5

ตอนที่ 5


 

ข่าวงานวิวาห์ล่มของนิมมานกับรตาถูกพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ติดกันอยู่หลายวัน ผู้คนต่างคาดเดาต้นสายปลายเหตุกันไปต่างๆ นานาโดยไม่มีใครทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง เพราะคนที่รู้ข้อเท็จจริงอย่างบ้านเลิศวรรธน์และบ้านธาดาต่างพากันปิดปากเงียบ  ไม่มีการแถลงข่าวหรือตอบโต้สมมุติฐานใดๆ ของสื่อ เมื่อไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดเรื่องราวจึงค่อยๆ เงียบหายไปในที่สุด

รตาเซ็นใบหย่าทิ้งไว้ให้นิมมานแล้วหนีไปต่างประเทศในคืนวันนั้น โดยมีเพื่อนรักทั้งสองตามไปด้วยความเป็นห่วง ส่วนคนก่อเรื่องก็เก็บตัวเงียบอยู่เป็นอาทิตย์ ก่อนจะกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันตามเดิม

 “มึงไม่รู้จริงๆ เหรอ ว่าน้องสาวไปอยู่ที่ไหน” นิมมานวางแก้วเหล้าในมือลง สีหน้ายามอยู่ต่อหน้าคนคุ้นเคยไม่เรียบเฉยเหมือนตอนทำงาน ความเศร้าหมองยังคงเกาะกุมอยู่ทุกลมหายใจ ยิ่งเหล้าเข้าปากความเจ็บปวดที่พยายามปิดบังก็ดูจะปรากฏออกมาเด่นชัด

คนโดนถามตลอดเดือนที่ผ่านมาได้แต่ถอนหายใจ ยื่นมือไปตบไหล่รุ่นพี่เพื่อปลุกปลอบ “ผมไม่รู้จริงๆ ถามคุณนายไพลินก็ไม่ยอมบอก” เพทายจนปัญญาที่จะช่วยเหลือ ใช่นิมมานคนเดียวที่ไหนที่อยากรู้ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าสามสาวไปทำอะไร อยู่ที่ไหน แต่ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ยกเรื่องอันตรายร้อยแปดที่อาจจะเกิดกับน้องสาว(นอกไส้)มาเป็นเหตุผล มารดาก็ยังใจแข็ง

“แต่นี่มันเดือนกว่าแล้วนะ” คนบอบช้ำพึมพำ หยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมากระดกลงคอแบบรวดเดียว

เพื่อนทั้งสามที่นั่งล้อมกันอยู่บนโซฟาของคลับหรู เฝ้ามองด้วยความเห็นใจ หากไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่ามานั่งร่ำสุราเป็นเพื่อน

“กูได้ยินคุณนายลัลนาคุยกับน้าดารินว่าจะให้เจ้าเอยเข้าไปเรียนรู้งานที่โรงแรมอาทิตย์หน้า น่าจะใกล้กลับมากันแล้วล่ะ”

“อาจจะจริงนะครับ ผมก็แอบเห็นคุณแม่นั่งลิสรายการสิ่งของที่อยากได้อยู่ อาจให้พลอยซื้อมาจากต่างประเทศก็ได้”

“คุณมินก็ถามผมอยู่เหมือนกันว่าอยากได้อะไรหรือเปล่า สงสัยจะฝากคุณเจ้าเอยซื้อของ” เพทายกับณัฐร่วมเออออ เมื่อนึกถึงภาพแปลกๆ ของคนใกล้ตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

ดวงตาคนรอสว่างวาบดั่งคนมีความหวัง หากอึดใจต่อมาก็หมองเศร้าเหมือนเดิม “ถ้ารตากลับมาจริงๆ กูก็คงไม่มีหน้าไปหาหรอกวะ รตาคงเกลียดกูมาก…”

