4

ตอนที่ 4



 

             “เจอกันเสียที...แมคเคนซี่ กรีน” เดฟยิ้มร้ายอย่างสมใจที่ได้เจอกันเสียที แล้วเดินตามหญิงสาวร่างบางไปห่างๆ ไม่ให้เธอรู้ตัว อยากรู้เช่นกันว่าแมคเคนซี่ กรีน เป็นคนอย่างไรกันแน่

                หญิงสาวร่างแบบบางรีบออกจากห้องเรียนทันทีที่เลิกคลาสทแล้วรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย เมื่อครู่เธอเปิดระบบสั่นไว้และได้ยินเสียงเรียกเข้าติดกันหลายสาย ดูท่าทางจะมีธุระด่วนมากจริงๆ แต่เธอก็ไม่อาจรับสายได้ เมื่อเลิกคลาสจึงรีบโทร. กลับไปให้ไวที่สุด

            “รับสายสิบรูซ” นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว บรูซไม่เคยโทร. หาเธอก่อนสักครั้งถ้าไม่นัดเจอกัน และตั้งแต่เขาหายไปก็ไม่ค่อยโทร. มาเลยถ้าไม่มีธุระด่วนจริงๆ อย่างมากก็จะรอให้เธอโทร. กลับเอง แต่นี่กระหน่ำโทร. มาหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาหญิงสาวใจคอไม่ดีเลย เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่ากำลังหนีอะไรอยู่กันแน่

            “มีอะไรหรือเปล่าแม็กกี้” เอมิลี่กับเรนนี่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาหา เพราะปกติแมคเคนซี่ของทุกคนเยือกเย็นราวกับราชินีน้ำแข็ง น้อยนักที่จะมีท่าทีตื่นกลัวแบบนี้

            “ไม่มีอะไรหรอก”

            “เรื่องบรูซของเธอใช่ไหม” เอมิลี่เท้าสะเอวถาม ใบหน้าสวยไม่สบอารมณ์เพราะไม่อยากให้เพื่อนยุ่งกับผู้ชายคราวพ่อ

            “ใช่” แมคเคนซี่หน้าแดง หลุบตาลงต่ำไม่ยอมสบตาเพื่อนสักคน

            “เธอโทร. กลับไปหรือยังล่ะ” เรนนี่ลูบหลังแมคเคนซี่อย่างปลอบโยน

            “โทร. แล้วแต่เขาไม่รับ”

            “คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกมั้งแม็กกี้” สาวชาวจีนปลอบเพื่อน แต่ใบหน้าหมวยๆ ก็ไม่ได้ดูคลายกังวลไปกว่าแมคเคนซี่เท่าไร

            “ฉันกลับก่อนแล้วกัน เผื่อว่าบรูซจะรออยู่ที่ห้อง”

            “ตามใจ...อย่าลืมมาที่ห้องฉันนะ ค่ำนี้เจอกัน” เอมิลี่กำชับ

            “แล้วเจอกันจ้ะเรนนี่” แมคเคนซี่ยิ้มให้เพื่อนๆ ทั้งสอง “แล้วเจอกันจ้ะเอ็ม”

            สาวร่างแบบบางหอบหนังสือเต็มอ้อมแขนแล้วรีบสาวเท้าออกจากมหาวิทยาลัยไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน มุ่งกลับไปยังที่พักทันทีด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มราวกับมีกองไฟสุมอยู่ในอก เธอผูกพันกับบรูซมาก ท่าทางแปลกไปของเขาทำให้เธอสงสัย ห่วง เครียด และกังวลไปสารพัด เธออยากให้เขาไว้ใจเธออย่างที่เธอไว้ใจเขา อยากให้เขาเชื่อใจเธออย่างที่เธอเชื่อใจเขา อยากแบ่งปันความทุกข์กับเขาบ้างก็เท่านั้น แต่เหมือนว่าสิ่งที่เธอปรารถนาจะไม่เป็นจริงเลย บรูซเห็นเธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง และเขาไม่ได้ไว้ใจเธอไปมากกว่าแค่คนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น

            แต่แมคเคนซี่ก็ไม่เสียใจ เธอชินชาเสียแล้วกับการถูกมองข้าม ทุกคนที่เธอรู้สึกดีด้วยมักไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา ตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้

