5

ตอนที่ 5



 

             “เวร!” ผู้ชายร่างใหญ่โตราวกับตึกสบถหยาบคาย ดวงตาคมจ้องมองอย่างดุดันแล้วก้าวประชิดตัวหญิงสาวอย่างรวดเร็ว “ไม่อยากคุยกันดีๆ แล้วใช่ไหม”

เธอกำลังถูกตาม...

            ร่างแบบบางสะท้านเยือก หญิงสาวรู้ตัวว่าถูกตามตั้งแต่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน แรกทีเดียวก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร เธอเหลือบไปเห็นเขากำลังจ้องเธอตาไม่กะพริบ และไม่ลงสถานีไหนเสียที แมคเคนซี่จึงแสร้งนั่งอ่านหนังสือไปเพลินๆ ทว่าเมื่อเหลือบมองไปทางชายร่างสูงใหญ่กำยำเหมือนหมียักษ์ทีไรก็ต้องสะดุ้งทุกครั้ง เพราะเขาก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน

            เขาคนนั้นเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์ของเอมิลี่ไม่ผิดแน่ แมคเคนซี่จำได้ แต่วันนี้เธอได้เห็นแววตาของเขาแล้ว มันดุดัน น่ากลัวชวนให้ใจสั่น แมคเคนซี่นึกไปถึงเสือดำที่ปราดเปรียวและพร้อมจะ ‘ล่า’ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

            ระหว่างที่กำลังเพลินกับการมองไปยังร่างสูงใหญ่นั้น อยู่ๆ เขาก็เดินมาทางเธอจนแมคเคนซี่สะดุ้งและลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ เธอไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่สถานีอะไรแล้ว ยอมรับว่าไม่มีสติเอาเสียเลย เธอกลัวเขา โดยเฉพาะดวงตาวาววับคู่นั้นยามที่จ้องมองมา มันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเป็น ‘เหยื่อ’ อันแสนโอชะของเขาก็ไม่ปาน

            “รับสายหน่อยสิเรนนี่” แมคเคนซี่เพียรโทร. หาเพื่อนอีกสองสามครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสาย คิดว่าตอนนี้เรนนี่คงหลับเป็นตายไปแล้ว ส่วนเอมิลี่นั้นไม่ต้องพูดถึง จะหลับตั้งแต่อยู่ในคลาสแล้ว

            หญิงสาวพยายามสงบสติอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติทั้งที่ยังหวาดกลัวเขาอยู่มาก เวลาเดินผ่านตึกที่มีกระจกเธอก็จะเหลียวมองตลอดเวลา และรู้ว่าผู้ชายคนนั้นยังคงติดตามเธอไปเรื่อยๆ จนแทบประสาทเสีย กลัวมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร จะปล้นเธอหรือไม่ และนั่นก็ยิ่งทำให้แมคเคนซี่ไม่กล้ากลับไปที่ห้องพักของตัวเอง

            ค่ำแล้ว...และเธอก็เริ่มหิว นักศึกษาสาวยังเดินวนอยู่ในย่านมิดทาวน์และหามื้อค่ำเติมกระเพาะ ผู้ชายอันตรายคนนั้นไม่ตามเข้ามาก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ดักรออยู่ข้างนอก ความคิดนั้นทำให้แมคเคนซี่ตัวสั่นทันที

            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” บริกรถามขณะที่เธอเรียกเช็กบิล

            “ฉันคิดว่ามีคนตามฉันมาค่ะ ขอออกทางหลังร้านได้ไหมคะ”

            “ท่าทางเขาเป็นอย่างไรครับ แล้วต้องการให้ผมแจ้งเก้าหนึ่งหนึ่งไหมครับคุณ”

            “ดีค่ะ” สีหน้าของแมคเคนซี่ยังไม่ดีขึ้น เธอบอกคร่าวๆ ว่า “ผู้ชายตัวใหญ่เหมือนหมี น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าหกฟุตสามนิ้ว สวมแจ็กเกตหนังสีดำกับกางเกงยีนสีเข้ม ผมยาวระต้นคอ แต่เซตให้เสยไปข้างหลัง แล้วก็ไว้หนวดเคราเต็มหน้าเลยค่ะ”

            “ผมจัดการให้ครับ”

            แมคเคนซี่ให้ทิปไปตามสมควรแล้วรีบออกทางหลังร้าน ผ่านตรอกเล็กๆ แคบๆ แล้วก็แอบอยู่ตรงนั้นก่อน จนกระทั่งเห็นเจ้าหน้าที่ NYPD หรือตำรวจนิวยอร์กเข้ามาจับผู้ชายคนนั้นไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก

            “เฮ้อ...” ร่างแบบบางออกจากที่ซ่อนแล้วรีบเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด มุ่งหน้ากลับที่พักของตัวเอง

            เดฟ ลิวอิส เปเรซ นั่งหน้าหงิกอยู่ในสถานีตำรวจนิวยอร์ก เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พยายามอธิบายว่าเขาไม่ได้ตามผู้หญิงคนนั้น แต่นัดกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และให้ตำรวจติดต่อไปหา ดิเอโก เดรอตติ ไม่นานนักหนุ่มเชื้อสายอิตาลีก็เดินเข้ามาในสถานีตำรวจเพื่อช่วยยืนยันอีกเสียงจนเดฟได้รับการปล่อยตัวออกมาในที่สุด

