3

ตอนที่ 3


 

             แมคเคนซี่อีกแล้วหรือวะ...เดฟได้แต่สบถเบาๆ ช่วงไม่กี่วันมานี้ได้ยินชื่อแมคเคนซี่บ่อยมาก เขาไม่รู้ว่าชื่อผู้หญิงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของ บรูซ เกรย์สัน จะเป็นใคร แต่เขาเชื่อว่าเธอคนนี้จะต้องรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับบรูซแน่ เดฟคว้าโทรศัพท์ของบรูซมาเก็บไว้ ถ่ายรูปทุกซอกทุกมุมของบรูซแล้วเดินออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งให้พวกกัสซาโนรับรู้ถึงสภาพของ บรูซ เกรย์สัน ในปัจจุบันด้วย

                เดฟนิ่งงันไปเพียงชั่วครู่ ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมาทำตัวเป็นปกติได้อีกครั้งแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย โคลินชวนเขาไปดื่มต่อ แต่เดฟปฏิเสธเพราะโจเดินเข้ามาพอดี

            “ไว้คราวหน้าก็ได้” เจ้าหน้าที่เอฟบีไอบอกพลางตบบ่าเดฟเบาๆ อย่างสนิทสนม จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วกลับไปที่นั่งที่โต๊ะของตัวเอง

            โจมองตามไปด้วยสายตากังขา ก่อนจะนั่งลงที่เดิมของตัวเองแล้วถามเพื่อนด้วยเสียงกระซิบ “นายรู้จักเขานานแล้วหรือ”

            “เคยทำงานด้วยกันแค่ครั้งเดียว”

            “เขาทำราวกับสนิทกับนายมาแต่ชาติปางไหน”

            “ช่างเถอะ ว่าแต่นายล่ะโจ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า” เดฟบอกปัดแล้วเป็นฝ่ายถามเสียเองเมื่อเห็นสีหน้าเบื่อโลกของเพื่อนสนิท

            “เอ็มน่ะสิ” ว่าแล้วโจก็ถอนหายใจอีก “เอารถไปขับ”

            “รถนายน่ะหรือ”

            “ใช่” โจพยักหน้าขรึมๆ “ยายตัวแสบมีกุญแจสำรองน่ะ ที่โทร. มาถามก็คงจะให้แน่ใจว่าเราไม่อยู่นานแน่ๆ พอรู้ว่าอยู่มิดทาวน์ ยายแสบนั่นก็เอารถไปใช้หน้าตาเฉย”

            “ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปดื่มกันต่อระหว่างรอน้องนายเอารถมาคืน”

            “คงต้องอย่างนั้น” ใบหน้าโจออกอาการเซ็งจัด เขาจัดการอาหารตรงหน้าช้าๆ แล้วก็ถอนหายใจไปพลาง จนเดฟได้แต่หัวเราะเบาๆ

            “ท่าทางนายแย่มากนะเพื่อน”

            “บางครั้งฉันก็คิดอยากได้แม็กกี้เป็นน้องมากกว่า เอ็มน่ะแสบขึ้นทุกวัน ไม่แน่ถ้าแม็กกี้เป็นน้องฉัน ฉันอาจจะไม่ต้องปวดหัวแบบนี้ก็ได้”

            “สุดท้ายนายก็วนมาที่สาวน้อยคนนี้อีกจนได้”

            “ก็จริงนี่” เสียงโทรศัพท์โจดังขึ้นอีกครั้ง แค่เห็นว่าเป็นใครคนเป็นพี่ชายก็ทำหน้าเครียดแล้วกดรับสายจากน้องสาว “ไงเอ็ม”

            “ฉันมีปัญหา”

            “อะไรอีกล่ะ”

            “ฉันทำกุญแจรถหาย”

            “เวร!” คนเป็นพี่สบถหัวเสีย ไม่มีอารมณ์กินมันแล้ว “เธออยู่ที่ไหนน่ะยายตัวแสบ พี่จะไปหา”

            “อะพาร์ตเมนต์ของแม็กกี้ อัปเปอร์อีสต์ไซด์ ถนนอีแปดสิบตัดถนนสอง ฉันเพิ่งมาส่งแม็กกี้ค่ะโจ”

แค่เอมิลี่เอ่ยชื่อเพื่อนสาวผู้แสนจืดชืดเท่านั้นละ โจก็อ่อนลงทันที

            “เดี๋ยวพี่ไปหา รออยู่ตรงนั้นแล้วกัน”

            “ค่ะโจ”

ยายตัวแสบวางสายไปแล้ว โจก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเล่าให้เดฟฟังคร่าวๆ ว่า “เอ็มไปส่งแม็กกี้ที่อัปเปอร์อีสต์ไซด์แล้วทำกุญแจหาย”

            “เด็กนั่นพักอยู่อัปเปอร์อีสต์ไซด์เลยหรือ” คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย เพราะแมคเคนซี่ก็แค่นักศึกษาเท่านั้น นับว่ารวยไม่เบาถึงได้พักอยู่ตรงนั้นได้ อัปเปอร์อีสต์ไซด์นี่ย่านพวกคนมีอันจะกินดีๆ นี่เอง

            “ใช่ เอ็มเคยบอกว่าเป็นห้องพักเก่าที่พ่อของแม็กกี้เคยซื้อไว้ เธอเลยอยู่ที่นั่นมาตลอด”

            “อยู่กับพ่อหรือ”

            “เปล่า...พ่อของแม็กกี้ไปทำงานที่โอริกอน”

            “เป็นเด็กแปลกจริงๆ” เดฟไหวไหล่ เขาไม่มีความเห็นอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วเพราะจะว่าไปก็ยังไม่เคยเจอแม็กกี้ เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าหล่อนรูปร่างหน้าตาอย่างไร แต่เท่าที่ฟังมา...ผู้หญิงคนนี้นี่แปลกจริงๆ

            สองหนุ่มจัดการสเต๊กในจานของตัวเองจนหมด แล้วจึงออกจากร้านมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟใต้ดิน ไปโผล่สถานีตรงถนนเจ็ดสิบเจ็ด แล้วเดินต่อไปอีกสามสี่บล็อก ในที่สุดก็เจอเด็กสาวสามคนนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนบันไดทางขึ้นหน้าอะพาร์ตแห่งหนึ่ง ที่เดฟคิดว่าน่าจะเป็นที่พักของเด็กที่ชื่อแม็กกี้

            “ไงตัวแสบ กุญแจหายได้ยังไง” โจนาธานเตรียมเม้งน้องสาวทันที

เอมิลี่ก็ดีดตัวลุกจากหน้าบันไดแล้ววิ่งหลบพี่ชายพัลวัน

            “แม็กกี้ชวนไปกินขนมที่เลดี้เอ็ม มันอร่อยมากเลยนะพี่ ฉันไม่แน่ใจว่าลืมกุญแจไว้ที่นั่นหรือเปล่า แต่ย้อนกลับไปก็ไม่เจอแล้วน่ะสิ ว้าย...โจ!” เอมิลี่ร้องลั่นเพราะถูกพี่ชายไล่เตะ

