2

ตอนที่ 2



 

             คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเขานะเดฟ...บรูซ เกรย์สัน เป็นทนายที่เก่งที่สุดในนิวยอร์กเลยละ

            แมคเคนซี่เดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองในเขตอัปเปอร์อีสต์ไซด์ วันนี้มีนัดกับเรนนี่ว่าจะไปช่วยเอมิลี่ย้ายหอพักมาอยู่ย่านเดียวกับเรนนี่ที่อัปเปอร์เวสต์ไซด์เพราะใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า และราคาที่พักก็ถูกกว่า บรรยากาศไม่พลุกพล่านเท่า ซึ่งเธอเองก็อยากย้ายเช่นกัน แต่ติดที่พ่อไม่ยอม

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นสองครั้งและเงียบไป แต่ไม่นานก็ดังขึ้นอีก แมคเคนซี่กดรับสายเมื่อเห็นว่าปลายสายคือเบอร์โทร.ที่ไม่ได้โทร.มาหาเธอเสียนาน

            “ค่ะบรูซ” เจ้าของน้ำเสียงหวานรับสาย ขณะเดินข้ามถนนจากบล็อกที่พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาที่หมุนไป

            “ช่วงนี้ฉันไม่อยู่บ้าน ไม่ต้องมาหานะ”

            “นานหรือเปล่าคะ”

            “ก็สักพัก”

ปลายสายตอบเสียงเครียด ผิดกับปกติที่ใจเย็นและอารมณ์ดีเสมอของบรูซ

            แมคเคนซี่รู้จักกับบรูซมาสักพักแล้ว ตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่แมนแฮตตันใหม่ๆ เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบกว่าปีที่ดูแก่เกินวัยไปมาก พักอยู่อะพาร์ตเมนต์ที่เดียวกับเธอและนั่นทำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน แมคเคนซี่สนใจหนังสือและประวัติศาสตร์ บรูซก็เช่นกัน เขาชวนเธอไปดูหนังสือที่ห้องเขาและนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบแปลกๆ ระหว่างเขากับเธอ ความสัมพันธ์ที่คนภายนอกไม่เข้าใจและคิดว่าน่ารังเกียจทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรเลย...ก็แค่คนแก่ไม่มีญาติกับหญิงสาวที่โดดเดี่ยวเท่านั้น

            “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะบรูซ” แมคเคนซี่อดห่วงไม่ได้ เขาหายหน้าหายตาไปสักพักแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย จะให้เธอโทร.ไปก่อนก็ไม่กล้าพอ กลัวว่าเขาจะยุ่งๆ เรื่องงานจึงได้แต่รอว่าบรูซจะกลับมาเมื่อไหร่

            “ไม่มีอะไร ว่าแต่ไม่มีใครมาหาฉันใช่ไหม”

            “ไม่นะคะ”

            “แล้วนั่นเธออยู่ที่ไหนล่ะแม็กกี้”

เขามักจะเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้เสมอ และนั่นทำให้เด็กสาวอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที

            “กำลังออกไปหาเพื่อนค่ะ เอมิลี่จะย้ายหอ เธอเพิ่งกลับจากบ้านที่ฮัดสัน วัลเลย์พอดี เลยว่าจะไปช่วย”

            “ไม่มีใครตามเธอใช่ไหม”

            “ไม่นี่คะ” ดวงตากลมโตมองไปรอบตัว...อัปเปอร์อีสต์ไซด์ก็วุ่นวายเป็นปกติอยู่แล้ว เธอเห็นว่าคนส่วนมากก็ต่างคนต่างเดินด้วยความเร็วราวกับนักกีฬาโอลิมปิกด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครสนใจเด็กสาวจืดชืดอย่างเธอเลยสักคน

            “ก็ดีแล้ว”

            “คุณอยู่ที่ไหนคะบรูซ บอกฉันได้ไหม”

            “บอกไม่ได้หรอกแม็กกี้ ไว้ทำธุระเสร็จก็จะกลับ แล้วจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตาตามสัญญา”

            “ฉันจะรอนะคะ”

            “แล้วเจอกันแม็กกี้”

