20

ตอนที่ 20


                เดฟสบถสาบานอย่างดุเดือดแล้วรีบขี่ไทรอัมพ์ แสครมเบลอร์ออกไปทันทีอย่างไม่ต้องคิดอะไรกอ แม้ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร แต่เขาจะปล่อยให้แมคเคนซี่อยู่ในมือคนพวกนั้นหรือ เธอคงไม่แคล้วต้องมีจุดจบอย่าง บรูซ เกรย์สัน กับ แบรนดอน เชลเลอร์ แน่นอน ซึ่งเขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้

เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนเป็นสัญญาณว่าเดฟพยายามติดต่อแมคเคนซี่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับสาย หญิงสาวนั่งอยู่บนรถบัสเพื่อกลับแมนฮัตตัน และเธอก็จะไปต่ออย่างที่เคยนัดกับเรนนี่ไว้ว่าจะไปเที่ยวสุดสัปดาห์ด้วยกัน นานเข้าก็เริ่มรำคาญจึงตั้งค่าปฏิเสธสายโทร. เข้าของเดฟทั้งหมด จากนั้นก็พยายามโทร. หาพ่อที่ไม่เคยติดต่อกันมานาน แม้ว่าจะไม่สนิทกันเลย แต่อย่างน้อยพ่อก็เป็นญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเธอ

                แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย...

                แมคเคนซี่ถอนหายใจ มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ข้าวของส่วนใหญ่ยังอยู่กับเดฟ ที่ขึ้นรถมาได้ก็เพราะผู้หญิงผมบลอนด์ที่พาเอฟบีไอมาที่บ้านเดฟคนนั้นให้ความช่วยเหลือ

                เดิมทีการมาถึงของเอฟบีไอทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อเดฟลดน้อยลงจนน่าใจหายมากพอแล้ว แต่การมาถึงของเพื่อนเขาทำให้เธอตัดสินใจได้ในที่สุด

                เธอได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูด ได้ยินเต็มปากเต็มคำว่าเดฟทำงานให้พวกอาชญากรจริงๆ แต่แมคเคนซี่พบว่าตัวเองไม่เสียใจอีกต่อไปแล้ว เธอเสียใจตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าเดฟโกหก เข้ามาใกล้ชิดเธอเพียงเพราะต้องการสืบหาบางอย่างเท่านั้น ดังนั้นเมื่อรู้ความจริงว่าเขาทำงานให้อาชญากร เธอจึงไม่เสียใจเท่าไร ตอนนี้ใจเธอด้านชาเสียแล้ว

                แมคเคนซี่ไม่รู้ว่าจะยังมีใครตามล่าเธออยู่อีกหรือไม่ ถ้าหนีไปแล้วจะมีใครตามเจอหรือเปล่า จะพวกของเดฟก็ดี หรือพวกคนร้ายก็ดี เธอไม่สน เพราะเธอเหนื่อยเต็มทีแล้ว

                หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่เริ่มเข้าสู่ความเจริญของเมืองใหญ่ ตึกรามบ้านช่องหนาตา แม้ว่าเพิ่งจะมาอยู่แมนฮัตตันไม่นาน แต่ก็รู้สึกราวได้กลับบ้านก็ไม่ปาน นั่นอาจจะเป็นเพราะเธอเหนื่อยกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้เต็มที ดังนั้นสิ่งเดียวที่ต้องการก็คือการได้พักผ่อนในห้องเล็กๆ และหลับตานอนได้อย่างสนิทใจเสียที

                “บอกมาสักทีเถอะว่าไอ้เรื่องบ้านี่มันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่!” ทหารรับจ้างหนุ่มโวยใส่หน้าดิเอโกอย่างหมดความอดทน หลังจากที่ตามหาแมคเคนซี่จนทั่วทั้งเมืองแต่ก็หาไม่เจอ เธอไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากโจนาธานหรือจากตำรวจ และเมื่อถามใคร ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นเธอเลย แต่ที่น่าโมโหกว่านั้นคือเมื่อกลับมาเค้นถามดิเอโก เพราะจำได้ว่าลอเรนโซเคยขอร้องให้เขาดูแลแมคเคนซี่ให้ดี คนพวกนี้ติดค้างบางอย่างกับเธอ แต่ไม่ว่าจะถามอย่างไรดิเอโกก็ไม่บอก รวมทั้งไม่บอกเรื่องเกี่ยวกับคดีที่บรูซทำด้วย

                ดิเอโกยังนิ่ง ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ราวกับต้องการทดสอบความอดทนของเดฟก็ไม่ปาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เดฟระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างที่เห็น

