“เวร!” ผู้ชายร่างใหญ่โตราวกับตึกสบถหยาบคาย ดวงตาคมจ้องมองอย่างดุดันแล้วก้าวประชิดตัวหญิงสาวอย่างรวดเร็ว “ไม่อยากคุยกันดีๆ แล้วใช่ไหม”
แมคเคนซี่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกตาม...
ท่ามกลางอากาศเย็นของมหานครใหญ่ ระหว่างที่หญิงสาวปล่อยความคิดให้ระลึกถึงการตายของคนสำคัญของตัวเองจนไม่ทันสังเกตว่าจะมีใครตามมาหรือไม่ จนกระทั่งเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินที่ถนนเจ็ดสิบเจ็ดย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ในแมนแฮตตัน ตอนนี้เองที่แมคเคนซี่รู้สึกราวกับถูกจ้องมองจากทางด้านหลัง...
เธอไม่มีศัตรูที่ไหนนอกจากผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางน่ากลัวที่เคยสะกดรอยตามเธอเมื่อครั้งก่อนและเธอก็โทร.แจ้งเก้าหนึ่งหนึ่งจนเขาถูกจับไป และนั่นทำให้ความหวาดกลัวเข้าจู่โจมกัดกินทุกพื้นที่ในหัวใจ แมคเคนซี่อยากกรีดร้องแต่นั่นไม่ใช่นิสัยเธอ สิ่งเดียวที่ทำได้คือแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินต่อไปทั้งที่ทุกอณูของร่างกายกรีดร้องเพราะความกลัวและไม่อาจสลัดความรู้สึกนั้นออกไปได้เลย
หญิงสาวร่างเพรียวบางตัดสินใจพิสูจน์ให้แน่ใจไปเลยด้วยการหันขวับไปมองทันทีด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนอย่างเคย แต่ด้านหลังไม่มีใครน่าสงสัย ก็แค่ฝูงชนชาวอเมริกันและนานาชาติเดินเข้าเดินออกสถานีรถไฟใต้ดินเหมือนเคย ไร้วี่แววของผู้ชายร่างหมีท่าทางดุดันคนที่เคยตามเธอ
แมคเคนซี่ถอนหายใจโล่งอกแล้วเดินกลับอะพาร์ตเมนต์ วินาทีที่กำลังจะไขกุญแจห้องเข้าไป เงาสะท้อนจากด้านหลังที่ปรากฏบนลูกปิดประตูทำให้ร่างบางผงะทันที แต่ช้ากว่าคนตัวโตเหมือนหมีกริซลีที่เข้าประชิดได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงกระซิบต่ำที่ข้างหู
“คุยกันหน่อยสิ”
ชายร่างใหญ่หน้าตาท่าทางเหมือนอาชญากรที่เคยสะกดรอยตามเธอคนนั้นนั่นเอง น้ำเสียงของเขาข่มขู่แกมบังคับไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ แมคเคนซี่รู้สึกว่ากำลังสั่นสะท้าน ร่างใหญ่โตราวกับยักษ์ขวางหน้าข่มให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเล็กลงเรื่อยๆ และไม่สามารถสู้เขาได้เลย หญิงสาวยืนทื่อ แผ่นหลังแข็งเกร็ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา
“คุณรู้จัก บรูซ เกรย์สัน หรือเปล่า เขาพักอยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้”
เสียงเข้มถามมาอีก แต่คนฟังไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าเขาแค่ถามหรือต้องการอะไรกันแน่
“เขาตายแล้ว” เธอตอบเสียงเบาจน ‘ยักษ์’ ตรงหน้าต้องก้มลงมาหา ส่งผลให้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่คืบ ลมหายใจของเขาเป่ารดลงบนใบหน้าจนแมคเคนซี่ต้องเบือนหน้าหนี
“ผมอยากเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อแมคเคนซี่ คุณพอจะรู้จักหรือเปล่า เธอน่าจะมาที่นี่เสมอๆ”
รอยยิ้มมุมปากแสนชั่วร้ายของเขาทำให้แมคเคนซี่ยิ่งแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนดี และเธอต้องการออกห่างจากเขาให้ได้มากที่สุด
“ฉันไม่รู้จัก”
“อย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นเธอมาที่นี่บ้าง...ใช่ไหม” ร่างสูงก้มลงมาหาใกล้กว่าเดิมจนปลายจมูกโด่งจงใจเฉียดแก้มนวลครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฉันไม่รู้”
หญิงสาวตอบทั้งพยายามข่มความกลัว มือน้อยยกขึ้นดันแผงอกกว้างแรงๆ หวังจะให้เขาปล่อยเธอไปเสียที ทว่านอกจากร่างใหญ่โตจะไม่ขยับเขยื้อนแล้ว ยังกระหวัดวงแขนรอบเอวบางดึงร่างเล็กกว่าเข้าไปประชิดร่างกายส่วนหน้าของเขา ทำเอาหญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติ เธอพยายามผลักเขาหลายครั้งแต่ก็เหมือนผลักกำแพงหนา ที่นอกจากไม่ขยับแล้วกลับเป็นเธอเองที่เสียแรงเปล่า
แมคเคนซี่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นอย่างที่เคยสยบใครต่อใครไม่ให้มายุ่งกับเธอได้นักต่อนัก และคิดว่าเขาก็จะเป็นอย่างคนอื่นๆ ทว่ายิ่งเธอนิ่ง เขาก็ยิ่งยิ้มทีละนิดๆ และเธอคิดว่ารอยยิ้มของเขาชั่วร้ายที่สุด ราวกับว่าเขารู้...ว่าเธอคือใคร
“แล้วคุณชื่ออะไร”
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งใช้ความเยือกเย็นเข้าสยบ อีกฝ่ายกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่สะทกสะท้าน...ดวงตาคมกริบเป็นประกายแพรวพราวอย่างที่แมคเคนซี่แน่ใจว่าเขาจะไม่หลงกลเธอง่ายๆ ถ้าเธอโกหก...เขาจะต้องรู้แน่นอน
“มนัสชนัญ” นักศึกษาสาวตอบแล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างแนบเนียน เธอไม่ได้โกหกเขาเลยสักนิด มนัสชนัญคือชื่อจริงของเธอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว
ดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันนิ่ง ก่อนที่คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมกริบจะเลิกขึ้นน้อยๆ บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อเลยสักนิด ดวงตาวาววับของเขาทำเอาแมคเคนซี่เริ่มสั่น กลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ดี
“มนัสชนัญหรือ ออกเสียงยากจริงๆ”
เสียงเข้มทวนคำทั้งยังหัวเราะลงคออย่างไม่น่าไว้ใจ เกิดเสียงดังคลิกเบาๆ หลังจากที่เขาพูดจบ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแมคเคนซี่ก็ถูกดันเข้ามาในห้องพักของตัวเองพร้อมๆ กับที่เขาหันไปปิดประตูและล็อกอย่างรวดเร็ว
“คุณ...” คนตัวเล็กกว่าปากคอสั่น มองชายร่างหมีที่ยืนขวางประตูไว้แล้วหันซ้ายหันขวามองหาทางออก แต่ไม่เลย เธอจะหนีไปไหนได้ในเมื่อเขาขวางหน้าประตูอยู่ ถ้ากระโดดหน้าต่างลงไปก็คงเจ็บหนัก และเธอก็ไม่เสี่ยงทำอย่างนั้นแน่ ในเมื่อก็เป็นคนเหมือนกัน ควรจะพูดจากันดีๆ มากกว่า
“ผมแค่อยากคุย”
“เอาละค่ะ ฉันคิดว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องเสียที” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ทำตัวไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดทั้งที่กำลังถูกจ้องมองด้วยดวงตาวาววับราวกับเสือดำจ้องมองเหยื่อ
“ว่าอย่างไรล่ะครับ”
“ฉันไม่รู้จักคนที่คุณถามถึง บรูซพักที่นี่ก็จริงแต่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าคุณมีอะไรก็ติดต่อไปที่ทำงานเขาสิคะ”
“คุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ” เขากอดอกพลางสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ ไล่ต้อนให้เธอจนมุมจนไปชิดผนังด้านหลัง จากนั้นจึงเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับผนังด้านหลัง กักร่างบางไว้ในการควบคุมของเขา
“คุณอาจจะเป็นคนที่บรูซเคยทำคดีให้”
“หน้าตาผมเหมือนอาชญากรหรือ”
ใบหน้าดุดันก้มลงมาใกล้ ลมหายใจของเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะ ใบหน้านวลเห่อร้อนขึ้นมาทันที และเธอคิดว่าเขาจะต้องสังเกตได้
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ผมรู้ว่าบรูซตายแล้ว แต่คนที่ผมตามหาเธอชื่อแมคเคนซี่ เมียเก็บของบรูซ”
สาวคนฟังหน้าชาราวกับถูกตบ ดวงตาวาวใสอมเศร้าลุกวาบ แต่ก็พยายามปรับให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้ว่าบรูซมีเมียเก็บหรือเปล่า แต่ไม่มีใครไปที่ห้องของบรูซเลย”
“คุณยืนยันว่าไม่รู้จักใช่ไหม”
“ใช่”
“ก็ดี” ชายร่างใหญ่แค่นเสียงแล้วรวบข้อมือทั้งสองข้างของแมคเคนซี่ไว้แล้วกดลงบนผนังอย่างรวดเร็ว ตรึงร่างบางให้จำนนอยู่ใต้อำนาจของเขาพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย ทว่าหญิงสาวก็ยังดิ้นรนแม้จะรู้ว่าไร้ผล เธอสู้แรงเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นผมขอพิสูจน์อีกหน่อยแล้วกัน”
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ มือข้างที่ว่างหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนสีเข้ม แรกทีเดียวแมคเคนซี่คิดว่าเขาจะหยิบอาวุธ จึงได้แต่ยืนตัวเกร็งมองมือของเขาทั้งหัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
โทรศัพท์ของบรูซ!
