6

พอลลี่...เอาอยู่

บทที่ ๖

พอลลี่...เอาอยู่


จนบัดนี้พรนาราก็ยังตกใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ดี เท่าที่จำได้เธอไปขอพรตามตำราโบราณในคืนพระจันทร์สีเลือด และเมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็มีทุกอย่างแบบที่นันทวดีมี ทั้งร่ำรวยล้นฟ้า โด่งดังเป็นซุเปอร์สตาร์ แถมมีชินกฤตอยู่เคียงข้างอีกต่างหาก...และที่สำคัญเธอพิสูจน์จนแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝันด้วย

อ้า...ถ้าต้องสลักคำว่า ‘สวยวัวตายควายล้ม’ ให้เป็นรูปร่างละก็...มันจะต้องเป็นใบหน้านี้นี่ละ!

หญิงสาวมองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ เงาสะท้อนที่มองตอบกลับมานั้นดูงดงามในทุกมุมมองจริงๆ ผมยาวสลวย หน้าตาผ่องใสอย่างคนที่มีเวลาดูแลตัวเอง มันคือใบหน้าของควีนพอลลี่ตัวจริงที่เธอแอบจินตนาการมาตลอดว่า หากวันนั้นบิดาไม่ด่วนล้มละลาย ใบหน้าของเธอมันควรจะเป็นเช่นนี้แหละ สวยเจิดจ้ามีระดับแบบที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ไม่ใช่ยายเพิ้งที่มีแต่คนวิ่งหนีเพราะคิดว่าเป็นผีอีกแล้ว

ตอนนี้ชีวิตของเธอเป็นไปดั่งพรที่ขอทุกอย่าง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ แล้วครอบครัวของเธอล่ะ ชีวิตเกษตรกรอันสงบสุขของเธอล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันอันตรธานหายไปหมดแล้วหรือ

เพียงแค่คิดขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา จนหญิงสาวไม่อาจเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ถามว่าเป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าหรือ?

เปล่า...

เป็นน้ำตาแห่งความปีติยินดีถึงที่สุดต่างหาก จะเศร้ากับผีอะไรล่ะ นี่มันเรื่องดีที่สุดในโลกชัดๆ! 

พอกันทีกับความโสดใสไร้ผัว พอกันทีกับบิดาขี้เมา พอกันทีกับชีวิตอัตคัดท่ามกลางทุ่งนาป่าเขาและกองขี้ควาย ความอัปยศอดสูเหล่านั้นหายไปแล้วสินะ หากนี่เป็นเรื่องบ้า ก็คงเป็นเรื่องบ้าที่เธอชอบที่สุดเป็นแน่!

ถามว่าช็อกไหมที่เรื่องมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้น ตอบเลยว่าช็อกที่สุด แต่ก็ยังไม่มากเท่าความดีใจอยู่ดี เธอรู้ว่าการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เธอก็พร้อมที่จะปรับตัว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องดีที่สุด ถึงจะมีเรื่องแปลกๆ  เกิดขึ้นบ้าง เพราะเธอดันตื่นขึ้นมาแบบล่อนจ้อนกับชายผู้ซึ่งเป็นรักแรกและเพื่อนสนิทของเธอเอง แต่ก็ถือว่านี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เธอปลื้มปีติมาก

ปลื้ม…จนหยุดหัวเราะไม่ได้เลยเชียว เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเอาชนะโชคชะตาแหว่งๆ วิ่นๆ และมีชีวิตงดงามเหมือนนันทวดีจนได้ ฉลองแบบนี้มันต้องฉลอง!

พรนาราเดินตาลอยๆ เคลิ้มๆ ไปสำรวจห้องแต่งตัวในเพนท์เฮ้าส์ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่อยู่ในตู้แบบบิวด์อินด์ ที่สำคัญคือของทุกอย่างในนั้นมีแต่ของแบนด์เนมทั้งสิ้น...ของแบรนด์เนมที่เธอเคยคิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันได้จับอีกแล้ว 

ฮ่าๆๆๆ สาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก ลาก่อน...ลาขาดชีวิตอันแสนบัดซบ บาย!

อดีตเกษตรกรสาวหัวเราะลั่น โยนผ้าผ่อนสวยหรูจากราวแขวนขึ้นไปในอากาศ แล้วล้มตัวหงายผึ่งลงบนกองผ้าที่ตกลงมาเหล่านั้น ใช้เวลาลูบมัน กอดมัน สูดดมกลิ่นหอมของมันจนชื่นใจ Chanel , Hermes , Prada , Gucci , Dior , Armani  ซู้ด...ช่างหอมหวนอะไรจะปานนี้ ฉันคิดถึงพวกแกแทบใจจะขาด! 

“พอลลี่ ทำไมแต่งตัวช้านัก พี่บอกแล้วไงว่าเราต้องรีบเดินทาง เข้ากองสายเดี๋ยวก็โดนด่าอีกหรอก อ้าว แล้วนั่นมัวทำบ้าอะไรอยู่!” ไตรทศซึ่งเดินเข้ามาตามถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อหญิงสาวที่ควรจะรีบเร่งกับการแต่งตัวกลับมัวเกลือกกลิ้งอยู่ในกองเสื้อผ้าแบรนด์เนม “ลงไปกลิ้งทำไมในกองเสื้อผ้าเนี่ย ดมผ้าเป็นดมกาวเลย ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ยายเด็กผี!”

“แป๊บนะคะพี่ หนูขอฟินกับของแบรนด์เนมต่ออีกสักสองสามนาที หนูไม่ได้แตะต้องของพวกนี้นานเป็นชาติแล้ว ฮื่อ...ให้ตายสิ นี่มันสวรรค์ชัดๆ!”