“เฮ้ย! กลัวอะไรวะ ถ้าเกลียดก็ทำให้หายเกลียดสิ ผู้หญิงลืมง่ายจะตาย ดูอย่างพวกสาวๆ ที่ผ่านมาสิ ซื้อของแพงให้สักชิ้นสองชิ้น เอาอกเอาใจเป็นพิเศษหน่อย ขี้คร้านจะรีบหายโกรธ” คนมีประสบการณ์(กาม) โชกโชนแสดงความคิดเห็นในแง่ของตนเอง ผู้หญิงกี่รายต่อกี่รายก็แพ้ถ้อยคำหวานๆ และความทุ่มเท โดยเฉพาะการทุ่มเทข้าวของราคาแพงๆ จำพวกเครื่องประดับ

“มันจะเหมือนกันเหรอวะ ตั้งแต่คบกันมารตาไม่เคยร้องขออะไรจากกูสักครั้ง” เพราะเธอแตกต่างเขาถึงรักและอยากแต่งงานด้วย

พระพายและอีกสองหนุ่มออกอาการอึ้ง น้อยนักที่จะเจอผู้หญิงแบบนิมมานว่า “มึงยังไม่ได้เซ็นใบหย่าใช่ไหม” คนเจ้าความคิดนึกหาหนทางต่อ เอ่ยถามถึงเอกสารสำคัญในการสมรส กระดาษใบเดียวที่อาจจะเหนี่ยวรั้งทุกอย่างไว้ได้

“ยัง…” คนอมทุกข์เงยหน้าด้วยความฉงน เขาไม่เคยแตะต้องใบหย่าที่รตาเซ็นไว้ก่อนหนีไปเลย แถมยังแสร้งเมินเฉยเมื่อทนายบ้านเลิศวรรธน์มาทวงถาม

“ก็ง่ายขึ้นหน่อย ตามกฎหมายแกกับรตายังถือเป็นสามีภรรยากันอยู่”

“แล้วไงวะ ถ้ารตากลับมา ก็คงส่งทนายมาบีบให้กูเซ็นอยู่ดี”

“มึงห้ามเซ็นเด็ดขาด ต่อให้เธอเอาปืนมาจ่อหัวก็ห้ามเซ็น” ทั้งสามหน่อที่นั่งฟังต่างขยับเข้ามาใกล้พระพาย ดูเหมือนเพลย์บอยตัวพ่อกว่าทุกคนจะมีแผนการเด็ดๆ

“กูต้องทำไงต่อวะ”

“มึงก็ทำหน้าด้าน เข้าไปอยู่บ้านเธอเสียเลย”

“เฮ้ย!” คนรอลุ้นอุทานอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะนิมมานที่แสดงสีหน้าออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย

“มันจะดีเหรอวะ พ่อแม่เขาก็เกลียดขี้หน้ากูจะตาย” แค่คิดก็รู้สึกสยอง ถึงช่วงที่ผ่านมาเรื่องส่วนตัวจะไม่มีผลกระทบกับธุรกิจ ทุกอย่างที่ลงทุนร่วมกันยังคงเดินหน้าไปตามวิถีเดิม ทว่ายามใดที่พบเจอ ฝ่ายนั้นก็แทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“ก็แกทำให้ลูกสาวเขาเสียใจนี่หว่า เล่นหย่าตั้งแต่วันแต่งใครจะทนได้ แต่ถามว่าเกลียดขนาดตัดขาดไหมก็คงไม่ ไม่อย่างนั้นคงยกเลิกแผนการลงทุนกับบริษัทแกไปหมดแล้ว”

“ก็จริง แต่…”

“ไม่มีแต่… ถ้ามึงยังรักก็ต้องหน้าด้านหน้าทนตามตื้อขอคืนดี ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยเธอไปแล้วกลับมาโสดเริงร่ากับสาวๆ มากหน้าหลายตาเหมือนเดิม”