ร่างสูงใหญ่ยิ้มร้ายแล้วกดโทรศัพท์สองสามครั้ง ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังจะพิสูจน์อะไร เพียงไม่นานโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋าหลังกางเกงยีนของเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับสั่นเบาๆ เขาทำหน้าแปลกใจอย่างเสแสร้ง กดวางสายแล้วสบตากับเธอด้วยสายตาดุดัน
“เราคงต้องคุยกันอีกทีแล้วนะแม่หนูน้อย”
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ สายตาวาววับทำให้แมคเคนซี่กลัวเป็นที่สุด ยิ่งตอนที่เขาเก็บโทรศัพท์ของบรูซลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ริมฝีปากของเธอเบาๆ แค่นั้นหัวใจของแมคเคนซี่ก็เต้นไม่เป็นส่ำ เธอพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่ก็ถูกเขายึดปลายคางไว้
อันตรายเหลือเกิน...ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงมากดดันจนแมคเคนซี่แทบหายใจไม่ออก เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวพยายามเบือนหน้าหนี คราวนี้สำเร็จเพราะเขายอมปล่อยแต่โดยดี แต่แล้วมือหนากร้านก็ตะปบลงบนบั้นท้ายของเธออย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้ง แต่เพราะสองร่างแนบชิดกันมาก แค่เธอขยับนิดเดียวเขาก็ใช้มือข้างเดิมรั้งสะโพกของเธอเข้าหาร่างกายส่วนหน้าของเขา แค่นั้นก็ทำเอาแมคเคนซี่ตัวสั่นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เป็นเด็กดีไม่ควรริอ่านโกหกผู้ใหญ่” เขาบอกเสียงต่ำ ปลายจมูกคลอเคลียข้างแก้มและใบหูนิ่มจนหญิงสาวต้องย่นคอหนี
“ปล่อยฉัน”
“ผมปล่อยคุณตอนนี้ไม่ได้หรอกทูนหัว” ชายร่างหมีกระซิบเหี้ยม “เราต้องคุยกันยาวแล้วละ แมคเคนซี่ กรีน”
ดวงตากลมโตเบิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความตกใจเมื่อเขาขบเม้มใบหูของเธอเบาๆ แมคเคนซี่หายใจติดขัด คิดว่ากำลังถูกคุกคามทางเพศ เขา...กล้าดีอย่างไร!
ความอดทนของเธอหมดลงในที่สุด หญิงสาวมาดนิ่งยกเข่าขึ้นกระทุ้งกึ่งกลางลำตัวของเขาเต็มแรงจนร่างสูงสบถเสียงดังและยอมปล่อยในที่สุด
----------------------------------
“คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเขานะเดฟ...บรูซ เกรย์สัน เป็นทนายที่เก่งที่สุดในนิวยอร์กเลยละ”
ตอนที่ 1
สองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น…
“เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ ใช่ไหม”
ท่ามกลางแสงสลัวของบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เดฟสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายสวมสูทท่าทางเป็นทางการไม่เข้ากับบาร์ซอมซ่อกลางเมืองเล็กๆ แถบชานเมืองนิวยอร์กเลยสักนิด ชายคนนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเดฟก็รู้ทันทีว่ากำลังตรงมาทางเขาที่กำลังนั่งดื่ม และแล้วเสียงชายแปลกหน้าดังขึ้น ทว่าคนถูกถามไม่ได้สนใจมากนัก เพราะกำลังสบตากับสวยหุ่นสบึมเพลินๆ และแม่สาวนั่นก็น่าดูกว่าผู้ชายหน้าเข้มที่เข้ามาหาเยอะ แต่ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดยชายช่างตื๊อคนเดิม ที่คราวนี้ถึงกับมาขวางหน้ากันเลยทีเดียว
“เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ ใช่ไหม” ชายคนนั้นถามซ้ำ
เดฟเริ่มไม่แน่ใจว่ามันพูดเป็นแค่คำเดียวหรือไง กระนั้นเขาก็ไม่แยแส หยิบตลับซิการ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตแล้วจุดสูบ ทั้งยังพ่นควันใส่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางกวนประสาทเป็นที่สุด
“เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ ใช่ไหม” ชายคนนั้นถามซ้ำด้วยประโยคเดิมๆ ต่างกันตรงน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นเช่นเดียวกับดวงตาที่วาวโรจน์
เดฟไม่ตอบ เห็นโทสะของอีกฝ่ายเป็นแค่อารมณ์ของพวกบ้าอำนาจที่ไม่เคยถูกปฏิเสธจึงพยายามที่จะ ‘ข่มขวัญ’ บ่งบอกว่าฝ่ายนั้นไม่รู้จักเขาจริงๆ หรอก เพราะถ้า ‘รู้จัก’ เขาอย่างแท้จริงต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกไก่อ่อน
“เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ...”
“เดฟ” เจ้าของชื่อบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ แล้วพ่นควันใส่หน้าคนถาม “เรียกว่าเดฟ”
“ผมมีงานมาเสนอ” ชายสวมสูทและโคตตัวยาวบอก
ดวงตาคมดุมองผู้มาเยือนที่ออกจากมุมมืดของบาร์มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว...สวมสูท หน้าเข้ม ตาดุ และท่าเดิน ‘กร่าง’ นิดๆ นั่น เดฟคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นพวกมาเฟียท้องถิ่นที่ไหนสักแห่ง ประสบการณ์ของเขาบอกอย่างนั้น ทว่าก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวจนกว่าจะได้คุยกัน
เดฟสูบซิการ์แล้วพ่นควันใส่หน้าคู่สนทนาอีกครั้ง แต่ฝ่ายนั้นก็นิ่งพอที่จะไม่สะดุ้งสะเทือน ทั้งยังนั่งลงบนสตูลบาร์ข้างๆ แล้วสั่งเหล้าเพิ่ม
“คิดจะหมกตัวอยู่แต่ในนี้หรือ เสียดายฝีมือเปล่าๆ น่า” คนมาใหม่ถามอีก
เดฟขมวดคิ้ว...ใจคอมันจะไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามเลยหรือไงวะ
“นั่นมันเรื่องของผม...บอกเรื่องของคุณมาเลยดีกว่า เสียเวลาอ้อมค้อมเปล่าๆ”
“คุณเป็นมือดีของแบล็กวอเตอร์๑...เดฟ”
“ถ้าจะจ้างงานก็ไปที่บริษัท”
“ผมกลัวจะได้คนอื่นมาทำงานแทนน่ะสิ” ชายคนนั้นยักไหล่ รับวอดคามาจากบริกร แล้วกระดกรวดเดียวหมด
“แบล็กวอเตอร์มีแต่คนเก่งๆ คุณจะกลัวไปทำไม”
“เพราะเราเชื่อฝีมือคุณ”
“รู้ใช่ไหมว่าค่าจ้างผมแพงที่สุดในหมู่พวกคอนแทรกเตอร์๒ด้วยกัน” เดฟบอกยิ้มๆ ดับซิการ์เก็บลงตลับ แล้วหันไปทุ่มความสนใจคุยกับชายตรงหน้าแทน
“ผมรู้มากกว่านั้นอีก คุณน่ะชอบรับงานที่เสี่ยงอันตรายมากกว่า ค่าจ้างคุณเลยแพงกว่า แต่เชื่อเถอะว่าผมพร้อมจ่าย”
“งานอะไร” ดวงตาสีน้ำตาลของเดฟหรี่ลงด้วยความสงสัย งานลับอะไรถึงไปจ้างที่บริษัทไม่ได้ ท่าทางไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“ก็แค่ตามหาคนคนหนึ่ง”
“ถ้าง่ายขนาดนั้นก็ไม่ต้องจ้างแบล็กวอเตอร์หรอกมั้ง”
“ต้องคุณเท่านั้น...คนที่ผมจะให้ตามหาน่ะสำคัญกับพวกผมมาก”
คำว่า ‘พวกผม’ ทำให้เดฟเริ่มสนใจขึ้นมานิดหน่อย ความคิดที่ว่าชายตรงหน้าเป็นพวกมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพลเริ่มเข้าเค้ามากขึ้นอีกนิด ติดที่คนตรงหน้าดูเด็กไปหน่อย น่าจะเด็กกว่าเดฟด้วยซ้ำ
ชายสวมสูทดำยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเดฟเริ่มสนใจงาน จึงหยิบรูปถ่ายจากในกระเป๋าเสื้อส่งให้
“ใคร” เดฟมองตามรูปถ่ายซึ่งเป็นภาพชายวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมสูทสีน้ำเงินเข้ม ท่าทางภูมิฐาน กำลังเดินออกจากสำนักงานทนายความที่นิวยอร์ก
“เขาชื่อบรูซ” ชายหน้าเข้มบอกเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ชื่อ บรูซ เกรย์สัน”
“แล้วยังไงต่อ” เดฟถามเสียงเรียบ รอคอยว่าจะมีข้อมูลอะไรมากกว่านั้นหรือไม่ แต่ก็ไม่เลย ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรสักคำนอกจากชื่อคนที่ต้องการตามหา
“แค่นี้”
“แค่นี้” ทหารรับจ้างหนุ่มทวนคำ เริ่มไม่พอใจฝ่ายตรงข้าม
“เราบอกได้แค่นี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่สำนักงานแบล็กวอเตอร์ได้เลย”
“คิดดีๆ คุณสามารถเรียกร้องค่าตอบแทนได้มากเท่าที่คุณต้องการ และเราพร้อมจ่าย”
ชายคนนั้นยังพยายามหว่านล้อมด้วยจำนวนเงินเหมือนเคย แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดหากเดฟจะรับงาน
“เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ”
“แล้ว...”
“ถ้ามีงานที่ท้าทายมากกว่านี้ค่อยมา”
“ผมไม่เร่งรัดคำตอบหรอก กลับไปคิดก่อนก็ได้”
“ผมคิดดีแล้ว” เดฟตอกกลับทันควันในสภาพที่พร้อมจะอาละวาดใส่ได้ทุกเมื่อ ไม่เอามีดอีเมอร์สันเล่มโปรดขนาดเหมาะมือเชือดคอหอยมันก็นับว่าดวงมันยังดีอยู่มากแล้ว
“ผมอยากให้คุณคิดดูอีกที”
ชายคนนั้นเลื่อนนามบัตรของตัวเองมาให้ แล้วลุกยืนจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไป
เมื่อฝ่ายนั้นออกไปแล้ว เดฟจึงหยิบนามบัตรมาดู
ดิเอโก เดรอตติ
ชื่อแบบอิตาลีแท้ และเบอร์โทรศัพท์รหัสจากเขตบรองซ์ ไหนจะการแต่งตัวและท่าทางการเดินการวางตัวของฝ่ายนั้น แค่นี้เดฟก็เดาออกรางๆ แล้วว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร...น่าจะมาจากแก๊งมาเฟียอิตาลีแก๊งไหนสักแก๊งในนิวยอร์ก แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เดฟสนใจเท่ากับว่า...ผู้ชายที่ชื่อ บรูซ เกรย์สัน คือใครกันแน่ ทำไมพวกมาเฟียพวกนี้ถึงต้องการตามหาตัว และทำไมถึงไปจ้างงานที่แบล็กวอเตอร์แบบเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ นี่สิน่าสงสัยกว่า
เดฟยัดนามบัตรลงกระเป๋า นี่มันช่วงเวลาพักผ่อนของเขา และยังมีอย่างอื่นน่าสนใจมากกว่าการตามหาตัวผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง เป็นต้นว่าแม่สาวหุ่นสบึมที่กำลังส่งสายตาให้เขาอยู่นี่อย่างไรล่ะ
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ดับซิการ์แล้วตรงไปหาเป้าหมาย...
สองวันถัดมา...
