาน”
“ที่นี่เออร์วิงตันหรือคะ” แมคเคนซี่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อโจนาธาน ที่แท้ที่นี่ก็แค่เขตชานเมืองนิวยอร์กนี่เอง แต่ทำไมเดฟไม่ยอมบอกเธอ
“ใช่”
“ตกลงค่ะ”
“แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องใดๆ เลยจะดีที่สุด ผมจะรีบกลับมาหาคุณ” เดฟลุกขึ้น เดินไปคว้าแจ็กเกตหนังและกุญแจรถคามาโรวางอยู่บนเคาเตอร์บาร์หน้าห้องครัว แล้วเดินกลับมาหาแมคเคนซี่ ก่อนออกไปยังมิวายจูบหน้าผากเธอแรงๆ อีกครั้ง
“คุณจะไปไหนคะ”
“ไปจัดการเรื่องบ้าๆ นี่น่ะสิ ผมจะรีบกลับมา ผมสัญญา” ปลายนิ้วกร้านไล้ไปบนแก้มนวลเบาๆ เขายิ้มเครียดๆ แล้วออกจากบ้านไป
...
เดฟก้าวขึ้นมาบนรถคามาโรแล้วติดต่อหาดิเอโกอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม พวกกัสซาโนเงียบหายไปราวกับหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว ทั้งที่ปกติแม้จะติดต่อกันไม่ได้ แต่ดิเอโกจะมาคอยตามความคืบหน้าเรื่องที่ว่าจ้างเขาไว้เสมอ แต่นี่ไม่มีใครเลย ทั้งดิเอโกและลอเรนโซ เดฟไม่เจอใครเลย และไม่รู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆ จากเขตบรองซ์ด้วย
“บ้าเอ๊ย!” เดฟสบถเสียงเข้มอย่างหงุดหงิด เขาเปลี่ยนใจโทร. หาแดเนียล จากที่ตั้งใจรบกวนให้เพื่อนช่วยแค่ครั้งเดียว แต่ทำไปทำมาดูเหมือนว่าจะต้องช่วยกันไปจนจบเสียแล้ว ดีไม่ดีเขาต้องแบ่งค่าแรงให้เพื่อนด้วย
“ว่าไงเดฟ”
“ฉันติดต่อ ดิเอโก เดรอตติ ไม่ได้”
“ใครนะ”
“ดิเอโก เดรอตติ ไง” ทหารรับจ้างหนุ่มเริ่มหงุดหงิด
“เอาละเพื่อน ฉันคิดว่าบางทีนายอาจจะโดนหลอกนะ แต่ฉันจะไปดูให้”
“แล้วโทร. บอกฉันด้วยถ้านายไปถึงบ้าน ‘เจ้านาย’ ฉันแล้วน่ะ”
“ตามนั้น”
เดฟวางสาย เก็บโทรศัพท์แล้วหันกลับไปมองที่ตัวบ้านอีกครั้ง เห็นแมคเคนซี่ยืนมองเขาอยู่ตรงหน้าต่าง เพียงแค่เห็นแววตาหม่นเศร้าของเธอ เดฟก็สงสารขึ้นมาจับใจ
แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่เขาคิดว่าตัวเองรู้จักแมคเคนซี่ในระดับหนึ่ง ภายนอกเธออาจจะดูเย็นชา ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุก็จริง แต่เมื่อรู้จักกันไปสักพักเขาก็เริ่มเปลี่ยนความคิด ความเย็นชาที่เห็นเป็นแค่เกราะป้องกันตัวเองจากโลกภายนอกอันแสนโหดร้ายของเธอต่างหาก เนื้อแท้แมคเคนซี่ก็ยังเป็นแค่หญิงสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง แต่คงไปเจอเรื่องร้ายอะไรมาจึงปิดกั้นตัวเองไปทุกอย่าง ดูอย่างตอนที่เธอถูกเขาลักพาตัวมาถึงใหม่ๆ นั่นปะไร ทั้งดิ้นทั้งร้อง ทั้งพยศทั้งดื้อดึงเสียยิ่งกว่าเด็กเล็กๆ แต่พอเธอรู้ความจริงทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่เขาเข้าไปตีสนิทกับเธอด้วย หญิงสาวที่เคยสดใสน่ารักก็หายไป ราวกับว่าเธอกำลังเจ็บปวดเพราะการทรยศหักหลังของเขา
และแมคเคนซี่ที่แสนเย็นชาก็กลับมา
เดฟจำแววตาที่ไหวระริกไปด้วยความหวาดกลัวของเธอในยามที่เขาบอกว่าจะไม่อยู่ด้วยได้ เมื่อครู่ก็อีก แมคเคนซี่ดูเยือกเย็นมากก็จริง แต่ความรู้สึกลึกๆ ทั้งหมดล้วนแสดงออกมาทางสายตา และนั่นก็ทำให้เดฟยิ่งอยากปกป้องเธอให้มากกว่านี้ อยากให้แมคเคนซี่กลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกครั้ง