            “ใครจะเชื่อว่าคอนแทรกเตอร์ที่ดีที่สุดของแบล็กวอเตอร์จะสิ้นท่าเพราะผู้หญิง” ดิเอโกหัวเราะลั่น แต่เดฟไม่ขำด้วย ใบหน้าของทหารรับจ้างหนุ่มบึ้งตึงถึงขีดสุด โมโหผู้หญิงที่ชื่อแมคเคนซี่ยังไม่เท่ากับโมโหตัวเองที่ประมาทเกินไป เห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คงไม่มีพิษสงอะไร ที่ไหนได้กลับเล่นงานเขาได้อย่างเจ็บแสบ

            “ถ้าหุบปากไม่ได้ก็กลับไปซะ” เดฟคำรามลอดไรฟันอย่างที่บ่งบอกว่าความอดทนของเขากำลังจะหมดลงในไม่ช้า

            “ผมมาช่วยคุณแท้ๆ นะเดฟ”

            “แล้วเจ้านายคุณไปไหนเสียล่ะเดรอตติ”

            “ทำงานน่ะสิ” ดิเอโกตอบหน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวเองบอกว่าเป็นมือขวามาเฟียแต่กลับว่างงาน แล้วมาเฟียตัวจริงกลับทำงานยุ่งตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ...ตลกไปหน่อย

            คนตัวใหญ่เหมือนหมีหยุดเดินแล้วมองคนข้างตัวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ทำเอาดิเอโกผงะไปทันที เขาหรี่ตาลงด้วยความสงสัย “คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะเดฟ”

            “ก็แค่สงสัยนิดหน่อย แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”

            “เข้าใจอะไร”

            “เข้าใจว่าใครคือตัวจริงกันแน่ไง” ทหารรับจ้างหนุ่มยิ้มมุมปาก ยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมขึ้นไปอีก แล้วเดินต่อไปไม่สนใจใบหน้าเผือดสีลงเล็กน้อยของดิเอโกเลยสักนิด

            “คุณหมายความว่ายังไงกันแน่เดฟ”

            “ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร” คนถูกถามไหวไหล่เบาๆ “เอาเป็นว่าผมจะรักษาความลับของพวกคุณอย่างดี ไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้แล้วกัน”

            “มันก็ต้องอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นผมเชือดคอคุณแน่” ดิเอโกขู่ ดวงตาวาววับอย่างที่เดฟคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่สมกับที่เจ้าตัวเคยบอกว่าเป็นแค่ ‘ลูกน้องมาเฟีย’ แต่เขาก็ยังไม่กลัวอยู่ดี ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม อย่างที่บอก สายงานที่เขาเคยผ่านมาต้องเจอมากกว่านี้เยอะ

            อดีตนักบินไนต์สตล็อกเกอร์หนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วตบบ่าดิเอโก ตอนนี้เขาแน่ใจว่าแล้วคนตรงหน้านี่ละที่เป็น ‘กัสซาโน’ ตัวจริง แต่จะเพราะสาเหตุใดถึงต้องปกปิดสถานะของตัวเอง...นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่ดี

            “ขอบใจที่มาแล้วกัน”

            “เพราะคุณทำงานให้ผมอยู่ไง แล้วได้เรื่องอะไรบ้างล่ะ”

            “ยังหรอก” เดฟตอบขรึมๆ “ผมไม่อยากทะเล่อทะล่าเข้าไปข่มขู่บังคับ เห็นอยู่ว่าเธอระวังตัวแจเลย ต้องค่อยเป็นค่อยไป”

            “อย่าให้พวกไหนมาเอาตัวเธอไปได้ก่อนแล้วกัน”

            คนตัวใหญ่พยักหน้า แยกกับดิเอโกแล้วออกจากสถานีตำรวจมุ่งหน้ากลับที่พัก ระหว่างทางก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าจะได้เจอแมคเคนซี่ได้อย่างไรในเมื่อเธอยังระวังตัวแจ ภายนอกดูนิ่งๆ เหมือนลูกแมวเชื่องๆ ไร้พิษสง ที่ไหนได้...เล่นงานเขาไว้เสียเจ็บแสบทีเดียว

            กว่าเดฟจะมาถึงที่พักเดียวกับบรูซที่ย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ก็ดึกพอสมควร ชายหนุ่มตรงเข้าห้องพักทันทีแล้วควานหาซิการ์ขึ้นมาสูบ ในหัวครุ่นคิดว่าจะจัดการกับแมคเคนซี่อย่างไรดี

            แมคเคนซี่ตื่นแต่เช้า วันนี้ไม่มีเรียน เธอจึงไม่อยากออกจากห้องไปไหน หนึ่งเพราะกลัวว่าจะถูกผู้ชายท่าทางเหมือนหมีกริซลีคนนั้นตามอีก รู้ว่าคนเราจะมองแค่ท่าทางภายนอกไม่ได้ แต่หน้าตาของเขาก็ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ทั้งยังเคยเจอกันหลายต่อหลายครั้ง มันดูจงใจเกินไป ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อย่างไร แต่แมคเคนซี่ก็ไม่อยากเจอเขาอีก ไม่ต้องเจอกันอีกเลยจะดีกว่า

สาวร่างแบบบางลุกจากที่นอนแล้วเปลี่ยนชุดออกกำลังกายง่ายๆ อย่างโยคะอยู่ในห้อง จนกระทั่งเกือบแปดโมงเช้าจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งแล้วรีบลงไปหามื้อเช้ากินก่อนที่ร้านจะปิด ได้ออมเล็ตกับขนมปังเติมกระเพาะแล้วจึงโทร. ถามเอมิลี่และเรนนี่ว่ามีโปรแกรมจะไปที่ไหนหรือไม่ คำตอบคือต่างคนต่างก็จะนอนอยู่ที่ห้อง ไม่ออกไปไหน สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟใต้ดินไปเดินเล่นในเซ็นทรัลปาร์ค เพราะถ้าอยู่ที่ห้องก็เหงา ออกมาสูดอากาศข้างนอกเดินมองผู้คนไปพลางๆ คงจะดีไม่น้อย