เดฟกำลังกลับบ้าน ทว่าเขากลับไม่เคยแน่ใจสักครั้งว่าที่นั่นคือบ้านจริงๆ ของเขาหรือเปล่า...
ครั้งสุดท้ายที่อยู่บ้านหลังนั้นคือเมื่อตอนที่เดฟเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เป็นหนุ่มน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว พ่อของเขา แม่เลี้ยงและลูกติดของเธอ ทั้งสี่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำฮัดสันในเวสต์เชสเตอร์ชานเมืองรัฐนิวยอร์ก บ้านเล็กๆ ที่แสนสงบสุขของเขาถูกทำลายลงเมื่อน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงฆ่าตัวตายเพราะท้องและถูกทิ้ง พ่อแม่โยนให้เป็นความผิดของเขา ทำให้เดฟออกจากบ้านตั้งแต่วันนั้นและไม่ได้กลับไปอีกเลย หลายปีผ่านไปมีจดหมายจากนายอำเภอส่งมาถึงฐานบินบากรัมในอัฟกานิสถาน ตอนนั้นเดฟลืมไปแล้วว่าเขามีบ้าน เพราะจะมีประโยชน์อะไรถ้าคนทั้งเออร์วิงตันรังเกียจเขา เดฟไม่เคยกลับและไม่คิดจะกลับไปถ้าไม่เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต...จากนั้นเดฟออกจากทหาร ใช้ชีวิตอยู่ตามตะวันออกกลางหรือยุโรปตะวันออกแล้วแต่ว่าจะถูกจ้างให้ไปที่ไหน ทำงานตามที่ได้รับคำสั่งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
และกลับบ้าน...
ในวัยสามสิบหกปี เดฟผ่านชีวิตมามากมาย มีหลายอย่างเกิดขึ้นในและทำให้ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ หล่อหลอมจากชายหนุ่มร่างสูงเพรียวกลายเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่บึกบึน กล้ามเนื้อทุกมัดและเลือดที่เสียไปแลกกับประสบการณ์และชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายในแต่ละวินาทีที่ผ่านมา เป็นความทรงจำที่มีทั้งเสียงหัวเราะ ความสุข ความทุกข์ ความเศร้าคละเคล้ากันไป และเขาก็ไม่มีวันลืม
แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหลือแล้ว ไม่เหลือมิตรภาพใดๆ สำหรับเขาอีก เดฟอยู่ตามลำพังมาสองปีกว่าแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด เขาไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากชีวิตของตัวเองและบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำหลังนี้
ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์สีดำจอดสนิทอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นสีขาวทรงเหลี่ยมง่ายๆ หลังหนึ่งไม่ไกลจากริมแม่น้ำฮัดสันเท่าไร ร่างสูงใหญ่กำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามก้าวลงจากบิ๊กไบค์คันโต มองบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกต่างๆ นานาถาโถมเข้าใส่ นึกไปถึงวันแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ วันคืนผันผ่านไปอย่างช้าๆ มีทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เสียงกระสุนปืน เลือด ก่อนจะจบลงด้วยคราบน้ำตา และตอนนี้ทุกความทรงจำเหล่านั้นก็อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
เดฟมองกุญแจบ้านที่อยู่ในมือ ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยมีคำว่าลังเล เขากล้าและบ้าบิ่นพอที่จะกระโดดลงจากท้ายแรมป์เครื่องบิน กล้าพอที่จะบังคับเครื่องบินรบบินผาดแผลงนอกเหนือภารกิจเพียงเพื่อให้ตัวเองและคนอื่นๆ กลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะไขกุญแจและเดินเข้าไปในบ้านเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำของตัวเอง
ห่าเอ๊ย! คิดผิดหรือคิดถูกวะที่กลับมา
เดฟขยับออกห่างจากประตูบ้านกลับมาที่บิ๊กไบค์ เขาคงจะขับกลับไปใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในบาร์กับสาวมากหน้าหลายตาไปแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้
“นั่นเดฟใช่หรือเปล่าวะ!”
เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง เดฟหันไปทันที ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงนิดๆ พยายามเค้นความทรงจำ แล้วก็นึกออกในที่สุด
“ไง” ชายหนุ่มยิ้มร้าย มองโจนาธาน เพื่อนตั้งแต่วัยเด็กแล้วหัวเราะเบาๆ...โจเป็นเด็กแสบ และเดฟก็คิดว่าโตมาก็คงนิสัยไม่ต่างจากเดิมแน่นอน
“พ่อฉันบอกว่านายกลับมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ฉันมาที่นี่ทั้งสองวันแต่ไม่เคยเจอนาย”
“ฉันมาสายบ้างไม่ได้หรือไงวะ” เดฟเดินเข้าไปไขกุญแจบ้าน แล้วเปิดประตูเข้าไป กลิ่นฝุ่นโชยมาเป็นอันดับแรก บ่งบอกว่าบ้านนี้ถูกทิ้งร้างมานานเหลือเกิน “เข้ามาก่อนไหม”
“ฉันว่านายต้องทำความสะอาดบ้านแล้วละว่ะ”
“ถ้านายสนใจอยากสมัครเป็นลูกมือฉันนะ”
“เดินตัดถนนไปจะเป็นร้านขายอุปกรณ์ในบ้าน ถ้านายอยากไป” โจกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าขรึมๆ ของเพื่อน ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเดฟยังเป็นหนุ่มน้อยจืดชืดธรรมดา แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เดฟทั้งตัวใหญ่บึกบึน ดุดันและอันตราย จนเขาไม่แน่ใจว่าเดฟจะทำความสะอาดบ้านตัวเองได้หรือไม่
สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพากันออกไปซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านที่อยู่มุมถนน แต่แค่ไปถึงเท่านั้น เจ้าของร้านก็หรี่ตามองเดฟด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
โจยักไหล่ แล้วกระซิบว่าอย่าไปสนใจตาลุงเจ้าของร้านเลย แกเป็นคนแบบนี้เอง แต่ต่อให้โจไม่บอก เดฟก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรให้จดจำ เขาแค่มาพักในเวลาสั้นๆ เท่านั้นเดี๋ยวก็กลับไป
“ฉันว่านายต้องซ่อมบ้านด้วยนะเพื่อน”
โจบอก มองพวกอุปกรณ์ซ่อมสายไฟและอุปกรณ์การช่างต่างๆ...แต่เดฟส่ายหน้า เอาแค่ซุกหัวนอนได้ก็พอ อย่างอื่นเขาไม่สนอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะมาลงหลักปักฐานที่นี่เสียหน่อย
“นายทำงานอะไร”
เพื่อนเก่าถามอีกครั้งเมื่อเดฟตัดสินใจเดินออกจากร้านและไม่ซื้ออะไรเลย ในเมื่อเจ้าของร้านไม่เต็มใจขายเขาก็ไม่เต็มใจซื้อของมันเช่นกัน
“ทำงานบริษัทน่ะ”
“อย่ามาโกหกเลย ถ้าทำงานอย่างนั้นจริง นายก็น่าจะดูดีกว่านี้นะ”
เดฟหัวเราะขณะที่ทั้งสองเดินออกจากร้านขายของ และเดินตัดถนนกลับมาที่ถนนเอ็คการ์ทางกลับบ้านของเขาท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในเออร์วิงตัน
“นายไม่บอกก็ตามใจ แล้วนี่จะอยู่นานไหม กลับมาอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่า”
“ไม่ละ” เดฟตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ...ถ้าอยู่ที่นี่คงอดตาย ไม่ใช่เพราะไม่ทำมาหากิน แต่เป็นเพราะคนทั้งเมืองเห็นเขาเป็นตัวประหลาดต่างหาก
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครลืมโศกนาฏกรรมของครอบครัวเปเรซเลย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่เคยมีใครคิดจะสืบหาความจริง ทุกคนคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุทั้งหมด และในเมื่อไม่มีใครสนใจความรู้สึกของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของใครเช่นกัน
“คืนนี้ไปที่บาร์กับฉันไหม” พอเห็นสีหน้าขรึมๆ ของเพื่อน โจก็เสนอด้วยน้ำเสียงรื่นเริง...สิบกว่าปีที่ผ่านมาแม้เขาไม่ได้ติดต่อกับเดฟเลย แต่ลึกๆ แล้วโจก็ยังเชื่อว่าเดฟเป็นผู้บริสุทธิ์
“นายจะไม่เดือดร้อนเพราะฉันใช่ไหม”
“คิดมากน่าเพื่อน”
“แล้วนี่นายทำมาหากินอะไร” เป็นครั้งแรกที่เดฟเริ่มเปิดใจ และอยากรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
“ฉันเป็นครูสองชีววิทยาที่โรงเรียนนี่เอง”
“ถามจริง?” หนุ่มมาดขรึมหัวเราะเบาๆ...ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าจากเด็กหนุ่มจอมแสบลูกคู่ของเขาตั้งแต่วัยรุ่นจนโตกลายเป็นอาจารย์ไปได้
“นายยังเป็นพนักงานบริษัทได้เลยนี่หว่า”
เดฟสบตาโจแล้วหัวเราะเบาๆ...ทั้งสองเดินกลับมาถึงบ้านเก่าของเดฟและเริ่มช่วยกันทำความสะอาด ซ่อมแซมบางจุดเอาแค่ให้พอซุกหัวนอนได้ในเวลาสั้นๆ ก็พอ
เออร์วิงตันในวันนี้ไม่ต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อน แม่น้ำฮัดสันกว้างใหญ่ไหลผ่านเมืองของเขา เลยไปถึงเมืองสลีปปี ฮอลโลว์ที่ครั้งหนึ่งเขาและโจขโมยมอเตอร์ไซค์คันเก่งของพ่อขับไปผจญภัยที่นั่น และเมื่อกลับมา สิ่งแรกที่เจอคือไม้เบสบอลของพ่อที่ไล่หวดเขา ตอนนั้นเดฟวิ่งหนีเพราะคิดว่าตัวเองคงจะถูกหวดไม่ต่างจากลูกเบสบอลแล้ว ถ้ามารีน่า น้องสาวลูกติดของแม่เลี้ยงไม่มาช่วยเขาไว้เสียก่อน
คิดไปถึงภาพความน่ารักสดใสของมารีน่าคราวใด เดฟก็รู้สึกผิดทุกครั้ง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่ทำอย่างนั้นกับเธอ อย่างน้อยเธอก็คงไม่ขาดสติจนคว้าปืนของพ่อมาระเบิดสมองตัวเอง จบชีวิตลงด้วยอายุแค่สิบหกปีเท่านั้น
เดฟปัดเรื่องของมารีน่าออกจากสมอง...มันสายเกินไปแล้ว สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ เวลาก็เช่นกัน
ตะวันลับขอบฟ้าลงอีกฝั่งของแม่น้ำฮัดสัน สายลมยามราตรีพัดผ่าน ทว่าเดฟกลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด เขาลุกจากเก้าอี้ที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัดสัน รอจนกระทั่งโจมาตามนัดแล้วจึงเดินกลับไปที่บิ๊กไบค์ ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ของตัวเอง และพบว่าโจไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดเดรสพอดีตัวขับเน้นรูปร่างสะโอดสะองแบบอกเป็นอกเอวเป็นเอวแถมด้วยสะโพกสุดสบึมของเจ้าหล่อน
“นี่เอมิลี่ น้องสาวฉันเอง”
ชายหนุ่มสบตากับหญิงสาวที่มองและส่งยิ้มเชิญชวนมาให้พร้อมด้วยแววตาวาววับ เท่านั้นเดฟก็รู้ได้ทันทีว่าระหว่างเขากับเธอจะลงเอยกันที่ไหน
“น้องนายจะไปด้วยหรือไง”
“ไม่หรอก ฉันลืมไปว่าลืมขอเบอร์โทรศัพท์นาย เลยแค่จะมาบอกนายว่าเลิกนัดน่ะ พอดีมีงานด่วนจริงๆ ว่ะ”
“หมดสนุกเลยสิ” เดฟหัวเราะหึๆ แล้วโบกมือให้เพื่อน “คราวหน้าก็ได้ ไม่ต้องคิดเยอะ ฉันยังอยู่เออร์วิงตันอีกนาน”
“เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน”
“ได้สิ”
ทหารรับจ้างหนุ่มพยักหน้านิดๆ สบตากับเอมิลี่แวบหนึ่ง รอให้เด็กสาวขึ้นรถไปกับพี่ชาย เขาจึงกลับมาที่บิ๊กไบค์ของตัวเองแล้วขับกลับบ้าน จากนั้นก็แค่รอคอย...
เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นสองสามครั้งกลางดึกคืนนั้น เดฟยังไม่หลับ เขาจิบโคโรนา รับประทานอาหารเย็นง่ายๆ เป็นแค่เนื้ออบกับชีสและสลัดผักเน้นๆ อีกจานใหญ่ แล้วนอนกระดิกเท้าดูสารคดีสัตว์ป่าตั้งแต่หัวค่ำ รอคอยว่าเด็กสาวคนนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ อาจจะช้าไปนิด แต่เขาพอเข้าใจได้ว่าเธอคงจะรอให้พ่อและพี่ชายออกไปเสียก่อน
ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู เอมิลี่ยืนยิ้มหวานส่งสายตาสื่อความนัยมาให้เขาอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว และไม่ต้องสื่อสารอะไรไปมากกว่านั้น...
เดฟรับร่างอวบอิ่มที่เข้ามาสู่อ้อมกอดแล้วใช้เท้าเตะประตูให้ปิดลง สองร่างโผเข้าหากันราวกับแม่เหล็กคนละขั้วแล้วจบลงบนโซฟากลางห้อง...เร่าร้อน...ปลดเปลื้องความปรารถนาและเติมเต็มจากเรือนกายของกันและกัน แต่มันก็เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น และแยกจากกันไม่หลงเหลือเยื่อใยใดๆ
“ฉันน่าจะถามเธอก่อนว่าทำไมไม่ไปกับโจ”
“ฉันเพิ่งกลับมาถึงเออร์วิงตัน และฉันก็เหนื่อยเกินว่าจะออกไปตะลอนๆ กับพี่น่ะสิ”
ดวงตาคมดุมองร่างเย้ายวนตรงหน้าเขม็ง
“พรุ่งนี้ฉันว่างทั้งวัน” เอมิลี่บอกเสียงพร่า เหงื่อยังผุดพราวเต็มร่างขาวโพลนอวบอิ่มเย้ายวนตา
“และพรุ่งนี้พี่ชายเธอก็จะกลับ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดูไร้หัวใจไปนิดกับคนที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาเร่าร้อนด้วยกัน แต่เขาไม่อยากยุ่งยาก เอมิลี่ยังเด็กเกินไป เธออาจจะคะนองไปตามเรื่อง แต่เธอก็ไม่ได้จริงจังกับเขาเช่นเดียวกับเขาที่ไม่คิดจริงจังกับเธอ
“กลัวโจหรือไง” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นนิดๆ ปลายเล็บยาวตัดแต่งอย่างดีกรีดไล้ไปตามแนวแผ่นอกเปลือยเปล่าอย่างยั่วเย้า
“เธอนั่นแหละไม่กลัวฉันหรือไง”
แทนคำตอบ เอมิลี่ลุกขึ้นจากโซฟากลางห้องทั้งที่ยังเปลือยเปล่า ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมและเริ่มปรนเปรอเขาเสียเอง เดฟไม่ขัดความต้องการของหญิงสาว และคงจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ถ้าไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ห่าเอ๊ย!” ทำไมต้องมีคนมาเคาะประตูบ้านเขากลางดึกแบบนี้วะ พวกมันบ้าหรือไง!
เดฟสบถหงุดหงิด มองเด็กสาวสลับกับกึ่งกลางร่างกายของตัวเองอย่างเครียดๆ แต่ก็รีบควานหากางเกงยีนมาสวม แล้วหันไปสั่งเอมิลี่ให้สวมเสื้อผ้าเสีย ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูทั้งที่ยังเปลือยท่อนบน
“คุณต้อนรับแขกแบบนี้หรือ” ดิเอโก เดรอตติ ยืนอยู่หน้าประตู สวมสูทดำ โคตสีดำตัวใหญ่เหมือนเดิมทุกอย่างราวกับว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย
“เวร!” เดฟสบถคำแล้วคำเล่า หัวเสียอย่างหนัก ลำพังแค่ถูกขัดจังหวะเวลาอย่างว่าน่ะไม่เท่าไร เพราะเขาเองก็ไม่อยากสานต่ออีกแล้ว รายนั้นสั่งให้ทำอะไรก็ทำตาม หนักเข้าก็ไม่มีความตื่นเต้นอะไรอีก แต่การถูกขัดจังหวะโดย ดิเอโก เดรอตติ นี่สิ...ทหารรับจ้างหนุ่มสบถอยู่ในใจ ขอให้ซาตานลากมันลงหลุมไปเถอะ จะได้เลิกตามรังควานชีวิตสงบสุขของเขาเสียที...น่ารำคาญฉิบ!
“ใครมาคะเดฟ” เอมิลี่เยี่ยมหน้าออกมาจากห้องน้ำในสภาพล่อแหลมเป็นที่สุด บนเรือนร่างอวบอิ่มมีเพียงผ้าขนหนูพันกายไว้เท่านั้น และเจ้าหล่อนก็กำลังมองผู้มาเยือนด้วยท่าทีสนใจ
“เพื่อนน่ะ เธอกลับไปก่อนแล้วกัน”
“คืนนี้ฉันก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวน่ะสิคะ” เด็กสาวยังทำน้ำเสียงออดอ้อน ดวงตาทอประกายพราวระยับขณะมองผู้มาใหม่
“เชื่อเถอะว่าเธอไม่อยากยุ่งกับคนพวกนี้หรอก รีบสวมเสื้อผ้าแล้วออกไปก่อน”
“เราจะได้เจอกันอีกไหมคะเดฟ”
“แล้วฉันจะบอกอีกที”
เมื่อถูกเจ้าของบ้านไล่กลายๆ สุดท้ายเอมิลี่ก็ได้แต่ทำปากยื่นอย่างแง่งอน เธอยืนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่คิดว่าเดฟจะง้องอนบ้างแต่ก็ไม่เลย นอกจากเฉยแล้วเขายังเดินไปเก็บเสื้อยืดสีดำที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมหน้าตาเฉย จนสุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายถอดใจ สวมเสื้อผ้าแล้วเดินกระแทกเท้าออกจากบ้านไป
ผู้มาเยือนยามวิกาลถือวิสาสะเข้าบ้านแล้วเปิดประตูให้อีกต่างหาก แต่นั่นไม่ทำให้เดฟอารมณ์ดีขึ้นเลยสักนิด เขาอยากจะเตะไอ้หมอนี่ออกไปจากบ้านของตัวเองให้ไวที่สุดแล้วค่อยนอนพักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น
“คุณนี่ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะ”
เดรอตติแขวะทันทีที่เอมิลี่ไปพ้นบ้านแล้ว และนั่นก็ยิ่งทำให้เดฟหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก
“ช่างหัวผมเถอะ แล้วนี่มาทำไมอีก”
“ผมอยากตกลงกับคุณ เรื่องงานของเรา” ดิเอโกถอดโคตตัวยาวออกและทำท่าจะพาดไว้บนพนักพิงโซฟาเก่าๆ กลางห้อง ทว่าอยู่ดีๆ ก็ชะงักแล้วเปลี่ยนใจพาดไว้บนแขนข้างหนึ่งของตัวเองแทนด้วยสีหน้ารังเกียจโซฟาเก่าๆ ขาดๆ สีซีดและ...เป็นสมรภูมิเดือดของเดฟเมื่อครู่
“ออกไปซะ ที่นี่ไม่เหมาะกับมาเฟียอย่างพวกคุณหรอก”
“รู้ได้ไงว่าผมเป็นใคร”
“ท่าเดินมันบอกน่ะสิ ไหนจะโคตหรูนี่อีก ไม่เข้ากับสถานที่อย่างบ้านผมเลยสักนิด”
“ผมชอบคุณตรงนี้แหละเดฟ” มาเฟียหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ช่างสังเกต รอบรู้ ผ่านชีวิตมาเยอะ นอกจากคุณผมยังมองไม่ออกเลยว่าใครจะทำงานนี้ได้”
“คอนแทรกเตอร์ทุกคนของแบล็กวอเตอร์ทำได้”
“แต่ไม่มีใครเหมือนคุณ” ดิเอโกไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เขาได้ยินชื่อเสียงของ เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ คนนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว ขนาดเขาไม่ใช่คนในวงการทหารและทหารรับจ้าง ยังเคยได้ยินแต่ละเคสการทำงานของเดฟ...ทั้งอารักขาผู้นำระดับประเทศ หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยการประชุมผู้นำเรื่องสันติภาพโลกที่จัดขึ้นที่ยุโรปตะวันออก...ผลงานการันตีฝีมือขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เขาดั้นด้นพยายามทำทุกวิถีทางให้เดฟมาทำงานให้ได้อย่างไร
เดฟยักไหล่ไม่แยแส พวกนั้นจะได้ยินอะไรมาบ้างก็เรื่องของคนพวกนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาทำแค่งานตามที่ได้รับมาจากเจ้านายเท่านั้น
“ดูคุณไม่ใช่คนบ้ายอเลยนะ” ดิเอโกถอนหายใจ
“ได้ยินมาเยอะ...เบื่อแล้ว” เจ้าของบ้านหัวเราะหึๆ เดินไปหยิบโคโรนามาจากตู้เย็นแล้วส่งให้ดิเอโก
“แต่ผมรู้แล้วว่าคุณหลงตัวเองมากกว่าบ้ายอ”
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยไป” ทหารรับจ้างหนุ่มไล่อย่างไม่ไว้หน้า...ไม่สนใจ แต่พอดิเอโกไม่ไป เดฟก็มีความสามารถพอที่จะเห็นฝ่ายนั้นเป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่ง ด้วยการล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วถีบดิเอโกเต็มแรงจนชายหนุ่มตกโซฟาไป จากนั้นสั่งเรียบๆ “ปิดประตูบ้านให้ผมด้วยแล้วกัน”
คราวนี้ดิเอโกเป็นฝ่ายอึ้ง เขายังนั่งอยู่บนพื้น มองอดีตนายทหารหนุ่มที่ผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชนแต่นิสัยกวนประสาทสุดๆ...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีชีวิตรอดมาได้จนป่านนี้ ถ้าไม่ดวงแข็งจริงๆ ก็น่าจะเป็นเพราะนรกไม่ต้อนรับพอๆ กับที่สวรรค์รังเกียจ