            เดฟมองสองพี่น้องแล้วก็โคลงศีรษะไปมา เขาไม่แน่ใจว่าถ้ามารีนายังอยู่เธอจะเป็นอย่างนี้ไหม พวกเขาจะเป็นพี่น้องอย่างไร จะสนิทกัน ห่างเหิน หรือต่างมึนตึงใส่กันเพราะสิ่งที่เขาทำกับเธอ ความคิดนั้นทำให้รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปทันที ใบหน้าเคร่งขรึมดุดันขึ้นอีกเท่าตัว เขาปรายตามองหญิงสาวอีกสองคนที่นั่งอยู่กับเอมิลี่เมื่อครู่

            เรนนี่นั่งอ่านอีบุ๊กจากไอแพดของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ทำให้เดฟนึกไปถึงที่โจเคยเล่าให้ฟังว่าเรนนี่เป็นนักศึกษาเงินทุนจากจีน ทำให้เธอตั้งใจเรียนและมีนิสัยเคร่งครัดมาก

            ส่วนอีกคน...หญิงสาวร่างผอมบางหันหลังให้เขาเพราะกำลังสนใจคุยโทรศัพท์คนนั้นน่าจะเป็นแมคเคนซี่ แม้ไม่เห็นหน้า แต่เดฟก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหน

            “ไปเถอะเดฟ ไปส่งตัวแสบพวกนี้กลับห้องไปซะ แล้วเราจะได้กลับเออร์วิงตันกันเสียที” โจล็อกคอน้องสาวเดินกลับมาหา ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายและแขนขาปัดป่ายของเอมิลี่ที่พยายามเอาตัวรอดจากพี่ชาย

            “ดึกป่านนี้เนี่ยนะ พวกพี่น่าจะนอนที่นี่ก่อน”

            “ห้องเธอน่ะเรอะเอ็ม ฝันไปเถอะ”

            “ฉันคิดเหมือนเอ็มนะโจ ดึกแล้ว พวกนี้ค้างที่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวให้เอ็มมานอนห้องฉัน แล้วพี่สองคนก็นอนห้องเอ็มก็ได้” เรนนี่เงยหน้าจากไอแพดแล้วพูดกับโจด้วยน้ำเสียงหวาดๆ

            “เสียใจ ฉันกับเดฟเบื่อเด็กแสบอย่างพวกเธอเต็มแก่แล้ว ขึ้นรถได้แล้วพวกเด็กเหลือขอ” โจบ่นไม่จริงจังนัก ล็อกคอน้องสาวตัวแสบให้ขึ้นรถแล้วเปิดประตูให้เรนนี่อีกคน ส่วนเขากับเดฟขึ้นมาทีหลังสุด

            “ฉันไปแล้วนะแม็กกี้” โจหันไปลาหญิงสาวที่ยังเอาแต่คุยโทรศัพท์นานสองนาน ซึ่งแมคเคนซี่ก็ละสายแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มและโบกมือให้

            เดฟได้ยินเสียงโจบอกลาหญิงสาวที่ชื่อแมคเคนซี่แล้วก็หันไปมองบ้าง เพราะตัวเองยังไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย แต่พอหันไปแมคเคนซี่ก็หันหลังกลับเข้าอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองไปแล้ว และเขาก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้าเธอชัดๆ อีกตามเคย ทำให้เขาเลิกสนใจเรื่องของแมคเคนซี่ เลิกสนใจเสียงโต้เถียงของสองพี่น้องโจนาธานกับเอมิลี่ แล้วนึกถึงเรื่องที่ได้คุยกับ โคลิน คอนโนลลี่ แทน

            คอนโนลลี่บอกว่าลูกน้องที่ตายกำลังทำคดีเกี่ยวกับกลุ่มกัสซาโน มาเฟียข้ามชาติกลุ่มหนึ่งที่ทำผิดกฎหมาย และทนายอีกคนก็หายตัวไป บรูซ เกรย์สัน คือทนายคนนั้น และ ดิเอโก เดรอตติ ที่มาว่าจ้างเขาก็มีลักษณะตรงกับพวกมาเฟียอิตาลีอย่างที่คอนโนลลี่บอก

            ทหารรับจ้างหนุ่มเริ่มปะติดปะต่อภาพที่ขาดหายให้กลับมาชัดเจนอีกครั้ง และมันจะชัดเจนกว่านี้ถ้าเขาตกปากรับคำดิเอโก งานนี้ทั้งลึกลับและเสี่ยงอันตรายอย่างที่ชอบ แค่ได้รับรู้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยก็เรียกเลือดในกายให้พลุ่งพล่านได้แล้ว สัญชาตญาณของเดฟบอกอย่างนั้น...บางทีเขาอาจจะลองรับงานจากดิเอโกก็ได้

 

            กว่าที่สองหนุ่มเดฟและโจจะกลับมาถึงเออร์วิงตันก็ดึกมากแล้ว และโจก็แยกกลับบ้านไปทันที เดฟนอนทั้งๆ ที่ไม่อาบน้ำด้วยซ้ำ และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสายของวัน เขาลุกขึ้นทำแฮมกับไข่คนกินง่ายๆ แล้วออกไปหาอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เปิดหาข้อมูลของ บรูซ เกรย์สัน

            แน่นอนว่าแค่เดินออกจากบ้านที่ปิดตายมาหลายปี คนในเออร์วิงตันก็มองเขาเป็นตาจุดเดียว บ้างก็ซุบซิบกันตรงนั้นอย่างไม่คิดเกรงใจกันเลยสักนิด แต่เดฟไม่สน รู้ดีแก่ใจว่าการกลับมาที่บ้านแล้วจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และอีกอย่างก็เพราะคนพวกนั้นไม่มีผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย เดฟถนัดที่สุดคือการทำให้คนปกติกลายเป็นแค่มดแมลงน่ารำคาญในสายตาเขา

            แต่ละก้าวที่เดินต่อไปข้างหน้าของเดฟยังมั่นคงเหมือนเดิม แม้จะมีสายตาสงสัยไปจนถึงหวาดระแวงและรังเกียจคอยมองเขาตลอดทางจนกระทั่งถึงอินเทอร์เนตคาเฟ่เล็กๆ ที่มีเด็กสาวคนหนึ่งเฝ้าอยู่ เธอมองเดฟหวาดๆ แล้วเข้าไปหลังร้านทันทีที่เดฟเข้ามานั่งในร้าน

            เดฟไม่สนใจเด็กคนนั้น เขาค้นหาข้อมูลของ บรูซ เกรย์สัน ทันที

            บรูซ เกรย์สัน คนนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย เป็นเจ้าของสำนักงานทนายความที่เช่าออฟฟิศชั้นสิบหกอยู่บนตึกใหญ่ในย่านมิดทาวน์ แต่ละคดีที่ทำล้วนเป็นคดีใหญ่ของทั้งพวกอาชญากร มาเฟีย และคดีทุจริตมากมาย ส่วนมากคดีที่ บรูซ เกรย์สัน ว่าความมักจะชนะทุกครั้ง และนั่นก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของทนายวัยกลางคนคนนี้ยิ่งกว้างขวางกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก เรียกว่าแทบทุกคดีใหญ่ในนิวยอกร์กซิตี้จะมาอยู่ในมือของบรูซทุกครั้ง