นิมมานนิ่งงัน สมองครุ่นคิดว่าควรทำยังไง ถามว่ารักไหมก็ยังรัก ถามเสียดายอิสระไหมก็บอกได้เต็มปากว่าเสียดาย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าการแต่งงานจะเป็นเรื่องลำบากอะไรมากมาย ก็แค่คนสองคนรักกันตกลงจะอยู่ด้วยกันเท่านั้น แต่พอเห็นรตาเสียอกเสียใจถึงขั้นต้องการหย่าในคืนวันแต่งงานจึงเริ่มเข้าใจปัญหา รตารับความเจ้าชู้ของเขาไม่ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะหยุดที่เธอเพียงคนเดียวได้

เห็นท่าทางคิดหนักของนิมมานแล้วพระพายก็ได้แต่ถอนหายใจ ความคิดของผู้ชายทุกคน ความรักมันแยกออกจากเซ็กส์ ผู้ชายสามารถมีเซ็กส์กับผู้หญิงคนไหนก็ได้ถ้าพึงพอใจและสาวเจ้ายินยอม แต่สำหรับผู้หญิง ยามใดที่ก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องจงรักภักดีต่อเธอเพียงคนเดียว

“ลองบวกลบคูณหารดูดีๆ ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตหลังแต่งงานเป็นยังไงล่ะก็ นู้นเลยถามไอ้ณัฐ” พระพายบุ้ยปากไปทางชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่แซงหน้าไปแล้วเรื่องการมีครอบครัว

“ถามผมเหรอ ยืนยันคำเดิมว่าอย่าแต่ง!” สีหน้าณัฐจริงจังขึ้นมาทันที เขาแต่งงานกับมินตราตั้งแต่ผ่านชีวิตวัยรุ่นได้ไม่นาน ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจผิด

“ความหวานมันจะมีแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นแหละ ต่อจากนั้นอย่าให้พูดเลย นรกดีๆ นี่เอง” ย้ำอีกครั้งกับประโยคที่เคยบอกนิมมานตั้งแต่คิดจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ ทว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแถมยังบอกอีกว่ารตารับได้ ตอนนั้นณัฐก็เผลอเอนเอียงเพราะช่วงก่อนแต่งมีข่าวซุบซิบของนิมมานว่ากุ๊กกิ๊กกับดารา นางแบบอื่นๆ ออกมาเป็นระยะ ก็ไม่เห็นว่าที่เจ้าสาวจะโกรธขึงอะไร

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ในเมื่อคนสองคนรักกัน” นิมมานไม่วายคิดหนัก ความหวั่นใจมีมากขึ้นทุกที

“รักกันแล้วไง พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ คำว่า ‘รักไม่ช่วยอะไร’ นะ” จบประโยคของณัฐ สามหนุ่มที่เหลือก็พากันหุบปากเงียบ ราวหวาดหวั่นกับคำว่า ‘แต่งงาน’ การหารือจึงจบอยู่แค่นั้น

 

ยามเช้าของหลายวันต่อมา

หญิงสาวที่หลบหนีความชอกช้ำไปเลียแผลใจต่างแดนพร้อมเพื่อนสาวทั้งสองก็มาปรากฏกายอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ การพลางตัวแบบมืออาชีพทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่าสองในสามคือบุคคลที่ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อเดือนก่อน  

ทันทีที่เหยียบย่างเท้าลงบนแผ่นดินเกิด จู่ๆ รตาก็เหมือนจะก้าวขาไม่ออก แผลใจที่คิดว่าสมานดีคล้ายจะกลัดหนองเมื่อกลับมาพบเจอบรรยากาศเดิมๆ

วันนั้นเธอร้องไห้จนแทบขาดใจ ทั้งเสียใจ ทั้งอับอายผู้คนที่ต้องเป็นหม้ายหลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงวัน ใจหนึ่งอยากจะเมินเฉยเสียทำไม่รู้ไม่เห็นเพราะยังไงก็รักเขาหากเมื่อคิดว่าต้องพบเจอกับสภาพ ‘ถูกคนรักนอกใจ’ ไปตลอดชีวิตจึงไม่เข้มแข็งพอ กลัวว่ากว่าหัวใจจะด้านชาจะกระอักความช้ำตายไปเสียก่อน จึงตัดสินใจ ‘ขอเจ็บเพียงครั้งเดียว’ ด้วยการยกเลิกงานแต่ง แม้ตอนนี้สภาพจิตใจยังไม่กลับมาสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมมาก เผลอๆ จะมากกว่าตอนที่ยังไม่รู้จักนิมมานด้วยซ้ำ    