“ผมไม่ได้มาเฝ้าคุณนอน”
“ถ้าอย่างนั้นจะพูดอะไรก็พูดมา” เดฟตอบทั้งที่ยังหลับตา พาดเท้าบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าดิเอโกอีกต่างหาก
“ผมอยากให้คุณรับงานนี้”
“ก็บอกคุณแล้ว ให้ไปจ้างที่แบล็กวอเตอร์โดยตรง”
“ค่าจ้างเพิ่มจากเดิมสองเท่า”
“ผมพอมีพอกินแล้วที่แบล็กวอเตอร์”
หนุ่มเจ้าของบ้านยักไหล่ไม่แยแส คำพูดตัดรอนของเขาไม่ทำให้คนฟังโกรธ แต่กลับยังทู่ซี้ต่อไปอีก
“ถ้าจะบอกว่างานของผมมันเสี่ยงอันตรายมากล่ะ”
“แล้วมันเสี่ยงยังไง ก็แค่ตามหาคนคนหนึ่งเท่านั้น” เดฟลืมตาในที่สุดแล้วหันมาสบตากับดิเอโก คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมดุเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทีกวนประสาท
ดิเอโกหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นท่าทางของเดฟ...สมแล้วที่เป็นคอนแทรกเตอร์มือดีของแบล็กวอเตอร์ บีบให้เขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไปจนได้ แต่ก็ต้องทำเพื่อแลกกับงานนี้
“แค่มาเฟียมาขอร้องให้ทำงานให้ มันเสี่ยงไม่พอสำหรับผมหรอก”
“ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมของ บรูซ เกรย์สัน มาให้คุณด้วย” หนุ่มเชื้อสายอิตาลีส่งเอกสารที่เตรียมมาให้เจ้าของบ้าน
“ก็แค่นั้น” ทหารรับจ้างหนุ่มรับแฟ้มพลาสติกใส่เอกสารนั้นมาแล้วกวาดตามองอย่างรวดเร็ว เขาคาดหวังจะเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่าง บรูซ เกรย์สัน กับพวกมาเฟียอิตาลีอย่าง ดิเอโก เดรอตติ ได้...แต่ก็ไม่เลย มีแต่รูปถ่ายของบรูซในสถานที่ต่างๆ เป็นต้นว่าที่หน้าสำนักงานทนายความ ที่หน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในแถบอัปเปอร์อีสต์ไซด์บนเกาะแมนแฮตตัน และรูปถ่ายกับหญิงสาวคนหนึ่งในร้านกาแฟ เดฟมองไม่เห็นหน้าเจ้าหล่อนเพราะหันหลังให้พอดี แต่เห็นใบหน้าของบรูซชัดเจน
“แค่นี้หรือ”
“ตอนนี้ผมมีให้แค่นี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไป”
“เราจะบอกมากกว่านี้ถ้าคุณรับงาน”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ไปที่แบล็กวอเตอร์ ถ้าหาที่อยู่สำนักงานไม่เจอละก็ผมจะจดให้เอง!”
“ต้องคุณเท่านั้นเดฟ”
“ออกไป” เดฟพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังลุกเป็นไฟไม่จับไอ้มาเฟียปัญญาอ่อนนี่โยนออกจากบ้านเขาไปเสีย...คิดว่าเขาจะรับงานมั่วไปทั่วหรือไง ถ้ารับงานสุ่มสี่สุ่มห้าแบบไม่รู้อะไรเลยก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งนั่นแหละ เขาชอบความท้าทายก็จริง แต่ไม่อยากตายเปล่า จะตายทั้งทีตายให้คนจดจำดีกว่า
“ไม่ใช่เราไม่อยากเปิดเผยข้อมูลกับคุณนะเดฟ แต่เราจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่รั่วไหลไปไหน ถ้าคุณตกลงรับงาน ผมจะมีข้อมูลให้คุณมากกว่านี้”
“ออกไป” เจ้าของบ้านเตือนเสียงต่ำ บ่งบอกว่าใกล้หมดความอดทนเต็มทีแล้ว
ดิเอโกเม้มปาก เสียดายที่โน้มน้าวเดฟให้รับงานไม่สำเร็จ “ถ้าคุณเปลี่ยนใจก็ติดต่อผมได้เสมอ”
โทสะของเจ้าของบ้านคือเครื่องยืนยันอย่างดีว่าคงไม่รับงานนี้แน่แล้ว ป่วยการที่จะทู่ซี้ต่อไป สุดท้ายดิเอโกก็เป็นฝ่ายล่าถอยออกมาก่อน เขาได้แต่หวังว่าเดฟจะลองทบทวนดูอีกครั้ง ยอมรับงานนี้และติดต่อกลับมาหาในที่สุด
ค่อนคืนเข้าไปแล้ว...แต่เดฟยังนอนไม่หลับ ร่างสูงทอดกายยาวเหยียดสุดความยาวของโซฟากลางห้อง เปิดสารคดีสัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำแอมะซอนไว้แต่ไม่สนใจดูจริงจังเลยสักนิด เพราะยังหวนคิดไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับดิเอโก แม้ว่าฝ่ายนั้นจะออกไปจากบ้านของเขาแล้ว ทว่ากลับทิ้งเรื่องให้เขาขบคิด จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ตกว่าควรจะรับงานนี้ดีหรือไม่
เดฟนอนก่ายหน้าผากอยู่อย่างนั้นจนสว่างคาตา ในเมื่อนอนไม่หลับแล้วเขาก็ลุกขึ้นออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัดสัน แล้วกลับมาชงกาแฟและทำไข่คนกับขนมปังปิ้งกินแบบง่ายๆ ไปก่อน พอแปดโมงตรงก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง ชายหนุ่มสบถอยู่ในใจว่าถ้าคราวนี้เป็นดิเอโกอีกละก็ เขาจะปาดคอมันด้วยมีดอีเมอร์สันเล่มโปรดของเขานี่แหละ
“เอมิลี่”
หญิงสาวเจ้าเดิมยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมด้วยแซนด์วิชหนึ่งกล่อง เดฟทำหน้าขรึมทันที
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ ฉันแค่เอามื้อเช้ามาส่งเอง”
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ได้ค่ะ โจสั่งไว้”
“พี่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่”
“บ่ายๆ นี้ก็กลับแล้วค่ะ โจจะไปส่งฉันที่แมนแฮตตัน โจฝากชวนคุณด้วยนะคะเดฟ”
“เธอไปทำอะไรที่นั่น” นายทหารรับจ้างหนุ่มหรี่ตาถามด้วยความสงสัย
“กลับยูน่ะสิคะ”
“เดี๋ยวฉันจะบอกอีกทีแล้วกัน” เจ้าของบ้านบอกปัด
“อย่าให้ฉันรอเก้อนะคะ”
เอมิลี่ส่งกล่องแซนด์วิชให้ ยืดตัวมาจูบแก้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเดฟเบาๆ แล้วผละออกไปอย่างมีมาด แต่ละย่างก้าวที่เดินหันหลังจากไปคือการจงใจยั่วยวนเขาด้วยท่าเดินทิ้งสะโพกขนาดเซ็กซ์ซิมโบลนั่นชัดๆ
เดฟคิดหนัก อยากไปกับโจก็ใช่ เพราะนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ไปสร้างวีรกรรมไว้ที่เมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกับเออร์วิงตันอย่างเมืองสลีปปี ฮอลโลว์ ก็เป็นเวลานานเหลือเกินที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันอีก แต่การมีเอมิลี่ไปด้วยก็เป็นอีกเรื่อง เขาไม่อยากให้โจจับได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับน้องสาวของโจ ไม่อย่างนั้นคงมองหน้ากันไม่ติด แต่เดฟก็ไม่คิดโทษเอมิลี่แต่อย่างใด ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่ใจไม่แข็งพอ ยอมรับว่าห่างเรื่องอย่างว่ามานานตั้งแต่รับงานที่อัฟกานิสถาน...ห่างผู้หญิงมาร่วมเดือน พอเจอหญิงสาวไฟแรงจุดติดง่ายดายเพียงแค่สบตากันเท่านั้นก็พร้อมรบเสียแล้ว และเชื่อเถอะว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยู่ได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดตรงหว่างขา ต่อให้คนคนนั้นเป็นบาทหลวงก็เถอะ เพราะไอ้อวัยวะส่วนนั้นมันก็ไร้ความคิดพอกันทั้งนั้น ถ้าใครยังทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ต่อไปได้ละก็...เขาจะยอมกราบกรานมันเป็นอาจารย์แล้วปวารณาตัวเป็นข้ารับใช้มันทั้งชาติทีเดียว
ตอนที่ ๒
แมคเคนซี่เดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองในเขตอัปเปอร์อีสต์ไซด์ วันนี้มีนัดกับเรนนี่ว่าจะไปช่วยเอมิลี่ย้ายหอพักมาอยู่ย่านเดียวกับเรนนี่ที่อัปเปอร์เวสต์ไซด์เพราะใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า และราคาที่พักก็ถูกกว่า บรรยากาศไม่พลุกพล่านเท่า ซึ่งเธอเองก็อยากย้ายเช่นกัน แต่ติดที่พ่อไม่ยอม
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นสองครั้งและเงียบไป แต่ไม่นานก็ดังขึ้นอีก แมคเคนซี่กดรับสายเมื่อเห็นว่าปลายสายคือเบอร์โทร.ที่ไม่ได้โทร.มาหาเธอเสียนาน
“ค่ะบรูซ” เจ้าของน้ำเสียงหวานรับสาย ขณะเดินข้ามถนนจากบล็อกที่พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาที่หมุนไป
“ช่วงนี้ฉันไม่อยู่บ้าน ไม่ต้องมาหานะ”
“นานหรือเปล่าคะ”
“ก็สักพัก”