            แมคเคนซี่ลงเดินเข้ามาทางประตูฝั่งตะวันตกแล้วเดินบนทางเดินที่เรียกกันว่าเดอะมอลล์ ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาบสองข้างทาง มีม้านั่งกระจายเป็นจุดๆ ทำให้มองเห็นคู่รักหลายคู่มานั่งพักผ่อนแถวนี้เป็นประจำ กลายเป็นสถานที่โรแมนติกไปโดยปริยาย

หญิงสาวอมยิ้มเมื่อเห็นคู่รักวัยรุ่นไฮสกูลคู่หนึ่งนอนหนุนตักกันอยู่ ฝ่ายชายนอนอ่านหนังสือชีววิทยา ส่วนฝ่ายหญิงที่กำลังอ่านนิยายรักละสายตาจากตัวหนังสือมาสบตาและยิ้มให้กันบ้าง...ก็นับว่าน่ารักดี

            แรกๆ ที่มาอยู่อเมริกา แมคเคนซี่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยที่เวลาเดินถนนแล้วเห็นคู่รักแสดงความรักกันอย่างอิสระ มันต่างจากที่ที่เธอจากมา แม้จะอยู่มาหลายปีและเริ่มปรับตัวได้แล้ว ทว่าทุกครั้งที่เห็นคู่รักวัยใสแสดงความรักกันแบบน่ารักสมวัยก็อดยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง เพราะเธอไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้อย่างใครเขาบ้างเลย

            แต่ก็ดีแล้ว...

            แมคเคนซี่ยิ้มขื่นกับตัวเอง หญิงสาวเดินทอดน่องไปบนเดอะมอลล์อย่างช้าๆ ที่ลานกิจกรรม Naumburg Bandshell มีการแสดงวงดนตรีคลาสสิกพอดี จึงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหลังสุด หลับตาฟังเสียงไวโอลินสุดหวานและนึกถึงที่ที่ตัวเองจากมา

            ความทรงจำเก่าๆ เลือนรางไปมากเพราะล้วนแต่ไม่มีอะไรให้จดจำ แมคเคนซี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วกลับมาเป็นแมคเคนซี่ ไม่ใช่เด็กหญิงมนัสชนัญคนเดิมที่เต็มไปด้วยบาดแผลในใจ เธอลบชื่อนั้นทิ้ง ลืมอดีตทั้งหมดแล้วก้าวต่อไป

สาวร่างบางลุกจากเก้าอี้ที่ลานกิจกรรมแล้วเดินทอดน่องต่อไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เรนนี่นั่นเอง

            “ว่าไงเรนนี่”

            “เธออยู่ที่ไหนหรือแม็กกี้ พอดีฉันเพิ่งตื่นน่ะ เลยเปลี่ยนใจอยากนัดกับเธอมากกว่า”

            “อยู่เซ็นทรัลปาร์ค อยากมาปิกนิกไหมล่ะ”

            “ก็ดีนะ นั่นเสียงอะไรน่ะ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

            “ไวโอลินน่ะ อยู่ตรงลานกิจกรรมพอดีเลย”

            “ฉันกับเอ็มจะรีบไปหาแล้วกันนะ เธอรออยู่ตรงนั้นก่อนนะแม็กกี้ ตอนนี้เราอยู่บนสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว กำลังจะถึงในไม่ช้า”

            “จ้ะ” แมคเคนซี่ค่อยยิ้มออก เธอเดินกลับไปนั่งต่อท้ายแถวเก้าอี้ที่ลานกิจกรรมอีกครั้ง คราวนี้นักเปียโนสาวกำลังบรรเลงเพลงคลาสสิกคุ้นหู เธอไม่แน่ใจว่าใช่ของบีโทเฟนหรือไม่ ฟังแล้วก็เพลินดี มือบางยกสมาร์ตโฟนขึ้นกำลังจะกดถ่ายภาพนักดนตรีและลานกิจกรรม ทว่าภาพสะท้อนจากด้านหลังที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือก

            ผู้ชายร่างใหญ่จนเหมือนหมีคนนั้น!

            ใบหน้าหวานอมเศร้าหันไปทางด้านหลังตรงจุดที่เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ทันที แต่เมื่อหันไปก็ไม่พบใครแล้ว ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น หัวใจดวงน้อยยังเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะยังตื่นกลัวไม่หาย ถ้าเขาตามเธอมาจริงๆ แล้วจะทำอย่างไร แมคเคนซี่หันซ้ายหันขวามองให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีเขาจริงๆ แต่ก็ไม่มีใคร

            หรือเธอจะตาฝาดไป...หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกแล้วหันไปสนใจการแสดงบนเวทีต่อ เธอถ่ายรูปวงดนตรีและฟังเสียงเพลงคลาสสิกคลอไปเบาๆ เข้ากับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ

            แมคเคนซี่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรกันแน่ เธอเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีฝ่ามือหนักๆ มาตบที่บ่า ทำเอาสะดุ้งสุดตัวเพราะคิดว่าเป็นผู้ชายร่างหมีคนนั้น ทว่าเมื่อหันไปมองแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะไม่ใช่คนที่เธอกลัวแต่อย่างใด เจ้าของฝ่ามือหนักนั่นคือยายตัวแสบเอมิลี่นั่นเอง