            ชายหนุ่มมาดโหดปิดคอมพิวเตอร์ เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์และเห็นเด็กสาวคนนั้นยังมองเขาด้วยสายตาหวาดๆ จึงยิ้มให้เสียเลยแล้วเดินจากมา และเดฟแน่ใจว่าเขาเห็นสีหน้าตกตะลึงของเด็กสาว

 

            เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังเก่าของตัวเองแล้ว สิ่งแรกที่เดฟทำคือค้นหานามบัตรในถังขยะ เขาทิ้งไปตั้งแต่วันที่ ดิเอโก เดรอตติ มาถึงบ้าน หาอยู่นานก็ไม่เจอจนคิดว่าบางทีอาจจะเอาไปทิ้งที่ไหนแล้วก็ได้ พอดีกับที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอปรากฏเบอร์โทร. ที่ไม่รู้จัก เดฟกดรับสายทันทีอย่างไม่ลังเล

            “ผมยังรอคำตอบจากคุณนะเดฟ” เสียงคุ้นหูจากปลายสายและคำทักทายแรกที่ได้ยิน ต่อให้ไม่บอกชื่อก็พอเดาได้ว่าเป็นใคร มีอยู่คนเดียวที่ตามตื๊อให้เขาทำงานให้...จะเป็นใครไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ ดิเอโก เดรอตติ

            ทหารรับจ้างหนุ่มยิ้มร้ายเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน และพวกนั้นก็ยังขอร้องให้เขาทำงานให้ ก็นับว่าเข้าทางพอดี

            “ถ้าผมยังยืนยันคำเดิมล่ะ”

            “ผมก็จะไปบ้านคุณอีกแล้วกล่อมให้คุณยอมรับงานน่ะสิ”

            “คุณมีความพยายามมากเดรอตติ”

            “ผมต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการเสมอ เดฟ...ผมจะเสนอค่าจ้างให้คุณจากเดิมเพิ่มเป็นห้าเท่าตัว และพร้อมจ่ายทันทีที่คุณตอบตกลง” ปลายสายพยายามหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่เดฟคิดว่าฝ่ายนั้นยังอ่อนหัดไปหน่อย เหมือนเป็นมือใหม่ที่ยังไม่เจนสนาม

            “ผมกำลังตัดสินใจ ผมจะรับงานก็ได้ แต่ผมต้องการข้อมูลมากกว่าชื่อและที่ทำงาน ผมต้องการข้อมูลในส่วนที่ไม่เคยมีใครเปิดเผยได้”

            “เราต้องนัดเจอกันแล้วละ”

            “ที่ลิตเติลอิตาลีแล้วกัน” ดิเอโกหมายถึงย่านหนึ่งในแมนแฮตตัน

            “เซ็นทรัล ปาร์คแล้วกัน” สวนสาธารณะกลางเมืองขนาดใหญ่เนื้อที่กว่าแปดร้อยเอเคอร์ที่เต็มไปด้วยหลืบมุมลับสายตา ทั้งยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมาะที่จะเป็นสถานที่นัดหมายมากกว่า

            “มันจะไม่เหมือนคู่รักเกย์ไปปิกนิกหรือไง”

            “หุบปากแล้วลงนรกไปซะ” ไม่บอกก็รู้ว่าหนุ่มลูกครึ่งอิตาลีคนนั้นคงกำลังทำหน้าตากวนประสาทเขาอยู่แน่นอน เดฟจึงเสริมไปสั้นๆ ว่า “นายเลิกสวมสูทกับโคตตัวยาวแล้วแต่งหญิงมาสิ”

            “ไปลงนรกซะเดฟ”

            “พูดแบบนี้ไม่กลัวฉันไม่รับงานหรือไง...เจ้านายด่าไม่รู้นะ” เดฟจับทางดิเอโกได้แล้ว ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาคนนี้น่าจะเพิ่งเลื่อนขั้นมาเป็นมือขวาของคนสำคัญสักคนในกลุ่มมากกว่า มาเฟียจริงๆ ไม่ลังเลแบบนี้แน่...บางทีอาจมีอะไรมากกว่านั้น เป็นต้นว่า ดิเอโกคนนี้อาจจะไม่ใช่ตัวจริง แต่...อาจจะเป็นใครสักคนที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองงานของมาเฟียจริงๆ

            ปลายสายเงียบไปทันทีแล้วถามต่ออย่างยอมจำนน “วันเวลาล่ะ”

            “พรุ่งนี้ตอนค่ำ”

            “ได้”

            “อย่าสวมสูท แต่งตัวสบายๆ แล้วกัน” เดฟตัดสายทิ้งทันที ไม่รอให้ฝ่ายนั้นได้ปฏิเสธ เขาโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟากลางห้อง ไม่สนว่ามันจะกระเด้งกระดอนไปทางไหนบ้าง แล้วเดินเข้าไปในครัว ชงกาแฟดำมาหนึ่งเหยือกแล้วนั่งกินไปพลางคิดถึงเรื่องของ บรูซ เกรย์สัน ไปพลาง

            และไม่ว่าทนายคนนั้นจะเป็นใคร สำคัญอย่างไรกับทั้งทางเอฟบีไอและพวกมาเฟีย เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานเขาจะรู้ได้อย่างแน่นอน

 

            เดฟขับไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ออกจากเออร์วิงตันในช่วงสาย และมาถึงแมนแฮตตันประมาณหลังเที่ยง แวะหาอะไรกินง่ายๆ จากร้านซับเวย์ แต่เพราะยังไม่ถึงเวลานัดหมายจึงไม่รู้จะไปทางไหน สุดท้ายก็เข้าไปในสวนสัตว์เล็กๆ ของเซ็นทรัลปาร์ค ไปเดินดูนก ดูแมวน้ำ ตบท้ายด้วยดูพี่หมีคำรามเล่นๆ ฆ่าเวลาและย้อนรำลึกวัยเด็กไปในตัว ตอนเด็กไม่มีหรอกแบบนี้ พ่อก็ทำแต่งาน จนมีแม่เลี้ยงก็เข้ากันไม่ได้เท่าไร จึงไม่เคยมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้เลย ยิ่งเห็นพ่อแม่อเมริกันและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินจูงมือลูกเข้ามาเดินเล่นในสวนสัตว์ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ สุดท้ายก็เดินออกมาแล้วติดต่อไปหาดิเอโก

            “เจอกันที่น้ำพุบีเทสต้าเป็นไง” ปลายสายบอก

            ทหารรับจ้างหนุ่มตัดสายแล้วสบถเบาๆ เขาเดินไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ถ้าดิเอโกมาถึงแล้วก็ให้ไปก่อน จะว่าเขากวนโทสะก็ได้ เพราะดิเอโกก็กวนประสาทเขาไม่ต่างกัน