            หญิงสาวสลัดความคิดเพี้ยนๆ ของตัวเองออกไปแล้วเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินทันทีเมื่อถึงจุดมาย ร่างแบบบางเดินมาถึงอะพาร์ตเมนต์แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปเคาะประตูห้องของบรูซ แต่ก็ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น

            “ไปไหนนะ” แมคเคนซี่กัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด เธอพยายามโทร. หาเขาสองสามครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย สุดท้ายก็ได้แต่เดินกลับห้องของตัวเองไป

 

                ยี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปแล้วแต่โทรศัพท์ของ บรูซ เกรย์สัน ยังคงสั่นเรื่อยๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา ชายหนุ่มไม่คิดจะรับสาย เขาล้วงมันขึ้นมากดปิดการแจ้งเตือนไปเสีย แล้วคุยธุระกับดิเอโกและลอเรนโซต่อ

            “เสียใจด้วยที่ผมไปช้ากว่าแค่ก้าวเดียว” เดฟบรรยายสรุปเหตุการณ์โดยละเอียด รวมทั้งส่งภาพศพของบรูซไปยืนยันด้วย แม้จะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่มันก็คืองานของเขาเช่นกัน

            “นั่นไม่ใช่ความผิดคุณ แต่ในห้องนั่นไม่มีอะไรเลยหรือ” ลอเรนโซถาม

            “ไม่เลย ไม่มีอะไรเลย บ้านนั้นไม่มีอะไรเลย เครื่องเรือนยังมีไม่เยอะ ไม่ครบ ดูแล้วเพิ่งจะย้ายเข้าไปด้วยซ้ำ”

            “แต่ทำไมซื้อไม่ได้ไกลจากบ้านหลังเดิมเลย” ดิเอโกตั้งข้อสังเกต และนี่เป็นครั้งแรกที่เดฟคิดว่าดิเอโกค่อยดูเป็น ‘ว่าที่’ มือขวาของมาเฟียอย่างที่กล่าวอ้าง

            “บ้านเก่าน่ะอยู่สุดทาง ทำเลไม่ดี และบ้านใหม่บนถนนโคลินก็ใช้สังเกตการณ์ได้เพราะอยู่มุมถนนที่จะตัดเข้าบ้านเก่า บรูซจะคอยจับตามองได้ว่าใครตามเขาอยู่...ถ้าเขาคิดจะทำน่ะ”

            “แต่เขาก็ตาย” ลอเรนโซกล่าวเสียงขรึม

            “ใช่ เขาตายแล้ว” เดฟพยักหน้า โมโหตัวเองนิดๆ ที่ช้าไปก้าวเดียว ถ้าไม่เสียเวลากับไอ้เด็กเปรตที่เฝ้าบ้านเก่าของบรูซ และไปให้ถึงเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย บางทีเขาอาจจะได้รู้ว่าใครกันที่ฆ่า บรูซ เกรย์สัน

            ลอเรนโซสบตากับดิเอโกแวบหนึ่งแล้วจึงพยักหน้าขรึมๆ “หมดเรื่องแล้วผมก็คงต้องขอตัวกลับก่อน เงินค่าจ้างที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีคุณทันที”

            “ไม่ต้องหรอก” ทหารรับจ้างหนุ่มบอกปัด จุดบุหรี่ขึ้นสูบแล้วส่ายหน้าเบาๆ “งานไม่สำเร็จด้วยซ้ำ นี่ก็มากไปแล้ว”

            “เอาอย่างนั้นหรือ” ลอเรนโซเลิกคิ้ว

            “แต่ถ้ายืนยันจะจ่ายผมก็ไม่ขัดศรัทธาหรอก” เดฟกระชากเสียง แล้วเดินเข้าบ้านพร้อมทั้งปิดประตูใส่หน้าสองนายบ่าวทันทีอย่างไม่คำนึงถึงมารยาท เมื่องานจบแล้วก็ให้จบกันไป เขาไม่อยากยุ่งกับคนพวกนี้อีก

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสองสามครั้ง แต่เดฟไม่เปิดเพราะรู้ดีว่าเป็นพวกกัสซาโนแน่ ไม่ช้าก็เงียบไปและไม่มีเสียงใดๆ มารบกวนเขาอีก พวกนั้นคงล่าถอยไปแล้ว และเดฟจะได้มีชีวิตสงบสุขเสียที

            ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนโซฟาเก่าๆ เสียงมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับเสียงเคาะประตูอีกจนได้ แต่เดฟรู้ดีว่าต้องเป็นเพื่อนเก่าของเขาแน่ จึงเดินออกไปเปิดประตู

            “ไง” เจ้าของบ้านทักด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ เช่นเดียวกับสีหน้าเคร่งขรึม

โจชินเสียแล้ว เมื่อประตูเปิดเขาก็เข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ “ฉันจะชวนนายไปที่บาร์น่ะสิโว้ย”

            “ครูอย่างนายว่างขนาดนั้นเลยหรือไง”

            “มันก็ต้องผ่อนคลายกันบ้างสิวะ” โจหัวเราะหึๆ เดินเข้าไปล้างหน้าในบ้านของเดฟราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ทว่าเมื่อออกมาแล้วก็เห็นใบหน้าของเพื่อนยังบูดสนิทจนอดไม่อยู่ ต้องถามออกไปจนได้ “นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะ”

            “เรื่องงานพลาดน่ะ แต่ช่างเถอะ ไปก็ไป”

            “แล้วนี่นายจะหมกอยู่แต่ในบ้านเหรอวะ ออกไปกินมื้อเย็นกับฉันดีกว่า มีอะไรเด็ดๆ รอต้อนรับนายเสมอ”

            “ถามตรงๆ นะโว้ยโจ นายเป็นเกย์ไปหรือยังวะ”

            “ไอ้ห่านี่!” อาจารย์หนุ่มสะดุ้งโหยง แต่พอเห็นหน้าตาเครียดๆ ของเพื่อนแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

            “เบาหน่อย”

            “อย่าบอกนะว่านายกลัวฉันน่ะ”

            “กลัวห่าอะไรล่ะ” เดฟสบถใส่หน้าเพื่อนอย่างหยาบคาย ทั้งยังยกนิ้วกลางให้อีก “ก็แค่สงสัย นายอายุปูนนี้แต่ยังไม่มีลูกมีเมียอีกหรือวะ”

            “นายก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละ”

            “มันคนละกรณีโว้ยโจ ฉันอยู่ไม่เป็นที่ ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง”

            “ส่วนฉันก็ยังไม่เจอคนที่ชอบ...จบแค่นั้น” โจเดินไปเปิดเบียร์โคโรนาในตู้เย็นของเดฟเอามาดื่มราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

            “เออ จบก็จบ”

            “แล้วยังไง จะไปที่บาร์กับฉันไหม”

            “ที่ว่าเด็ดนี่อะไรวะ”

            “จะเหล้าจะหญิงมีหมด หรือนายอยากเอาไอ้หนูไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ไปซิ่งแข่งก็ได้นะ”

อย่างแรกน่ะน่าเบื่อไปแล้วสำหรับเดฟ แต่อย่างสุดท้ายนี่สิค่อยน่าสนใจหน่อย ทำเอาชายหนุ่มพอจะลืมเรื่องงานที่ผิดพลาดไปได้ไม่น้อย เดฟพยักหน้าตกลงแล้วคว้าแจ็กเกตหนังสีดำตัวเก่งติดมือมา

            ไหนๆ งานก็พลาดไปแล้ว จะมัวจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ ตลอดไปก็คงไม่ไหว ออกไปปลดปล่อยใช้ชีวิตให้มันสุดๆ ไปก่อนจะรับงานชิ้นใหม่ก็ดีเหมือนกัน

 

                เดฟกับโจนาธานมานั่งกินมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งเท่าที่จะหาได้ในเมืองเล็กๆ อย่างเออร์วิงตันและอีสต์เออร์วิงตัน ทั้งยังนั่งคุยกันไปเรื่อยไม่ว่าจะเรื่องงานของโจ สเปกหญิง ไปจนถึงเรื่องซวยๆ ของชีวิตเมื่อคราวแยกย้ายกันไป เดฟว่าชีวิตของเขาบัดซบแล้วนะ แต่โจก็สมกับเป็นเพื่อนแท้แห่งความหายนะกับเขาเช่นกัน เพราะโจมีลูกตั้งแต่อายุยี่สิบ และที่สำคัญคือแม่เด็กไปท้องกับคนอื่นมาแท้ๆ แล้วก็ทิ้งไป โจมารู้ตัวก็ตอนที่ลูกสาวอายุได้แปดขวบแล้วประสบอุบัติเหตุและลองแอบตรวจดีเอ็นเอนี่ละ