ทหารรับจ้างหนุ่มละสายตาจากหญิงสาวร่างบอบบางที่ยืนส่งเขาตรงหน้าต่าง แล้วรีบตรงไปยังจุดหมาย ซึ่งจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่บ้านของพวกกัสซาโน
แมคเคนซี่ยืนมองคามาโรสีดำของเดฟแล่นจากไปจนลับสายตา
เมื่อเดฟไปแล้ว หญิงสาวจึงเดินไปล็อกประตูบ้านและกลับมานั่งบนโซฟา เปิดแฟ้มภาพอาชญากรขึ้นดูอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้จะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อย่างหนึ่งที่เธอรู้เลาๆ คือเพราะทุกคนคิดว่าเธอคือเมียเก็บของบรูซ คิดว่าเธอต้องรู้เรื่องคดีสุดท้ายที่บรูซทำค้างไว้บ้าง จึงมาตามล่าเธอเพื่อหาหลักฐานสำคัญ
นักศึกษาสาวยังจำได้...บรูซเป็นทนายที่ดี เขาไม่สนว่าจะต้องทำคดีให้เฉพาะคนรวยหรือคนมีเงินเท่านั้น แต่เขารับทำคดีให้ทุกคนจริงๆ โดยเฉพาะพวกอาชญากร บรูซชอบคดียากๆ เพราะถือเป็นการท้าทายความสามารถ ตอนที่เธอรู้จักเขาใหม่ๆ เธอยังเคยเตือนเขาว่าอันตราย ถ้าเป็นที่ประเทศไทยบรูซคงถูกอุ้มไปเผานั่งยางไปแล้ว แต่บรูซกลับหัวเราะและยืนยันว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นยุติธรรมเสมอ บรูซเชื่ออย่างนั้น และเขาก็ยืนกรานที่จะทำงานต่อไป
คิดถึงบรูซแล้วเธอก็อดคิดถึงเอมิลี่ไม่ได้ คนที่เธอรักและผูกพันค่อยๆ จากเธอไปทีละคน แม้แต่คนที่เธอเคยรู้สึกดีด้วยก็พากันทรยศเธอทุกคน แมคเคนซี่ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เธอจะเชื่อใจใครได้อีกหรือไม่ ใจหนึ่งเธออยากเชื่อเดฟ อยากเชื่อว่าทั้งน้ำเสียงและสายตานั้นคือความจริง อยากเชื่อว่าเขาปรารถนาดีต่อเธอจริงอย่างที่เขาพูดออกมา แต่เธอจะเชื่อใจคนที่เคยทรยศเธอได้อย่างไร
ร่างบอบบางล้มตัวลงนอนบนโซฟาเบดอย่างเหนื่อยอ่อน พอจะหลับตาลงเท่านั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
แวบแรกเธอคิดว่าเป็นเดฟ เขาอาจจะลืมของสำคัญก็ได้ แต่เมื่อมาคิดดีๆ เดฟบอกว่าเขามีกุญแจและจะไขเข้ามาเอง และไม่ให้เธอเปิดประตูรับใครเด็ดขาดแม้แต่ตัวเขา
นักศึกษาสาวลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปซ่อนตัวหลังเคาเตอร์บาร์ตรงหน้าครัวทันที เสียงเคาะประตูยังดังต่อไปเรื่อยๆ สักพักก็เงียบลง
หญิงสาวค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์บาร์อย่างช้าๆ ดวงตากลมโตมองไปที่หน้าต่างเป็นที่แรก แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนบุกรุกคือใคร
บาร์เทนเดอร์กับผู้ชายที่อยู่กับเอมิลี่ในคืนนั้น!
“ออกมาดีกว่าสาวน้อย อย่าให้ต้องใช้กำลังเลยดีกว่า อยากตายเหมือนเพื่อนหรือไง!” ชายที่อยู่กับเอมิลี่คืนนั้นพูดขึ้นน้ำเสียงเยือกเย็น ทำเอาหญิงสาวขนลุกเกรียวด้วยความหวาดกลัว
แมคเคนซี่ใจหายวาบ เดฟเพิ่งจะออกไปไม่นานนี่เอง และเขาก็บอกว่าจะไปอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมง ดังนั้นเขาคงไม่กลับมาในเร็วๆ นี้แน่นอน
ความคิดเห็น |
---|