            “แล้วเจอกันค่ะบรูซ” แมคเคนซี่วางสายแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก แต่ก็ยังแพ้ผู้คนที่นี่อยู่ดี เธอคิดว่าบางทีตอนที่อยู่กับแม่เธอคงติดนิสัยทำอะไรเชื่องช้าอืดอาดแบบที่แม่มักบอกเสมอว่ามันคือคำว่า ‘กุลสตรีไทย’ มากไปหน่อย กว่าจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่ก็อย่างว่า...เธอเกิดที่อเมริกาก็จริง แต่ไปโตที่เมืองไทยนานเกินไปจนไม่มีอะไรเหมือนคนอเมริกันเลยสักอย่าง

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มาจากบรูซ แต่เป็นเรนนี่เพื่อนสนิทชาวจีนของเธอ สิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากรับสายคือถูกเรนนี่บ่นว่าเธอไปช้ากว่าเวลา...แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เธอฝ่าผู้คนไปได้ยากลำบากจริงๆ

            แมคเคนซี่ลงจากสถานีรถไฟใต้ดินมาที่เขตอัปเปอร์เวสต์ไซด์ที่ตรงไปยังถนนบรอดเวย์ ทิ้งซากกระดาษห่อแฮมเบอร์เกอร์จากร้านซับเวย์ลงถังขยะ แล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปยังที่พักของเอมิลี่ที่แยกเข้าไปในถนนเวสต์อีกบล็อก ยังไม่ทันที่จะขึ้นไปหาเพื่อนๆ เธอก็เดินชนกับใครบางคนจนกระเป๋าสะพายตกพื้น ข้าวของข้างในกระจายเกลื่อน

            “ขอโทษค่ะ” แมคเคนซี่บอก รีบก้มเก็บของแล้วลุกมายิ้มแห้งๆ ให้

            คนตรงหน้าเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อยืดสีดำ แจ็กเกตหนังสีดำและกางเกงยีนขาดๆ สีเข้ม ใบหน้าคมเข้มถูกบดบังด้วยหนวดเคราที่ยาวไปตามข้างแก้มแนวกรามและลำคอ เธอไม่เห็นว่าดวงตาของเขาเป็นอย่างไรเพราะถูกแว่นกันแดดสีดำบดบังไว้ เขาสูบซิการ์ด้วย นั่นยิ่งทำให้แมคเคนซี่รู้สึกว่าเขาช่างอันตรายเหลือเกินและเป็นคนประเภทที่ไม่ควรเข้าใกล้เป็นที่สุด เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ร่างบางจึงหันหลังแล้วเดินเข้าไปในหอพักของเพื่อนทันที

            “ขอโทษที่สาย”

แมคเคนซี่เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะก่อน และนั่นก็ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเพราะในห้องไม่ได้มีแค่เรนนี่และเอมิลี่เท่านั้น แต่โจนาธาน ผู้เป็นพี่ชายของเอมิลี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย

            “ไงแม็กกี้”

โจเดินเข้ามาหาแล้วดึงเธอเข้าไปกอดอย่างอบอุ่น แมคเคนซี่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอ แต่ก็อดเกร็งตัวไม่ได้ จนเอมิลี่หัวเราะเบาๆ

            “พี่ทำเต่าน้อยแม็กกี้ของเราตกใจอีกแล้วนะ ก็รู้อยู่แม็กกี้ไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนแตะตัว”

            “พี่กำลังจะกลับพอดี คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วเสียอีก” โจยิ้มอบอุ่นอย่างที่เป็นเสมอเวลาเจอกัน แต่แมคเคนซี่ก็ยังเกร็งๆ เวลาที่ชายหนุ่มเดินโอบบ่าเล็กของเธอไว้

            “พี่จะแกล้งเต่าน้อยของเราไปถึงไหนกันโจ กลับบ้านไปได้แล้ว” สุดท้ายเอมิลี่ต้องเป็นฝ่ายดึงพี่ชายของตัวเองออก ไม่อย่างนั้นก็คงจะหาเรื่องแกล้งแมคเคนซี่ไม่หยุด

            “ว่างๆ ก็พากันไปเที่ยวที่บ้านนะ เออร์วิงตันยินดีต้อนรับเสมอ”

            “เรนนี่อยากไปล่าผีที่สลีปปี ฮอลโลว์มากกว่า ยายนี่คอซีรีส์อเมริกาของแท้” เอมิลี่คนเดียวเป็นฝ่ายคุมการสนทนาไว้เกือบหมด จนพี่ชายได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ

            “พี่กลับก่อนแล้วกัน มีอะไรก็โทร.หาพี่นะสาวๆ ตกลงนะ”