            “แล้วทำไมนายไม่ตรวจตั้งแต่แรกวะ” เดฟตั้งข้อสงสัย โจก็ไม่ได้หละหลวมเรื่องผู้หญิงเสียหน่อย แต่ทำไมพลาดง่ายๆ

            “ไม่รู้สิ รักมานานมั้ง ไว้ใจ ใครจะรู้ล่ะวะ”

            “แล้วเด็กล่ะอยู่ที่ไหน”

            “ฉันโทร. ไปหายายผู้หญิงมหาภัยนั่นว่าฉันรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ยายนั่นติดต่อให้พ่อจริงๆ เด็กมารับ”

            “แน่ใจได้ยังไงว่าพ่อจริง”

            “ก็ให้ตรวจดีเอ็นเอสิวะ ฉันสงสารลูกนะ แต่ทำไงได้ล่ะ”

            “แล้วทุกวันนี้เจอกันอยู่ไหม” เดฟถามแล้วยัดเนื้อใส่มัสตาร์ดเยิ้มๆ เข้าปากคำใหญ่ เขาว่าชีวิตของเขาเฮงซวยมากแล้วที่ต้องเสียเพื่อนๆ ไปในภารกิจ และเป็นเหตุให้เขาหันหลังจากหน่วย ไนท์ สตล็อคเกอร์ ทั้งที่ชีวิตกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด

            “เจอบ้างนานๆ ครั้ง เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้เอ็นดูแม็กกี้ เธอแก่กว่าลูกฉันไม่เท่าไหร่หรอก แล้วก็ดูเป็นเด็กโดดเดี่ยวมาก ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง หวังว่าเธอจะมีความสุขกับครอบครัวใหม่แล้วกัน”

            “ชีวิตนายมันบัดซบมากว่ะโจ” เขาก็อยากให้กำลังใจเพื่อนอยู่หรอก แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะความสะเพร่าของเพื่อนด้วย จะโทษใครคงไม่ได้

            “ขอบใจไอ้เพื่อนเวร” โจหัวเราะหึๆ รีบกลืนเนื้อลงคอแล้วพูดต่อ “ฉันลืมบอกนายไปเลยว่าเมื่อสองสามวันก่อนมีคนมาหานายที่บ้าน”

            “ใครวะ” เดฟหรี่ตาสงสัย เพื่อนสนิทเขาตายไปหมดแล้วเพราะภารกิจไม่สำเร็จ และแม้จะทำงานที่แบล็กวอเตอร์มาหลายปี ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องบ้านที่เออร์วิงตันให้ใครฟัง

            “ไม่รู้สิ แต่งตัวเนี้ยบเชียว คนแถวนั้นบอกว่าพวกนั้นมาถามถึงนายเรื่องประกันชีวิตของนายน่ะ”

            “มาหาฉันหรือวะ”

            “ใช่” โจพยักหน้าหนักแน่น “ฉันว่าจะถามนายอยู่เหมือนกันว่านายทำประกันด้วยหรือ”

            “ให้ลงนรกไปเถอะ” เดฟไหวไล่ เขาเคยสนที่ไหนจะว่าจะตายเมื่อไร ในเมื่อเฉียดความตายชนิดหายใจรดต้นคอกันมาแล้ว ตอนนั้นยมทูตคงเบื่อหน้าเขาเต็มทีเลยไม่ได้เอาเขาไปด้วย ถึงรอดมาได้ และอีกอย่าง...เขาไม่ได้มีญาติที่ไหนอีก จะสนใจทำประกันชีวิตไปทำไม

            “แล้วใครวะ”

            “เงียบเดี๋ยวไอ้โจ” เดฟยกมือห้ามเพื่อนเพราะเห็นข่าวด่วนในจอทีวีหลังเคาน์เตอร์บาร์เหล้าหลังร้านพอดี เป็นข่าวการพบศพทนายอันดับหนึ่งอย่าง บรูซ เกรย์สัน และสรุปใจความสั้นๆ ว่าหัวใจวายตายเท่านั้นและพิธีศพจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า...ไม่มีการผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายของศพ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