                “ใจเย็นสิวะ” แดเนียลปรามเพื่อน

                “ถ้าไม่บอกก็เอาเงินค่าจ้างคืนไป คุณก็กลับไปรายงานเจ้านายคุณเองก็แล้วกัน!” ทหารรับจ้างหนุ่มยื่นคำขาด เขารับงานมาจริง รับเงินค่าจ้างมาแล้วด้วย แต่ถ้าเจอนายจ้างแบบพวกกัสซาโนที่ไม่บอกกล่าวอะไรเลย ให้เขาคลำทางในความมืด ซ้ำยังทำให้แมคเคนซี่ของเขาหายไปอีก เงินค่าจ้างพวกนี้ก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะต่อไปนี้เขาจะตามหาเธอ และทำเพื่อเธอโดยไม่ฟังคำสั่งและไม่รั้งรอใครอีกต่อไป

                หลังจากระเบิดอารมณ์ไปแล้ว เดฟก็ก้าวออกจากบ้านทันที

                “จะเลิกจริงๆ หรือวะ” แดเนียลตามมาติดๆ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะรู้ว่าเพื่อนกำลังอารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกว่าตัวเองเริ่มสนใจเงื่อนงำพวกนี้เสียแล้ว

                “เออ”

                “แล้วนายจะไปไหนวะ”

                “ตามหาแม็กกี้ไง” เดฟตอบ ขึ้นคร่อมไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์เตรียมจะขับออกไป แต่ดิเอโกยอมเปิดปากเสียก่อน

                “แม็กกี้เป็นลูกสาวของวิลเลียม กรีน ทนายที่ทำงานให้เราตั้งแต่ต้น และถูกฝ่ายตรงข้ามเก็บก่อนหน้า บรูซ เกรย์สัน เพียงไม่นาน”

                อดีตนักบินไนต์สตอล์กเกอร์ชะงักไปในทันที ยอมรับว่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าความจริงที่ได้รู้จะเป็นแบบนี้ ที่ลอเรนโซขอร้องให้เขาดูแลคุ้มครองเธอมีสาเหตุอย่างนี้นี่เอง

                “หมายความว่าที่เธออยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกับเกรย์สัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม”

                “ไม่”

                “เธอรู้หรือยังว่าพ่อเธอตายไปแล้ว”

                คราวนี้ดิเอโกส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดต่อไปว่า “เราปิดข่าวนี้เพราะเกิดเรื่องที่บรูซขุดคุ้ยอะไรบางอย่างได้และถูกตามล่าเป็นรายต่อไป”

                “จากใคร”

                “คิดว่าพวกเราจะฆ่าคนที่จะช่วยเราทิ้งทำไม” ดิเอโกบอกเสียงเครียด ดวงตาเป็นประกายวาววับแสดงออกถึงความเคียดแค้น

                เพียงแค่นี้เดฟก็รู้แล้วว่าฝีมือใคร เขาหันไปหาแดเนียลแล้วพยักหน้า เชื่อว่าเพื่อนต้องรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

                “คุณไปจัดการเรื่องแบรนดอนเถอะ ไม่ต้องห่วงแม็กกี้ ผมจะไปตามเธอเอง” ชายที่เปรียบดังมือขวาของมาเฟียเสนอ

เดฟยังไม่ตอบรับในทันที เขาสบตากับเพื่อน เห็นประกายบางอย่างจากแววตาของแดเนียลจึงตอบตกลง

                “ได้สิ ผมกับแดนจะไปสลีปปี ฮอลโลว์ ฝากแม็กกี้ด้วย”

                “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะดูแลเธออย่างดี” ดิเอโกให้คำมั่นแล้วแยกตัวออกไปทันที

                “นายแน่ใจหรือว่าจะปล่อยให้ตาลุงหน้าเหี้ยมนั่นตามแม็กกี้ของนายไป” หนุ่มแว่นถามขึ้นหลังจากเดินออกไปดูข้างนอก ใช้เวลาพอสมควรจนแน่ใจว่าฝ่ายนั้นไปแล้วจริงๆ จึงหันกลับมาหาเพื่อน

                “ไม่”

                “ก็นายบอกเองว่า...”

                “นายไปสลีปปี ฮอลโลว์คนเดียวได้ใช่ไหมแดน”

                คนถูกถามใช้ปลายนิ้วชี้ดันแว่นให้ขึ้นไปอยู่บนดั้งจมูกตามเดิมแล้วยักไหล่ “ถึงเวลานี้ก็ต้องได้ละวะ”

                “ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นแหละ”

                “ดีที่นายคิดแบบนี้”

                “ถ้าอย่างนั้นก็แยกกัน ฉันจะติดต่อนายเรื่อยๆ”

                “งั้นก็เอานี่ไป” แดเนียลรื้อกระเป๋าเป้อยู่สักครู่ก็ยื่นอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมแบบที่ใช้ในกองทัพและหูฟังแบบอินเอียร์ให้เดฟ

                “ขอบใจ”

