6

ตอนที่ 6

พระพายเจ้าเอย :: ตอนที่ 6

 

คนที่เพทายหวังว่าจะเข้าใจกับการกระทำดูเหมือนจะเข้าใจไปคนละแบบกับที่ต้องการสื่อ เย็นวันต่อมาจึงโทรไปนัดเพื่อนสนิททั้งสองออกมาปรับทุกข์ โดยเลือกร้านประจำที่มากันบ่อยครั้งซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูง

“เขาบอกว่าฉันไม่ใช่น้องสาวและไม่มีวันเป็น” พลอยไพลินกล่าวปิดท้ายหลังจากเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ของพี่ชายนอกไส้ให้ผองเพื่อนฟังจนจบ โดยเว้นช่วงน่าสิ่วหน้าขวานตอนเห็นเขาในชุดหมิ่นเหม่และความใกล้ชิดที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอออกไป

“เขาคงเกลียดฉันมาก…”

 “ไม่น่าเชื่อว่า คุณเพทายจะพูดแบบนั้น เห็นเป็นคนเงียบๆ ไม่น่ามีพิษมีภัยแท้ๆ” รตาออกอาการแปลกใจเพราะได้ฟังเรื่องเพทายจากปากพลอยไพลินมาพอสมควร เคยพบเจออยู่บ่อยๆ ตอนคบหากับอดีตสามี บุคลิกไม่บ่งบอกว่าเป็นคนใจร้ายใจดำเลย “แกก็อยู่บ้านเดียวกับเขามาตั้งนาน ทำไมเพิ่งมาตั้งแง่เอาป่านนี่”

“เขาไม่ชอบฉันมาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งออกอาการหนักจริงๆ หลังเรียนจบกลับมานั่นแหละ สงสัยกลัวฉันจะแย่งมรดกมั้ง” คนเล่าสีหน้าเคร่งเครียด เดาการกระทำของพี่ชายนอกไส้ไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าปัญหาเป็นเรื่องมรดกจริงก็บอกได้เลยว่าเธอไม่เคยคิดอยากได้สมบัติบ้านบุษราเลยสักนิด แค่คุณพ่อ คุณแม่อุปการะเลี้ยงดูมาเป็นสิบปีก็ทดแทนบุญคุณไม่หมด

“หรือไม่เขาก็อยากให้แกมองในฐานะอื่น ที่ไม่ใช่พี่ชาย” เจ้าเอยแทรกขึ้นมากลางป้อง เรียกความสนใจสองสาวให้หันไปมองโดยพร้อมเพรียง

“แกหมายความว่ายังไง”

“นั่นสิ ไม่ให้ยัยพลอยมองคุณเพทายแบบพี่ชาย จะให้มองแบบไหน”

“ก็แบบผู้หญิงคนหนึ่ง มองผู้ชายคนหนึ่ง”

“ห๊ะ!” คำอุทานของสองสาวทำให้เจ้าเอยหันซ้ายหันขวากลัวว่าจะมีคนอื่นมาได้ยิน แม้ที่นั่งจะเป็นสัดส่วนแต่ก็ไม่ได้มิดชิดนัก แถมยังเคยขึ้นหน้าหนึ่งติดๆ กันเป็นอาทิตย์จึงยังไม่อยากเป็นจุดสนใจ

“พวกแกจะเสียงดังทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็จำได้หรอก”

“ก็ฉันตกใจกับความคิดของแก” รตาบ่นอุบ เหลือบไปมองเพื่อนสนิทอีกคนที่ยังนั่งหน้าตาตื่น

“ทำไมต้องตกใจ ในเมื่อยัยพลอยกับคุณเพทายไม่ได้เป็นพี่น้องคลานตามกันมาเสียหน่อย แล้วผู้ชายกับผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกัน เจอกันบ่อยๆ จะหวั่นไหวกันบ้างก็ไม่เห็นแปลก” เจ้าเอยยังแสดงความคิดเห็นในแบบฉบับของตัวเองต่อ

“ยัยเอย! หยุดพูดได้แล้วถ้าคนอื่นมาได้ยินจะคิดยังไง ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน” รตาถลึงตาใส่ ปรามให้เลิกพูดกลัวว่าพลอยไพลินจะไม่สบายใจ

 “ก็ไม่ใช่…”

“ยัยเอย”

“ก็ได้ๆ ไม่พูดก็ได้” คนอยากพูดจิ๊จ๊ะขัดใจหันไปสนใจอาหารบนโต๊ะแทน รตาจึงเบนความสนใจมาทางคนต้นเรื่องยื่นมือไปกุมอย่างปลอบประโลม

“แกก็อย่าไปบ้าจี้ตามคำพูดยัยเอยล่ะ นางก็เรื่อยเปื่อยไปตามประสานั่นแหละ พี่ชายแกไม่มีทางคิดอะไรแบบนั้นหรอก” พลอยไพลินพยักหน้ารับทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระรัว บอกตรงๆ ว่าตกใจกลับสมมุติฐานของเจ้าเอย ากวูบหนึ่งของความรู้สึก เธอกลับ ‘ดีใจ’

“ถ้าอึดอัดมากๆ ลองขอคุณน้าไพลินย้ายออกมาอยู่ข้างนอกสิ”

“ใครจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเหรอครับ” น้ำเสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้สามสาวสะดุ้ง พอเห็นว่าเป็นเสียงใครก็พากันหน้าบึ้งตึง บรรดาชายหนุ่มที่มายืนรอบๆ โต๊ะล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ไม่อยากเจอหน้า