“อะไรอีก แค่นี้ก็ทำตื่นเต้นไปได้ เธอก็จับของแบรนด์เนมทุกวันอยู่แล้วแท้ๆ”  ผู้จัดการส่วนตัวนิ่วหน้า ออกแรงดึงหญิงสาวให้ลุกจากกองผ้า “ถามจริงไปโดนตัวไหนมา เห็นดีดไม่หยุดตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว”

“พี่ก็พูดไป ดีดเดิดอะไร หนูไม่ได้เล่นยา”

“งั้นทำไมวันนี้เธอถึงทำท่าพิลึกพิลั่นขนาดนี้ ไหนจะทำท่าห่างเหินกับคนรู้จักมักคุ้น ไหนจะคอยลูบๆ คลำๆ ข้าวของหรูๆ ในห้อง แถมยังมาเล่นกับกองผ้าพวกนี้อีก อย่าคิดว่าพี่ไม่สังเกตเห็นนะ ถ้าไม่สบายหนักก็บอกกันมาตรงๆ พี่จะได้ยกเลิกคิวงานวันนี้แล้วพาเธอไปหาหมอ”

พอได้ยินอย่างนั้นพรนาราก็ขำพรวดออกมา ไตรทศคงจะคิดจริงจังแล้วละว่าเธอเสียสติไปแล้ว

“พี่ไตร หนูไม่ได้บ้า หนูปกติดีและพร้อมมากสำหรับการไปทำงานค่ะ!”

“เออ งั้นก็ดีละ พี่ก็คิดว่าเธอดีดยาหรือ ‘โดน’ สองหนุ่มนั่นจัดหนักจนบ้าไปแล้ว รีบเรียกสติคืนแล้วไปทำงานให้ไวเลย ทุกคนรอเธออยู่”

พรนาราพยักหน้าแบบกระตือรือร้น ทั้งๆ ที่พวงแก้มยังเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ แม้เธอจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ได้เลย แต่ยามที่โดนแซวเรื่องสัปดนกับสองหนุ่มทีไรก็ชวนน่าอายไม่หยอก เธออยากจะเปิดอกเคลียร์กับพวกเขาว่าเรื่องมันเป็นมายังไงเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีเวลา จึงต้องพักเรื่องดังกล่าวไว้และรีบออกไปทำงานก่อน

การทำอาชีพดาราเป็นความใฝ่ฝันของเธอมานานแล้ว การได้แต่งตัวสวยๆ ได้เฉิดฉายต่อหน้ากล้องและแฟนคลับ คอยรับเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดกร๊าดชื่นชมเหมือนเป็นฝันที่เป็นจริง คงไม่มีงานไหนในโลกที่มีความสุขเท่านี้อีกแล้ว เธอจะทำงานนี้ให้สุดความสามารถเลยทีเดียวเชียว

 

ตารางงานของวันนี้คือการถ่ายทำสปอตโฆษณาแชมพูซึ่งพรนาราเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปทำสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ตอนไหน แต่ก็ช่างเถิด เพราะมีงานดีๆ แบบนี้ให้ทำก็บุญแล้ว ไตรทศพาเธอหลบหลีกกลุ่มแฟนคลับเพื่อมาขึ้นรถตู้ทางด้านหลังของเพนท์เฮ้าส์โดยมีพันฤทธิ์คอยดูแลความปลอดภัยให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้าออกจากห้อง

“วันนี้เธอต้องรีบไปทำงาน คงไม่มีเวลาทักทายแฟนคลับ ใช้เส้นทางนี้ดีกว่า” บอดีการ์ดหนุ่มผายมือและนำเธอไปตามเส้นทางอย่างคล่องแคล่ว เธอเพิ่งจะสังเกตชัดๆ ตอนนี้เองว่าเวลาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นนี้ เขาดูสมาร์ตมากเพียงใด ทำให้นึกถึงพวกเจ้าพ่อมาเฟียอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็เพียงภาพลักษณ์ภายนอก เพราะเนื้อแท้ภายในเธอรู้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี และอ่อนโยน ไม่ได้โหดร้ายเหมือนคนพวกนั้น

จะว่าไปนี่ก็เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงอีกเรื่อง ตอนนี้พันฤทธิ์ไมได้เป็นเพียงเพื่อน แต่เป็นบอดีการ์ดของเธอด้วย เขาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้เธอเหมือนที่ทำให้นันทวดีก่อนหน้านี้ มาคิดดูแล้วก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า หากชีวิตของเธอสวยหรูเหมือนนันทวดี แล้วชีวิตของนันทวดีตอนนี้เล่าจะเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าหล่อนจะเจอเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้บ้างไหมนะ พอนึกสงสัยมากเข้าก็เลยหันไปถามไตรทศ แต่ไตรทศกลับทำหน้างงและยืนยันว่าไม่เคยรู้จักนันทวดีมาก่อน

แปลก...ทั้งๆ ที่ไตรทศเคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนันทวดีแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จักหล่อนเสียอย่างนั้น หรือทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับพรวิเศษนั่นด้วย

“นี่เจ้าตัวเล็ก ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม” พรนาราหันไปถามเพื่อนชายในระหว่างที่เดินตามเขาออกมาหลังเพนท์เฮ้าส์ เขาชะงัก ขมวดคิ้วมุ่น คล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด เธอจึงได้โอกาสถามต่อ “ช่วงนี้นายได้พบนานะบ้างหรือเปล่า”

“นานะไหน”

“นานะ นันทวดี” และเมื่อเห็นว่าพันฤทธิ์มองเธอด้วยสายตามีคำถาม เธอก็ขยายความต่อ “คนที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเราตอนเกรดเก้าไง”

อาการเงียบงันของเขาทำให้พรนารากลัวใจเหลือเกินว่า เขาจะตอบแบบเดียวกับไตรทศคือไม่รู้จักนันทวดี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตอบเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้จักนันทวดี

“ฉันไม่ได้พบนานะนานหลายปีแล้วตั้งแต่ไปเรียนต่อที่อเมริกา”

“งั้นหรือ”

“อืม แล้วทำไมจู่ๆ ถึงถาม มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอก ฉันแค่คิดถึงเธอขึ้นมาเลยอยากรู้ว่าชีวิตเธอเป็นยังไง เพราะตอนนี้ชีวิตของฉันค่อนข้าง...แบบว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากเลย”

“เปลี่ยนแปลงยังไง”