            “เคลิ้มเชียวนะเต่าน้อย ฉันโทร. หาเธอเป็นสิบๆ ครั้งแล้วนะ” เอมิลี่ว่าพลางดึงแขนเพื่อนให้ลุกขึ้น แล้วพาไปนั่งอาบแดดปิกนิกด้วยกันที่สนามหญ้า ตอนนี้แดดกำลังดี คลายหนาวได้เยอะ

            “ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะมาถึงเร็ว”

            “เร็วที่ไหน ช้าจะตาย ฉันแวะซื้อแซนด์วิชมาด้วย” เรนนี่ว่าพลางส่งถุงกระดาษให้แมคเคนซี่กับเอมิลี่ จากนั้นตัวเองจึงสวาปามของในมืออย่างรวดเร็ว

            “ให้ตายเถอะเรนนี่ เธอไปตายอดตายอยากมาจากไหน”

            “นอนนานเลยหิวน่ะสิ” สาวจีนบอกทั้งที่แซนด์วิชทูน่ายังเต็มปาก “เมื่อคืนเธอโทร. หาฉันหรือแม็กกี้”

            หญิงสาวหน้าเผือดสีลงทันทีเมื่อนึกถึง ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เธอต้องกระหน่ำโทร. หาเพื่อนทั้งสอง แถมวันนี้ยังเห็นเขาตามเธอมาอีก แม้ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็ตาม แต่มันทำให้เธอหวาดผวา

            “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกมานะแม็กกี้” เอมี่ลี่คาดคั้นเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนที่เธอรู้ดีว่ามีอะไรบางอย่างกระทบกระเทือนจิตใจของแมคเคนซี่อย่างหนัก

            “ฉัน...”

            “เมื่อคืนเธอก็โทร. หาฉันด้วยนี่แม็กกี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

            คนถูกถามมองเพื่อนทั้งสองคนสลับกันไปมาแล้วเม้มปาก ยิ่งเจอสายตาคาดคั้นของเอมิลี่กับสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของของเรนนี่ เธอก็ยิ่งพูดไม่ออก ใจหนึ่งก็อยากบอก แต่อีกใจก็กลัวเพื่อนจะเป็นห่วงไปมากกว่านี้

            “แม็กกี้” เอมิลี่ทำเสียงดุเพราะรู้ดีว่าเพื่อนนิสัยอย่างไร ไม่ว่าจะมีปัญหาร้ายแรงขนาดไหน แมคเคนซี่คนนี้ก็มักจะเก็บไว้กับตัวเองเสมอ ไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใครเพราะเกรงใจ และนี่คือข้อเสียอย่างเดียวของแมคเคนซี่ที่เอมิลี่ไม่ชอบเอาเสียเลย

            “เมื่อคืนฉันออกไปหาอะไรกินคนเดียวเลยเหงาๆ น่ะ”

            “กระหน่ำโทร. มาเป็นสิบๆ ครั้งเนี่ยนะ” นี่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเช่นกัน ปกติแมคเคนซี่คนนี้จะเคยชินกับความเหงา  ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่ใช่คนเงียบๆ ชอบเก็บตัวอย่างนี้หรอก

            “ถ้าเธอไม่พูดความจริงกับฉัน ฉันจะโกรธเธอแล้วนะแม็กกี้” เอมิลี่บอกเสียงเฉียบ สีหน้าดุดัน

            “ฉัน...”

            “ห้ามโกหก” เรนนี่เสริม แต่ถ้าแมคเคนซี่จะโกหกจริงๆ แล้วพวกเธอจะทำอะไรได้ แมคเคนซี่คนนี้เยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง แถมยังโกหกหน้าตายจับไม่เคยได้สักครั้ง

            “มีคนตามฉันมา แต่ฉันแจ้งตำรวจไปแล้ว”

            “แน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ตามมาอีก” เอมิลี่กอดอก ทำหน้าเหมือนครูทวงการบ้านเด็กก็ไม่ปาน

            “แน่ใจสิ โดนจับไปแล้วน่ะ”

            “เธอรู้ใช่ไหมแม็กกี้ว่าเราสองคนเป็นเพื่อนเธอ” เรนนี่ตบบ่าเพื่อนเบาๆ ในเมื่อแมคเคนซี่ไม่อยากบอก คาดคั้นไปก็ทำให้ลำบากใจเปล่าๆ ไว้พร้อมเมื่อไรก็คงจะบอกเอง

            “เธอนี่นะแม็กกี้” เอมิลี่ยังฮึดฮัด “ฉันละอยากจะเกลียดเธอจริงๆ”

            “เธอไม่เกลียดฉันหรอกเอ็ม...ใช่ไหม”

            “คิดอย่างนั้นได้ยังไงน่ะยายเต่าน้อยเอ๊ย!” เอมิลี่คว้าเพื่อนเข้ามากอดแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก

            แมคเคนซี่น้ำตาซึม แต่ต้องกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะเบาๆ บรรยากาศระหว่างสามสาวผ่อนคลายลงทันที

หลังจากจัดการแซนด์วิชแล้ว เรนนี่ก็ส่งเลกเชอร์ที่แมคเคนซี่ขอยืมไว้ให้ สองสาวถกเรื่องที่เรียนผ่านมา แลกเปลี่ยนความรู้ไปในตัว ส่วนสาวสวยอย่างเอมิลี่นอนอาบแดดจนเคลิ้มหลับไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของเรนนี่และรอยยิ้มบางๆ ของแมคเคนซี่ และนั่นก็ทำเอาสาวสวยสะดุ้งตื่นจนได้