            “กว่าจะมาถึงได้” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินลายโล่กัปตันอเมริกากับกางเกงยีนส์สีเข้มเอ่ยทัก

เดฟขมวดคิ้วนิดหน่อยเพราะอีกฝ่ายอยู่ในมาดแปลกตาออกไป จากมาเฟียกลายเป็นชายหนุ่มธรรมดา แถมยังเป็นแฟชั่นที่แย่ที่สุดในนิวยอร์กอีกด้วย

            “ไม่รีบนี่” เดฟไหวไหล่ มองข้ามไหล่ดิเอโกไปก็เห็นผู้ชายหน้าคมเข้มอีกคนที่เดินอยู่แถวนั้น แม้จะแต่งตัวธรรมดาๆ เสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงสแล็กส์ แต่เดฟมั่นใจว่าไม่ใช่แค่อย่างที่ตาเห็นแน่ๆ

            “ข้างหลังนายนั่นเพื่อน เจ้านาย หรือลูกน้องของนายกันแน่”

            คนถูกถามชะงัก หันไปมองหนุ่มเสื้อเชิ้ตขาวที่ว่านั่นแล้วก็พยักหน้ายอมรับ เพราะอย่างไรเสียก็ต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว

            “ตามเรามาสิ พวกเราอยากคุยกับคุณพอดี”

            “ฉันเอารถมา”

            “ผมขับให้”

            “เสียใจด้วยเดรอตติ ฉันไม่ให้ใครแตะนังหนูไทรอัมพ์ของฉันแน่ ถ้าจะคุยงานก็คุยตรงนี้”

            “ไม่ได้หรอก” เป็นครั้งแรกที่ดิเอโกมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ทั้งยังมองซ้ายมองขวาตลอดเวลา ราวกับว่ามีใครติดตามมาตลอดเวลาก็ไม่ปาน

            เดฟกอดอก ดูว่าสองหนุ่มอิตาลีจะพูดอะไรต่อ ท่าทางหวาดระแวงของดิเอโกทำให้เขายิ่งคิดไปถึงเรื่องของบรูซ ว่าอาจจะไม่มีแค่ทนายทำคดีอาชญากรธรรมดาเสียแล้ว ไหนจะเจ้านายของดิเอโกอีก ชายคนนั้นที่แม้จะไม่เข้ามาใกล้ๆ แต่เดฟก็สังเกตว่ามีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

            “ที่นี่มิดทาวน์ เราอยู่กลางเมืองแมนแฮตตัน และอาจจะถูกพวกเอฟบีไอจับตาอยู่ก็ได้”

            “แล้วจะไปไหน”

            “บรองซ์”

            “ไกลไป ฉันไม่มีเวลาขนาดนั้น” เดฟตอบตามจริง เขาไม่มีธุระที่แมนแฮตตัน และตั้งใจจะกลับเออร์วิงตันวันนี้เลย

            “ถ้าอย่างนั้นก็แถบไชนาทาวน์ มีภัตตาคารที่เปิดห้องแบบส่วนตัวได้ เราจะต้องคุยกันที่นั่น”

            “ก็นำไปสิ”

ดิเอโกและเจ้านายของเขาเดินกลับไปที่รถ

            แรกทีเดียวเดฟคิดว่าพวกนี้จะชาตินิยม แม้แต่รถก็ใช้รถสัญชาติอิตาลีเสียอีก ที่ไหนกลับเป็นรถซีดานคันสีขาวธรรมดา ไม่มีอะไรสะดุดตา แต่ก็ดี เพราะถ้าถูกตามจริงก็จะไม่เป็นจุดสังเกตเท่า

            เดฟกลับมาที่ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ สวมหมวกกันน็อกและถุงมือหนังขับตามไปอย่างช้าๆ ผ่านลิตเติลอิตาลีและเข้าสู่ย่านไชนาทาวน์ในที่สุด ซีดานสีขาวของพวกนั้นจอดลงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เขาจึงชะลอความเร็วของไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์จอดลงข้างกัน

 

            แมคเคนซี่กระสับกระส่ายเมื่อมาตามนัดของคนสำคัญ ทว่าคนที่นัดหมายกลับไม่มาเสียอย่างนั้น หญิงสาวก้มมองโทรศัพท์เป็นระยะๆ พยายามติดต่อหาคนที่นัดเธอมาที่ภัตตาคารแห่งนี้ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ เกินเวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว จนบริกรเดินกลับมาหาถึงสามครั้ง สุดท้ายเธอก็เช็กบิลแล้วเดินออกจากภัตตาคาร

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนได้ หญิงสาวค่อยยิ้มออก เธอรีบกดรับสายทันทีก่อนที่เขาจะตัดสายไป

            “ค่ะบรูซ”

            “ขอโทษนะแม็กกี้ ฉันไปไม่ได้แล้วละ” ปลายสายมีน้ำเสียงกลัดกลุ้มอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินเลย กับเธอแล้ว บรูซมักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เสมอ แต่หลังๆ นี้เขาชอบทำหน้าเครียดจนดูแก่กว่าอายุจริงขึ้นหลายปี

            “ไม่เป็นไรค่ะบรูซ แต่คุณสบายดีหรือเปล่าคะ เสียงไม่ค่อยดีเลย”

            “ฉันสบายดี ไม่มีอะไรหรอก”

            “ดูแลตัวเองบ้างนะคะ”

            “ขอบคุณแม็กกี้ ว่าแต่มีใครไปหาฉันที่อะพาร์ตเมนต์บ้างไหม”

            คนถูกถามหรี่ตาลงนิดๆ อย่างใช้ความคิด ปกติเธอก็เอาแต่อยู่ในห้อง ถ้าออกมาข้างนอกก็คือตอนไปเรียนหรือไปหาเพื่อนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็น...ก็ไม่มี

            “ไม่มีนะคะบรูซ”

            “ดีแล้ว ของที่ฉันให้เอามาด้วยยังอยู่ที่เธอใช่ไหมแม็กกี้”

            หญิงสาวก้มลงเปิดกระเป๋าสะพายดู ‘ของสำคัญ’ ที่บรูซเคยมอบให้เธอเมื่อหลายวันก่อน พบว่ามันนอนแน่นิ่งอยู่ก้นกระเป๋าของเธอไม่หายไปไหน จึงตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “อยู่ค่ะ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” คราวนี้น้ำเสียงของบรูซแสดงถึงความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

            “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะบรูซ อยากให้ฉันเอาไปให้คุณไหมคะ”

            “ไม่ต้องหรอกแม็กกี้ ฉันอยู่ไกล”

            “คุณไม่ได้อยู่ในนิวยอร์กหรือคะ”

            “อย่าพยายามหรอกถามฉันเลยที่รัก” ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงของเขายังอบอุ่นเหมือนเคย และทำให้คนฟังสัมผัสถึงความอบอุ่นของเขาแม้ว่าจะได้ยินจากทางโทรศัพท์ก็ตาม

            “คุณน่ะรู้ทันฉันเสมอ”