“แกโอเคไหม” พลอยไพลินขยับมายืนข้างเพื่อนรัก เวลาเดือนกว่าๆ เหมือนจะยาวนานสำหรับคนอยากลืม หากความจริงช่างรวดเร็ว เมื่อกลับมายืนที่เดิมแล้วพบว่า ‘ลืมไม่ลง’

ยังไม่ทันที่รตาจะตอบเพื่อนสาวอีกคนก็แทรกขึ้นมา “อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้นะรตา ไม่งั้นฉันพาแกกลับไปตะลอนทัวร์เดี๋ยวนี้แหละ” เจ้าเอยจ้องเพื่อนตาเขม็ง เตือนแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับ จะท่องเที่ยวต่อไปอีกเดือนหรืออีกปีก็คงไม่มีใครว่าอะไร

                “ทำแบบนั้นได้ที่ไหน ฉันต้องช่วยคุณพ่อ คุณแม่ทำงานนะ นี่ก็ทิ้งไปเป็นเดือนคงวุ่นแย่ ยัยพลอยก็ต้องทำงาน แกก็เหมือนกัน” แม้ใจยังอยากหนีก็รู้ว่าไม่สามารถหนีไปได้ตลอด รตาจึงเลือกที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง

                “พ่อแม่แกไม่ว่าหรอก คุณน้าไพลินก็ไม่ว่า ส่วนน้าดารินยิ่งไม่ว่าใหญ่ ถ้าแกยังไม่พร้อมเรากลับไปตั้งหลักกันก่อนก็ได้”

“ฉันจะไม่หนีอีก แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าห้ามอ่อนแอ” รตากล่าวย้ำถึงถ้อยคำหลากหลายประโยค ที่เพื่อนพร่ำบอกยามเธอจมอยู่กับน้ำตา

 

‘แกอ่อนโยนได้นะรตาแต่อย่าอ่อนแอ ไม่งั้นคนที่รังแกมันจะยิ่งได้ใจ’

‘แกจะไปคิดถึงหมอนั่นทำไม ไม่มีเขาแกก็อยู่ได้ หมอนั่นไม่ได้อยู่กับแกมาตั้งแต่เกิดเสียหน่อย’

 ‘เวลาจะเยียวยาทุกอย่าง วันนี้แกอาจจะรู้สึกแย่หรือโคตรจะแย่ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่อดีต’

‘ใครทำอะไรก็ได้แบบนั้นแหละ สักวันหมอนั่นก็ต้องได้รับบทเรียน แกอย่าร้องไห้อีกเชียว หมอนั่นไม่มีค่าพอกับน้ำตาของแกหรอก เสียสุขภาพไม่พอแถมหน้าจะเหี่ยวด้วย’

 

หลากหลายถ้อยคำทั้งขู่ทั้งปลอบทำให้รตามีกำลังใจขึ้นเยอะ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลบเลือนเรื่องเก่าๆ ในเร็ววันเพื่อเดินหน้าต่อไปในอนาคต

“ถ้าแกทำได้ ฉันจะดีใจมาก”

“ทำได้สิ ถึงวันนี้จะยังทำไม่ได้แต่ฉันเชื่อว่าสักวันต้องทำได้” รตากล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว พลอยทำให้เพื่อนทั้งสองที่อยู่เคียงข้างยิ้มออก

“ฉันจะเป็นกำลังใจให้แก” พลอยไพลินยื่นมือมาตบเบาๆ บนไหล่ ในขณะที่เจ้าเอยก็เดินกลับมาโอบกอดเพื่อนทั้งสอง “ฉันเชื่อว่าแกต้องทำได้”