            “เดินทางปลอดภัยนะคะโจ” แมคเคนซี่พูดกับโจเป็นครั้งแรก และนั่นก็ทำเอาชายหนุ่มยิ้มกว้าง เขาดึงร่างบางเข้าไปกอดและจูบแก้มแรงๆ ก่อนจะเดินออกไป

            แมคเคนซี่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ โจออกไปตั้งนานแล้วแต่เธอยังคล้ายคนไม่มีสติจนเพื่อนๆ อีกสองคนได้แต่หัวเราะขำๆ โดยเฉพาะเอมิลี่ผู้สวยและรวยเสน่ห์ถึงขั้นดึงเธอไปนั่งบนพื้นพรมกลางห้องแล้วเริ่มอบรมสั่งสอนวิชาเข้าหาผู้ชายทันที

            “เธออายุยี่สิบแล้วนะแม็กกี้ หัดเล่นหูเล่นตาบ้างก็ได้ อะไรกัน...แค่โจจูบแก้มแค่นี้ก็หน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลม จูบแบบนั้นของโจน่ะยิ่งกว่าเด็กทารกจูบกันเสียอีก มันไม่มีความหมายอะไรเลยนอกจากมิตรภาพนะ”

            “ฉันไม่ชินกับคนแปลกหน้า...เธอก็รู้” แมคเคนซี่ก้มหน้าจนคางจดอก...ใช่ว่าเธออยากเป็นแบบนี้เสียเมื่อไหร่ แต่จะทำอย่างไรได้ เธอไม่ชินเวลาถูกเพศตรงข้ามแตะเนื้อต้องตัว มันทำให้หวนนึกไปถึงความทรงจำ ‘บางอย่าง’ เสมอ

            “แต่เธอสนิทกับผู้ชายแก่คราวพ่อคนนั้นเนี่ยนะ” เอมิลี่ทำหน้าเหลือเชื่อ

            “เขาลือกันจะทั้งยูอยู่แล้วว่าเธอเป็นเมียเก็บเขา ยิ่งเธอนิ่งพวกนั้นก็ยิ่งลือนะแม็กกี้ เธอไม่คิดจะแก้ต่างหน่อยหรือไง”

            “ฉันเบื่อน่ะ ปล่อยไปเถอะ ใครอยากพูดอะไรก็ช่าง ฉันไม่สนใจหรอก”

            “เธอนี่น้า” เรนนี่พลอยถอนหายใจไปด้วย

ตั้งแต่รู้จักกันมา แมคเคนซี่เป็นเพื่อนที่ดีก็จริงแต่เข้าถึงยากเหลือเกิน ชอบทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จา เย็นชาและดูมีความลับเสมอ บางครั้งก็อยากถาม แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อมบอก เธอจึงไม่คิดจะซักไซ้ ไว้วันไหนพร้อมแมคเคนซี่คงจะบอกพวกเธอเอง

            “ช่างเถอะน่า เรารีบช่วยเอมิลี่จัดห้องดีกว่า” แมคเคนซี่กระตุ้นเพื่อนทั้งยังเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน ซึ่งสาวๆ ก็พยักหน้าแล้วเริ่มช่วยกันจัดห้องของเอมิลี่

            แมคเคนซี่มองเพื่อนทั้งสองที่กำลังช่วยกันขนของเข้าห้องไปพลาง พูดคุยและหัวเราะไปพลางด้วยแววตาซาบซึ้งเหลือเกิน ใช่ว่าไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวเอง...เธอได้ยินมานานแล้วว่าพวกสาวๆ ในมหาวิทยาลัยเอาเธอไปพูดลับหลังว่าเป็นเมียเก็บของชายแก่คราวพ่อ เพื่อนๆ หลายคนไม่อยากยุ่งกับเธอ มีก็แค่เอมิลี่กับเรนนี่เท่านั้นที่คุยกับเธอ