                “ไม่ต้องดีใจไป เลี้ยงเหล้าด้วยแล้วกัน”

                “รู้แล้วน่า เดินทางดีๆ ล่ะ” อดีตนักบินไนต์สตอล์กเกอร์บอกเพื่อน

                “เออ...นายก็ด้วย ดูแลแม็กกี้ของนายให้ดี”

                เดฟพยักหน้ารับ รอจนเพื่อนออกไปแล้วเขาจึงตรวจสอบของที่ต้องใช้อีกครั้ง ทั้งอาวุธปืนและเครื่องกระสุน อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและอาหารที่ให้พลังงานสูง เครื่องมือสื่อสารและแบตเตอรี่สำรอง ทดสอบเครื่องมือสื่อสารดาวเทียมกับแดเนียลที่ออกไปไกลแล้ว ฝ่ายนั้นอยู่บนถนนที่ขนานกับแม่น้ำฮัดสันมุ่งหน้าสู่เมืองสลีปปี ฮอลโลว์ เมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เดฟก็ก้าวออกจากบ้าน

                “จะไปไหนวะ” โจนาธานโผล่มาขวางไว้พอดี แล้วกวาดสายตามองเดฟที่แบกเป้ทหารใบใหญ่ไปด้วย

                “แม็กกี้หายไป”

                “หายไปไหน!

                “นั่นแหละที่นายต้องหาให้ได้”

                “อ้าว โจนาธานทำหน้าเหลอ เพิ่งมาถึงแท้ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง กลับต้องรับหน้าที่หาข่าวว่าแมคเคนซี่อยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ

                “เธอกลับไปหาเรนนี่ที่แมนฮัตตันแน่ๆ แต่เธอต้องรู้ว่าฉันจะให้นายถามผ่านทางเรนนี่ สิ่งที่นายต้องทำคือบอกให้เรนนี่ถ่วงเวลาแม็กกี้ไว้ถ้าไม่อยากให้เธอตาย”

                “นี่มันเรื่องอะไรวะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของผู้มาใหม่ก็ซีดเผือด “นี่ถึงขั้นตายเลยหรือวะ”

                “เออ ช่วยหน่อย บอกเรนนี่ยังไงก็ได้ ถ่วงเวลาแม็กกี้ไว้ แล้วรีบบอกฉัน เข้าใจไหม”

                “เออๆ” โจนาธานรับคำอย่างงงๆ

                “ขอบใจว่ะ” เขาตบบ่าเพื่อนแล้วก้าวขึ้นรถก่อนจะขี่ออกไป ทิ้งให้โจนาธานยืนอึ้งอยู่สักพักกว่าจะตั้งสติได้ แล้วรีบกดโทรศัพท์โทร. หาเรนนี่ทันที

                “มีอะไรหรือเปล่าเรนนี่” แมคเคนซี่ถามทันทีที่เรนนี่วางสาย สีหน้าของสาวชาวจีนราบเรียบเป็นปกติ ไม่แสดงพิรุธใดๆ แต่กระนั้นท่าทีกระตือรือร้นที่จะไปเที่ยวก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

                “เพื่อนน่ะ โทร. มาบอกว่าจะไปด้วย แต่ว่าให้รออีกหน่อย กำลังเดินทางมาจ้ะ”

                “เพื่อนคนไหนหรือ” เธอรู้ว่าเรนนี่มีเพื่อนร่วมทุนรัฐบาลจีนมาเรียนอีกหลายคน แต่ก็ไม่เห็นเรนนี่จะคบหากับใครเป็นพิเศษ วันๆ ก็ขลุกอยู่แต่กับพวกเธอ

                “เพื่อนที่ได้ทุนนี่แหละแม็กกี้ กำลังมา ใกล้ถึงแล้วจ้ะ น่าจะอีกสักชั่วโมง”

                “เราไปรอที่โน่นไม่ได้หรือ”

                “ไปด้วยกันดีกว่า เพื่อนฉันเป็นผู้ชาย อย่างน้อยก็มีคนดูแลนะ”

                “เอาอย่างนั้นหรือ” แมคเคนซี่ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ปกติแล้วเรนนี่ไม่ใช่คนโกหก และอีกอย่างก็เพราะเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนสาวชาวจีนคนนี้นิ่งมาก จึงได้แต่พยักหน้าแล้วรอตามที่เรนนี่บอก

                ระยะทางจากเออร์วิงตันไปสลีปปี ฮอลโลว์ใกล้กว่าไปแมนฮัตตัน บวกกับความเร็วของบิ๊กไบค์ที่ทะยานไปราวกับติดปีก ทำให้ใช้เวลาเพียงแม่นานก็มาถึงสลีปปี ฮอลโลว์ แดเนียลตรงไปยังบ้านภรรยาของแบรนดอนทันทีเพราะรู้เป้าหมายแล้วว่าอยู่ตรงไหน