            “ให้ลงนรกเถอะ!” ทหารรับจ้างหนุ่มสบถอีกครั้ง ทำไมสรุปง่ายดายอย่างนี้ ในเมื่อพวกเอฟบีไอเองก็ตามหาตัวบรูซอยู่ไม่ใช่หรือไง ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงสรุปสาเหตุการตายได้ไร้ประโยชน์มาก

            เดฟเริ่มได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว มันง่ายเกินไปทั้งที่บรูซเป็นคนสำคัญของพวกกัสซาโนแท้ๆ แต่...

            “นายรู้จักหรือ” โจถามเมื่อเห็นอาการผิดปกติของเพื่อน สลับกับมองภาพข่าวไปมาจนกระทั่งตัดจบข่าว

            “เคยรู้จักน่ะ” มือหนากร้านยกขึ้นเสยผมตัวเองแรงๆ “ฉันไม่ไปที่บาร์กับนายแล้วนะโจ ขอโทษทีว่ะ”

            “เออๆ ไม่เป็นไร งั้นก็รีบกินเถอะจะได้กลับกัน”

            เดฟพยักหน้า เขานั่งกินจนหมดแล้วจึงแยกย้ายกับโจทั้งที่อารมณ์ยังไม่ค่อยปกติดีนัก

 

            สิ่งแรกที่ทหารรับจ้างหนุ่มทำหลังจากกลับมาถึงบ้านคือติดต่อไปหาลอเรนโซ เพราะติดใจสงสัยเรื่องการสรุปคดีของบรูซ จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขา แต่อดสงสัยไม่ได้ จริงอยู่ที่ว่าเดฟลิน ลิวอิส เปเรซ ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ บรูซ เกรย์ สันเคยเป็นภารกิจของเขา แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จก็เถอะ

            “ผมเดาว่าคุณเห็นข่าวบรูซแล้ว” ลอเรนโซพูดเป็นประโยคแรกที่รับสาย ซึ่งตรงใจเดฟเป็นที่สุด

            “ใช่...แต่มันง่ายไปหน่อยไหม เขาไม่มีศัตรูอื่นไม่ใช่หรือ”

            “ผมอยากคุยกับคุณนะเดฟ ถ้าคุณยังรับงานต่อ”

            “อะไร”

            “สืบหาเมียเก็บของบรูซให้ที ของสำคัญของผมที่อยู่กับบรูซยังหายไปอย่างปริศนา คนเดียวที่น่าจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็คือเมียเก็บของบรูซ...ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นเป้าหมายต่อไป”

            “จะให้ผมไปคุ้มครองใครก็ไม่รู้น่ะหรือ” ริมฝีปากเข้มเม้มสนิท เขาเคยแต่อารักขาประธานาธิบดีหรือบุคคลสำคัญระดับประเทศ จะมาให้อารักขาเมียเก็บทนายแก่ๆ คนหนึ่งมันก็จะไม่คุ้มเสียเปล่า

            “ไม่ถึงขนาดนั้น แค่หาเธอให้เจอ”

            “ผมจะคิดดูอีกที”

            “ค่าจ้างเท่าเดิม หรือคุณจะเรียกร้องมากกว่านั้นก็ได้”

            “ผมจะให้คำตอบอีกทีแล้วกัน” เดฟตัดสายไปก่อนอย่างเคย โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟากลางห้องนั่งเล่นแล้วหยิบโทรศัพท์ของบรูซขึ้นมา มองมันอย่างครุ่นคิด มีสายไม่ได้รับอีกสองสายและมาจากคนเดิม คือ...แมคเคนซี่ กรีน

            ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างครุ่นคิด ไม่ว่าพวกที่ติดตามบรูซไปจะเป็นใครก็ตาม เขาคิดว่าพวกมันไม่ได้ทำให้บรูซสิ้นใจลงไปเลย เพราะถ้าทำอย่างนั้นจริงบรูซคงไม่มีโอกาสโทร. ออกหาใครได้ และพวกนั้นก็ต้องไม่รู้เรื่องเมียเก็บของบรูซเช่นกัน

            แมคเคนซี่ กรีน...