เรนนี่เป็นเพื่อนเรียนที่นิสัยและการใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ส่วนเอมิลี่...แรกทีเดียวแมคเคนซี่คิดเสมอว่าเอมิลี่มาสนิทด้วยเพราะแค่เรื่องเรียนเท่านั้น จะไม่ให้เธอคิดอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อเอมิลี่ไม่มีอะไรเหมือนเธอกับเรนนี่เลย เอมิลี่สวย มีเสน่ห์ทั้งในหมู่เพศเดียวกันและเพศตรงข้าม เป็นเชียร์ลีดเดอร์เก่าและแน่นอนว่าฝ่ายนั้นบริหารเสน่ห์บ่อยๆ เรียกว่าพอปพิวลาร์ทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชายทีเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เอมิลี่มักจะปกป้องเธอเสมอเวลาที่เธอถูกแกล้งและถูกนินทา ถ้าได้ยินเมื่อไหร่เอมิลี่จะเถียงกลับแทนทันที และแน่นอนว่าไม่มีใครเถียงเอมิลี่สาวสวยอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยเลยสักคน อีกทั้งยังเชื่อใจเธอเสมอ แล้วจะไม่ให้เธอผูกพันกับเพื่อนสองคนนี้ได้อย่างไร

            “เหม่ออะไรน่ะแม็กกี้” เรนนี่ถาม แล้วเดินเข้ามาช่วยยกกล่องใส่หนังสือไปจากมือเธอ

            “คิดว่าถ้าฉันไม่รู้จักเธอสองคนแล้วฉันจะทำยังไง”

            “ก็สู้คนเสียบ้างสิเต่าน้อย”

ถ้าเป็นคนอื่นเรียกเธอว่า ‘เต่าน้อย’ เมื่อไหร่ เธอคงโกรธ เพราะมันอาจหมายความว่า ‘ปัญญาอ่อน’ หรือ ‘ปัญญาทึบ’ ด้วยก็ได้ แต่เอมิลี่นั้นไม่ใช่...เอมิลี่มักจะเรียกฉายาเธอด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเสมอ ทำราวกับว่าตัวเองอายุมากกว่าทั้งที่ก็อายุเท่ากันแท้ๆ

            “ฉันแค่เบื่อ”

            “นี่แม็กกี้ บอกตามตรงนะว่าเธอไม่เหมาะกับที่นี่เลย เธออยู่กับแม่ของเธอนานเกินไปแล้ว” เรนนี่บอกตรงๆ

            “เกี่ยวอะไรกับแม่ของแม็กกี้เหรอ” เอมิลี่หันไปถามสาวหมวยแทน

            “จำไม่ได้หรือว่าแม่ฉันเป็นคนไทย” คนถูกพาดพิงถึงหัวเราะเบาๆ ขณะช่วยเอมิลี่รื้อหนังสือออกจากลัง

            “จำได้ แต่...ยังไงล่ะ”

            “ฉันเกิดที่อเมริกาก็จริงแต่ก็โตที่ไทย คงจะติดมาจากนิสัยของยายด้วยน่ะ จนแม่เสียและพ่อก็รับกลับมาอยู่ที่นี่”

            “ยายเธอยังอยู่ไหม” เรนนี่ถาม

            “เสียพร้อมแม่ ฉันไม่เหลือใครเลย ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่ไง”

            “มิน่าล่ะ เธอดูไม่เหมือนอเมริกันเกิร์ลเอาเสียเลย”

            แมคเคนซี่ไม่ตอบอะไร เธอยิ้มบางๆ หยิบหนังสือออกจากลังแล้วส่งให้เอมิลี่ ก่อนจะสบตากับทั้งสองด้วยแววตาซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด

            “แต่ฉันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอสองคนนะ”

            “อย่าคิดมากเลยที่รัก เธอยังไม่สนใจว่าฉันเป็นคนยังไง ดังนั้นฉันก็ไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะเอาเธอไปนินทาลับหลังยังไง เพราะฉันรู้จักเธอดีที่สุด”

            “ขอบคุณนะเอ็ม”

            “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นไปที่บาร์กับฉันสิ ทั้งสองคนนั่นแหละ”

            คราวนี้ทั้งแมคเคนซี่และเรนนี่ส่ายหน้าหวือพร้อมกัน...เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ไปกับเอมิลี่แน่ เพราะถ้าไปก็เสี่ยงถูกทิ้งไว้กลางทางเวลาที่เอมิลี่ตกผู้ชายได้

            “ฉันลืมเล่าเรื่องเพื่อนของโจให้เธอฟังเลยแม็กกี้ เธอน่ะมาช้าเลยไม่ได้เจอเขา”

            “ทำไมหรือ” แมคเคนซี่ทำหน้างงๆ ยิ่งทำให้ใบหน้าดูจืดชืดเข้าไปใหญ่

            “เขาหล่อมาก!”