                แดเนียลจอดรถ มองบ้านทรงสี่หลี่ยมสองชั้นสีไข่ไก่ตรงหน้า คงไม่ดีแน่ถ้าจะตรงเข้าไปเคาะประตูบ้าน ฉีกยิ้มแล้วถามถึงเรื่องการตายของสามีเจ้าของบ้าน แต่...จะมีอย่างอื่นอีกหรือไง

                อดีตพลสื่อสารหนุ่มยักไหล่ อย่างไรเสียเขาก็ปลอมเป็นพวกนักขายประกันหรือคนขายคัมภีร์ฉบับตีพิมพ์ใหม่ไม่ได้ ในเมื่อแต่งตัวเหมือนพวกแก๊งสเตอร์ในนิวยอร์กเสียขนาดนี้ ไหนจะหน้าตาที่เต็มไปด้วยหนวดเครานี่ก็อีก เอาเป็นว่าเดินเข้าไปหาแล้วเคาะประตูถามเข้าประเด็นเลยแล้วกัน

                คิดได้ดังนั้นจึงเดินไปที่หน้าประตูบ้านและยกมือขึ้นจะกดสัญญาณที่หน้าประตู แต่ประตูกลับเปิดออกเสียก่อน ผู้หญิงผมน้ำตาลแดงคนหนึ่งมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

                “ผมมาหาคุณนายเชลเลอร์”

                “ฉันนี่แหละ” ภรรยาของ แบรนดอน เชลเลอร์ ตอบกลับมา แล้วกวาดสายตามองผู้มาเยือนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า “ฉันไม่รู้จักคุณ”

                “ผมก็ไม่รู้จักคุณครับ แต่อยากรู้จักและมีเรื่องสำคัญ”

                “คงไม่ใช่เพราะหลงรักฉันใช่ไหม”

                “นั่นไม่ใช่แน่นอนครับ” แดเนียลยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ภรรยาผมคงตัดไอ้หนูผมโยนให้ลูกชายของเธอกิน...ผมหมายถึงแมวน่ะ แต่...ก็ยอมรับเถอะครับคุณนายเชลเลอร์ คุณน่ะมีเสน่ห์มาก”

                “ฉันไม่ได้บ้ายอขนาดนั้น”

                “ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะครับ”

                “เข้าเรื่องเถอะ ก่อนฉันจะหมดความอดทนแล้วเรียกตำรวจมาลากคอคุณไปซะ”

                “ใจเย็นๆ นะครับคุณนายเชลเลอร์ ผมแค่อยากคุยกับคุณแบบสบายๆ”

                “เรื่องการตายของสามีฉันใช่ไหม”

                “ครับ”

                “เข้ามาสิ” เธอยอมเปิดประตูให้แล้วพยักหน้าอนุญาตให้เขาเข้าไปในบ้าน

                แดเนียลรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง...เป็นต้นว่าทำไมคุณนายเชลเลอร์ถึงรู้ว่าเขามาถึงแล้ว ทั้งที่เขาก็ไม่ได้จอดรถหน้าบ้านเธอเสียหน่อย แต่จอดระหว่างบ้านของเธอกับบ้านที่อยู่ติดกัน ไหนจะท่าทางไม่เป็นมิตรในตอนแรกนั่นก็อีก แต่คุยไปคุยมาก็ชวนเขาเข้าบ้านเฉยเลย จะว่าเพราะเธอพอใจกับคำชมเรื่องเสน่ห์แรงก็ไม่น่าใช่ ผู้หญิงที่เพิ่งเสียสามีไปไม่นานและยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทำไมถึงยอมเชื้อเชิญผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้าบ้านเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นเยินยอเรื่องเสน่ห์ของเธอ

                “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “ไม่มีครับ” แดเนียลตอบยิ้มๆ ใช้ปลายนิ้วดันแว่นให้เข้าที่ เดินสองมือล้วงกระเป๋าเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางกวนๆ แต่ความจริงแล้วเขากำลังกำด้ามมีดพับขนาดเล็กที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเตรียมตัวรับ การจู่โจม’ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

                ภายในบ้านของคุณนายเชลเลอร์เงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ มีเพียงโทรทัศน์ที่เปิดรายการเกมโชว์ชื่อดังของอเมริกา มีรูปครอบครัวที่ถ่ายร่วมกัน แดเนียลรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่มีลูกด้วยกันหนึ่งคน เป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะราวๆ ห้าขวบน่าจะได้

                “ลูกคุณไม่อยู่หรือครับ” แดเนียลถามยิ้มๆ ทั้งที่มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ

                แล้วก็จริงดังคาด เพียงแค่ถามถึงเรื่องลูก ภรรยาของแบรนดอนก็หน้าซีดลงทันที กระนั้นก็ยังพยายามฝืนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนว่าตบตาแดเนียลไม่ได้