            ลางสังหรณ์ของเดฟไม่ดีเลย เขาลืมตาขึ้นแล้วตัดสินใจโทร. กลับไปหาพวกกัสซาโนอีกครั้ง ไม่สนใจสักนิดว่าลอเรนโซจะพูดอะไรบ้าง เมื่อทางนั้นรับสายเดฟก็พูดสวนขึ้นไปเสียก่อน

            “ผมตกลงจะรับงานนี้” พูดจบแล้วก็ตัดสายลงก่อนอย่างเคย แล้วเริ่มค้นหาข้อมูลว่าเขาควรจะเริ่มตามหาผู้หญิงคนนี้จากไหน

 

                เดฟตื่นแต่เช้าแล้วออกไปออกกำลังกายด้วยการวิ่งจากบ้านของเขาไปยังสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัดสัน และวิ่งเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับแข่งกรีฑาโอลิมปิกได้สบายๆ วิ่งวนไปกลับอยู่อย่างนั้นรวมหลายไมล์แล้วจึงมาวอร์มดาวน์และรับลมอยู่ที่ริมแม่น้ำ แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เดฟเสยผมแรงๆ แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน ตอนนี้เขามีข้อมูลของแมคเคนซี่ กรีน พอแล้ว และเขาจะไปตามหาเธอ

            อย่างแรกที่ขอให้พวกกัสซาโนช่วยเหลือคือให้ติดต่อห้องพักในอะพาร์ตเมนต์เดียวกับ บรูซ เกรย์สัน และพวกนั้นก็จัดการให้ได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ วันนี้เขาเข้าไปอยู่ในห้องนั้นได้เลย แต่ก็ไม่ทำให้เดฟแปลกใจเท่าไร คนพวกนี้ทำได้ทุกอย่างที่ต้องการโดยไม่สนใจวิธีการอยู่แล้ว

            ทหารรับจ้างหนุ่มเก็บของอันน้อยนิดของตัวเองลงเป้ทหารที่พกมา เขาเอาอะไรมาไม่มากเพราะก็แค่มาพักผ่อน มีเสื้อผ้าแค่สองสามชุด อาวุธปืนที่ใช้ประจำพร้อมใบอนุญาตและเอกสารประจำตัวของเขา เงินและบัตรเครดิตอีกนิดหน่อย เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงล็อกประตู เดินมาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์คันเก่งแล้วขับออกไป เขามั่นใจว่าคนทั้งเออร์วิงตันคงโล่งใจไปได้ที่เขาออกจากเมืองไปเสียที

ใช้เวลาราวๆ สามชั่วโมงเขาก็มาถึงแมนแฮตตันและนัดพบกับดิเอโกที่ร้านกาแฟเล็กๆ ในย่านลิตเติลอิตาลี

ดิเอโกยังมีท่าทางสบายๆ ไม่เคร่งครัดเหมือนเคย ผิดกับลอเรนโซที่ดูเอาจริงเอาจังทุกอย่าง พอเดฟมาถึงก็ไม่มีการพูดจาอะไรกันมาก ลอเรนโซส่งกุญแจอะพาร์ตเมนต์ให้แล้วหันไปส่งสายตาตำหนิดิเอโก

            “คุณแน่ใจไหมว่าเมียเก็บของบรูซอยู่ที่นั่นจริง” ลอเรนโซหันกลับมาถามเดฟ

            “ผมไม่รู้ แต่คิดว่ายังไงก็ต้องแวะมาบ้างนั่นแหละ” เดฟตอบเรื่อยๆ ลอบสังเกตท่าทางแปลกๆ ของสองนายบ่าวตลอดเวลา ดิเอโกบอกว่าตัวเองคือมือขวา และลอเรนโซคือทายาทที่แท้จริง แต่ดูแล้ว...มีเงื่อนงำทั้งคู่ เอาเป็นว่าไม่สมควรเชื่อใจใครทั้งสิ้นแม้ว่าจะเป็นคนว่าจ้างก็ตาม

            “ติดต่อผมทุกระยะด้วย”

            “ไว้คืบหน้าแล้วจะบอกแล้วกัน” คนหน้าดุรับกุญแจเก็บใส่กระเป๋า ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากร้านไป