            “เขาอันตรายมากเลยต่างหาก” เรนนี่เถียงทันควัน แล้วเท้าสะเอวมองเอมิลี่ด้วยสายตาจิกกัด “เธอน่ะชอบยุ่งแต่กับผู้ชายอันตราย หมอนั่นดูยังไงก็ไม่ใช่คนดี”

            “เธอก็เจอเขาแล้วหรือเรนนี่” แมคเคนซี่หันไปถาม

            “เขามากับโจกับยายเอ็มนี่แหละ เชื่อเถอะแม็กกี้ เธอไม่อยากเจอเขาหรอก แค่สบตากับเขาเธอก็คงเป็นลมไปแล้ว”

            “พวกเธอนี่ไม่ประสาเรื่องผู้ชายเลยจริงๆ”

เอมิลี่บ่นไม่จริงจังนัก และนั่นก็ทำให้เรนนี่อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

            “แสดงว่าเธอ...”

            “ดิบเถื่อนทั้งตัว รวมทั้งบนเตียง”

            “ยายบ้า!”

เรนนี่ร้องวี้ด สองแก้มแดงก่ำ เช่นเดียวกับแมคเคนซี่ที่ได้แต่ตะลึง ใบหน้าจืดเจื่อนซีดสลับแดงอยู่อย่างนั้นจนเอมิลี่ได้แต่หัวเราะไปกับท่าทางของสองสาว

            “ลืมบอกไป ‘น้องชาย’ ของเขาเท่าแขนเธอเลยนะแม็กกี้”

            “กรี๊ด!”

เรนนี่กรีดร้องอย่างรับไม่ได้ แต่ก็หัวเราะไปกับเรื่องทะลึ่งที่เอมิลี่เล่าให้ฟังด้วย มีแต่แมคเคนซี่คนเดียวเท่านั้นที่หน้าซีดคล้ายจะเป็นลม มองท่อนแขนตัวเองสลับกับใบหน้าสวยสดของเอมิลี่ พลันสองแก้มก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศ

            “เธอไหวไหมแม็กกี้”

            “ฉันสบายดี” จะว่าไปเอมิลี่ก็มักจะพูดถึงมุกทะลึ่งสองแง่สองง่ามแบบนี้เสมอ แต่ทำไมคราวนี้ทำเอาเธอจะเป็นลมไปเสียได้

            เท่าแขนเลยหรือ!

            แมคเคนซี่กลืนน้ำลายเอื๊อก ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ

            “เธอคลาดกับเขาแค่นิดเดียว เดฟลงไปก่อนโจ บางทีเธออาจจะเห็นเขาที่หน้าตึกนะ” เอมิลี่บอก

แมคเคนซี่นึกไปถึงผู้ชายที่เธอเดินชน เขาดิบเถื่อน อันตราย และดูน่ากลัวแม้แค่เห็นหน้าเท่านั้น

            “เขาแต่งตัวอย่างไรหรือ”

            “เสื้อยืดสีดำ แจ็กเกตสีดำ กางเกงยีนขาดๆ”

            ชัดเลย ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่เจอจริงๆ ด้วย...แมคเคนซี่ได้แต่พยักหน้าเร็วๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่จนแล้วจนรอดเอมิลี่ก็ยังวนกลับมาเรื่องผู้ชายอันตรายคนนั้นจนได้

            เดฟสูบซิการ์จวนหมดมวนแต่โจก็ยังไม่ลงมาเสียทีจนเขาเริ่มหงุดหงิด อารมณ์ของชายหนุ่มยังไม่ปกติดีนักเพราะสายตาของหญิงสาวแรกรุ่นผู้แสนซุ่มซ่ามเมื่อครู่ เขาไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ทำไมต้องมองเขาด้วยแววตาตื่นกลัวราวกับเห็นฆาตกรก็ไม่ปาน และนั่นทำลายอัตตาของเขาอย่างที่สุด...เดฟไม่เคยถูกปฏิเสธจากผู้หญิงที่ส่วนมากมักมองเขาด้วยแววตาชื่นชมและตื่นเต้นเสมอเวลาอยู่บนเตียงด้วยกัน แต่นี่อะไร...แค่ปรายตามองเท่านั้นเด็กนั่นก็สั่นไปทั้งตัวแล้ววิ่งหนีไปหน้าตาเฉย

            “รอนานไหมวะ”