                “แกไม่อยู่น่ะ...เข้าเรื่องเถอะค่ะ” เธอเดินไปรินน้ำให้ แต่สองมือกลับสั่นจนควบคุมไม่ได้

                “ผมอยากทราบว่าสามีคุณตายยังไง”

                “อุบัติเหตุไงคะ ฉันคิดว่าคุณรู้แล้วเสียอีก”

                “ครับ...แล้วคุณรู้เรื่องงานของเขาบ้างไหมครับ” แดเนียลหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋า แล้วเขียนข้อความ พวกมันอยู่ที่นี่ใช่ไหม ถ้าใช่...ให้ส่ายหน้า’ จากนั้นจึงส่งให้ภรรยาของแบรนดอน

                “ฉันไม่รู้หรอกค่ะ” คุณนายเชลเลอร์ส่ายหน้า “แบรนเขาไม่ค่อยบอกอะไรเลย เขาไม่อยากให้ลูกเมียไม่สบายใจค่ะ”

                “คุณพอจะรู้จักเพื่อนคนอื่นของเขาบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วชี้ดันแว่นขึ้นแล้วเขียนลงกระดาษอีกครั้ง มันอยู่ตรงไหน

                “พอจะรู้ค่ะ”

                “ช่วยเขียนที่อยู่ของเขาให้ผมที” แดเนียลขยิบตาให้

                “ได้ค่ะ” ภรรยาของแบรนดอนเขียนว่า ในห้องนอนชั้นบน’ แล้วส่งกลับมา

                แดเนียลพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากครับ ผมลาละ”

                “ฉันไปส่งค่ะ” เจ้าของบ้านกล่าวอย่างเอื้อเฟื้อ ผิดกับตอนแรกลิบลับ แต่แดเนียลรู้ดีว่านั่นเป็นเพราะเธอเห็นเขาเป็นทางรอดทางเดียวแล้ว เขาจึงพยักหน้าบอกให้ภรรยาของแบรนดอนออกไปรอนอกบ้าน มิวายที่เธอจะปฏิเสธเพราะห่วงลูก อยากเห็นกับตาตัวเองว่าลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่แดเนียลยืนยันหนักแน่นว่าจะจัดการให้ เธอจึงยอมล่าถอยออกไปในที่สุด

                แดเนียลค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบกริบ เขาหลีกเลี่ยงการใช้ปืนเพราะเป็นที่ชุมชน แต่ก็ไม่วางใจว่าพวกไหนกันแน่ที่เข้ามาคุกคามภรรยาของแบรนดอน จึงไม่ประมาท ประสาทสัมผัสตื่นตัวพร้อมสำหรับการรับมือเสมอ

                แม้ว่าชั้นบนของตัวบ้านจะเงียบมาก แต่แดเนียลก็ยังได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ออกมาจากห้องนอน จึงค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างเงียบกริบ มือกระชับมีดพับอีเมอร์สันไว้มั่น แล้วลองผลักประตูเข้าไป

                “หยุด!

                ผู้ชายตัวใหญ่หน้าเหี้ยมไว้หนวดเครารุงรังคนหนึ่งจับเด็กไว้จริงอย่างที่คิด ทันทีที่เห็นแดเนียล ฝ่ายนั้นก็กระชากเด็กเข้ามาในอ้อมแขนทันที

                เอาเด็กเป็นตัวประกันเป็นอะไรที่น่ารังเกียจที่สุด!

                ไม่จำเป็นต้องเจรจาอะไรกับพวกใจอำมหิตอย่างนี้แล้ว แดเนียลขว้างมีดไปปักบนไหล่ของคนร้ายอย่างแม่นยำ คนร้ายร้องลั่นราวกับถูกเชือด ความเจ็บปวดทำให้คนร้ายจำต้องปล่อยเด็กไปแล้วกุมแผลแทน

                “รีบลงไปหาแม่ซะไอ้หนู” แดเนียลสั่งแล้วรีบหันไปหาคนร้ายที่กำลังจะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง เขาตามไปรั้งคอเสื้อคนร้ายไว้แล้วดึงให้กลับเข้ามาในบ้าน และเหวี่ยงร่างคนร้ายไปอัดกับผนังเต็มแรง

                “แกเป็นใคร” แดเนียลถามเสียงเหี้ยม

                “ไม่ใช่ธุระของแก!” คนร้ายตอบพร้อมกับเหวี่ยงหมัดหวังจะซัดเข้าเบ้าตาแดเนียล แต่ทหารเก่าอย่างเขาหรือจะมองไม่ออก แดเนียลยกแขนขึ้นตั้งรับแล้วชิงต่อยสวนไปอย่างแรง จนคนร้ายหน้าหงายศีรษะชนกับผนัง

                พลั่ก!