หากเป็นคนอื่นพรนาราคงไม่กล้าเล่าเรื่องมหัศจรรย์นี้ให้ฟังแน่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นพันฤทธิ์ หญิงสาวจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะเชื่อเรื่องที่เธอเล่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเล่าอะไรด้วยซ้ำ ชินกฤตซึ่งยืนพิงรถยนต์คันหรูอยู่ที่ลานจอดก็เดินอาดๆ เข้ามาหาเธอก่อน ดูจะคอยท่าเธอมาสักพักแล้ว

 “อ้าว พี่ชิน พอลลี่คิดว่าพี่กลับไปทำงานต่อแล้ว ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกละค่ะ”

“พี่กำลังจะไป แต่พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง”

“ลืมอะไรคะ”

แทนคำตอบชายหนุ่มก็กระดิ้วนิ้วให้เธอขยับเข้ามาใกล้ๆ และเมื่อเธอทำตาม เขาก็หอมแก้มเธอฟอดใหญ่

“พี่ชิน!”

“ชาร์จพลังแล้วลุยงานให้เต็มที่ แฮฟอะไนซ์เดย์ครับ คนสวยของพี่ เจอกันนะ”

คนสวยของชินกฤตเบิกตาโต หน้าแดงก่ำไปถึงใบหูกับวิธีชาร์จพลังแสนหวาน 

เมื่อชาร์จพลังด้วยวิธีแสนหวานแล้ว ชินกฤตก็บอกลาและขับรถจากไป ส่วนพรนาราและทีมก็ขึ้นรถตู้ที่ขับวนมารับที่หลังอาคาร แม้อุณหภูมของเครื่องปรับอากาศในรถตู้จะเย็นเฉียบ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกร้อนรุ่มจนเหงื่อออก เธอยกมือขึ้นลูบแก้มตนเองแบบเคลิบเคลิ้ม หัวใจกระพือปีกไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว

ชินกฤตเพิ่งจะหอมแก้มเธอ บ้าจริง...ตายอย่างสงบศพสิชมพูสิคะงานนี้!

“จำเป็นต้องหวานกันเบอร์นี้เลยเร้อ กลัวคนไม่รู้หรือไงว่ากำลังจะหมั้นกัน ตาพี่มันร้อนผ่าวๆ ไม่เห็นใจหนุ่มโสดแต่แก่อย่างพี่บ้างเล้ย” ในระหว่างที่รถตู้กำลังบ่ายหน้าไปยังกองถ่ายโฆษณา ไตรทศก็แซวขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นเรื่องหมั้นหมายต่างหากที่ทำให้หัวใจของพรนาราหวิวๆ 

“เดี๋ยวนะคะ ใครหมั้นใคร หนูกับพี่ชินน่ะหรือ!”

“ก็ใช่น่ะสิ พิธีหมั้นจะจัดขึ้นเดือนหน้าไง ถ้าจะอัลไซเมอร์ขนาดนี้ พี่จะหาสารสกัดใบแปะก๊วยมาให้กินแล้วนะ”

คนถูกหาว่าเป็นอัลไซเมอร์อ้าปากค้าง วันนี้เธออ้าปากให้แมลงวันบินเข้าไปวางไข่กี่รอบแล้วก็ไม่ทราบ ทำยังไงได้ ก็มันมีแต่เรื่องให้น่าตกใจ

“ได้ยังไงกันคะ ทำไมเป็นหนูล่ะ คนที่พี่ชินหมั้นด้วยไม่ใช่นานะหรอกหรือ!”

“นานะอะไรอีก เพ้อเจ้ออีกละ ว่าที่คู่หมั้นของชินก็คือเธอนั่นละ พอลลี่ เป็นแฟนกันไม่หมั้นกันแล้วจะให้ไปหมั้นกับแมวที่ไหน”

  หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไม่เพียงแต่ได้ร่วมเตียง แต่เธอกำลังจะหมั้นหมายกับชินกฤติแทนที่นันทวดีด้วยงั้นหรือ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพรที่เธอขอใช่ไหม พรนาราคิดอย่างตื่นเต้น แทบอยากจะลุกขึ้นมาหมุนฟูลเทิร์นในรถตู้ให้สมกับความดีใจให้รู้แล้วรู้รอด 

ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ต่อให้ต้องตาย...ก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว!

แต่แล้วความดีใจก็ถูกสั่นคลอนไป เมื่อตระหนักถึงความจริงอีกอย่างขึ้นมาได้ ถ้าเธอกำลังจะหมั้นกับชินกฤตแล้ว แล้วพันฤทธิ์ล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร

พรนาราเหลือบมองเพื่อนชายซึ่งนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ วันนี้เขาไม่ได้ขับรถเอง เพราะมีทีมลูกน้องมาช่วยขับรถให้ และตั้งแต่รับฟังเรื่องหมั้นหมายมา เขาก็ยังไม่ได้ปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษเลย เงียบไม่หือไม่อือใดๆ จนเธอรู้สึกละอายใจ

หรือเธอต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดเรื่องเมื่อคืนนี้ก่อน ก็จากที่ฟังเขาเล่า เธอเป็นฝ่าย ‘ทำ’ เขานี่นา ก็ควรต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้างสิ จะให้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยได้อย่างไร

“เสร็จจากงานถ่ายโฆษณาแล้ว เรามีคิวงานอื่นไหมคะพี่ไตร” เธอหันไปถามผู้จัดการส่วนตัว และเมื่อเขาส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีและพักผ่อนได้ เธอจึงเกาะเบาะ ชะโงกหน้าไปคุยกับพันฤทธิ์

“เย็นนี้นายว่างหรือเปล่า เสร็จงานแล้วฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

ชายหนุ่มมองเธออย่างมีคำถาม เธอคิดไปเองหรือเปล่านะที่รู้สึกว่าเขาใช้สายตาทำนองนี้มองเธอบ่อยกว่าปกติ

“เรื่องอะไร”

“เรื่องส่วนตัวน่ะ” หญิงสาวตอบเบาๆ คงไม่อยากตอกย้ำให้ไตรทศแซวหรือต่อว่าเธอเรื่องพฤติกรรมหมู่เหม่อนั่นอีก เพราะมันยากจะรับได้ “ฉันว่าเรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน แค่ฉันกับนาย”

พันฤทธิ์พยักหน้าตกลง แค่เห็นเขาพยักหน้าง่ายๆ ก็ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมา หวังว่าตอนที่เจรจากันเขาจะพูดง่ายๆ เช่นนี้นะ เพราะเธอเองก็ไม่อยากถูกตราหน้าว่า ‘ได้ผู้ชายแล้วทิ้ง’ เหมือนกัน!