โจลงมาได้เสียทีหลังจากปล่อยให้เขารออยู่นาน ใจจริงก็อยากไปช่วยขนของ แต่กลัวว่ายายเด็กเอมิลี่จะเอาแต่มองเขาจนพี่ชายจับได้ จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

            “ไม่เท่าไหร่หรอก นี่ก็ดึกแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ ไม่ได้เห็นแสงสีในเมืองแบบนี้มานานแล้ว”

            “เอาสิวะ”

            “ไปรถไฟใต้ดินแล้วกัน เวลาอย่างนี้รถคงติดฉิบหาย”

เดฟเสนอ และโจก็พยักหน้าเห็นด้วย

            “ถ้าอย่างนั้นก็จอดไว้ที่นี่แหละ แล้วค่อยกลับมาเอา”

            “ไม่ชวนน้องนายไปด้วยหรือไง”

            “ปล่อยเอ็มไปเถอะ กลับมาแล้วคงอยากอยู่กับเพื่อนมากกว่า”

            “ก็ดี” อย่างน้อยก็ตัดเรื่องยุ่งยากไปได้หนึ่ง เพราะถ้าไปด้วยกันจริงๆ เขาคงเต็มกลืน ดีไม่ดีต้องขอแยกตัวออกมา

เดฟและโจออกจากหน้าที่พักของเอมิลี่ไปยังถนนบรอดเวย์ แล้วลงสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายที่เพิ่งเลิกงาน บ้างก็คงออกจากที่พักไปหาอะไรกินเหมือนอย่างพวกเขาสองคนนี่แหละ

            สองหนุ่มออกจากสถานีรถไฟใต้ดินในย่านมิดทาวน์ แล้วเดินไปยังร้านสเต๊กเฮาส์แห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยมากและไม่ต้องจองคิวล่วงหน้าต่างกับร้านอื่นๆ...ไปถึงก่อนก็ได้กินก่อน รอคิวไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งและสั่งอาหาร เห็นพ่อครัวปรุงเนื้อสเต๊กสดๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยแล้วก็รู้สึกว่าต่างคนต่างหิวมากเหลือเกิน

            เมื่ออาหารพร้อมเสิร์ฟแล้ว ทั้งสองก็จัดการกับพวกมันราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจก็ไม่ปาน และคงไม่คุยกันเลยถ้าไม่มีสายเข้ามาหาโจเสียก่อน เขางึมงำอยู่สองสามคำก็วางสาย

            “เอ็มน่ะ” โจบอกพลางกลืนเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบที่สั่งมาลงคอ แล้วพูดต่อ “เธอแค่แปลกใจที่เห็นรถเรายังจอดหน้าอะพาร์ตเมนต์ของเธอ”

            “ออกมาข้างนอกกันแล้วจะไม่ตามมาหรือ”

            “ไม่หรอก เห็นว่าแม็กกี้อยากกินซูชิ”

            “แม็กกี้หรือ” เดฟขมวดคิ้ว เท่าที่จำได้ ตอนที่ช่วยยกของบางส่วนขึ้นไปมีเพื่อนชาวเอเชียของเอมิลี่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ชื่อเรนนี่ ไม่ใช่แม็กกี้

            “ใช่ นายลงไปก่อนที่เธอจะมา เธอเป็นคนน่ารักนะ ใสซื่อดี ไม่น่าเชื่อว่าจะคบเอ็มได้”

            “แต่คนจีนที่ชื่อเรนนี่ก็ดูธรรมดามากเหมือนกัน”

            “เรนนี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม็กกี้นี่สิ” ใบหน้าของโจขรึมลงอีกเท่าตัวเมื่อพูดถึงเด็กที่ชื่อแม็กกี้ “เท่าที่เอ็มเล่าให้ฟัง เธอน่าสงสารมากนะ เหมือนเป็นเด็กมีปัญหา ชอบเก็บตัว มีแต่คนชอบแกล้ง แต่แม็กกี้ไม่เคยตอบโต้ นิ่งจนน่ากลัว”

            “แล้วไง”

            “ก็ไม่มีอะไร”

            “นายชอบเด็กคนนั้นหรือ เด็กกว่านายตั้งเยอะนะ” เดฟเลิกคิ้ว เพิ่งได้ยินโจพูดราวกับสนใจผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่จะว่าไปพวกเขาก็ไม่ค่อยคุยอะไรกันมากนักนอกจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามประสาเท่านั้น