            เดฟกลับมาที่บิ๊กไบค์แล้วขับออกไป การจราจรที่แมนแฮตตันก็ยังติดขัดได้เหมือนเดิมทุกวัน คิดว่าเมื่อไปถึงอะพาร์ตเมน์แล้วอย่างแรกที่ต้องทำคือเก็บเจ้าไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์เข้ากรุไปเสีย ถ้าจะเดินทางในแมนแฮตตันก็คงต้องใช้รถไฟใต้ดินเหมือนกับคนอื่นๆ

 

            ห้องพักที่พวกของกัสซาโนหาให้อยู่ตรงข้ามกับห้องเก่าของบรูซพอดี เดฟสะพายเป้เดินเข้ามาในห้องโล่งๆ ตกแต่งครบแล้ว ต่อให้ไม่บอกก็รู้ว่าค่าเช่าแพงมหาศาลเพียงไร แต่เขาไม่ได้เป็นคนจ่ายเอง ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรู้สึกผิด

            ชายหนุ่มโยนเป้ลงบนเตียง เดินไปเปิดหน้าต่างบานเล็กแล้วมองลงไปข้างล่าง นับว่าห้องนี้ทำเลดีตรงที่หน้าต่างอยู่ตรงด้านหน้าอะพาร์ตเมนต์พอดี ดังนั้นเวลาที่เขาต้องการจะจับตาดูใครก็ทำได้โดยง่าย เดฟเก็บข้าวของน้อยนิดให้เข้าที่เข้าทาง เก็บปืนไว้ในลิ้นชักของโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงและใกล้มือเขามากที่สุด เดฟไม่ใช่คนมีศัตรูมากมาย เขาไม่มีศัตรูที่ไหนก็จริงแต่ก็ไม่คิดประมาทและพึงระลึกไว้เสมอว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำงานให้ใคร

            หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว เดฟจึงหาข่าวพิธีศพของบรูซต่อเพราะต้องการไปร่วมงานด้วย และอีกอย่างคือเขาคาดหวังว่าจะได้เจอกับเมียเก็บของบรูซ ทว่าเมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่าพิธีฝังศพถูกจัดขึ้นแล้วอย่างเรียบง่าย ทั้งที่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น

            ร่างสูงเท้าสะเอว ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความสงสัย อะไรถึงทำให้พวกนั้นจัดการศพได้รวดเร็วฉับไวเช่นนี้ ไหนว่าเขาเป็นทนายคนสำคัญที่ทำคดีมามากมาย พวกนั้นไม่คิดบ้างหรือว่าบรูซอาจจะไม่ได้ตายเพราะหัวใจวายจริงๆ จะไม่คิดเลยหรือว่าบางทีบรูซอาจจะมีศัตรูตามเอาชีวิต ไม่คิดสืบสวนกันสักนิดเลยหรือ

            เดฟถอนหายใจกลัดกลุ้ม ฝ่ายหนึ่งต้องการให้เขาตามหาบรูซเพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่กลับมีพวกไหนก็ไม่รู้ฆาตกรรมบรซูอย่างแนบเนียนจนไม่เป็นที่สงสัย และกลับมีอีกฝ่ายกลบเกลื่อนร่องรอยและปิดคดีอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ แล้วอย่างนี้ฝ่ายไหนคือฝ่ายถูกกันแน่

            เมื่อคิดแล้วว่ามัวถอนหายใจไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หนุ่มมาดโหดจึงคว้าแจ็กเกตหนังสีดำ สวมแว่นกันแดดสีเข้ม และหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดก่อนออกจากห้อง ที่แรกที่เขาจะไปคือมหาวิทยาลัยของแมคเคนซี่ เขาจะสังเกตท่าทีของเธอก่อน ทะเล่อทะล่าเข้าไปก็จะทำให้เธอไม่ไว้ใจเปล่าๆ