                น้ำหนักหมัดแรงพอควรจนคนร้ายหัวแตกในทันที แดเนียลก้าวเข้าไปกระชากคอเสื้อคนร้ายขึ้นหวังจะเล่นงานต่อ แต่ฝ่ายนั้นกลับต่อยสวนมาเต็มแรงจนแดเนียลต้องปล่อยมือ ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอยู่อย่างนั้นและไม่มีใครก้าวเข้าหาใครก่อน ต่างคนก็ต่างคุมเชิงกันจนแดเนียลรอไม่ไหว เขาก้าวเข้าไปก่อน คนร้ายก็ถอยหลังไปทันที แต่อาการเซนิดๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าแผลที่ไหล่นั้นมีผลกับคนร้ายพอสมควร

                แดเนียลยิ้มเหี้ยม แล้วก้าวเข้าไปหาคนจนตรอกที่สวนหมัดเข้ามาหาทันที ทว่าเลือดเข้าตาจนมองอะไรไม่ชัดไปแล้ว ผลคือต่อให้แดเนียลไม่หลบ กำปั้นก็พลาดเป้า เป็นโอกาสให้อดีตทหารเก่าเล่นงานได้อย่างถนัดถนี่

                “บอกมาว่าแกเป็นใคร” ตอนนี้แดเนียลไม่หลงเหลือคราบคนขี้เล่นอีกต่อไปแล้ว เขาดึงคอเสื้อคนร้ายให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงร่างใหญ่อัดติดผนังอีกครั้ง

                พลั่ก!

                “ห่าเอ๊ย!” ชายหนุ่มโวยลั่นหลังจากถูกคนเจ็บต่อยเข้าเต็มแรง แต่ก็ต้องโทษความประมาทของตัวเองที่คิดว่าเลือดออกเยอะขนาดนี้อีกฝ่ายคงไม่มีแรงสู้แล้ว ที่ไหนได้กลับต่อยกลับมาเสียจนเขาหน้าหงายได้เช่นกัน

                แต่ก็ดี เอาให้ตายกันไปข้างเลย!

                กว่าจะหายมึนและเงยหน้าขึ้นมาได้แดเนียลก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบกำปั้นของคนร้ายที่ต่อยลงมาเต็มแรง แล้วพลิกตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่คนร้ายเหวี่ยงหมัดใส่หลายครั้งหวังไม่ให้เขาตั้งหลักสู้ แต่แรงคนเจ็บหรือจะสู้อดีตทหารเก่าได้ แดเนียลยกแขนขึ้นรับกำปั้นหนักของคนที่ต่อยสวนลงมาแล้วต่อยกลับไปเต็มแรง จนคนร้ายผงะแล้วเซถอยหลังไปทันที

                คราวนี้ไม่เหมือนอย่างคราวที่แล้ว แดเนียลไม่ถาม ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งสิ้น เขาตามไปทั้งเตะทั้งต่อยจนฝ่ายนั้นสลบคาเท้าจึงยอมหยุด

                “แม่งเอ๊ย!” แดเนียลหายใจหอบเล็กน้อยเพราะออกแรงไปเยอะ เขายืนมองผลงานตัวเองอยู่สักพักให้แน่ใจว่าคนร้ายจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกจึงเดินกลับลงไปข้างล่าง บอกให้ภรรยาของแบรนดอนโทร. แจ้งความ และระหว่างนี้เขาก็ต้องอยู่ที่นี่ให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครตามมาคุกคามเธออีก

                “ขอบคุณมากค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ...”

                “ช่างเถอะ ผมสงสัยตั้งแต่คุณรู้ว่าผมมาได้ยังไงทั้งที่ผมยังไม่ได้เรียกด้วยซ้ำ”

                “ก็เขานั่นแหละคนบอก” เธอชี้ไปยังด้านบนที่แดเนียลขังคนร้ายไว้ในห้องระหว่างรอตำรวจ

                “คุณรู้จักคนร้ายไหม”

                คุณนายเชลเลอร์ส่ายหน้า

                “เอาละ...บอกตรงๆ เลย ผมคิดว่าการตายของสามีคุณน่ะไม่ปกติ อาจไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาๆ”

คำถามของแดเนียลคราวนี้ทำให้ใบหน้าของคุณนายเชลเลอร์ซีดเผือดลงทันที ท่าทางเธอพร้อมจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ เขาจึงต้องพาเธอไปนั่ง โดยมีลูกชายเธอนั่นอยู่บนตักเขาอีกที

                “ฉันไม่รู้ค่ะ เขาไม่เคยบอกเรื่องงานอะไรเลย บ่นแต่ว่าเครียดๆ แต่ก็ไม่เคยระบายอะไรให้ฟัง”