 

กองถ่ายโฆษณาแชมพูถ่ายทำที่สตูดิโอย่านใจกลางกรุง พรนาราเดินทางไปถึงที่นั่นทันเวลาแบบฉิวเฉียด เธอคิดว่าต้องเตรียมคำขโทษขอโพยให้ทีมงานชุดใหญ่เสียแล้ว แต่ดูเหมือนทีมงานเหล่านั้นจะไม่ต้องการคำขอโทษ มิหนำซ้ำกลับมีท่าทีประหลาดใจมากกว่าที่เธอมาถึงทันเวลา ถึงขนาดกล่าวชมเชยเธอด้วย

ชมทำไม...ในเมื่อเธอมาถึงแค่ทันเวลาพอดี ไม่ได้มาถึงก่อนเวลาเสียหน่อย

“ก็เพราะปกติกว่าเธอจะโผล่หน้ามาให้เห็นก็สายทุกทียังไงละ ชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างต่ำ บอกเลย”

“หือ หนูเนี่ยนะมาสาย ทำไมจำไม่ได้เลย” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นกับคำอธิบายของไตรทศ หลังจากเดินตามทีมงานเข้าไปแต่งหน้าแต่งตัวในห้องด้านหลัง ก็เธอเพิ่งโผล่มาอยู่ตรงนี้ เธอจะมาสายได้อย่างไร คนที่มีนิสัยชอบเข้ากองสายตลอดนั่นน่ะคือนันทวดีไม่ใช่หรือ แต่ครั้นจะอธิบายก็เกรงว่าเรื่องจะยาว จึงข้ามประเด็นดังกล่าวไปเป็นการรับปากมั่นเหมาะแทน “ไม่รู้ว่าแต่ก่อนหนูเคยเป็นยังไง แต่สำหรับงานที่หนูมีแพชชั่นเต็มเปี่ยมแบบนี้ ต่อไปหนูจะรักษาเวลาเป็นอย่างดี เพราะว่าการรักษาเวลาหมายถึงความเป็นมืออาชีพในสายงานค่ะ”

ก็ไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า คนในห้องแต่งตัวถึงหันขวับมามองราวกับคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว

“ตายจริง พี่เซอร์ไพรส์มาก” แม้แต่ช่างแต่งหน้าสาวที่บรรจงประทินเครื่องสำอางให้เธออยู่ก็ยังอดแซวไม่ได้ “การรักษาเวลาแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ นี่น้องพอลลี่ตัวจริงหรือเปล่าคะเนี่ย”

“เอ่อ...หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่ผิดค่ะ แต่พี่แค่แปลกใจ ก็ปกติน้องพอลลี่ไม่ได้ถือคติแบบนี้นี่คะ”

“แล้วคติหนูคืออะไรคะ”

“คติของเธอก็คือพอลลี่ไม่เคยสาย และถ้าพอลลี่สายให้ย้อนกลับไปดูข้อแรก” ไตรทศซึ่งนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องช่วยตอบแทนให้ ดูเผินๆ เหมือนจะคอยดูแลดาราของตนแบบใกล้ชิด แต่ที่จริงแล้วเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่าเพราะเขาคอยแต่จะเหล่ช่างแต่งหน้าสาวๆ ในห้องไม่ว่าจะสาวแท้หรือเทียม

“ทำไมคติหนูน่าเกลียดแบบนี้ แลดูไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย”

“การรักษาเวลาแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ ประโยคนั้นมันใช้ได้กับพวกปลายแถวเท่านั้นแหละ สำหรับนางเอกพันล้านอย่างเธอ ใดๆ ในโลกล้วนมีข้อยกเว้น”

กล่าวถึงสมญานาม ‘นางเอกพันล้าน’ ก็ทำให้นึกขึ้นได้ นันทวดีโด่งดังเป็นพลุแตกก็ตอนรับเล่นภาพยนตร์แนวโรแมนติกน้ำตาไหลพรากเรื่องหนึ่งซึ่งต่อมาภาพยนตร์เรื่องนั้นก็มีรายได้ทะลุพันล้านเป็นประวัติการณ์ของภาพยนตร์ไทย แม้จะเพิ่งเปิดตัวเป็นนักแสดงได้ไม่นานแต่จากผลงานที่ได้ทำไว้ในเรื่องนั้น ก็ทำให้หล่อนโดดเด่นกว่านักแสดงคนอื่นๆ ที่เดบิวต์มาพร้อมกัน และมีชื่อเสียงติดลมบน คราวนี้ไม่ว่าจะรับงานอะไรต่อจากนั้นก็ฮิตไปหมด เช่นเดียวกับนักแสดงชายที่เล่นเป็นพระเอกในภายนตร์เรื่องนั้นก็พลอยโด่งดังไปด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นคู่ขวัญเลยทีเดียว ก็สมควรแล้วละที่หล่อนจะมีข้อยกเว้นในการทำตัวน่าหมั่นไส้ เพราะต่อให้ทำตัวอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรหล่อนอยู่ดี

แต่นั่นมันเรื่องของนันทวดี ประเด็นคือเธอไปเป็นนางเอกพันล้านเหมือนหล่อนตั้งแต่ตอนไหน พอสอบถามรายละเอียดก็งงเข้าไปใหญ่เพราะภาพยนตร์แจ้งเกิดที่ทำรายได้พันล้านให้เธอตามคำบอกเล่าจากไตรทศนั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องเดียวกับของนันทวดีนั่นเอง