            “ฉันชอบเธอแบบน้อง เอ็มบอกว่าแม็กกี้น่ะโดดเดี่ยว มาอยู่อเมริกาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีเพื่อนเท่าไร”

            “ไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกหรอกหรือ”

            “ไม่” โจส่ายหน้า “เอ็มบอกว่าแม่ของแม็กกี้เป็นคนไทย พ่อแม่แยกกันอยู่ พอแม่เสียเธอก็มาอยู่กับพ่อเพราะที่ไทยเธอไม่เหลือญาติที่ไหนอีกแล้ว และพ่อก็ทำงานต่างรัฐ เลยอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด”

            “ก็สมควรที่เด็กนั่นจะเก็บตัว”

            “ฉันแค่สงสารเธอ”

            “ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักเข้าแล้วหรอกหรือ”

เดฟถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ทำเอาโจสำลัก แล้วมองคนถามราวกับว่าอีกฝ่ายมีหัวงอกออกมาสองหัวก็ไม่ปาน

            “คิดได้ยังไงวะ แม็กกี้เด็กกว่าฉันสิบหกปี ฉันเอ็นดูเธอแบบน้องจริงๆ โว้ย”

            “น้องก็น้อง” หนุ่มมาดเถื่อนยักไหล่ “แต่ถ้ามาอยู่บนเตียง ต่อให้เด็กกว่าเยอะแค่ไหนฉันก็คิดแบบน้องไม่ได้หรอก เพราะพี่น้องที่ไหนคงไม่อยู่บนเตียงด้วยกันทั้งสภาพเปลือยเปล่าแน่ๆ”

            “นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ” โจชักเริ่มหัวเราะไม่ออกกับความคิดสัปดนของเพื่อน “ฉันอยากเห็นแฟนนายจริงๆ ถามจริงนะเดฟ จนป่านนี้นายยังไม่คิดจะแต่งงานเลยเรอะ”

            “แต่งทำไม ทำไมต้องแต่ง”

ผลของการกวนประสาทคือโจยกนิ้วกลางให้อย่างหยาบคาย แต่พวกเขาสนิทกันเกินกว่าจะมานั่งโกรธแล้ว

เดฟหัวเราะ ยักไหล่นิดๆ แล้วตอบเสียงเรียบ “ไม่มีใครอยากอยู่กับผู้ชายอย่างฉันหรอกน่า”

            “อย่างน้อยก็เอ็ม”

ชื่อนั้นทำเอาเดฟสะดุ้ง

            “นายรู้ด้วยหรือโจ”

            “ไม่เอาน่าเดฟ นายคิดว่าฉันไม่รู้จักน้องสาวตัวเองเรอะ”

            “นายจะด่าฉันก็ได้นะ”

            “ไม่ละ นี่มันเรื่องปกติของเอ็ม และฉันก็คิดว่าเอ็มโตพอที่จะดูแลตัวเองด้วย เชื่อเถอะเพื่อน...เอ็มไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอก”

            “นายเป็นพี่ที่แปลกมาก”

            “ฉันเป็นพี่ที่อยากให้น้องเรียนรู้ความผิดพลาดความผิดถูกด้วยตัวเองต่างหาก ถ้าเอ็มพลาดไปฉันกับพ่อก็ยังเป็นที่พึ่งของเธอเสมอ แต่เอ็มเรียนเก่ง ทันคน เธอเอาตัวรอดได้”

            “เรียนโคลัมเบียก็ไม่ธรรมดาแล้ว” ทหารรับจ้างหนุ่มชมจากใจจริง

            โจไม่พูดอะไรต่อเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาที่โต๊ะพวกเขาตลอดเวลา ชายในชุดสูทสีดำคนนั้นมองด้วยความสงสัย ไม่ใช่จงใจหาเรื่องแต่อย่างใด เขาสะกิดเดฟ พยักพเยิดไปทางโต๊ะหลังแล้วถามเบาๆ

            “นายรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่าวะ เห็นมองนายมาสักพักแล้ว”

            เดฟหันไปตามที่โจบอก ผู้ชายสวมสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตตัวในสีขาว ใบหน้าคุ้นตาอย่างที่เดฟแน่ใจว่าเคยเห็นแน่ๆ แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน และก็ไม่ต้องถามแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้วชายคนนั้นก็ลุกเดินมาหา

            “เดฟลิน ลิวอิส เปเรซใช่ไหม” ชายสวมสูทถาม

เจ้าของชื่อได้แต่หัวเราะเบาๆ...ดูเหมือนเดี๋ยวนี้ทุกคนจะทักทายเขาด้วยการถามว่าเขาชื่อ ‘เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ’ ใช่ไหม

            “ผมเคยรู้จักคุณ?”