สามสาวยิ้มให้กัน ก่อนจะช่วยกันขนกระเป๋าใบใหญ่เดินไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ ที่ซึ่งบุพการีของแต่ละบ้านส่งคนมารอรับอยู่   

 

รถคันหรูแล่นผ่านประตูคฤหาสน์บ้านบุษราในเวลาใกล้ค่ำ บุคคลที่โดยสายมาจึงละสายตาจากสมาร์ทโฟนในมือหลังจากส่งถ้อยคำหวานหยดไปขอโทษขอโพยคู่เดทที่ต้องผิดนัด ดินเนอร์ที่อุตส่าห์วาดหวังว่าจะรวบหัวรวบหางคู่ควงคนล่าสุดเป็นอันต้องพับเก็บ เนื่องจากมารดาส่งคนสนิทไปรับถึงบริษัทแถมยังโทรไปกำชับว่าห้ามขัดคำสั่งโดยไม่บอกเหตุผล

“คุณลุงรู้หรือเปล่าครับ ว่าคุณแม่เรียกผมมาทำไม” เพทายเอ่ยถามลุงสูงวัยผู้ทำหน้าที่ขับรถประจำตัวมารดาอย่างสงสัย ปกติมารดาไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหลังเลิกงานของตนนักด้วยรู้ถึงพฤติกรรมเป็นอย่างดีว่าถ้าไม่ขลุกอยู่กับเดอะแก๊งค์ก็หมกตัวอยู่กับสาวๆ ในคอนโดส่วนตัว ซึ่งมารดายี้พฤติกรรมเหล่านี้มากโดยเฉพาะข้อหลัง

“คุณท่านคงอยากเจอคุณเพทายนะครับ” คนสูงวัยตอบอย่างนอบน้อม พร้อมๆ กับรถที่ชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงหน้าประตูบ้าน

“ทำไมต้องอยากเจอล่ะครับ เจอกันที่บริษัทออกจะบ่อย” เพทายบ่นอุบ อันที่จริงก็ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านนัก อาทิตย์หนึ่งแวะมาค้างไม่กี่วัน ยิ่งพอใครบางคนหนีตามเพื่อนไปต่างประเทศตั้งแต่เดือนก่อน ความถี่ในการมาเยือนก็น้อยลงตามลำดับ

 “ท่านคงอยากให้ลูกๆ อยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา”

“จะพร้อมหน้าพร้อมตาได้ยังไงกันครับ ในเมื่อ…” พลันคนที่กำลังหงุดหงิดก็ตาลุกวาว รู้สึกเอะใจบางอย่าง

“คุณหนูพลอยกลับมาแล้วครับ ผมเพิ่งไปรับจากสนามบินเมื่อตอนบ่าย” คำตอบเป็นดังที่คาดไว้ เพทายเผลอยกยิ้มแฉ่งด้วยความลืมตัว ผลุนผลันเปิดประตูรถในขณะที่ยังจอดไม่สนิทดี

“ไม่ต้องรีบครับคุณหนู มันอันตราย” คำเตือนบวกสายตาที่มองผ่านระจกหลังมาดั่งคนรู้เท่าทัน ทำให้เพทายหุบยิ้ม งับประตูรถลงดังเดิม 

“อะไรครับลุง ผมไม่ได้รีบสักหน่อย” ทำกลบเกลื่อนด้วยการเอนหลังพิงเบาะหนังพร้อมกับเก๊กขรึม “ยัยเด็กนั่นกลับมา ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผมเลย”

ผู้ผ่านการใช้ชีวิตมายาวนานกว่าไม่โต้ตอบ ทำเพียงอมยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า

“ถ้ารู้ว่าคุณแม่ให้กลับมาเพราะยัยนั่น ผมไปดินเนอร์กับสาวๆ ดีกว่า” คนร้อนตัวยังไม่วายแก้ตัวไปเรื่อยแบบน้ำขุ่นๆ