เอาละ เธอรู้ว่าคืนนั้นเธอขอพรให้มีชีวิตเหมือนนันทวดี แต่ก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเหมือนทุกกระเบียดนิ้วชนิดสวมทับชีวิตหล่อนไว้เช่นนี้ เรียกว่ายิ่งกว่าฝาแฝดเสียอีก นี่มันบุญหล่นทับชัดๆ

 

หลังจากแต่งตัวแต่งหน้าเรียบร้อย พรนาราก็มาถ่ายภาพนิ่งในเซต จริงๆ งานถ่ายโฆษณาก็ไม่ยากเท่าไร เพราะเธอเพียงแต่งตัวสวยๆ ยืนถือขวดผลิตภัณฑ์และโพสท่าตามที่ช่างกล้องบอกเท่านั้น ประดักประเดิดแค่ช่วงแรก จากนั้นเธอก็สามารถเรียนรู้และทำทุกอย่างได้ผ่านฉลุย 

ก็บอกแล้วว่า…เธอน่ะหัวไว ถ้ามีโอกาส เธอทำได้ดีไม่แพ้นันทวดีอยู่แล้ว

“สวยมากครับ น้องพอลลี่ อย่างนั้นแหละ ยิ้มค้างและถือขวดแชมพูไว้ก่อนนะครับ” ตากล้องชูนิ้วโป้งให้เธอแบบชมเชยและรัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง

“แบบนี้ได้ไหมคะพี่ แล้วแบบนี้ล่ะ” เธอลองเอี้ยวซ้าย ป่ายขวา สะบัดผม จิกตาจือปากให้กล้องอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าเธอจะทำท่าอะไร เธอก็ได้รับคำชมเชยเลิศเลอไปหมด ทำไมการเป็นดาราถึงง่ายขนาดนี้นะ ง่ายกว่าการทำงานหลังขดหลังแข็งในไร่ตั้งเยอะ

พอได้ภาพนิ่งเท่าที่ต้องการแล้ว หญิงสาวก็คิดว่างานนี้จะจบลงแบบสวยๆ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่จบแค่นี้ เพราะทีมงานเข้ามาบรีฟเธอเพิ่มเติมว่าต่อไปจะเป็นการถ่ายสปอตโฆษณาแบบเคลื่อนไหว โดยทีมงานจะเซตฉากใหม่และเธอต้องแสดงตามบทหน้าเซตนั้นสั้นๆ

แสดงบทสินะ...ฟังดูก็ไม่ยากเท่าไรนี่ เธอเคยเห็นนันทวดีเข้าฉากหลายรอบแล้วตอนอยู่ในไร่ คิดว่าคงจะเลียนแบบหล่อนได้ไม่ยากนัก อย่างไรเสียโฆษณาก็มีบทสั้นกว่าละครอยู่แล้ว เธอคงไม่ต้องทำอะไรมาก ใช่...เธอเคยคิดอย่างนั้นละ จนกระทั่งค้นพบว่าสิ่งที่คิดกับความจริงไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยสักนิด เพราะแม้บทพูดจะสั้นกว่าก็จริง แต่การถ่ายทำไม่ง่ายเลย เพราะเธอต้องหยีตาสู้พัดลมยักษ์สามตัวที่เป่าแรงจนหน้าสั่นพั่บๆ พร้อมสะบัดเส้นผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนคอแทบหักไปข้าง บอกเลยว่า...ไม่โอเค!

“แชมพูเลอคาช่า สวย อยู่ทรง เอาอยู่ทุกสถานการณ์!”

 “คัตๆ ขวดแชมพูอยู่ไหน อย่าแผ่วสิครับ ยกสูงๆ!”

“ขอโทษค่ะ แบบนี้ได้หรือยังคะ”

“ดีครับ ยิ้มหวานๆ อย่าหน้าสั่น อย่าตาหยีครับ”

อย่าหน้าสั่น อย่าตาหยี ป๊าดทิโธ่ สั่งง่ายเหลือเกินพ่อคุณ ลองมาเป็นเธอดูบ้างไหมเล่า นี่พัดลมหรือเฮอริเคน แรงจนเหนียงกระพือขนาดนี้จะให้เก๊กหน้าสวยอย่างไรไหว 

พรนาราอยากจะสวนกลับหลายดอก แต่เกรงใจว่าวันนี้เป็นการทำงานวันแรก เธอจึงได้แต่สงบปากสงบคำแล้วทำตามที่ทีมงานแนะนำ ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองให้อดทนและพยายาม แต่พอผ่านฉากนี้แล้วก็มีฉากอื่นมาเรื่อยๆ มีบทที่เธอต้องแสดงเต็มไปหมด สงสัยคงให้สมกับสโลแกนของผลิตภัณฑ์ที่ว่า ‘เอาอยู่ทุกสถานการณ์’ กระมัง เพราะช่างสรรหาสถานการณ์ต่างๆ มาให้เธอเล่นเหลือเกินทั้งฝนตก ลมแรง ไฟไหม้ ที่เลวร้ายที่สุดคือเธอต้องลงไปกลิ้งบนพื้นที่เซตไว้เป็น Green Screen เป็นระยะทางหลายเมตร กลิ้งต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกสั่งคัต เพื่อให้เห็นว่าเส้นผมของเธอยังนุ่มสลวยแม้ว่าต้องกรำศึกหนักเพียงใดก็ตาม 

ครั้นกลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนมากไปก็เลยทำให้รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา แต่แทนที่จะได้พัก เธอกลับกลับต้องแสดงความเป็นมืออาชีพด้วยพูดสโลแกนปิดท้ายอีก ทั้งๆ ที่ความรู้สึกอยากอาเจียนปรี่มาถึงคอหอยแล้ว

“แชมพูกูจะบ้า...”

“เลอคาช่า!”

“แชมพูเลอคาช่า ซวย อยู่ทรง...”

“สวยครับสวย!”

“เลอคาช่า สวย อยู่ทรง เอาไม่อยู่...”

“เอาอยู่ครับ อย่าเปลี่ยนสโลแกนลูกค้า!”