            “โคลิน คอนโนลลี่...เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ” ชายอายุราวสี่สิบปีขึ้นไปแนะนำตัวเอง

            “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่” เดฟคิดออกทันที เขาเคยทำงานกับชายคนนี้เมื่อตอนมีงานอารักขาที่องค์การสหประชาชาตินี่เอง

            “ผมทำงานที่นี่ ถ้าคุณยังจำได้นะเดฟ”

            “ใช่ไงคุณเจ้าหน้าที่” เดฟพยักหน้า

            โจมองเพื่อนสนิทและชายวัยกลางคนสลับกัน กำลังจะเอ่ยปากบอกให้เดฟไปคุยกับเพื่อนก่อนก็ได้ แต่มีสายจากเอมิลี่ตัวแสบเสียก่อน จึงพยักหน้ากับเดฟนิดๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปรับสายนอกร้าน

            “นั่งก่อนสิครับ” หนุ่มร่างใหญ่ผายมือเชื้อเชิญไปตามมารยาท แต่ใครจะคิดว่าโคลินกลับนั่งลงจริงๆ แล้วคลึงขมับกลัดกลุ้ม ท่าทางเขาแย่มาก ไม่เนี้ยบทุกมุมมองเหมือนตอนที่ทำงานร่วมกัน แต่ก็อย่างว่า...นั่นมันหลายปีมาแล้ว และตอนนี้โคลินก็เหมือนแก่กว่าเดิมเป็นสิบๆ ปี

            “คุณดูกลุ้มใจนะคุณเจ้าหน้าที่”

            “เรียกผมว่าโคลินเถอะ” คอนโนลลี่บอก เขาคลึงสันจมูกที่มีรอยหักของตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “แต่คุณดูดีขึ้นนะเดฟ”

            “เทียบกับเจ้าหน้าที่สวมสูทอย่างคุณไม่ได้หรอกน่า” เดฟหัวเราะหึๆ สภาพของเขากับคู่สนทนาช่างต่างกันเหลือเกิน เขาทั้งดูรกรุงรัง สกปรก ดูเป็นผู้ชายดิบๆ น่ากลัวเมื่อเทียบกับชุดสูทผ้าเนื้อดีแบรนด์ดังที่อยู่บนตัวโคลิน

            “ที่จริงผมอยากคุยเรื่องตลกๆ กับคุณนะ แต่สนุกไม่ออก”

            “งานเครียดมากละสิ”

            “ทำนองนั้น” คอนโนลลี่รับคำ “ผมเพิ่งกลับจากงานศพลูกทีม”

            เดฟชะงัก มองสีหน้าเศร้าหมองของเจ้าหน้าที่อาวุโสกว่าแล้วถอนใจเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่ามันแย่เพียงไร เพราะเขาเองก็เคยเป็นฝ่ายต้องไปงานศพเพื่อน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขาออกจากกองทัพมาเป็นแค่ทหารรับจ้างธรรมดาๆ เท่านั้น

            “ผมเข้าใจคุณนะโคลิน...เสียใจด้วยจริงๆ”

            “เขาตายในหน้าที่”

            “คดีใหญ่หรือครับ”

            “กวาดล้างแก๊งมาเฟียในนิวยอร์กน่ะ ปัญหาเดิมๆ ลูกน้องผมตามหาทนายคนหนึ่งที่เคยทำคดีให้พวกนั้น แต่แบรนก็เป็นศพไปเสียก่อน”

            “จับได้หรือยังครับ”

            “หน้าที่ตำรวจนิวยอร์กน่ะ ตอนนี้การตามหาทนายคนนั้นสิสำคัญกว่า วันนี้ผมก็ไปอะพาร์ตเมนต์ของเขาที่อัปเปอร์อีสต์ไซด์มา แต่ไม่เจอ หวังว่าบรูซจะยังไม่ตายไปแบบแบรนก็แล้วกัน”

            “ชื่ออะไรนะครับ” ชื่อนั้นทำให้เดฟชะงักทันที

            “อะไรเรอะ”

            “ชื่อทนายน่ะครับ คุ้นๆ อยู่เหมือนกัน”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น