“ผมว่าคุณหนูทำตามคำสั่งคุณท่านดีแล้วล่ะครับ”

“นั่นสินะ ผมเป็นลูกชายคนเดียวนี่นา ยังไงก็ขัดคำสั่งไม่ได้” ท่าทีคล้ายปลงตก ยักไหล่ ส่ายหน้า ปฏิกิริยาราวกับถูกบังคับ ทว่ามุมปากกลับกระตุกยิ้ม “ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณนายไพลินบ่นอีก ขี้เกียจฟัง” กล่าวจบลูกชายเจ้าของบ้านก็เดินผิวปากเข้าไปภายใน เหลือไว้แต่เพียงสายตาของคนสูงวัยที่มองตามอย่างนึกเอ็นดู

 “ผู้ชายเรา ปากแข็งมากก็ไม่ดีนะครับคุณเพทาย”

 

เสียงใสๆ ที่กำลังเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวให้มารดาฟังเป็นฉากๆ ทำให้คนที่ก้าวเท้าเข้ามาหยุดชะงัก ขยับไปยืนหลบมุมเสา ฟังเรื่องราวและแอบมองคนเล่าอย่างเพลิดเพลิน

“เมืองปรากสวยมากเลยค่ะคุณแม่ ยังกับอยู่ในโลกนิยาย เงียบสงบแต่ก็มีมนต์ขลัง หนูกับยัยเอยลากรตาเดินเที่ยวซะเพลินเลย” พลอยไพลินเล่าด้วยความตื่นเต้น ยังคงประทับใจเมืองเล็กๆ ที่เพิ่งไปสัมผัสมา แม้บ้านบุษราจะพาเธอออกท่องเที่ยวอยู่บ้างก็ไม่จุใจเท่าการไปด้วยตัวเอง แถมรอบนี้ได้ไปกับเพื่อนรักทั้งสองคนอีก

“พวกเราอยู่ที่นั่นเกือบสองอาทิตย์เพราะชอบบรรยากาศความเงียบสงบ ถ้าเกิดมีใครมาขอหนูแต่งงานตอนนั้นคงเผลอตกลงไปง่ายๆ แน่เลยค่ะ” หญิงสาวสองวัยหัวเราะเสียงใส หากคนแอบฟังกลับเบ้ปากแล้วก็ตั้งอกตั้งใจแนบหูฟังเมื่อได้ยินคำถามต่อมาของมารดา

“ตอนอยู่ที่นู้น มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบลูกแม่บ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอกค่ะ ยัยเอยเล่นขู่ผู้ชายทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ซะขนาดนั้น” ว่าแล้วพลอยไพลินก็หัวเราะร่วน ย้อนนึกถึงวีรกรรมบ้าบิ่นของเพื่อนรัก “ขนาดพนักงานเสิร์ฟอาหารเข้ามาใกล้หนูกับรตา ยัยเอยยังมองตาเขียวปั๊ดจนเขาต้องรีบเสิร์ฟแล้วจ้ำอ้าวออกไป”

“ดีแล้วลูก เป็นผู้หญิงแถมเที่ยวกันเองอันตรายจะตายไป” มือบางที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นตามวัยยื่นไปจับผมยาวสลวยของลูกเลี้ยงทัดหู มองคนที่เติบโตมาด้วยมือของตนเองก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ แต่แล้วบรรยากาศตามประสาสาวๆ ก็โดนขัดเมื่อลูกชายคนโตกระแอมกะไอนำเข้ามา

“จะมีผู้ชายที่ไหนกล้าจีบยัยนี่ เอ่อ ผมหมายถึงพลอยกันล่ะครับแม่ เสน่ห์ที่บ่งบอกความเป็นผู้หญิงไม่มีสักนิด”

“ตาเพทาย…” คนเป็นแม่ส่งสายตาดุๆ เป็นการต้อนรับ ตามด้วยใบหน้าละมุนที่เมินหน้าหนีเขาทันที