            “กลับเถอะแม็กกี้ ไม่ต้องรอฉันแล้ว ดูแลตัวเองด้วย”

            “คุณจะกลับมาเร็วๆ นี้ใช่ไหมคะบรูซ” แมคเคนซี่ถามอย่างคาดหวัง เวลาที่อยู่มหาวิทยาลัย เธอไม่เหงาเพราะมีเพื่อนๆ อยู่ด้วยก็จริง ทว่ากลับมาที่อะพาร์ตเมนต์คราวใดก็อดเหงาไม่ได้ ปกติเธอชอบไปขลุกอยู่ในห้องเขาเสมอ และบรูซก็ใจดีมาก เธอชอบเอาหนังสือเล่มโปรดที่เขาหวงมากมานั่งอ่าน และบรูซก็ไม่เคยว่าอะไรเธอสักคำ

            “ถ้าเหงาก็เข้าไปหาหนังสืออ่านในห้องฉันก็ได้นี่แม็กกี้ เธอมีกุญแจไม่ใช่หรือ”

            “ไม่ละค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล บรูซไว้ใจเธอมาก แต่เธอไม่อยากมีปัญหาทีหลัง “เกิดของคุณหายขึ้นมาฉันก็แย่สิคะ”

            “ฉันรู้จักเธอดีน่าแม็กกี้” บรูซหัวเราะเป็นครั้งแรกหลังจากที่คุยกันมานาน เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวเสียงเบาว่า “ฉันต้องวางแล้ว...โชคดีแม็กกี้””

            “เช่นกันค่ะบรูซ”

            แมคเคนซี่วางสาย เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพายแล้วสาวเท้าเร็วๆ ออกจากไชนาทาวน์ไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด และระหว่างที่รอสัญญาณไฟให้คนเดินข้ามถนน เธอมั่นใจว่าเห็นผู้ชายดิบเถื่อนที่เคยยืนสูบซิการ์อยู่ด้านล่างอะพาร์ตเมนต์ของเอมิลี่ กำลังเดินตามผู้ชายสองคนเข้าไปในภัตตาคารที่เธอเพิ่งเดินออกมา

            ท่าทางของผู้ชายคนนั้นทำให้แมคเคนซี่นึกถึงใครบางคนที่ทำให้เธอหวาดผวาได้ทุกครั้งที่เห็น ทั้งยังกระตุ้นบางสิ่งที่เธอพยายามลืมมัน พยายามปกปิดและฝังกลบมันให้ลึกสุดใจ หญิงสาวรีบข้ามถนน ทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังแล้วก้าวต่อไปข้างหน้า

             

            บรรยากาศภายในภัตตาคารเต็มไปด้วยความตึงเครียด ชายหนุ่มสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะก็จริง ทว่าเมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็กลับเอาแต่นั่งจ้องหน้าหยั่งเชิงกัน ฟาดฟันกันด้วยสายตาอยู่นานสองนาน เดฟมองผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสนใจ เพราะถ้าเทียบกับดิเอโกแล้ว ชายคนนี้นิ่งกว่ามาก ทั้งที่ดูอายุไม่เท่าไร แต่กลับสุขุม ควบคุมอารมณ์และดูอันตรายสมกับที่เป็นมาเฟีย แต่คงไม่ใช่ตัวใหญ่ที่สุด น่าจะเป็นคนสำคัญสักคนในกลุ่มมากกว่า และคงสำคัญมากด้วย ดูจากการที่มีคนติดตามมาทีหลังอีกสองถึงสามคน ที่แม้จะไม่แสดงตัว แต่เดฟดูออก

            “จะไม่บอกหน่อยหรือว่าเจ้านายของคุณชื่ออะไร” ปากถามดิเอโกก็จริง ทว่าดวงตาคู่คมปานนักล่าของทหารรับจ้างหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเหล่อเหลาคมคายของผู้ชายเสื้อเชิ้ตขาวแทน

            “ลอเรนโซ กัสซาโน” ผู้ชายมาดนิ่งคนนั้นสบตาเดฟตรงๆ

            “เข้าใจละ เข้าเรื่องมาเลยดีกว่า” เดฟไหวไหล่ แค่ได้ยินนามสกุลก็มั่นใจแล้วว่าพวกกัสซาโนไม่ผิดตัวแน่นอน

            “หลักๆ ก็คือสืบหา บรูซ เกรย์สัน”

            “คุณก็รู้ว่าผมต้องการมากกว่านั้น” ทหารรับจ้างหนุ่มพูดเสียงเรียบ เท้าศอกบนโต๊ะ สองมือประสานตรงหน้า จ้องมองคู่สนทนาด้วยดวงตาทอประกายคมกริบ

            “อยู่ในนี้หมดแล้ว...ทุกอย่าง” ลอเรนโซส่งแฟลชไดรฟ์ให้ แต่เดฟส่ายหน้า

            “ผมต้องการแบบเอกสารจับต้องได้ ผมไม่เสียเวลาไปเปิดดูที่บ้านแล้วเริ่มงานแน่ๆ”

            ดิเอโกถอนหายใจแล้วส่งซองเอกสารให้แทน และนั่นก็ทำให้เดฟมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุๆ ที่ไม่เอาให้เขาเสียตั้งนานแล้ว ทั้งที่มีมันอยู่กับมือแท้ๆ

            มือหนาเปิดซองแล้วหยิบเอกสารข้างในออกมาดู ดวงตาคมกริบไล่มองเอกสารอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะเป็นชีวิตทั่วไปของบรูซ ที่พักที่อยู่ย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์กับสำงานทนายความที่อยู่ในมิดทาวน์ ช่วงเวลาไปกลับเฉลี่ยในแต่ละวัน รวมไปถึงสมาชิกกอล์ฟคลับและอื่นๆ ที่คิดว่าบรูซจะไป บ้านพักที่อยู่ชานเมืองนิวยอร์ก และสุดท้ายคือภาพของทนายวัยกลางคนและหญิงสาวรุ่นคนหนึ่งที่เขาคุ้นตา

            คนที่เจอที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ของเอมิลี่นั่นเอง...