“ขอโทษค่ะพี่ ขออีกรอบ”

“งั้นอีกเทคนะครับ เราจะได้เลิกกองกันสักที”

“โอเคค่ะ” เธอยั้งความผะอืดผะอมไว้แล้วปั้นยิ้มสวย ต่อให้นั่นจะดูเหมือนการแสยะยิ้มมากกว่าก็ตาม “แชมพูเลอคาช่า สวย อยู่ทรง เอา...” ทั้งกองเงียบกริบอย่างลุ้นระทึก สายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว “เอาอยู่ทุกสถานการณ์!”

ทันทีที่กล่าวสโลแกนจบ เสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราว พรนาราไม่ได้อยู่รอฟังคำติชมอะไร ก็รีบผลุนผลันไปโก่งคออาเจียนในห้องน้ำ โดยมีไตรทศตามเข้าไปช่วยลูบหลังให้แต่ยังมิวายบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

“เป็นอะไรไปวันนี้ เธอน่าจะทำได้ดีกว่านี้นี่นา”

“โอ๊ย หนูทำเต็มที่แล้ว หนูไม่ไปอ้วกหน้าเซตเขาก็บุญแล้วพี่”

“เออ ก็จริง ช่วยไม่ได้นี่นะก็เธอดันไม่สบาย ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงอ้วกล่ะ เพราะเมาค้างจากเมื่อคืน หรือว่า...เฮ้ย! นี่เธอคงไม่ได้...”

“อะไรคะ” พรนาราเงยหน้าจากชักโครกด้วยสภาพร่อแร่ สังหรณ์ใจอยู่เชียวว่าไตรทศจะสันนิษฐานอะไรแปลกๆ อีก ซึ่งก็จริง

“หรือว่า...” ผู้จัดการส่วนตัวลดเสียงลง แม้จะไม่มีใครอื่นในห้องน้ำ แต่เขาก็เอียงหน้ามากระซิบถามอย่างเคร่งเครียด “หรือว่าเธอท้อง!”

“พี่ไตร!” เธอขู่ฟ่อ ตกใจจนเกือบสำลักก้อนอาเจียนที่ค้างในคอดับอนาถ “แค็กๆ เอาอะไรมาพูด หนูไม่ได้ท้อง!”

“จะไปรู้เรอะ พี่ก็ไม่ได้ตามเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียเมื่อไร อีกอย่างภาพที่พี่เห็นเมื่อเช้านี้มันก็ชวนให้คิดอย่างนั้นได้ไหมล่ะ มันอาจไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเธอก็ได้”

ก็ว่าจะทำเป็นลืมไปชั่วคราว แต่ไตรทศไม่ปล่อยให้เธอลืมเรื่องน่าอายนั้นนานเลย ต่อให้เธอจำเรื่องราวสัปดนเมื่อคืนไม่ได้ แต่พวกเธอไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว คงไม่เผอเรอทำกิจกรรมแบบไม่ป้องกันหรอก ฉะนั้นเรื่องท้องอะไรนี่ เธอคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้...คิดว่านะ เว้นแต่ว่าตั้งใจ ครั้นพอบอกเรื่องนี้กับไตรทศไป อีกฝ่ายก็ประสาทเสียใหญ่ เปลี่ยนจากการลูบหลังอย่างนุ่มนวลเป็นการตบหลังเธอดังผัวะเสียอย่างนั้น

“มันใช่เรื่องเอามาล้อเล่นไหมเนี่ย ยายเด็กคนนี้นี่ งานเธอกำลังเปรี้ยง เธอยังมีลูกตอนนี้ไม่ได้ ไม่ว่าพ่อของเด็กจะเป็นคนไหนในฮาเร็มของเธอก็ตาม!”

“ฮาเร็มอะไรของพี่เนี่ย หนูก็ไม่ได้บอกว่าจะมีสักหน่อย หนูแค่สมมุติเฉยๆ ว่าถ้าเกิดมีขึ้นมา ก็คงไม่ได้เกิดเพราะพลาดแต่เป็นความตั้งใจมากกว่า”

“พูดแบบนี้แปลว่าเธอกำลังตั้งใจให้ตัวเองท้อง?”

“เปล่าค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็การันตีไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี เพราะเอาเข้าจริงหนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนหน้าที่หนูจะมาโผล่ที่นี่ หนูเคยคิดและทำอะไรกับใครไว้บ้าง แบบว่าหนูในตอนนั้นไม่ใช่หนูในตอนนี้น่ะ เฮ้อ ช่างเถอะ พูดไปพี่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี เอาเป็นว่าหนูไม่ได้ท้อง”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็แล้วไป” ไตรทศถอนหายใจแบบโล่งอก แล้วช่วยพยุงเธอออกมาหน้าห้องน้ำซึ่งพันฤทธิ์ยืนรออยู่ “ว่าแต่สภาพเธอดูไม่ค่อยดีเลย ให้พี่ไปหายาอะไรมาให้ไหม”

“ขอบคุณค่ะ ถ้าพี่จะช่วยหายาให้ละก็ หนูขอเป็นยาหอมได้ไหม” พรนาราร้องขอ เธออาเจียนหมดไส้หมดพุงจนหน้ามืดไปหมด ถ้าได้ยาหอมคู่ใจมาดมก็คงจะดี 

 “ยาหอม?” ไตรทศขมวดคิ้วมุ่น “ยาที่พวกคนแก่ชอบใช้น่ะนะ นี่เธอติดใช้ของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

 “นานแล้วค่ะ มันคือเดอะเบสของยาดม ดมแล้วฟินหายวิงเวียนชะงัด”