            “เมื่อไหร่พวกเธอจะเลิกคุยเรื่องเรียนเสียทีเนี่ย น่าเบื่อจะแย่”

            “อยากเมาท์เรื่องผู้ชายหรือไงเอ็ม” สาวจีนหันมาถาม ส่วนแมคเคนซี่ไม่พูดอะไร เธอเอาแต่นั่งมองสองคนสลับกันไปมา โดยไม่มีบทบาทอะไรเลย

            “ก็ใช่สิ เมื่อคืนไปที่บาร์มา หล่อล่ำมากเลยนะเรนนี่”

            “ไหนว่านอนอยู่ที่ห้องไง”

            “นอนตอนสว่างไง” เอมิลี่ตอบหน้าตาเฉย และนั่นก็ทำให้แมคเคนซี่หัวเราะได้ในที่สุด

            “เธอนี่ไม่น่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยรู้ไหมเอ็ม” เรนนี่เริ่มทำตัวเป็นแม่ชีด้วยการเทศน์เรื่องความตั้งใจเรียนให้เอมิลี่ฟังเสียเลย โดยมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของแมคเคนซี่คลอเสียงบ่นของเรนนี่ตลอดเวลา

            “การเที่ยวกลางคืนไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ตั้งใจเรียนนะยะ” เอมิลี่แบะปากใส่สองสาวคงแก่เรียน แต่เชื่อเถอะว่าพาไปเที่ยวสักครั้งเดี๋ยวได้เสียคน

            “แล้วหนุ่มใหม่ที่ว่าน่ะเป็นยังไงบ้างล่ะ”

            “หล่อ ล่ำ เป็นนักรักบี้ด้วยนะ” สาวสวยที่สุดในกลุ่มแสดงอาการกระดี๊กระด๊าออกมาชัดเจน

            “ปลื้มขนาดนี้แสดงว่าเสร็จเธออีกแล้วสิเอ็ม”

            “ใครว่าล่ะเรนนี่ คนนี้คบจริงจัง เลยพักเรื่องบนเตียงก่อน”

            “พูดเป็นเล่น!” สาวจีนร้องเสียงหลง อย่าว่าแต่เรนนี่เลยที่ตกใจ เพราะแม้แต่แมคเคนซี่เองยังสะดุ้ง ไม่คิดมาก่อนว่าเอมิลี่จะคิดจริงจังกับใครได้

            “เธอก็อีกคนแม็กกี้ จะตกใจอะไรขนาดนั้นยะ”

            “ฉันแค่ดีใจที่เธอเจอคนดีๆ แล้วน่ะเอ็ม” เจ้าหญิงน้ำแข็งประจำกลุ่มตอบเบาๆ

            “ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าดี แค่บอกว่าหล่อล่ำต่างหาก”

            “ฉันละเครียดแทนพ่อแม่เธอจริงๆ นะเอ็ม” สาวจีนหัวเราะเสียงดัง จนเด็กหนุ่มวัยใสไฮสกูลที่นั่งอยู่แถวนั้นหันมามอง และก็เป็นเวลาให้เอมิลี่บริหารเสน่ห์พอดี หญิงสาวหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มผมทอง ทว่าเด็กคนนั้นกลับสนใจมองแมคเคนซี่แทน

            “เด็กคนนั้นมองเธอน่ะแม็กกี้” เอมิลี่กระซิบ ใบหน้าสวยมั่นหม่นลงเล็กน้อย แต่แค่นิดเดียวเท่านั้น

            “อะไร” คนถูกมองยังไม่รู้ตัว

            “เด็กคนนั้นมองเธอ” เรนนี่ก็พลอยก้มหน้าลงมากระซิบกระซาบ สลับกับหันไปมองกลุ่มเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นตลอดเวลา

            “น่าจะมองเอ็มมากกว่านะ” แมคเคนซี่ชินเสียแล้วที่เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนแล้วเธอจะเป็นเพียงหลุมดำคนเดียวในกลุ่ม ผู้ชายร้อยละเก้าสิบห้าจะมุ่งตรงไปหาเอมิลี่ ส่วนที่เหลือจะเหลือบมองเรนนี่เป็นระยะๆ เพราะเรนนี่เป็นสาวจีนที่มีใบหน้าขาวหมวย ทว่านัยน์ตากลมโตโดดเด่น ทั้งยังอัธยาศัยดีมาก จึงไม่แปลกที่จะมีหนุ่มๆ แวะเวียนเข้ามาคุยบ้าง เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่สนใจ และทุ่มเทความใส่ใจทั้งหมดไปที่เรื่องเรียนอย่างเดียวเท่านั้น

            “เขามองเธอต่างหากยายเต่าน้อย ลองหันไปเล่นหูเล่นตาบ้างสิ” เอมิลี่กระตุ้น พยายามจะให้แมคเคนซี่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเสียบ้าง ไม่ใช่ดำรงตนคล้ายแม่ชีเข้าไปทุกวันอย่างนี้

            “เสียเวลาน่า”

            “ฉันบอกเธอแล้วเอ็ม” เรนนี่หัวเราะเบาๆ

            “ให้ตายเถอะแม่หนู...เรียนจบแล้วก็บวชชีไปสอนในคอนแวนต์ได้เลยนะ เธอไม่เหมาะกับเรื่องทางโลกหรอก” เอมิลี่ประชดเข้าให้ ผลคือแมคเคนซี่พยักหน้าหงึกๆ