                “แต่เขาก็น่าจะมีเผลอออกมาบ้างไม่ใช่หรือครับ อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็ได้” มันต้องมีบ้างที่พูดคุยกับภรรยา อาจจะไม่พูดถึงงาน แต่ก็ต้องมีบ่นเรื่องการทำงานบ้างนั่นละ

                คนถูกถามทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สองสามนาทีก็คิดออก “เขาเคยพูดถึงค่ะ บ่นว่าเครียด ก็เลยส่งเมลมาระบายกับฉัน วันนั้นฉันบินไปหาเพื่อนที่จอร์เจีย ไม่อยู่กับเขา เขาเลยส่งเมลมาระบายให้ฟังค่ะ”

                “นานหรือยังครับ” ความหวังที่เคยริบหรี่เริ่มสว่างไสวขึ้นมาทันที

                “หนึ่งสัปดาห์ก่อนเขาตายค่ะ”

                “ขอดูได้ไหมครับ”

                “ได้สิคะ” เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดเข้าไปในกล่องข้อความอีเมล จากนั้นจึงส่งให้เขา

                ดวงตาคมดุของอดีตนายทหารหรี่ลงนิดๆ วันเวลาที่อีเมลถูกส่งเข้ามาคือช่วงเวลาเมื่อสองเดือนก่อน ก่อนวันตายของแบรนดอน เชลเลอร์ ไม่นานจริงๆ ด้วย

                “ผมขอส่งมาที่เมลผมได้ไหม”

                “ได้ค่ะ”

                เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เขาก็ส่งเมลฉบับนั้นเข้ามาในอีเมลของเขาทันทีแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณครับ”

                “มันจะช่วยอะไรได้หรือคะ มันแค่เมลระบายความเครียดธรรมดาๆ เอง”

                แดเนียลยังไม่ตอบในตอนนั้น เขาอ่านข้อความในอีเมลฉบับนั้นทวนซ้ำๆ อยู่ถึงห้าครั้ง จึงมองออกว่าในข้อความที่บ่นระบายความเครียดจากการทำงานนั้น แท้จริงมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

                “ขอบคุณครับคุณนายเชลเลอร์ ผมคิดว่าผมได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”

                “แค่นี้เองหรือคะ”

                “ครับ”

                “ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย” ถ้าคนพวกนั้นต้องการแค่นี้ก็บ้ามากไปแล้ว มันแค่อีเมลระบายเรื่องความเครียดเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรบอกไว้เลย

                เสียงสัญญาณรถตำรวจมาถึง เบี่ยงเบนความสนใจจากภรรยาของแบรนดอนได้ในที่สุด เธอออกไปรับหน้าตำรวจ แดเนียลจึงได้โอกาสส่งอีเมลฉบับนี้ไปให้เดฟ แล้วโทร. หาทันที

                “ว่าไงแดน”

                “นายอยู่ที่ไหนแล้วเดฟ” แดเนียลถามพลางมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาผ่านไปนานมาก ตอนนี้เดฟน่าจะเข้าเขตแมนฮัตตัน หรือไม่ก็อาจถึงที่พักของแมคเคนซี่แล้ว

                “ฉันเพิ่งมาถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ของเรนนี่”

                “ดิเอโกอยู่แถวนั้นใช่ไหม”

                “อยู่”

                “จับตาไว้แล้วอ่านเมลที่ฉันส่งไปให้ด้วย”

                “เข้าใจแล้ว”

อดีตพลสื่อสารถอนหายใจ เขาช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้ว แถมตอนนี้ต้องอยู่ดูแลภรรยาม่ายของ แบรนดอน เชลเลอร์อีก ยังวางใจไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะมีคนร้ายย้อนกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง

                ทว่าแดเนียลเริ่มเห็นเค้าลางหายนะแล้ว เมลิสสาก็กำลังจะกลับมา ถ้าเขากลับผิดเวลา รับงานนอกแบบไม่คิดเงิน แถมยังมาเฝ้าม่ายสาวพราวเสน่ห์อีกต่างหาก มีหวังตายตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้เรื่องจบเร็วๆ อย่าให้เมลิสสาระแคะระคาย ไม่อย่างนั้นตระกูลโรเจอร์คงสิ้นสุดลงแค่เขานี่ละ!

                เดฟจอดบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ที่หน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากอะพาร์ตเมนต์ของเรนนี่ไปสองบล็อก ตาคมกริบจ้องไปที่ร่างสูงกำยำของดิเอโกที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านล่างอะพาร์ตเมนต์ แล้วรีบอ่านอีเมลที่แดเนียลส่งมาให้ทันที แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออีเมลอะไร แต่เขาเชื่อว่าจะต้องมีเบาะแสสำคัญแน่ สังเกตจากที่แดเนียลถามเสมอว่าเจอดิเอโกหรือยัง ดังนั้นมันจะต้องเกี่ยวพันกันอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงรีบอ่านข้อความในอีเมลทันที จะได้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

               

            ที่รัก

            อากาศที่แอตแลนตาเป็นอย่างไรบ้าง นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปไหนมาไหนกับคุณ คุณกับลูกสบายดีนะ ช่วงนี้ผมเครียดๆ เวลากลับไปบ้านแล้วไม่เจอคุณก็เลยคิดถึง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะกลับมา และผมจะมีโอกาสได้เจอคุณอีกหรือเปล่า...

                ข้อความตรงนี้ทำให้เดฟขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ในเมื่อภรรยาแค่ไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างรัฐ แต่ทำไมถึงทำราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีก...

            วันนี้ผมต้องสืบคดีอิทธิพลในนิวยอร์กทั้งวัน ช่างเถอะ ผมไม่ควรเอาเรื่องงานมาเล่าให้คุณฟังนี่เนอะ อยากโทร. หา แต่คิดว่าไม่ดีกว่า นานแล้วที่ไม่เคยเขียนจดหมายหาคุณเลย ไม่ได้ไม่ดีก็โทร. ตลอด การที่เทคโนโลยีสะดวกสบายมันก็ดีแบบนี้เอง ผมชอบนะ มันทำให้สะดวกเวลาคิดถึงคุณ แค่กดโทร. หาผมก็ได้ยินเสียง แต่ทำบ่อยๆ ก็ทำให้ผมลืมวันแรกที่จีบคุณ ผมเหมือนคนทรยศเลยละ จีบคุณมาตั้งแต่ไฮสกูล ถ้านับจากวันนั้นจึงจนวันนี้ก็เรียกว่าผมเป็นคนเก่าแก่ของคุณเลยก็ว่าได้ แต่พอได้เป็นคนใกล้ตัวคุณจริงๆ กลับใช้ความเคยชินทรยศวันเวลาดีๆ ที่สะสมมาตั้งนาน ผมผิดหวังในตัวเองนะที่เพิ่งจะรู้ตัว ยกโทษให้ผมด้วยที่รัก ผมว่าผมมันโง่จริงๆ

            เอาเถอะ บ่นมานานแล้ว เพิ่งจะมาระลึกความหลังอะไรกันในวันที่ลูกเราห้าขวบแล้ว หวังว่าคุณจะตอบจดหมายผมนะ (ต่อให้จะเป็นอีเมล แต่ผมก็ถือว่ามันเป็นจดหมายนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้ลงมือจับปากกาเขียนแล้วส่งไปที่หน้าบ้านคุณเหมือนเมื่อก่อนก็เท่านั้นเอง)

            หวังว่าจะได้เจอกัน และมีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ ก่อนที่ผมจะต้องจากไปเหมือนพวกของเก่าแก่พวกนั้น

            ตอนนี้ผมกำลังนั่งดูแบทแมนภาคสามอยู่ เป็นบรูซนี่ไม่ง่ายเลย จะฆ่าล้างอิทธิพลมืดของวายร้ายว่ายาก แต่ถ้าวายร้ายพวกนั้นอยู่ในคราบตำรวจนี่ยากกว่า

            ป.ล. ผมว่าผมจำสับสนเรื่องแล้ว นั่นผมหมายถึงซีรีส์อีกเรื่องต่างหาก

                รัก...จากสามีของคุณ

                เดฟอ่านจบและเข้าใจความหมายที่คนเขียนต้องการจะสื่อได้ในทันที แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนจดหมายระบายความเครียดจากการทำงานและความคิดถึงลูกเมียที่ไปต่างรัฐก็เถอะ แต่เดฟถอดความในนั้นออก แบรนดอนตั้งใจทิ้งข้อความลับไว้เผื่อว่าใครสักคนจะเข้าใจมัน

                และแน่นอนว่าทั้งเดฟและแดเนียลต่างก็เข้าใจดี!

                คำที่สำคัญๆ มีไม่มากเลย นิดเดียวและพอจะเข้าใจได้ คนทรยศ แบทแมน บรูซ วายร้ายในคราบตำรวจ แค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจแล้วว่าทำไม โคลิน คอนโนลลี่ ถึงตรงมาหาเขาแล้วพูดเรื่องลูกน้องที่ตายเพราะคดีของ บรูซ เกรย์สัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะมีคนที่ทรยศลอเรนโซต่างหาก และคนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ ดิเอโก เดรอตติ!

                ทหารรับจ้างหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหน้าอะพาร์ตเมนต์ของเรนนี่ แล้วก็พบว่าแมคเคนซี่ถูกดิเอโกลากขึ้นรถยนต์ติดฟิล์มดำคันหนึ่งไปเสียแล้ว

                บรรลัยแล้ว!
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น