            จากเท่าที่ดูเอกสารต่างๆ ที่ทางพวกกัสซาโนหามาให้อย่างละเอียด ดูแล้วพวกนี้ก็สามารถตามหาบรูซได้ด้วยตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมถึงมาจ้างเขา

            “ผมคิดว่าคุณกำลังสงสัย” ลอเรนโซเปรย แล้วเดฟก็พยักหน้าขรึมๆ

            “ใช่”

            “ทั้งผมและคนของผมมักจะถูกตามเสมอ และอีกอย่าง ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าบรูซอยู่ที่ไหน เราติดต่อเขาไม่ได้เลย”

            “ผู้หญิงคนนี้ใคร” ปลายนิ้วกร้านเคาะลงบนรูปหญิงสาวข้างกายบรูซพลางเลื่อนไปให้ลอเรนโซและดิเอโกดู

            “คิดว่าน่าจะเป็นเมียเก็บที่บรูซเลี้ยงไว้”

            “เกี่ยวข้องไหม”

            “ไม่” ลอเรนโซตอบ “เธอยังเป็นนักศึกษา”

            “เธอจะรู้ไหมว่าบรูซไปไหน”

            “คิดว่าไม่” ดิเอโกเป็นฝ่ายตอบบ้าง “เพราะผมตามดูเธอนานแล้ว”

            “เธออยู่ที่ไหน”

            “อัปเปอร์อีสต์ไซด์” เจ้านายของดิเอโกเป็นคนตอบ

            เดฟลูบปลายคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราอย่างครุ่นคิด เป็นไปได้อย่างที่พวกนั้นบอก บางทีเธออาจจะเป็นเมียเก็บจริงๆ ก็ได้ เป็นแค่นักศึกษาไม่น่ามีเงินพักในย่านนั้น

            “มีเบาะแสอื่นมากกว่านี้ไหม”

            “รถของบรูซจอดทิ้งไว้ที่ถนนสายหนึ่งในแถบชานเมือง บางทีคุณอาจจะเริ่มตามได้จากที่นั่น”

            “ผมมีเวลาเท่าไหร่”

            ลอเรนโซกับดิเอโกสบตากันทันที

เดฟสังเกตแววพึงพอใจในสายตาของทั้งคู่ ดิเอโกหันมายิ้มมุมปากให้เขาอย่างชัดเจน แต่ลอเรนโซยังคงมาดนิ่งขรึมไว้เหมือนเคย

            “ไม่จำกัด แต่ผมขอให้เร็วที่สุด” เจ้านายของดิเอโกตอบ

            “ได้สิ”

            “เงินก้อนแรกจะโอนเข้าบัญชีคุณทันที”

            “ตามนั้น” เดฟลุกขึ้น ทว่าดิเอโกรั้งไว้เสียก่อน

            “ไม่กินอะไรก่อนหรือครับ ทั้งติ่มซำทั้งเป็ดย่างห่านย่างเต็มโต๊ะขนาดนี้”

            “ไม่ละ” ทหารรับจ้างหนุ่มตอบแบบไม่ต้องคิด เขาไม่อยากสนิทกับคนพวกนี้มากเกินไป แค่รับงานมาจนได้นี่เขายังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ปกติเดฟไม่รับงานให้พวกอาชญากร แต่งานนี้ดูมีลับลมคมในซึ่งเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุด จึงได้ตกปากรับคำในที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากเป็นเพื่อนกับอาชญากร

            “ผมจะคอยติดต่อคุณเป็นระยะๆ ถ้ามีอะไรอยากให้เราช่วยเหลือก็บอก” ลอเรนโซกำชับ

            หนุ่มมาดดิบยักไหล่ไม่แยแส ขยับลำคอไปมานิดๆ ไล่ความเมื่อยขบออกไป แต่ดิเอโกก็ยังดึงแจ็กเกตเขาไว้อีก จนเดฟชักรำคาญ

            “อะไร”

            “คุณลืมแฟลชไดรฟ์”

            “แล้วไง แค่นี้ก็พอแล้ว” เขาถามรวนๆ กึ่งประชดกึ่งรำคาญ ปกติแล้วเดฟเป็นคนเก็บอารมณ์ได้เสมอ แต่กับดิเอโกนี่เห็นทีไรอดหมั่นไส้ไม่ได้ทุกครั้งไป

            “ไว้ผมจะเป็นคนคอยติดต่อคุณเองครับเดฟ”

            “ลอเรนโซ คุณจะส่งใครมาก็ได้ยกเว้นไอ้หมอนี่” ทหารรับจ้างหนุ่มหันไปบอกกับลอเรนโซด้วยท่าทางเดือดจัด ดวงตาคมกริบทอประกายวาววับ

ลอเรนโซยังเฉย เขายกน้ำชาจีนขึ้นจิบเบาๆ แล้วตอบเสียงเรียบเช่นเดียวกับใบหน้า “คงไม่ได้หรอกครับ ดิเอโกกำลังจะขึ้นมาเป็นมือขวาของผม”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ขออวยพรให้ชีวิตคุณไม่ต้องพบเจอกับหายนะในเร็วๆ นี้แล้วกัน” เดฟสบถเบาๆ หยิบบุหรี่ออกจากซองแล้วจุดสูบ จงใจพ่นควันใส่ดิเอโกแล้วเดินออกจากห้องอาหาร แต่ยังไม่ทันก้าวออกไปนอกประตู เสียงของดิเอโกก็ดังขึ้นเสียก่อน

            “ดีใจที่ได้ร่วมงานกันครับ”

            เดฟชูนิ้วกลางให้อีกฝ่ายพร้อมกับชักสีหน้าอำมหิตใส่แล้วเดินออกไปทันที

 

            เดฟสูบบุหรี่จนหมดมวนแล้วจึงขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันเก่งของตัวเอง บังคับให้ทะยานไปตามท้องถนนด้วยความเร็วจำกัด แรกทีเดียวเขาไม่มีจุดหมาย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน มันคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ที่พักหรูหราของ บรูซ เกรย์สัน

            ไทรอัมพ์ แสครมเบลอร์จอดลงที่หน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งบนถนนอีสต์แปดสิบในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ ทันทีที่มาถึง ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยเพราะจำได้ว่าเป็นที่พักเดียวกับเพื่อนสาวของเอมิลี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนเดียวกัน

            ทหารรับจ้างหนุ่มปัดเรื่องนั้นออกไปก่อน เขาลองถามคนที่พักแถวนั้นคนหนึ่งและทราบว่าไม่เห็นทนายบรูซนานแล้ว ปกติบรูซชอออกมาวิ่งออกกำลังกายทุกเช้า แต่ไม่เห็นมาราวๆ หนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ จนบางคนคิดว่าบรูซย้ายออกจากที่นี่ไปพักที่ออฟฟิศในมิดทาวน์แล้วเสียอีก

            เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะรออยู่ที่นี่และตอนนี้ก็ดึกแล้ว เดฟจึงตัดสินใจจะหาที่พักง่ายๆ ไปก่อน แต่อย่างแมนแฮตตันนี่น่ะหรือจะมีที่พักง่ายๆ ราคาถูกอยู่ด้วย พอดีกับที่เสียงสัญญาณข้อความโทรศัพท์ดังขึ้นจากลอเรนโซ เป็นหลักฐานโอนเงินค่าจ้างก้อนแรกเข้าบัญชี เดฟไหวไหล่ อย่างน้อยคืนนี้เขาก็กินหรูนอนสบายได้ แต่กลับไม่มีอารมณ์อย่างนั้น เขากลุ้มใจเรื่องตามหาบรูซมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องยากก็จริง แต่ก็ไม่ง่ายเลยถ้าจะทำคนเดียวโดยไม่พึ่งเทคโนโลยีการติดตาม

 

            รุ่งเช้าเดฟตื่นมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งเลยจากที่พักไปราวๆ สิบบล็อกแล้วกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นช่วงเวลาทำงานที่ผู้คนเริ่มพลุกพล่านพอดี ชายร่างสูงเดินปะปนกับผู้คนออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมายังสถานีถนนเจ็ดสิบเจ็ดในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์แล้วเดินไปอีกสามสี่บล็อก จนกระทั่งถึงที่พักของบรูซ เกรย์สัน เขาเฝ้าอยู่ตรงนั้นร่วมครึ่งชั่วโมงก็เห็นหญิงสาวร่างแบบบางคุ้นตาเดินออกมาจากอะพาร์ตเมนต์ ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยหนังสือ ใบหน้าขาวเนียนค่อนไปทางจืดชืดของเจ้าหล่อนทาเพียงแป้งบางๆ และสลิปสติกสีอ่อนเท่านั้น สองแก้มแดงเพราะอากาศเย็น เธอไม่สังเกตเห็นเขาเพราะมัวแต่เร่งฝีเท้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน

            ไม่มีอะไรน่าสงสัย...

            เดฟจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ไม่มีวี่แววของบรูซและคนอื่นๆ ที่คิดว่าจะตามหาบรูซ ไม่มีใครเลยนอกจากเขา จึงออกจากย่านที่พักของบรูซกลับไปที่โรงแรม เปิดเอกสารเกี่ยวกับ บรูซ เกรย์สัน ดูจุดที่รถของบรูซถูกจอดทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อน และเป็นทางสายเดียวกับที่จะไปยังบ้านพักชานเมืองที่บรูซซื้อไว้ เดฟดับบุหรี่ เก็บของทั้งหมดลงไปเช็คเอาต์  ทว่าเมื่อออกจากโรงแรมในแถบมิดทาวน์ ก็กลับได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

            “โคลิน” ทหารรับจ้างหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างล่ำสันของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอวัยกลางคน และฝ่ายนั้นก็ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขา

            “เดฟ”

            “มาทำงานหรือครับ”

            “ตามเบาะแสมานิดหน่อย...คนเดิมที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ”

            “เขาอยู่ที่นี่หรือครับ”

            “มีคนแจ้งว่าเจอ แต่พอมาก็ไม่เห็นใคร” โคลินบอก

วูบแรกเดฟนึกไปถึงหญิงสาวหน้าใสที่เดินออกมาจากอะพาร์ตเมนต์เดียวกับบรูซ “กำลังจะกลับหรือครับ” ชายหนุ่มถามตามมารยาท แต่จากอาการเครียดจัดของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็พอเดาได้

            “ใช่ แล้วคุณล่ะเดฟ จะออกจากแมนแฮตตันแล้วหรือ”

            “ครับ ผมว่าจะกลับบ้านแล้วละ”

            “ไว้เจอกันคราวหน้าหวังว่าเราจะได้ไปดื่มกัน”

            “ผมก็หวังอย่างนั้นโคลิน” เดฟพยักหน้าเบาๆ แล้วแยกตัวออกมา เขาขึ้นคร่อมไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์คันเก่งแล้วมุ่งหน้าออกจากแมนแฮตตัน

 

                ในตัวเมืองที่จำกัดความเร็วทำให้ทหารรับจ้างหนุ่มไม่อาจเร่งความเร็วได้ตามที่ใจต้องการ ทว่าเมื่อออกจากแมนฮันตันได้แล้วเดฟก็ยิ้มออก ชายหนุ่มเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดให้บิ๊กไบค์ทะยานไปตามท้องถนน อากาศที่ค่อนข้างหนาวและสายลมที่ปะทะใบหน้าและผ่านตัวไปแทบจะทำให้แข็งตายได้ทีเดียว แต่เดฟไม่เป็นเช่นนั้น ความเร็วอยู่ในสายเลือด แค่ได้ขับรถเร็วได้ทำในสิ่งที่ใจต้องการก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านได้แล้ว

            เดฟออกจากแมนแฮตตันก่อนเที่ยงและมาถึงยอนเกอร์สในตอนบ่าย ขับตามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงถนนปาล์มเมอร์ที่เป็นจุดหมายของเขา ชายหนุ่มชะลอรถพลางมองหาบ้านเลขที่ที่เป็นที่ตั้งบ้านของบรูซ แต่ยังไม่เจอจึงต้องสอบถามจากคนแถวนั้น และรู้ว่ามันอยู่ตัดไปอีกแยก ขึ้นเนินไปเล็กน้อย และอยู่หลังสุดท้ายบนเนินนั้นเอง

            บ้านที่อยู่ตรงหน้าเป็นบ้านสองชั้นทาสีควันบุหรี่ มีสวนเล็กๆ หน้าบ้าน และรถยนต์ของบรูซก็จอดอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย ตรงกันทั้งสีและป้ายทะเบียนตามที่พวกกัสซาโนให้มา เดฟค่อยถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อยเขาก็มาไม่เสียเที่ยว ชายหนุ่มจอดรถแล้วเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน รอเพียงชั่วครู่เท่านั้นประตูหน้าบ้านก็เปิดออก

            “มาหาใครครับ”

            ผู้มาเยือนหรี่ตาลงเล็กน้อย คนที่มาเปิดประตูให้ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับ บรูซ เกรย์สัน เลยสักนิด เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียว ผิวขาวจัด และสวมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้น หน้าตาก็ไม่เหมือนบรูซเลยแม้แต่น้อย

            “ที่นี่ใช่บ้านของเกรย์สันหรือเปล่า บรูซ เกรย์สัน น่ะ”

            “เคยใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

            “หมายความว่ายังไง”

            “เขาขายให้พ่อแม่ผมเมื่อเกือบเดือนก่อน ผมเพิ่งจะย้ายเข้ามาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”

            “แล้วเขาไปไหน”

            “แล้วคุณเป็นอะไรกับเขาล่ะ” เด็กหนุ่มกอดอกหมับ แล้วมองเดฟตั้งแต่หัวจดเท้า

สายตาหยิ่งๆ นั้นทำเอานายทหารรับจ้างหนุ่มชักอย่างจะเตะเด็กขึ้นมาติดหมัด ถ้าไม่ติดว่ากำลังทำงานเขาอาจจะจัดให้สักทีก็ได้ กวนประสาทดีนัก ชีวิตนี้เขาจะเจอแต่พวกกวนตีนหรือไงกัน

            “เอาเป็นว่าผมหวังดีกับเขาแล้วกัน”

            “ใครมาก็พูดแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น”

            “เคยมีคนมาหาเขาบ่อยหรือ” ข้อมูลที่ได้รับรู้ยิ่งทำให้เดฟสงสัยเข้าไปอีก แสดงว่าอาจจะไม่ได้มีแค่พวกกัสซาโนเท่านั้นที่ตามล่าบรูซ แล้วมันพวกไหนกัน

            “บ่อยไป”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ตอบมาว่าเขาอยู่ที่ไหน”

            “แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมต้องบอก” เด็กหนุ่มเหวี่ยงประตูปิดทันที แต่เดฟยกมือกันไว้แล้วถีบประตูเต็มแรงจนเด็กหนุ่มผงะ กระโดดหนีออกให้พ้นวงประตูแทบไม่ทัน

            “ทำบ้าอะไรน่ะ!”