            “ฉันก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นนะ”

            “ฉันประชดย่ะ!” เอมิลี่แว้ดใส่ แต่แมคเคนซี่ไม่โกรธ ทั้งยังหัวเราะออกมาหน้าตาเฉย

            “เธอน่าจะหาแฟนสักคนนะแม็กกี้” เรนนี่เสนอเพราะเห็นว่าแมคเคนซี่ขี้เหงามาก และก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่เสียหน่อย

            “ไม่ละ ฉันไม่อยากเพิ่มภาระให้ตัวเอง”

            “เดี๋ยวนะ...” สาวสวยดีดตัวลุกจากสนามหญ้าขึ้นมานั่งหน้าแดงพลางจ้องมองโทรศัพท์ของตัวเอง

            “อะไร” เรนนี่เยี่ยมหน้าเข้ามาดูบ้าง แต่ถูกเอมิลี่ผลักศีรษะออกไป

            “เขานัดเดตฉันละ!” ว่าแล้วสาวผมบลอนด์ก็ยิ้มอยู่คนเดียว

            “เฮ้อ...” สองสาวถอนหายใจ คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก

            “ถอนหายใจทำไม”

            “รีบไปแต่งตัวไป๊” เรนนี่ไล่หน้าตาเฉย

            “ไม่อยากไปด้วยกันเหรอ”

            “ไม่” แมคเคนซี่ส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด เธอเคยไปเป็นเพื่อนเอมิลี่ตอนเดตกับหนุ่มต่างคณะ และผลคือเห็นทั้งคู่จูบกันบ่อยมากจนหลอนไปเลย

            “งั้นกลับดีกว่า” ว่าแล้วเอมิลี่ก็ลุกขึ้นเก็บของแล้วหันไปมองเรนนี่ “กลับพร้อมกันเลยไหมเรนนี่”

            “กลับสิ” สาวชาวจีนบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็เก็บของ ลุกขึ้นปัดเศษหญ้าแต่โดยดี แล้วหันไปถามแมคเคนซี่ “เธอล่ะแม็กกี้”

            “เดี๋ยวอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกัน แล้วเย็นๆ จะกลับจ้ะ”

            “อย่าลืมมื้อเที่ยงนะ เธอน่ะผอมจนจะปลิวตามลมอยู่แล้ว” เอมิลี่เตือน

แมคเคนก็ยิ้มรับความปรารถนาดีของเพื่อน “รู้แล้ว มีความสุขกับเดตนะเอ็ม”

            “เธอด้วยแม็กกี้” เอมิลี่จูบแก้มเพื่อนเบาๆ แล้วแยกตัวออกไปพร้อมกับเรนนี่

            แมคเคนซี่นั่งอ่านหนังสือได้สักพักจนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าแดดแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงก้มหน้ามองนาฬิกาที่ข้อมือ บ่ายแล้ว เธอควรจะหาอะไรกินเสียที หญิงสาวลุกจากสนามหญ้าแล้วเดินออกจากเซ็นทรัลปาร์คไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ไชนาทาวน์คือจุดหมายปลายทาง บ่ายนี้เธออยากกินบะหมี่กับเป็ดย่างที่ไม่ได้กินมานานนับตั้งแต่นัดกับบรูซครั้งสุดท้ายเมื่อสองเดือนก่อนที่เขาจะหายหน้าไป

            คิดถึงบรูซทีไรแมคเคนซี่ก็อดใจหายไม่ได้ เขาไปแล้ว และทุกอย่างรวดเร็วเหลือเกิน พิธีศพจัดขึ้นวันเดียวกับที่เธอสอบย่อย เธอจึงไม่อาจไปร่วมงานได้ และเธอก็ติดเรียนหนักๆ หลายวันติด ไม่ได้ไปลาเขาที่หลุมศพเสียที แมคเคนซี่รู้สึกว่าลำคอของเธอตีบตันเสียแล้ว จากตั้งใจจะกินบะหมี่กับเป็ดย่างจึงเหลือแค่ซาลาเปากับหมั่นโถวสองสามลูกกับผลไม้อีกนิดหน่อยแล้วกลับที่พัก

            หญิงสาวปล่อยความคิดระลึกถึงการตายของ บรูซ เกรย์สัน จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครตามเธอมาอยู่หรือไม่ จนกระทั่งเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินที่ถนนเจ็ดสิบเจ็ดย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์ ตอนนี้เองที่แมคเคนซี่รู้สึกราวกับถูกจ้องมองจากทางด้านหลัง

            เธอไม่มีศัตรูที่ไหนนอกจากผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางน่ากลัวที่เคยสะกดรอยตามเธอเมื่อครั้งก่อน และเธอก็โทร. แจ้งเก้าหนึ่งหนึ่งจนเขาถูกจับไป และนั่นทำให้ความหวาดกลัวเข้าจู่โจมกัดกินทุกพื้นที่ในหัวใจ แมคเคนซี่อยากกรีดร้อง แต่นั่นไม่ใช่นิสัยเธอ สิ่งเดียวที่ทำได้คือแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินต่อไป ทั้งที่ทุกอณูของร่างกายกรีดร้องเพราะความกลัวและไม่อาจสลัดความรู้สึกนั้นออกไปได้เลย