เชื่อได้ว่ารสนิยมของพรนาราคงทำให้ผู้จัดการส่วนตัวประหลาดใจมาก แต่ถึงอย่างนั้นไตรทศก็ยอมรับปากว่าจะไปหายาหอมมาให้อยู่ดี ทว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ห่วงใยเธอ พันฤทธิ์ก็ดูจะห่วงเธอเช่นกัน แม้จะภายนอกจะทำเป็นนิ่งๆ แต่ ครั้นพอสาวเจ้าเดินสะโหลสะเหลกลับมาขึ้นรถตู้และเกือบจะล้มลงไป เขาก็อุตส่าห์คว้าเธอไว้ด้วย แต่เพราะสรีระและความแข็งแรงของร่างกายที่ต่างกันมากหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพียงแค่เขาคว้าแขนเธอไว้ข้างเดียว ตัวเธอก็เกือบจะลอยหน่อยๆ แล้ว

“ไหวไหม”

“พอได้อยู่ ขอบใจนะ” หญิงสาวยิ้มแห้ง ก็ว่าแล้วเชียวว่าเธอคงคิดไปเองแน่ๆ พันฤทธิ์ไม่ได้เฉยเมยต่อเธอมากขึ้นเสียหน่อย เขาก็ยังดูเป็นห่วงเป็นใยเธอดีนี่นา “ก็ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ถ้าไม่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ก็คงเพราะกลิ้งเป็นลูกขนุนมากไปรวมกับเมาค้างนั่นละ เห็นพี่ไตรบอกว่าเมื่อคืนนี้ฉันดื่มหนักมากเลยนี่”

“ใช่ เมื่อคืนมีงานเลี้ยงปิดกล้องละครกับปาร์ตีฉลองงานหมั้นของเธอน่ะ เธอเลยดื่มหนักและเมามาก”

ก็คงเมามากจริง เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับหนุ่มสองคนในห้องนอนโดยที่จำอะไรไม่ได้หรอก พรนาราคิดอย่างอายตัวเอง

“หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะเพราะ...” ชายหนุ่มสันนิษฐานต่อ เว้นช่วงคำจนคนรอฟังใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

เพราะอะไร เขาคงไม่ได้ตั้งข้อสันนิษฐานบ้าๆ เหมือนอย่างไตรทศใช่ไหม หญิงสาวเฝ้ารอข้อสันนิษฐานต่อของเขาด้วยใจระทึก แต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อเขาไม่ได้สันนิษฐานเป็นเรื่องท้อง

“เพราะเธอกินข้าวน้อยเกินไป ช่วงนี้ฉันเห็นพี่ไตรจี้เธอเรื่องไดเอตมาก หักโหมและกินน้อยขนาดนั้น ก็ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกวิงเวียนและอาเจียนง่าย”

“อ้อ” โล่งอกไปทีที่พันฤทธิ์ไม่ได้สันนิษฐานแบบนั้นด้วยอีกคน ถ้าแค่เรื่องไดเอตก็พอทนและสมเหตุสมผลอยู่ “ที่นายพูดก็เป็นไปได้นะ คงหลายสาเหตุรวมกันนั่นละ”

 “คงงั้น ฉันว่าเธอควรกลับไปพัก ส่วนเรื่องที่ว่าเย็นนี้มีเรื่องจะคุยกับฉันไว้ค่อยคุยทีหลังก็ได้”

“ฮ้า! ไม่ได้นะ เจ้าตัวเล็ก เรื่องนี้สำคัญยังไงก็ต้องรีบคุยกันให้รู้เรื่อง!” เธอค้านเสียงดัง ทำเอาอีกฝ่ายหันมองเธออย่างแปลกใจ เมื่อเห็นสายตาของเขาเธอก็รู้ว่าตนเล่นใหญ่เกินไปจึงสงบอาการลง “ฉันหมายถึงฉันอยากรีบเคลียร์ให้จบน่ะ เพราะอาทิตย์หน้าฉันจะเข้าพิธีหมั้นอยู่แล้ว ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้ไม่ดี”

ใช่ ปล่อยไว้ไม่ดี ถ้าเธอทำผู้ชายเสียหาย เธอก็ต้องเปิดอกคุยและแสดงความรับผิดชอบอะไรหน่อยสิ

“แต่เธอดูไม่ค่อยไหว”

“ฉันไหวน่า ยังไงเย็นนี้เจอกันเหมือนเดิมนะ สถานที่แล้วแต่นายสะดวกเลย”

เมื่อแน่ใจว่าโน้มน้าวคนดื้อไม่ได้ผล บอดีการ์ดหนุ่มจึงพยักหน้าตกลง แต่ก็ไม่วายแวะซื้อของระหว่างกลับเพื่อเยียวยาความดื้อดึงให้เธอด้วย 

“รับไปสิ”

พรนารารับถุงกระดาษมาเปิดอย่างงุนงง ข้างในมีเครื่องดื่มแก้เมาค้างหนึ่งขวดและแซนด์วิชหนิ่งชิ้น 

“โอ้โห ให้ฉันหรือ”

“อืม เดี๋ยวจะหาว่าบริษัท VVIP ของเราดูแลลูกค้าไม่ดี อย่าฝืนตัวเองมาก”

ทำเป็นอ้างบริษัท ที่แท้ก็ห่วงเธอแท้ๆ หญิงสาวยิ้มและกล่าวขอบคุณเขา ไม่ว่าจะเป็นเธอคนเดิมหรือเธอคนใหม่ พันฤทธิ์ก็แสนดีเช่นนี้เสมอ มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเลย เพราะอย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกประหลาดแห่งนี้ ดูท่าทางเย็นนี้เธอคงต้องเปิดใจคุยกับเขาถึงเรื่อง ‘สำคัญ’ ทั้งสองเรื่อง ถ้าเป็นพันฤทธิ์...ต่อให้เรื่องนี้มันจะบ้าแค่ไหน แต่เขาต้องเชื่อเธอแน่

หลังจากกลับไปพักผ่อนที่เพนท์เฮ้าส์พอให้รู้สึกดีขึ้นแล้ว พรนาราก็มาพบพันฤทธิ์ตามนัด ตอนแรกจะใช้ห้องรับแขกในเพนท์เฮ้าส์นั่นละเป็นที่พูดคุย แต่ไตรทศยังวนเวียนสิงสถิตอยู่ในห้อง ไม่ยอมกลับไปสักที เธอจึงขอให้เพื่อนเปลี่ยนสถานที่นัดหมายเป็นที่อื่นแทน แต่สุดท้ายก็ไปได้ไม่ไกล ได้แค่ร้านกาแฟซึ่งอยู่ชั้นล่างอาคาร พันฤทธิ์คงไม่อยากให้เธอไปไกลมากทั้งๆ ที่ยังไม่หายดีนัก