“แกดูถูกน้องเกินไป ลูกสาวของแม้ออกจะสวย กริยามารยาทดี พวกผู้หญิงที่แกควงๆ เทียบไม่ติดสักคน”

“คุณแม่น่าจะตัดแว่นบ้างนะครับ”

“ตาเพทาย…” คนโดนเรียกยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้าไปนั่งยังโซฟาตัวที่ว่างอยู่ มือก็ยื่นไปเขี่ยๆ บรรดาของฝากที่วางสุมอยู่บนโต๊ะกลาง

“ชิ้นไหนของผม” ถามลอยๆ สายตาก็เหลือบมองไปยังน้องสาว

“ของบนโต๊ะเยอะแยะอยากได้ชิ้นไหนก็หยิบไปสักชิ้นเถอะย่ะ” เป็นมารดาที่ตอบแทน น้ำเสียงออกอาการหมั่นไส้สุดๆ ไม่พอใจนักที่ลูกสาวบุญธรรมโดนบุตรชายค่อนแคะ

“ผมไม่รู้ว่าชิ้นไหนเหมาะกับตัวเองนี่นา” เพทายหยิบของชิ้นต่างๆ ขึ้นมาดู ตั้งใจหยิบเจาะจงเฉพาะของผู้หญิง เช่น น้ำหอมเอย ผ้าพันคอเอย เครื่องสำอางเอย “หรือคุณแม่ว่าผมควรเอาน้ำหอมดี จะได้เอาไปบรรณาการสาวๆ ด้วยเลย แต่ต้องขอเยอะหน่อยนะครับเพราะมีหลายคน” พูดจบก็โดนมารดาซัดเข้าที่แขนอย่างแรง รีบหยิบน้ำหอมราคาแพงในมือลูกชายกลับคืน

“เรื่องอะไร จะเอาของดีๆ ไปให้ผู้หญิงพวกนั้น” ไพลินตวัดค้อนใส่ลูกชาย ก่อนจะหันไปทางลูกสาวบุญธรรมที่นั่งสงบเสงี่ยมตั้งแต่โดนกวนโมโห “พลอยหยิบให้พี่เขาสักชิ้นสิลูก ซื้อแยกมาอยู่แล้วใช่ไหม” ด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวที่เลี้ยงมามีความละเอียดรอบคอบ จะเลือกของสักชิ้นก็มักจะหาที่เหมาะกับบุคคลของแต่ละคน

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ หันไปหยิบกล่องใบโตที่วางข้างตัวมายื่นให้ “นี่คะ ของพี่เพทาย”

คนได้รับของแอบเหล่มองอย่างประเมิน ยังแอบเล่นแง่ไม่รับมาง่ายๆ “อะไร! ยาพิษหรือเปล่า”

“ตาเพทาย…”

“ก็มันไม่น่าไว้ใจนี่ครับ ห่อมาเสียดิบดี”

“เป็นเนคไทค่ะ แล้วก็มีน้ำหอมสำหรับผู้ชายด้วย” พลอยไพลินตอบสั้นๆ ยังยื่นมือค้างอยู่อย่างนั้น หากคนที่ควรจะรับกลับผุดลุกขึ้น

“ผมขึ้นไปอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวลงมาตอนเวลาอาหารเย็นนะครับ” บอกผู้เป็นมารดาเสร็จก็หันไปทางน้องสาวนอกไส้ “เอาขึ้นไปเก็บบนห้องให้ด้วย” กล่าวจบก็เดินจากไป โดยมีเสียงบ่นของมารดาตามหลัง

 “ดูทำเข้า ไอ้ลูกคนนี้กวนโมโหจริงๆ” ถึงจะรู้ดีว่าลูกชายไม่ถูกชะตากับลูกสาวบุญธรรม หัวอกคนเป็นแม่ก็ยังอยากให้ทั้งสองสมัครสมานสามัคคีคอยดูแลเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะพลอยไพลินซึ่งรักประหนึ่งลูกในไส้จึงกลัวเหลือเกินว่ายามล้มหายตายจากแล้วเพทายจะหมางเมิน จึงต้องคอยเป็นตัวกลางคอยเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเอาไว้ ในเมื่อคนเป็นพี่แข็งไปแล้ว อีกคนที่เหลือจึงต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนลงโดยปริยาย

“พลอยเอาไปเก็บให้พี่เขาได้ใช่ไหมลูก” เพราะรู้ดีว่าถ้าปฏิเสธผู้เป็นแม่ก็คงไม่ตำหนิ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยเป็นปัญหาหรือทำให้ผู้มีพระคุณไม่สบายใจ จึงจำยอมต้องตอบตกลง “ได้ค่ะคุณแม่…”

“ขอบใจมากนะลูก” มือเหี่ยวย่นยื่นไปลูบผมยาวของหญิงสาวอย่างเอ็นดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปสนอกสนใจดูของฝากบนโต๊ะต่อ

พลอยไพลินนั่งอยู่อีกเกือบสิบนาที ก็ขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บให้เพทาย กะเวลาให้อีกฝ่ายเข้าไปชำระร่างกายตามที่บอกไว้จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้า หลังจากเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบจึงเปิดเข้าไป ได้ยินเสียงน้ำดังเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำก็ใจชื้น รีบจ้ำเข้าไปในห้องแต่งตัวจะได้ชิ่งก่อนอีกฝ่ายออกมา กลับผิดคลาดเพราะอีกฝ่ายใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด

“มาเสียที รออยู่ตั้งนาน”

“คะ…”

“สระผมให้หน่อย ไม่ได้สระมาหลายวันแล้ว” สีหน้าคนโดนสั่งยังคงตกตะลึง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกตั้งแต่เห็นพี่ชายนอกไส้ นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมายืนตรงหน้า

“ยืนตะลึงอยู่ได้” เพทายรั้งข้อมือเล็กให้เดินตามเข้าไปในห้องน้ำ จนเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง คนโดนลากถึงได้สติ

“ไม่ได้นะคะ” พลอยไพลินสะบัดมือออก หมุนตัวกลับหวังชิ่งหนีกลับโดนสองมือยื่นมายันประตูไว้ เธอเลยตกไปอยู่ตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างโดยปริยาย

“สระผมให้หน่อยไม่ได้หรือไง” น้ำเสียงที่ดังข้างหู ทำให้พลอยไพลินยิ่งขวัญหนี รับรู้ได้ว่าเขาเข้ามาใกล้ขนาดไหน

“มะ…ไม่ได้ค่ะ มันไม่เหมาะ”

“ทำไมไม่เหมาะ เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ น้องสาวสระผมให้พี่ชายไม่เห็นผิดตรงไหน” คนพูดยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก จนคนโดนขังใจหายวาบ ไอร้อนๆ ที่พ่นลดต้นคออยู่ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

“คุณก็รู้ว่าไม่ใช่”

“ก็เห็นชอบย้ำบ่อยๆ” พลันความเงียบก็เข้าครอบงำไปชั่วขณะ พลอยไพลินยืนกำมือด้วยใจระทึก อยากจะกรีดร้องดังๆ ให้คนอื่นได้ยินก็รู้ว่าไม่เป็นผลเพราะห้องของเขาเก็บเสียง “งั้นก็จำเอาไว้ดีๆ ว่าผมไม่ใช่พี่ชายของคุณและก็ไม่มีวันเป็นด้วย” เพทายกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะขยับถอยออกมา

“ถ้าไม่อยากช่วยสระผมก็ไม่เป็นไร ครั้งนี้จะอนุโลมให้ แต่ครั้งหน้า…” พลอยไพลินไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ รีบเผ่นแนบออกไปทันที ทิ้งไว้แต่คนเจ้าเล่ห์ที่มองตามด้วยรอยยิ้ม

“หวังว่าคุณจะเข้าใจนะพลอย ว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร…”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น