            หญิงสาวร่างเพรียวบางตัดสินใจพิสูจน์ให้แน่ใจไปเลยด้วยการหันขวับไปมองทันทีด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนอย่างเคย แต่ด้านหลังไม่มีใครน่าสงสัย ก็แค่ฝูงชนชาวอเมริกันและนานาชาติเดินเข้าเดินออกสถานีรถไฟใต้ดินเหมือนเคย ไร้วี่แววของผู้ชายร่างหมีท่าทางดุดันคนที่เคยตามเธอ

            แมคเคนซี่ถอนหายใจโล่งออกแล้วเดินกลับอะพาร์ตเมนต์ วินาทีที่กำลังจะไขกุญแจห้อง เงาสะท้อนจากด้านหลังที่ปรากฏบนลูกปิดประตูทำให้เธอผงะทันที แต่ช้ากว่าคนตัวโตเหมือนหมีกริซลีที่เข้าประชิดได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู

            “คุยกันหน่อยสิ”

            ชายร่างใหญ่หน้าตาท่าทางเหมือนอาชญากรที่เคยสะกดรอยตามเธอคนนั้นเอง น้ำเสียงของเขาข่มขู่แกมบังคับ ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ แมคเคนซี่รู้สึกว่ากำลังสั่นสะท้าน ร่างใหญ่โตราวกับยักษ์ขวางหน้าข่มให้เธอรู้สึกว่ากำลังตัวเล็กลงเรื่อยๆ และสู้เขาไม่ได้เลย หญิงสาวยืนทื่อ แผ่นหลังแข็งเกร็ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา

            “คุณรู้จัก บรูซ เกรย์สัน หรือเปล่า ที่เขาพักอยู่ในอะพาร์ตเมนต์นี้” ถามเสียงเข้มมาอีก แต่คนฟังไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าเขาแค่ถามหรือต้องการอะไรกันแน่

            “เขาตายแล้ว” เธอตอบเสียงเบาจน ‘ยักษ์’ ตรงหน้าต้องก้มลงมาหา ส่งผลให้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่คืบ ลมหายใจของเขาเป่ารดลงบนใบหน้า จนแมคเคนซี่ต้องเบือนหน้าหนี

            “ผมอยากเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อแมคเคนซี่ คุณพอจะรู้จักหรือเปล่า เธอน่าจะมาที่นี่เสมอๆ”

รอยยิ้มมุมปากแสนชั่วร้ายของเขาทำให้แมคเคนซี่ยิ่งแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนดี และเธอต้องการออกห่างจากเขาให้มากที่สุด

            “ฉันไม่รู้จัก”

            “อย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นเธอมาที่นี่บ้าง...ใช่ไหม” ชายร่างสูงก้มลงมาหาใกล้กว่าเดิมจนปลายจมูกโด่งเฉียดแก้มนวลครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างจงใจ

            “ฉันไม่รู้” หญิงสาวตอบทั้งพยายามข่มความกลัว มือน้อยยกขึ้นดันแผงอกกว้างแรงๆ หวังจะให้เขาปล่อยเธอไปเสียที ทว่านอกจากร่างใหญ่โตจะไม่ขยับเขยื้อนแล้ว ยังกระหวัดวงแขนรอบเอวบางดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาประชิดร่างกายส่วนหน้าของเขา ทำเอาหญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติ เธอพยายามผลักเขาหลายครั้ง แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหนาที่ไม่ขยับที่ทำให้เธอออกแรงเสียเปล่า

            แมคเคนซี่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น อย่างที่เคยสยบใครต่อใครไม่ให้มายุ่งกับเธอได้นักต่อนัก และคิดว่าเขาก็จะเป็นอย่างคนอื่นๆ ทว่ายิ่งเธอนิ่ง เขาก็ยิ่งยิ้มทีละนิดๆ และเธอคิดว่ารอยยิ้มของเขาชั่วร้ายที่สุด ราวกับเขารู้ว่า...เธอคือใคร

            “แล้วคุณชื่ออะไร”

            ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งใช้ความเยือกเย็นเข้าสยบ อีกฝ่ายกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่สะทกสะท้าน ดวงตาคมกริบเป็นประกายแพรวพราวอย่างที่แมคเคนซี่แน่ใจว่าเขาจะไม่หลงกลเธอง่ายๆ ถ้าเธอโกหก...เขาจะต้องรู้แน่นอน

            “มนัสชนัญ” นักศึกษาสาวตอบแล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างแนบเนียน เธอไม่ได้โกหกเขาเลยสักนิด มนัสชนัญคือชื่อจริงของเธอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว

            ดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันนิ่งก่อนที่คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมกริบจะเลิกขึ้นน้อยๆ บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อเลยสักนิด ดวงตาวาววับของเขาทำเอาแมคเคนซี่เริ่มสั่น กลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ดี

            “มนัสชนัญหรือ ออกเสียงยากจริงๆ” เจ้าของเสียงเข้มทวนคำทั้งยังหัวเราะลงคออย่างไม่น่าไว้ใจ

เกิดเสียงดังคลิกเบาๆ หลังจากเขาพูดจบ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแมคเคนซี่ก็ถูกดันเข้ามาในห้องพักของตัวเองพร้อมๆ กับที่เขาหันไปปิดล็อกประตูอย่างรวดเร็ว

            “คุณ...” คนตัวเล็กกว่าปากคอสั่น มองชายร่างหมีที่ยืนขวางประตูไว้แล้วหันซ้ายหันขวามองหาทางออก แต่ไม่เลย เธอจะหนีไปไหนได้ในเมื่อเขาขวางหน้าประตูอยู่ ถ้ากระโดดหน้าต่างลงไปก็คงเจ็บหนัก และเธอก็ไม่เสี่ยงทำอย่างนั้นแน่ ในเมื่อก็เป็นคนเหมือนกัน ควรจะพูดจากันดีๆ มากกว่า