ปลายสายตอบเสียงเครียด ผิดกับปกติที่ใจเย็นและอารมณ์ดีเสมอของบรูซ
แมคเคนซี่รู้จักกับบรูซมาสักพักแล้ว ตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่แมนแฮตตันใหม่ๆ เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบกว่าปีที่ดูแก่เกินวัยไปมาก พักอยู่อะพาร์ตเมนต์ที่เดียวกับเธอและนั่นทำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน แมคเคนซี่สนใจหนังสือและประวัติศาสตร์ บรูซก็เช่นกัน เขาชวนเธอไปดูหนังสือที่ห้องเขาและนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบแปลกๆ ระหว่างเขากับเธอ ความสัมพันธ์ที่คนภายนอกไม่เข้าใจและคิดว่าน่ารังเกียจทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรเลย...ก็แค่คนแก่ไม่มีญาติกับหญิงสาวที่โดดเดี่ยวเท่านั้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะบรูซ” แมคเคนซี่อดห่วงไม่ได้ เขาหายหน้าหายตาไปสักพักแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย จะให้เธอโทร.ไปก่อนก็ไม่กล้าพอ กลัวว่าเขาจะยุ่งๆ เรื่องงานจึงได้แต่รอว่าบรูซจะกลับมาเมื่อไหร่
“ไม่มีอะไร ว่าแต่ไม่มีใครมาหาฉันใช่ไหม”
“ไม่นะคะ”
“แล้วนั่นเธออยู่ที่ไหนล่ะแม็กกี้”
เขามักจะเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้เสมอ และนั่นทำให้เด็กสาวอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที
“กำลังออกไปหาเพื่อนค่ะ เอมิลี่จะย้ายหอ เธอเพิ่งกลับจากบ้านที่ฮัดสัน วัลเลย์พอดี เลยว่าจะไปช่วย”
“ไม่มีใครตามเธอใช่ไหม”
“ไม่นี่คะ” ดวงตากลมโตมองไปรอบตัว...อัปเปอร์อีสต์ไซด์ก็วุ่นวายเป็นปกติอยู่แล้ว เธอเห็นว่าคนส่วนมากก็ต่างคนต่างเดินด้วยความเร็วราวกับนักกีฬาโอลิมปิกด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครสนใจเด็กสาวจืดชืดอย่างเธอเลยสักคน
“ก็ดีแล้ว”
“คุณอยู่ที่ไหนคะบรูซ บอกฉันได้ไหม”
“บอกไม่ได้หรอกแม็กกี้ ไว้ทำธุระเสร็จก็จะกลับ แล้วจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตาตามสัญญา”
“ฉันจะรอนะคะ”
“แล้วเจอกันแม็กกี้”
“แล้วเจอกันค่ะบรูซ” แมคเคนซี่วางสายแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก แต่ก็ยังแพ้ผู้คนที่นี่อยู่ดี เธอคิดว่าบางทีตอนที่อยู่กับแม่เธอคงติดนิสัยทำอะไรเชื่องช้าอืดอาดแบบที่แม่มักบอกเสมอว่ามันคือคำว่า ‘กุลสตรีไทย’ มากไปหน่อย กว่าจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่ก็อย่างว่า...เธอเกิดที่อเมริกาก็จริง แต่ไปโตที่เมืองไทยนานเกินไปจนไม่มีอะไรเหมือนคนอเมริกันเลยสักอย่าง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มาจากบรูซ แต่เป็นเรนนี่เพื่อนสนิทชาวจีนของเธอ สิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากรับสายคือถูกเรนนี่บ่นว่าเธอไปช้ากว่าเวลา...แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เธอฝ่าผู้คนไปได้ยากลำบากจริงๆ
แมคเคนซี่ลงจากสถานีรถไฟใต้ดินมาที่เขตอัปเปอร์เวสต์ไซด์ที่ตรงไปยังถนนบรอดเวย์ ทิ้งซากกระดาษห่อแฮมเบอร์เกอร์จากร้านซับเวย์ลงถังขยะ แล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปยังที่พักของเอมิลี่ที่แยกเข้าไปในถนนเวสต์อีกบล็อก ยังไม่ทันที่จะขึ้นไปหาเพื่อนๆ เธอก็เดินชนกับใครบางคนจนกระเป๋าสะพายตกพื้น ข้าวของข้างในกระจายเกลื่อน
“ขอโทษค่ะ” แมคเคนซี่บอก รีบก้มเก็บของแล้วลุกมายิ้มแห้งๆ ให้
คนตรงหน้าเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อยืดสีดำ แจ็กเกตหนังสีดำและกางเกงยีนขาดๆ สีเข้ม ใบหน้าคมเข้มถูกบดบังด้วยหนวดเคราที่ยาวไปตามข้างแก้มแนวกรามและลำคอ เธอไม่เห็นว่าดวงตาของเขาเป็นอย่างไรเพราะถูกแว่นกันแดดสีดำบดบังไว้ เขาสูบซิการ์ด้วย นั่นยิ่งทำให้แมคเคนซี่รู้สึกว่าเขาช่างอันตรายเหลือเกินและเป็นคนประเภทที่ไม่ควรเข้าใกล้เป็นที่สุด เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ร่างบางจึงหันหลังแล้วเดินเข้าไปในหอพักของเพื่อนทันที
“ขอโทษที่สาย”
แมคเคนซี่เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะก่อน และนั่นก็ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเพราะในห้องไม่ได้มีแค่เรนนี่และเอมิลี่เท่านั้น แต่โจนาธาน ผู้เป็นพี่ชายของเอมิลี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย
“ไงแม็กกี้”
โจเดินเข้ามาหาแล้วดึงเธอเข้าไปกอดอย่างอบอุ่น แมคเคนซี่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอ แต่ก็อดเกร็งตัวไม่ได้ จนเอมิลี่หัวเราะเบาๆ
“พี่ทำเต่าน้อยแม็กกี้ของเราตกใจอีกแล้วนะ ก็รู้อยู่แม็กกี้ไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนแตะตัว”
“พี่กำลังจะกลับพอดี คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วเสียอีก” โจยิ้มอบอุ่นอย่างที่เป็นเสมอเวลาเจอกัน แต่แมคเคนซี่ก็ยังเกร็งๆ เวลาที่ชายหนุ่มเดินโอบบ่าเล็กของเธอไว้
“พี่จะแกล้งเต่าน้อยของเราไปถึงไหนกันโจ กลับบ้านไปได้แล้ว” สุดท้ายเอมิลี่ต้องเป็นฝ่ายดึงพี่ชายของตัวเองออก ไม่อย่างนั้นก็คงจะหาเรื่องแกล้งแมคเคนซี่ไม่หยุด
“ว่างๆ ก็พากันไปเที่ยวที่บ้านนะ เออร์วิงตันยินดีต้อนรับเสมอ”
“เรนนี่อยากไปล่าผีที่สลีปปี ฮอลโลว์มากกว่า ยายนี่คอซีรีส์อเมริกาของแท้” เอมิลี่คนเดียวเป็นฝ่ายคุมการสนทนาไว้เกือบหมด จนพี่ชายได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“พี่กลับก่อนแล้วกัน มีอะไรก็โทร.หาพี่นะสาวๆ ตกลงนะ”
“เดินทางปลอดภัยนะคะโจ” แมคเคนซี่พูดกับโจเป็นครั้งแรก และนั่นก็ทำเอาชายหนุ่มยิ้มกว้าง เขาดึงร่างบางเข้าไปกอดและจูบแก้มแรงๆ ก่อนจะเดินออกไป
แมคเคนซี่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ โจออกไปตั้งนานแล้วแต่เธอยังคล้ายคนไม่มีสติจนเพื่อนๆ อีกสองคนได้แต่หัวเราะขำๆ โดยเฉพาะเอมิลี่ผู้สวยและรวยเสน่ห์ถึงขั้นดึงเธอไปนั่งบนพื้นพรมกลางห้องแล้วเริ่มอบรมสั่งสอนวิชาเข้าหาผู้ชายทันที
“เธออายุยี่สิบแล้วนะแม็กกี้ หัดเล่นหูเล่นตาบ้างก็ได้ อะไรกัน...แค่โจจูบแก้มแค่นี้ก็หน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลม จูบแบบนั้นของโจน่ะยิ่งกว่าเด็กทารกจูบกันเสียอีก มันไม่มีความหมายอะไรเลยนอกจากมิตรภาพนะ”
“ฉันไม่ชินกับคนแปลกหน้า...เธอก็รู้” แมคเคนซี่ก้มหน้าจนคางจดอก...ใช่ว่าเธออยากเป็นแบบนี้เสียเมื่อไหร่ แต่จะทำอย่างไรได้ เธอไม่ชินเวลาถูกเพศตรงข้ามแตะเนื้อต้องตัว มันทำให้หวนนึกไปถึงความทรงจำ ‘บางอย่าง’ เสมอ
“แต่เธอสนิทกับผู้ชายแก่คราวพ่อคนนั้นเนี่ยนะ” เอมิลี่ทำหน้าเหลือเชื่อ
“เขาลือกันจะทั้งยูอยู่แล้วว่าเธอเป็นเมียเก็บเขา ยิ่งเธอนิ่งพวกนั้นก็ยิ่งลือนะแม็กกี้ เธอไม่คิดจะแก้ต่างหน่อยหรือไง”
“ฉันเบื่อน่ะ ปล่อยไปเถอะ ใครอยากพูดอะไรก็ช่าง ฉันไม่สนใจหรอก”
“เธอนี่น้า” เรนนี่พลอยถอนหายใจไปด้วย
ตั้งแต่รู้จักกันมา แมคเคนซี่เป็นเพื่อนที่ดีก็จริงแต่เข้าถึงยากเหลือเกิน ชอบทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จา เย็นชาและดูมีความลับเสมอ บางครั้งก็อยากถาม แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อมบอก เธอจึงไม่คิดจะซักไซ้ ไว้วันไหนพร้อมแมคเคนซี่คงจะบอกพวกเธอเอง
“ช่างเถอะน่า เรารีบช่วยเอมิลี่จัดห้องดีกว่า” แมคเคนซี่กระตุ้นเพื่อนทั้งยังเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน ซึ่งสาวๆ ก็พยักหน้าแล้วเริ่มช่วยกันจัดห้องของเอมิลี่