            เดฟออกจากอะพาร์ตเมนต์ ข้ามถนนและเดินออกไปอีกสามบล็อกก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดิน มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเฝ้ารอว่าแมคเคนซี่จะออกมาเมื่อไร เมื่อคืนเขาหาข้อมูลของเธอแล้ว มีรูปการจบการศึกษาจากไฮสกูลแห่งหนึ่งแต่ในรูปเธอดูเป็นเด็กสาวใสๆ นัยน์ตาโศกที่ดูธรรมดามากๆ ไม่น่าจะเป็นเมียเก็บใครได้ แต่ก็นั่นละ...รูปจบไฮสกูลใครก็ดูเด็กทั้งนั้น มาเรียนมหาวิทยาลัยก็อีกแบบ เธออาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ และเดฟก็ปรารถนาจะเห็นตัวจริงของเธอเหลือเกินว่าเธอจะยังเป็นเด็กสาวผู้แสนใสซื่อ หรือว่าจะเป็นสาวกร้านโลกแล้วกันแน่

            แต่การมาตามหาใครสักคนในมหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดวงตาคมดุสอดส่ายไปรอบตัวตลอดเวลา มองว่าหญิงสาวร่างเล็กบาง ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายเศร้าหมองคนนั้นอยู่ที่ไหน

            “เดินเร็วๆ หน่อยสิแม็กกี้!” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลัง เดฟหันไปมองแล้วก็ต้องหลบวูบ เพราะไม่ใช่ใครเลย ยายตัวแสบเอมิลี่นั่นเอง

            ชายหนุ่มหลบอยู่ข้างตึก เฝ้ามองหญิงสาวสามคนที่เดินไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัย เป็นเอมิลี่และเรนนี่ไม่ผิดแน่นอน โดยเฉพาะน้องสาวตัวแสบของโจ เดฟจำได้ดี แต่อีกคนเขาไม่แน่ใจ ยิ่งพวกเจ้าหล่อนหันหลังแบบนี้ทำให้เดฟเดาไม่ได้เลยว่าอีกคนหน้าตาเป็นอย่างไร

            ‘บ้าเอ๊ย!’ ใครจะคิดว่าสาวสุดมั่นนิสัยร้ายกาจอย่างเอมิลี่จะเรียนโคลัมเบีย และยังเรียนเกี่ยวกับด้านสาธารณสุขอีกด้วย สามสาวเดินห่างไปไกลแล้ว เดฟไม่สนเพราะคนเดียวที่เขากำลังมองหาก็คือแมคเคนซี่ กรีน ซึ่งเพื่อนอีกคนของเอมิลี่ก็ผมน้ำตาลเข้ม รวมทั้งลักษณะรูปร่างคล้ายกับแมคเคนซี่ กรีนอีกด้วย!

            “ห่าเอ๊ย!” เดฟสบถหัวเสีย รีบออกจากที่ซ่อนแล้วตามไปห่างๆ จนกระทั่งสาวสามแยกกันที่หน้ามหาวิทยาลัย เอมิลี่ไปกับเรนนี่แล้ว และหญิงสาวอีกคนก็แยกออกมาตามลำพัง

            เดฟยิ้มมุมปากดูชั่วร้าย ดวงตาคมดุทอประกายวาววับของนักล่าขณะที่มองไปยังแผ่นหลังเล็กบางของหญิงสาวอย่างแน่วแน่ เดินตามเธอไปห่างๆ ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติจนไม่มีใครสังเกตได้ว่าเขากำลังตามเธออยู่ จากหน้ามหาวิทยาลัย หญิงสาวคนนั้นเดินลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ระหว่างที่ต่อแถวรอขึ้นรถนั้นเองที่เธอหันหน้ามาอย่างช้าๆ

            แค่เพียงเสี้ยวหน้าเล็กหันมา หัวใจของทหารรับจ้างหนุ่มก็แทบหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนั้นเมื่อรับรู้ได้ทันทีว่า เป็นคนเดียวกันไม่ผิดแน่ ใบหน้าขาวเนียนใสมีกระบางๆ ที่จมูก แต่เธอไม่สนใจจะปกปิดมันด้วยซ้ำ ใบหน้าเล็กเหมือนเด็กเพิ่งโตเป็นสาว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายเศร้าๆ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางแต่อิ่มเอิบมีน้ำมีนวลชวนสัมผัส แมคเคนซี่ กรีน ตัวจริงสวยกว่าในรูป แต่ดูเยือกเย็นกว่าในรูปมากเช่นกัน และที่สำคัญ...เธอคือคนเดียวกับคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นเพียง ‘เด็กสาว’ ขี้กลัวที่เดินมาชนเขาที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ของเอมิลี่นั่นเอง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น