ร้านกาแฟแห่งนี้ดีอยู่อย่างคือมีทั้งโซนที่เปิดโล่งและโซนที่แยกเป็นห้องหับ พันฤทธิ์เลือกโซนที่เป็นห้องแยกส่วนตัวเพื่อการพูดคุย เขารอที่โต๊ะอยู่แล้วเมื่อเธอไปถึง เขายังอยู่ในชุดทำงานชุดเดียวกับเมื่อเช้า เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง หรือบางทีเขาอาจจะนั่งคอยอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แยกกับเธอก็ได้ เพราะถ้าพูดไปแล้วงานอารักขาก็ไม่มีเวลาเริ่มงานและเลิกงานแบบตายตัวเท่าไร

“รอนานไหม”

“ไม่หรอก นั่งสิ ฉันสั่งเครื่องดื่มให้เธอแล้ว”

เครื่องดื่มที่เขาสั่งให้เธอคือแฟลตไวท์ที่สวยทั้งรูปและกลิ่นหอมน่าดื่มมาก เห็นมันแล้วก็ทำให้ชวนตื้นตันจนคอคอแข็งดื่มแทบไม่ลง ก็เธอเคยมีโอกาสดื่มกาแฟหรูๆ เช่นนี้ที่ไหน ปกติแล้วดื่มแค่กาแฟสำเร็จรูปแบบซอง หรืออย่างดีหน่อยก็กาแฟจากรถถีบของอาเจกหน้าเหี้ยมที่ขี่วนรอบหมู่บ้านเท่านั้นละ

“ทำไมไม่ดื่ม ไม่ชอบที่ฉันสั่งให้หรือ จะเปลี่ยนก็ได้นะ”

“ไม่หรอก ฉันชอบ แต่เพราะชอบมากเกินไปเลยตื้นตันน่ะสิ”

“ตื้นตัน?”

“อื้อ ก็ปกติแล้วเคยดื่มอะไรดีๆ แบบนี้ที่ไหน ทุกอย่างในชีวิตฉันมันเปลี่ยนกลับมาดีจนฉันตั้งตัวแทบไม่ติดเลย” หญิงสาวกล่าวอย่างปลิ้มปริ่ม ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มทั้งน้ำตาคลอหน่วย อาการเช่นนั้นคงจะทำให้เพื่อนชายรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แต่สุดท้ายพันฤทธิ์ก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามอะไร และข้ามไปยังประเด็นหลักของการนัดพบวันนี้แทน

“แล้วเธอมีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับฉัน”

พรนาราเงียบไป และเมื่อเรียงเรียงคำพูดได้แล้ว เธอจึงกระแอมกระไอขึ้นด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน ทั้งๆ ที่พวงแก้มเป็นสีระเรื่อ 

“ฉันอยากจะคุยกับนายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราเมื่อคืนน่ะ เจ้าตัวเล็ก”

“เรื่องระหว่างเรา...เมื่อคืน?”

“อื้อ นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับพี่ชินอาทิตย์หน้าอยู่แล้ว เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าเราน่าจะเคลียร์เรื่องนี้กันให้ชัดๆ จะได้ไม่แคลงใจกัน ฉันไม่อยากให้เรามองหน้ากันไม่ติด”

ชายหนุ่มวางถ้วยกาแฟของตนลงอย่างใจเย็น คล้ายจะรอฟังคำกล่าวต่อไปของเธอ 

“งั้นก็ว่ามาสิ”

“คือฉันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เอาเป็นว่าขอพูดตรงๆ เลยละกันนะ ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราเมื่อคืน ฉันเมามากจนจำอะไรไม่ได้ และก็คงทำเอ่อ...อะไรๆ ไปแบบไม่มีสติ ฉันรู้ว่าฉันทำผิดมาก และก็ไม่ควรจะเสนอหน้ามาพูดกับนายแบบนี้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้นายเสียหายจริงๆ ฉันขอโทษ ถ้าฉันทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชยให้นายได้ละก็ ฉันยอมทุกอย่างเลย ฉันพร้อมจะรับผิดชอบเต็มที่ ขอแค่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมจะได้ไหม”

“เธอจะแสดงความรับผิดชอบได้ยังไง ในเมื่อเธอยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย”

“นั่นมันก็ใช่ แต่ว่าฉัน...”

“เธอไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเป็นพิเศษหรอก พอลลี่” เขาตัดบทเธอทันควัน “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจทำ ฉันขอรับแต่คำขอโทษไว้ละกัน คนเราไม่ควรต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่แม้แต่ตัวเองยังจำไม่ได้”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ โกรธฉันมากหรือถึงได้พูดแบบนั้นออกมา”

“เปล่า ฉันไม่ได้โกรธ ฉันเข้าใจเธอต่างหาก เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรอยู่แล้ว ลืมๆ กันไปแล้วทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นดีกว่า”

“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ นายเป็นผู้ถูกกระทำนะ ช่วยทำให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยเถอะ อย่างน้อยก็ขอให้ฉันแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ทำแบบนี้ฉันไม่สบายใจเลย”

“อยากแสดงความรับผิดชอบมากขนาดนั้นเลยหรือ”

“อื้อ บอกมาสิว่านายต้องการอะไร ฉันแมนและแฟร์พอ ฉันจะให้ทุกอย่างเลย”

“ทุกอย่างเลยหรือ” พันฤทธิ์กอดอกมองเธอนิ่ง ก่อนจะพูดช้าชัด “ถ้างั้นโอนเงินมาให้ฉันร้อยล้านเป็นค่าทำขวัญ”

“ฮ้า! ว่าอะไรนะ!”

แม้เจ้าโว้ย ร้อยล้านงั้นหรือ...นี่เธอหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น