แมคเคนซี่มองเพื่อนทั้งสองที่กำลังช่วยกันขนของเข้าห้องไปพลาง พูดคุยและหัวเราะไปพลางด้วยแววตาซาบซึ้งเหลือเกิน ใช่ว่าไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวเอง...เธอได้ยินมานานแล้วว่าพวกสาวๆ ในมหาวิทยาลัยเอาเธอไปพูดลับหลังว่าเป็นเมียเก็บของชายแก่คราวพ่อ เพื่อนๆ หลายคนไม่อยากยุ่งกับเธอ มีก็แค่เอมิลี่กับเรนนี่เท่านั้นที่คุยกับเธอ
เรนนี่เป็นเพื่อนเรียนที่นิสัยและการใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ส่วนเอมิลี่...แรกทีเดียวแมคเคนซี่คิดเสมอว่าเอมิลี่มาสนิทด้วยเพราะแค่เรื่องเรียนเท่านั้น จะไม่ให้เธอคิดอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อเอมิลี่ไม่มีอะไรเหมือนเธอกับเรนนี่เลย เอมิลี่สวย มีเสน่ห์ทั้งในหมู่เพศเดียวกันและเพศตรงข้าม เป็นเชียร์ลีดเดอร์เก่าและแน่นอนว่าฝ่ายนั้นบริหารเสน่ห์บ่อยๆ เรียกว่าพอปพิวลาร์ทั้งในหมู่ผู้หญิงและผู้ชายทีเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เอมิลี่มักจะปกป้องเธอเสมอเวลาที่เธอถูกแกล้งและถูกนินทา ถ้าได้ยินเมื่อไหร่เอมิลี่จะเถียงกลับแทนทันที และแน่นอนว่าไม่มีใครเถียงเอมิลี่สาวสวยอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยเลยสักคน อีกทั้งยังเชื่อใจเธอเสมอ แล้วจะไม่ให้เธอผูกพันกับเพื่อนสองคนนี้ได้อย่างไร
“เหม่ออะไรน่ะแม็กกี้” เรนนี่ถาม แล้วเดินเข้ามาช่วยยกกล่องใส่หนังสือไปจากมือเธอ
“คิดว่าถ้าฉันไม่รู้จักเธอสองคนแล้วฉันจะทำยังไง”
“ก็สู้คนเสียบ้างสิเต่าน้อย”
ถ้าเป็นคนอื่นเรียกเธอว่า ‘เต่าน้อย’ เมื่อไหร่ เธอคงโกรธ เพราะมันอาจหมายความว่า ‘ปัญญาอ่อน’ หรือ ‘ปัญญาทึบ’ ด้วยก็ได้ แต่เอมิลี่นั้นไม่ใช่...เอมิลี่มักจะเรียกฉายาเธอด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเสมอ ทำราวกับว่าตัวเองอายุมากกว่าทั้งที่ก็อายุเท่ากันแท้ๆ
“ฉันแค่เบื่อ”
“นี่แม็กกี้ บอกตามตรงนะว่าเธอไม่เหมาะกับที่นี่เลย เธออยู่กับแม่ของเธอนานเกินไปแล้ว” เรนนี่บอกตรงๆ
“เกี่ยวอะไรกับแม่ของแม็กกี้เหรอ” เอมิลี่หันไปถามสาวหมวยแทน
“จำไม่ได้หรือว่าแม่ฉันเป็นคนไทย” คนถูกพาดพิงถึงหัวเราะเบาๆ ขณะช่วยเอมิลี่รื้อหนังสือออกจากลัง
“จำได้ แต่...ยังไงล่ะ”
“ฉันเกิดที่อเมริกาก็จริงแต่ก็โตที่ไทย คงจะติดมาจากนิสัยของยายด้วยน่ะ จนแม่เสียและพ่อก็รับกลับมาอยู่ที่นี่”
“ยายเธอยังอยู่ไหม” เรนนี่ถาม
“เสียพร้อมแม่ ฉันไม่เหลือใครเลย ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่ไง”
“มิน่าล่ะ เธอดูไม่เหมือนอเมริกันเกิร์ลเอาเสียเลย”
แมคเคนซี่ไม่ตอบอะไร เธอยิ้มบางๆ หยิบหนังสือออกจากลังแล้วส่งให้เอมิลี่ ก่อนจะสบตากับทั้งสองด้วยแววตาซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด
“แต่ฉันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอสองคนนะ”
“อย่าคิดมากเลยที่รัก เธอยังไม่สนใจว่าฉันเป็นคนยังไง ดังนั้นฉันก็ไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะเอาเธอไปนินทาลับหลังยังไง เพราะฉันรู้จักเธอดีที่สุด”
“ขอบคุณนะเอ็ม”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นไปที่บาร์กับฉันสิ ทั้งสองคนนั่นแหละ”
คราวนี้ทั้งแมคเคนซี่และเรนนี่ส่ายหน้าหวือพร้อมกัน...เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ไปกับเอมิลี่แน่ เพราะถ้าไปก็เสี่ยงถูกทิ้งไว้กลางทางเวลาที่เอมิลี่ตกผู้ชายได้
“ฉันลืมเล่าเรื่องเพื่อนของโจให้เธอฟังเลยแม็กกี้ เธอน่ะมาช้าเลยไม่ได้เจอเขา”
“ทำไมหรือ” แมคเคนซี่ทำหน้างงๆ ยิ่งทำให้ใบหน้าดูจืดชืดเข้าไปใหญ่
“เขาหล่อมาก!”
“เขาอันตรายมากเลยต่างหาก” เรนนี่เถียงทันควัน แล้วเท้าสะเอวมองเอมิลี่ด้วยสายตาจิกกัด “เธอน่ะชอบยุ่งแต่กับผู้ชายอันตราย หมอนั่นดูยังไงก็ไม่ใช่คนดี”
“เธอก็เจอเขาแล้วหรือเรนนี่” แมคเคนซี่หันไปถาม
“เขามากับโจกับยายเอ็มนี่แหละ เชื่อเถอะแม็กกี้ เธอไม่อยากเจอเขาหรอก แค่สบตากับเขาเธอก็คงเป็นลมไปแล้ว”
“พวกเธอนี่ไม่ประสาเรื่องผู้ชายเลยจริงๆ”
เอมิลี่บ่นไม่จริงจังนัก และนั่นก็ทำให้เรนนี่อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“แสดงว่าเธอ...”
“ดิบเถื่อนทั้งตัว รวมทั้งบนเตียง”
“ยายบ้า!”
เรนนี่ร้องวี้ด สองแก้มแดงก่ำ เช่นเดียวกับแมคเคนซี่ที่ได้แต่ตะลึง ใบหน้าจืดเจื่อนซีดสลับแดงอยู่อย่างนั้นจนเอมิลี่ได้แต่หัวเราะไปกับท่าทางของสองสาว
“ลืมบอกไป ‘น้องชาย’ ของเขาเท่าแขนเธอเลยนะแม็กกี้”
“กรี๊ด!”
เรนนี่กรีดร้องอย่างรับไม่ได้ แต่ก็หัวเราะไปกับเรื่องทะลึ่งที่เอมิลี่เล่าให้ฟังด้วย มีแต่แมคเคนซี่คนเดียวเท่านั้นที่หน้าซีดคล้ายจะเป็นลม มองท่อนแขนตัวเองสลับกับใบหน้าสวยสดของเอมิลี่ พลันสองแก้มก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศ
“เธอไหวไหมแม็กกี้”
“ฉันสบายดี” จะว่าไปเอมิลี่ก็มักจะพูดถึงมุกทะลึ่งสองแง่สองง่ามแบบนี้เสมอ แต่ทำไมคราวนี้ทำเอาเธอจะเป็นลมไปเสียได้
เท่าแขนเลยหรือ!
แมคเคนซี่กลืนน้ำลายเอื๊อก ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
“เธอคลาดกับเขาแค่นิดเดียว เดฟลงไปก่อนโจ บางทีเธออาจจะเห็นเขาที่หน้าตึกนะ” เอมิลี่บอก
แมคเคนซี่นึกไปถึงผู้ชายที่เธอเดินชน เขาดิบเถื่อน อันตราย และดูน่ากลัวแม้แค่เห็นหน้าเท่านั้น
“เขาแต่งตัวอย่างไรหรือ”
“เสื้อยืดสีดำ แจ็กเกตสีดำ กางเกงยีนขาดๆ”
ชัดเลย ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่เจอจริงๆ ด้วย...แมคเคนซี่ได้แต่พยักหน้าเร็วๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่จนแล้วจนรอดเอมิลี่ก็ยังวนกลับมาเรื่องผู้ชายอันตรายคนนั้นจนได้
เดฟสูบซิการ์จวนหมดมวนแต่โจก็ยังไม่ลงมาเสียทีจนเขาเริ่มหงุดหงิด อารมณ์ของชายหนุ่มยังไม่ปกติดีนักเพราะสายตาของหญิงสาวแรกรุ่นผู้แสนซุ่มซ่ามเมื่อครู่ เขาไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ทำไมต้องมองเขาด้วยแววตาตื่นกลัวราวกับเห็นฆาตกรก็ไม่ปาน และนั่นทำลายอัตตาของเขาอย่างที่สุด...เดฟไม่เคยถูกปฏิเสธจากผู้หญิงที่ส่วนมากมักมองเขาด้วยแววตาชื่นชมและตื่นเต้นเสมอเวลาอยู่บนเตียงด้วยกัน แต่นี่อะไร...แค่ปรายตามองเท่านั้นเด็กนั่นก็สั่นไปทั้งตัวแล้ววิ่งหนีไปหน้าตาเฉย
“รอนานไหมวะ”
โจลงมาได้เสียทีหลังจากปล่อยให้เขารออยู่นาน ใจจริงก็อยากไปช่วยขนของ แต่กลัวว่ายายเด็กเอมิลี่จะเอาแต่มองเขาจนพี่ชายจับได้ จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“ไม่เท่าไหร่หรอก นี่ก็ดึกแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ ไม่ได้เห็นแสงสีในเมืองแบบนี้มานานแล้ว”
“เอาสิวะ”
“ไปรถไฟใต้ดินแล้วกัน เวลาอย่างนี้รถคงติดฉิบหาย”
เดฟเสนอ และโจก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็จอดไว้ที่นี่แหละ แล้วค่อยกลับมาเอา”
“ไม่ชวนน้องนายไปด้วยหรือไง”
“ปล่อยเอ็มไปเถอะ กลับมาแล้วคงอยากอยู่กับเพื่อนมากกว่า”
“ก็ดี” อย่างน้อยก็ตัดเรื่องยุ่งยากไปได้หนึ่ง เพราะถ้าไปด้วยกันจริงๆ เขาคงเต็มกลืน ดีไม่ดีต้องขอแยกตัวออกมา
เดฟและโจออกจากหน้าที่พักของเอมิลี่ไปยังถนนบรอดเวย์ แล้วลงสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายที่เพิ่งเลิกงาน บ้างก็คงออกจากที่พักไปหาอะไรกินเหมือนอย่างพวกเขาสองคนนี่แหละ