            “บอกมาดีๆ ว่า บรูซ เกรย์สัน อยู่ที่ไหน!”

            “ทำไมผมต้องบอกล่ะ...”

            “ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เชื่อเถอะไอ้หนูว่าฉันไม่ใช่คนมีความอดทนมากนักหรอก!” เดฟคำรามเสียงกร้าว ดวงตาดุดันเอาจริงเอาจังส่งให้ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของเขายิ่งดูอำมหิตกว่าเดิมขึ้นไปอีก บ่งบอกว่าคนอย่างเขาทำได้ทุกอย่างไม่เลือกวิธีการและไม่สนใจด้วยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แค่ให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการก็พอ

            “ผมจะแจ้งเก้าหนึ่งหนึ่ง”

            “ตามสบายเลยไอ้หนู ถ้านายรอดจากมีดของฉันได้” เขากำรอบคอเด็กหนุ่มด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างหยิบมีดพับอีเมอร์สันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ประกายคมมีดวาววับอย่างที่ทำให้คนในอุ้งมือตัวสั่น

            “คุณฆ่าผมหรือใครไม่ได้หรอก”

            “ได้สิถ้ามีใบอนุญาตฆ่า แล้วอย่าคิดล่ะว่ามันไม่มีจริง”

            คราวนี้อีกฝ่ายมีท่าทีลังเลทันที แต่ยังพยายามฝืนทำเก่ง “คุณจะทำอะไรเกรย์สัน”

            “เขากำลังตกอยู่ในอันตราย มีคนให้ฉันมาช่วยเขาออกไป”

            “เขาอยู่ที่บ้านอีกหลัง” เด็กหนุ่มตอบในที่สุดแล้วกระแอมหลายครั้งติดหลังจากเดฟปล่อยมือ

            “อยู่ที่ไหน”

            “ยี่สิบสาม ถนนโคลิน”

            “นายรู้ได้ยังไง ไหนว่าเขาขายบ้านให้พ่อนายตั้งแต่เกือบเดือนที่แล้ว”

            “รู้สิ...ก็รถเราสองคนชนกันตรงแยกถนนโคลินตัดกับล็อควูด อเวนิว แต่เขาไม่เอาเรื่องผม”

            “แล้วทำไมรถเขามาอยู่ที่นี่”

            “ที่นี่กำลังจะเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ และเขาก็ยินดีจะให้รถเขามา...เฮ้! คุณ ไม่ฟังก่อนเหรอ!”

            เดฟเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าบรูซไม่ได้มีบ้านแค่หลังเดียว นั่นแสดงว่าเจ้าตัวก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่ว่า บรูซ เกรย์สัน กำลังหนีอะไรหรือหนีใครอยู่ก็ตาม และคนพวกนั้นก็กำลังตามบรูซอยู่ด้วย

            ชายหนุ่มก้าวออกจากบ้านอย่างเร่งรีบแล้วก้าวขึ้นไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ อย่างรวดเร็ว แต่เด็กหนุ่มเจ้าเดิมก็วิ่งมาหาเขาเสียก่อน

            “คุณควรรีบไปเพราะเมื่อเช้าก็มีคนมาถามหาเขาเหมือนกัน”

            “ใคร” เดฟหรี่ตา ใบหน้าดุดัน

            “ไม่รู้ เขาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประกันของบรูซ”

            “หน้าตาเป็นยังไง”

            “ก็...สุภาพดี สวมสูทผูกไทเรียบร้อย”

            “เวร!” เดฟสบถ เขาสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะสายเกินไปอย่างที่เด็กคนนั้นว่า

 

                บ้านอีกหลังของบรูซอยู่ห่างจากบ้านเดิมของเขาไม่เท่าไร ระดับความเร็วและความชำนาญในการใช้ถนนของเดฟทำให้จากถนนปาล์มเมอร์มาถึงถนนโคลินใช้เวลาสิบกว่านาทีเท่านั้น เดฟลงจากรถแล้วตรงไปกดกริ่งหน้าบ้านเลขที่ยี่สิบสามตามที่เด็กคนนั้นบอก แต่ไม่ว่าจะพยายามกดกี่ครั้แต่ก็ไม่มีคนมาเปิดประตูเสียที

            “บรูซ” เดฟตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครตอบรับจนเขาตัดสินใจลองผลักประตูเข้าไป

            บ้านไม่ได้ล็อก...

            สัญชาตญาณเตือนให้ทหารรับจ้างหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องผิดปกติแล้ว เขาหยิบปืนจากสายสะพายบ่าใต้แจ็กเกตหนังของตัวเองขึ้นแล้วส่องไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง และไม่เสี่ยงเรียกชื่อเป้าหมายอีก

            บ้านเงียบ ทุกห้องเงียบ มีเสียงเปิดน้ำอย่างแรงและเสียงน้ำจากที่สูงกว่าไหลตกลงพื้น เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นในห้องน้ำ เดฟเดินตามเสียงนั้นไปอย่างช้าๆ จดฝีเท้าขนาดใหญ่ของเขาอย่างเงียบกริบ จนกระทั่งพบห้องน้ำในที่สุด

            ชายหนุ่มแนบแผ่นหลังกับผนังหน้าห้องน้ำ ยื่นมือออกไปผลักประตูเบาๆ แล้วเล็งปืนไปข้างหน้าระวังตัวไว้ แต่ก็ไม่มีใคร

            ชั้นล่างไม่มีใครอยู่เลย เดฟจึงค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ดวงตาคมกริบสอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเลย บ้านเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ จึงตรงไปยังห้องที่ใหญ่ที่สุดทันที

            ห้องนี้ก็เงียบเหมือนห้องก่อนๆ และนั่นทำให้เดฟรู้สึกไม่ดีเลย การที่เด็กคนนั้นบอกว่ามีนายประกันของบรูซมาตามหา ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาขอให้เป็นตัวแทนประกันของบรูซจริงๆ เถอะ

            มือหนาผลักประตูห้องนอนให้เปิดออกแล้วเล็งปืนในมือเตรียมพร้อมทันทีหากมีการปะทะ แต่มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เมื่อเห็นร่างของ บรูซ เกรย์สัน นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงในสภาพอ้าปากตาค้าง แผ่นอกไม่สะท้อนขึ้นลงตามที่ควรจะเป็น

            ทหารรับจ้างหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วแตะนิ้วลงบนข้างลำคอของทนายหนุ่มใหญ่ บรูซตายแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเพราะอะไรก็ตาม แต่ บรูซ เกรย์สัน ตายแล้วทั้งที่มือยังกำโทรศัพท์อยู่

            ดวงตาคมกริบของเดฟมองหน้าจอที่เพิ่งดับวูบลงอย่างสงสัยว่าเมื่อครู่ บรูซ เกรย์สัน โทรหาใคร เป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนโทร. เข้ามาพอดี

            แมคเคนซี่ กรีน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น