            “ผมแค่อยากคุย”

            “เอาละค่ะ ฉันคิดว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องเสียที” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดทั้งที่กำลังถูกจ้องมองด้วยดวงตาวาววับราวกับเสือดำจ้องมองเหยื่อ

            “ว่าอย่างไรล่ะครับ”

            “ฉันไม่รู้จักคนที่คุณถามถึง บรูซพักที่นี่ก็จริง แต่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าคุณมีอะไรก็ติดต่อไปที่ทำงานเขาสิคะ”

            “คุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ” เขากอดอกพลางสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ ไล่ต้อนให้เธอจนมุมจนไปชิดผนังด้านหลัง จากนั้นจึงเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับผนัง กักร่างบางไว้ในการควบคุมของเขา

            “คุณอาจจะเป็นคนที่บรูซเคยทำคดีให้”

            “หน้าตาผมเหมือนอาชญากรหรือ” ใบหน้าดุดันก้มลงมาใกล้ ลมหายใจของเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะ ใบหน้านวลเห่อร้อนขึ้นมาทันที และเธอคิดว่าเขาจะต้องสังเกตได้

            “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

            “ผมรู้ว่าบรูซตายแล้ว แต่คนที่ผมตามหาเธอชื่อแมคเคนซี่ เมียเก็บของบรูซ”

            คนฟังหน้าชาราวกับถูกตบ ดวงตาวาวใสอมเศร้าลุกวาบ แต่ก็พยายามปรับให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วส่ายหน้า

            “ฉันไม่รู้ว่าบรูซมีเมียเก็บหรือเปล่า แต่ไม่มีใครมาที่ห้องของบรูซเลย”

            “คุณยืนยันว่าไม่รู้จักใช่ไหม”

            “ใช่”

            “ก็ดี” ชายร่างใหญ่แค่นเสียง รวบข้อมือทั้งสองข้างของแมคเคนซี่ไว้แล้วกดลงบนผนังอย่างรวดเร็ว ตรึงร่างบางให้จำนนอยู่ใต้อำนาจของเขาพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย ทว่าหญิงสาวก็ยังดิ้นรนแม้จะรู้ว่าไร้ผล เธอสู้แรงเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

            “ถ้าอย่างนั้นผมขอพิสูจน์อีกหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ มือข้างที่ว่างหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนสีเข้ม แรกทีเดียวแมคเคนซี่คิดว่าเขาจะหยิบอาวุธ จึงได้แต่ยืนตัวเกร็งมองมือเขาทั้งหัวใจเต้นระรัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

            โทรศัพท์ของบรูซ!

            ชายหนุ่มยิ้มร้ายแล้วกดโทรศัพท์สองสามครั้ง ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังจะพิสูจน์อะไร เพียงไม่นานโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าหลังกางเกงยีนของเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับสั่นเบาๆ เขาทำหน้าแปลกใจอย่างเสแสร้ง กดวางสายแล้วสบตากับเธอด้วยสายตาดุดัน

            “เราคงต้องคุยกันอีกทีแล้วนะแม่หนูน้อย”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์กับดวงตาวาววับทำให้แมคเคนซี่กลัวเป็นที่สุด ยิ่งตอนที่เขาเก็บโทรศัพท์ของบรูซลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ริมฝีปากของเธอเบาๆ แค่นั้นหัวใจของแมคเคนซี่ก็เต้นไม่เป็นส่ำ เธอพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ก็ถูกเขายึดปลายคางไว้

            อันตรายเหลือเกิน...ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงมากดดันจนแมคเคนซี่แทบหายใจไม่ออก เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวพยายามเบือนหน้าหนี คราวนี้สำเร็จเพราะเขายอมปล่อยแต่โดยดี แต่แล้วมือหนากร้านก็ตะปบลงบนบั้นท้ายของเธออย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้ง แต่เพราะสองร่างแนบชิดกันมาก แค่เธอขยับนิดเดียวเขาก็ใช้มือข้างเดิมรั้งสะโพกของเธอเข้าหาร่างกายส่วนหน้าของเขา แค่นั้นก็ทำเอาแมคเคนซี่ตัวสั่นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

            “เป็นเด็กดีไม่ควรริจะโกหกผู้ใหญ่” เขาบอกเสียงต่ำ ปลายจมูกคลอเคลียข้างแก้มและใบหูนิ่มจนหญิงสาวต้องย่นคอหนี

            “ปล่อยฉัน”

            “ผมปล่อยคุณตอนนี้ไม่ได้หรอกทูนหัว” ชายร่างหมีกระซิบเหี้ยม “เราต้องคุยกันยาวแล้วละ แมคเคนซี่...กรีน”

            ดวงตากลมโตเบิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความตกใจเมื่อเขาขบเม้มใบหูของเธอเบาๆ แต่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย แมคเคนซี่หายใจติดขัด คิดว่ากำลังถูกคุกคามทางเพศ เขา...กล้าดีอย่างไร!

            ความอดทนของเธอหมดลงในที่สุด หญิงสาวมาดนิ่งยกเข่าขึ้นกระทุ้งกึ่งกลางลำตัวของเขาเต็มแรงจนชายหนุ่มสบถเสียงดังและยอมปล่อยในที่สุด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น