สองหนุ่มออกจากสถานีรถไฟใต้ดินในย่านมิดทาวน์ แล้วเดินไปยังร้านสเต๊กเฮาส์แห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยมากและไม่ต้องจองคิวล่วงหน้าต่างกับร้านอื่นๆ...ไปถึงก่อนก็ได้กินก่อน รอคิวไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งและสั่งอาหาร เห็นพ่อครัวปรุงเนื้อสเต๊กสดๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยแล้วก็รู้สึกว่าต่างคนต่างหิวมากเหลือเกิน
เมื่ออาหารพร้อมเสิร์ฟแล้ว ทั้งสองก็จัดการกับพวกมันราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจก็ไม่ปาน และคงไม่คุยกันเลยถ้าไม่มีสายเข้ามาหาโจเสียก่อน เขางึมงำอยู่สองสามคำก็วางสาย
“เอ็มน่ะ” โจบอกพลางกลืนเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบที่สั่งมาลงคอ แล้วพูดต่อ “เธอแค่แปลกใจที่เห็นรถเรายังจอดหน้าอะพาร์ตเมนต์ของเธอ”
“ออกมาข้างนอกกันแล้วจะไม่ตามมาหรือ”
“ไม่หรอก เห็นว่าแม็กกี้อยากกินซูชิ”
“แม็กกี้หรือ” เดฟขมวดคิ้ว เท่าที่จำได้ ตอนที่ช่วยยกของบางส่วนขึ้นไปมีเพื่อนชาวเอเชียของเอมิลี่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ชื่อเรนนี่ ไม่ใช่แม็กกี้
“ใช่ นายลงไปก่อนที่เธอจะมา เธอเป็นคนน่ารักนะ ใสซื่อดี ไม่น่าเชื่อว่าจะคบเอ็มได้”
“แต่คนจีนที่ชื่อเรนนี่ก็ดูธรรมดามากเหมือนกัน”
“เรนนี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม็กกี้นี่สิ” ใบหน้าของโจขรึมลงอีกเท่าตัวเมื่อพูดถึงเด็กที่ชื่อแม็กกี้ “เท่าที่เอ็มเล่าให้ฟัง เธอน่าสงสารมากนะ เหมือนเป็นเด็กมีปัญหา ชอบเก็บตัว มีแต่คนชอบแกล้ง แต่แม็กกี้ไม่เคยตอบโต้ นิ่งจนน่ากลัว”
“แล้วไง”
“ก็ไม่มีอะไร”
“นายชอบเด็กคนนั้นหรือ เด็กกว่านายตั้งเยอะนะ” เดฟเลิกคิ้ว เพิ่งได้ยินโจพูดราวกับสนใจผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่จะว่าไปพวกเขาก็ไม่ค่อยคุยอะไรกันมากนักนอกจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามประสาเท่านั้น
“ฉันชอบเธอแบบน้อง เอ็มบอกว่าแม็กกี้น่ะโดดเดี่ยว มาอยู่อเมริกาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีเพื่อนเท่าไร”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกหรอกหรือ”
“ไม่” โจส่ายหน้า “เอ็มบอกว่าแม่ของแม็กกี้เป็นคนไทย พ่อแม่แยกกันอยู่ พอแม่เสียเธอก็มาอยู่กับพ่อเพราะที่ไทยเธอไม่เหลือญาติที่ไหนอีกแล้ว และพ่อก็ทำงานต่างรัฐ เลยอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด”
“ก็สมควรที่เด็กนั่นจะเก็บตัว”
“ฉันแค่สงสารเธอ”
“ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักเข้าแล้วหรอกหรือ”
เดฟถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ทำเอาโจสำลัก แล้วมองคนถามราวกับว่าอีกฝ่ายมีหัวงอกออกมาสองหัวก็ไม่ปาน
“คิดได้ยังไงวะ แม็กกี้เด็กกว่าฉันสิบหกปี ฉันเอ็นดูเธอแบบน้องจริงๆ โว้ย”
“น้องก็น้อง” หนุ่มมาดเถื่อนยักไหล่ “แต่ถ้ามาอยู่บนเตียง ต่อให้เด็กกว่าเยอะแค่ไหนฉันก็คิดแบบน้องไม่ได้หรอก เพราะพี่น้องที่ไหนคงไม่อยู่บนเตียงด้วยกันทั้งสภาพเปลือยเปล่าแน่ๆ”
“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ” โจชักเริ่มหัวเราะไม่ออกกับความคิดสัปดนของเพื่อน “ฉันอยากเห็นแฟนนายจริงๆ ถามจริงนะเดฟ จนป่านนี้นายยังไม่คิดจะแต่งงานเลยเรอะ”
“แต่งทำไม ทำไมต้องแต่ง”
ผลของการกวนประสาทคือโจยกนิ้วกลางให้อย่างหยาบคาย แต่พวกเขาสนิทกันเกินกว่าจะมานั่งโกรธแล้ว
เดฟหัวเราะ ยักไหล่นิดๆ แล้วตอบเสียงเรียบ “ไม่มีใครอยากอยู่กับผู้ชายอย่างฉันหรอกน่า”
“อย่างน้อยก็เอ็ม”
ชื่อนั้นทำเอาเดฟสะดุ้ง
“นายรู้ด้วยหรือโจ”
“ไม่เอาน่าเดฟ นายคิดว่าฉันไม่รู้จักน้องสาวตัวเองเรอะ”
“นายจะด่าฉันก็ได้นะ”
“ไม่ละ นี่มันเรื่องปกติของเอ็ม และฉันก็คิดว่าเอ็มโตพอที่จะดูแลตัวเองด้วย เชื่อเถอะเพื่อน...เอ็มไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอก”
“นายเป็นพี่ที่แปลกมาก”
“ฉันเป็นพี่ที่อยากให้น้องเรียนรู้ความผิดพลาดความผิดถูกด้วยตัวเองต่างหาก ถ้าเอ็มพลาดไปฉันกับพ่อก็ยังเป็นที่พึ่งของเธอเสมอ แต่เอ็มเรียนเก่ง ทันคน เธอเอาตัวรอดได้”
“เรียนโคลัมเบียก็ไม่ธรรมดาแล้ว” ทหารรับจ้างหนุ่มชมจากใจจริง
โจไม่พูดอะไรต่อเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาที่โต๊ะพวกเขาตลอดเวลา ชายในชุดสูทสีดำคนนั้นมองด้วยความสงสัย ไม่ใช่จงใจหาเรื่องแต่อย่างใด เขาสะกิดเดฟ พยักพเยิดไปทางโต๊ะหลังแล้วถามเบาๆ
“นายรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่าวะ เห็นมองนายมาสักพักแล้ว”
เดฟหันไปตามที่โจบอก ผู้ชายสวมสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตตัวในสีขาว ใบหน้าคุ้นตาอย่างที่เดฟแน่ใจว่าเคยเห็นแน่ๆ แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน และก็ไม่ต้องถามแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้วชายคนนั้นก็ลุกเดินมาหา
“เดฟลิน ลิวอิส เปเรซใช่ไหม” ชายสวมสูทถาม
เจ้าของชื่อได้แต่หัวเราะเบาๆ...ดูเหมือนเดี๋ยวนี้ทุกคนจะทักทายเขาด้วยการถามว่าเขาชื่อ ‘เดฟลิน ลิวอิส เปเรซ’ ใช่ไหม
“ผมเคยรู้จักคุณ?”
“โคลิน คอนโนลลี่...เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ” ชายอายุราวสี่สิบปีขึ้นไปแนะนำตัวเอง
“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่” เดฟคิดออกทันที เขาเคยทำงานกับชายคนนี้เมื่อตอนมีงานอารักขาที่องค์การสหประชาชาตินี่เอง
“ผมทำงานที่นี่ ถ้าคุณยังจำได้นะเดฟ”
“ใช่ไงคุณเจ้าหน้าที่” เดฟพยักหน้า
โจมองเพื่อนสนิทและชายวัยกลางคนสลับกัน กำลังจะเอ่ยปากบอกให้เดฟไปคุยกับเพื่อนก่อนก็ได้ แต่มีสายจากเอมิลี่ตัวแสบเสียก่อน จึงพยักหน้ากับเดฟนิดๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปรับสายนอกร้าน
“นั่งก่อนสิครับ” หนุ่มร่างใหญ่ผายมือเชื้อเชิญไปตามมารยาท แต่ใครจะคิดว่าโคลินกลับนั่งลงจริงๆ แล้วคลึงขมับกลัดกลุ้ม ท่าทางเขาแย่มาก ไม่เนี้ยบทุกมุมมองเหมือนตอนที่ทำงานร่วมกัน แต่ก็อย่างว่า...นั่นมันหลายปีมาแล้ว และตอนนี้โคลินก็เหมือนแก่กว่าเดิมเป็นสิบๆ ปี
“คุณดูกลุ้มใจนะคุณเจ้าหน้าที่”
“เรียกผมว่าโคลินเถอะ” คอนโนลลี่บอก เขาคลึงสันจมูกที่มีรอยหักของตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “แต่คุณดูดีขึ้นนะเดฟ”
“เทียบกับเจ้าหน้าที่สวมสูทอย่างคุณไม่ได้หรอกน่า” เดฟหัวเราะหึๆ สภาพของเขากับคู่สนทนาช่างต่างกันเหลือเกิน เขาทั้งดูรกรุงรัง สกปรก ดูเป็นผู้ชายดิบๆ น่ากลัวเมื่อเทียบกับชุดสูทผ้าเนื้อดีแบรนด์ดังที่อยู่บนตัวโคลิน
“ที่จริงผมอยากคุยเรื่องตลกๆ กับคุณนะ แต่สนุกไม่ออก”
“งานเครียดมากละสิ”
“ทำนองนั้น” คอนโนลลี่รับคำ “ผมเพิ่งกลับจากงานศพลูกทีม”
เดฟชะงัก มองสีหน้าเศร้าหมองของเจ้าหน้าที่อาวุโสกว่าแล้วถอนใจเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่ามันแย่เพียงไร เพราะเขาเองก็เคยเป็นฝ่ายต้องไปงานศพเพื่อน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขาออกจากกองทัพมาเป็นแค่ทหารรับจ้างธรรมดาๆ เท่านั้น
“ผมเข้าใจคุณนะโคลิน...เสียใจด้วยจริงๆ”
“เขาตายในหน้าที่”
“คดีใหญ่หรือครับ”
“กวาดล้างแก๊งมาเฟียในนิวยอร์กน่ะ ปัญหาเดิมๆ ลูกน้องผมตามหาทนายคนหนึ่งที่เคยทำคดีให้พวกนั้น แต่แบรนก็เป็นศพไปเสียก่อน”
“จับได้หรือยังครับ”
“หน้าที่ตำรวจนิวยอร์กน่ะ ตอนนี้การตามหาทนายคนนั้นสิสำคัญกว่า วันนี้ผมก็ไปอะพาร์ตเมนต์ของเขาที่อัปเปอร์อีสต์ไซด์มา แต่ไม่เจอ หวังว่าบรูซจะยังไม่ตายไปแบบแบรนก็แล้วกัน”
“ชื่ออะไรนะครับ” ชื่อนั้นทำให้เดฟชะงักทันที
“อะไรเรอะ”
“ชื่อทนายน่ะครับ คุ้นๆ อยู่เหมือนกัน”
ความคิดเห็น |
---|