“ว่าไงครับ ใครจะย้ายออกจากบ้าน” เพทายถามซ้ำ สายตาเพ่งมองไปยังน้องสาวนอกไส้อย่างคาดคั้น เนื่องจากเข้ามาทันได้ยินแค่ประโยคหลังๆ จึงจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

บรรยากาศบริเวณนั้นเลยตกอยู่ในสภาวะอึมครึมในบัดดล รตาเมินหน้าหนีอดีตสามีทันทีในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้แต่ยืนมองนิ่งๆ  เพทายก็เอาแต่จ้องพลอยไพลินเขม็งจนคนโดนจ้องต้องก้มหน้าก้มตาหนี คงเหลือคนเดียวที่ไม่หลบแถมยังเชิดหน้าขึ้นสู้ มองคู่กรณีที่สร้างเรื่องให้เธอไว้เมื่อเดือนก่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ใครจะย้ายออกก็ไม่เกี่ยวข้องกับใครในบรรดาพวกคุณไม่ใช่หรือคะ” เจ้าเอยจ้องมองไปทีละคนๆ อย่างไม่เกรงกลัว ณัฐเป็นคนแรกที่หลบหน้าเนื่องจากมีชนักติดหลังเยอะ จึงเกรงจะมีเรื่องราวเล็ดรอดไปถึงหูภรรยาได้

“หรือคิดว่าเกี่ยวกับคุณคะ คุณนิมมาน…” คนโดนเอาเรื่องคนแรกสะดุ้งรีบขยับไปหลบด้านหลัง ยังไม่อยากโดนรื้นฟื้นความผิดครั้งใหญ่ในคราวก่อน

“หรือคุณเพทาย…”

“ครับ ผมคงต้องเกี่ยวเพราะผมเป็นพี่ชายพลอยไพลิน” เพทายโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกเดือดดาล แค่คิดว่ายัยน้องสาวนอกไส้คิดหาทางย้ายออกจากบ้านความโมโหก็พวยพุ่ง

“พี่ชายเหรอคะ คุณก็รู้ดีว่าไม่ใช่” เจ้าเอยกระตุกยิ้มดั่งรู้เท่าทัน “ฉันว่าคุณไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับเรื่องราวส่วนตัวของยัยพลอยหรอกค่ะ”

“แต่ครอบครัวผม อุปการะเธออยู่”

“เท่าที่รู้มา คุณพ่อคุณแม่ของคุณเป็นคนอุปการะ เพราะฉะนั้นคนที่มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตความต้องการของยัยพลอยก็มีแค่พวกท่านถูกไหมคะ” ยิ่งเห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่เป็นสุข เจ้าเอยก็ยิ่งชอบใจ เธอไม่ใช่คนโรคจิตที่ชอบเห็นคนอื่นเดือดร้อน ตรงกันข้ามกลับเป็นคนขี้สงสาร เห็นใจเพื่อนมนุษย์ทุกชนชั้นวรรณะ จะมียกเว้นก็แค่มนุษย์สปีชีส์เดียวคือ ‘พวกเจ้าชู้’ 

เธอดูออกว่าเพทายรู้สึกยังไงกับพลอยไพลิน อาจจะแค่ถูกใจ ชอบ อยากได้ จึงไม่มีทางสนับสนุนหากความต้องการของเขามีเพียงเท่านั้น ถ้าคิดจะหลอกเพื่อนเธอก็ต้องเจอกันหน่อย หากคิดจริงใจก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น

 “อีกอย่าง คุณเพิ่งบอกยัยพลอยไม่ใช่เหรอคะ ว่า…”

“เจ้าเอย พอเถอะ” พลอยไพลินรีบห้ามปราม รู้ดีว่าเพื่อนกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร

 “แต่ฉันว่า…”

“มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ฉันไม่อยากมีเรื่อง” แค่เห็นดวงตาโกรธจัดที่ปรายมาพลอยไพลินก็ไม่กล้าสู้หน้า ขืนรู้ว่าเอาเรื่องเมื่อคืนมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังหมด มีหวังโดนไล่ออกจากบ้านตั้งแต่คืนนี้แน่ๆ

แม้เจ้าเอยจะไม่ชอบใจก็ยอมเงียบลงโดยดี ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของเธอแถมคนต้นเรื่องไม่อยากให้พูดถึง จึงหมดสิทธิ์ยุ่ง

ในระหว่างที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดนั่นเอง มินตราภรรยาคนสวยของณัฐก็ปรากฏตัวขึ้น การที่สี่หนุ่มมาพากันมายังร้านประจำของพวกเธออย่างพร้อมเพรียงไม่ใช่เหตุบังเอิญ พวกเขาอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองวันครบรอบแต่งงานปีที่สามให้ณัฐกับมินตราซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านอาหารลำดับต้นๆ ที่มินตราชอบ

 “ดีใจจังเลยที่ได้เจอ พี่จะได้มีเพื่อน” มินตราดี๊ด๊าออกนอกหน้าเมื่อมาเจอคนรู้จัก เธอรู้สึกดีก็จริงที่เพื่อนสามีจัดงานเลี้ยงฉลองให้ แต่ก็แอบกังวลเนื่องจากไม่ได้สนิทกันมากนัก แถมบางครั้งยังอึดอัดกับหัวข้อสนทนาที่ไม่เข้าใจ

“พวกเราใกล้จะกลับแล้วล่ะค่ะ บรรยากาศไม่ค่อยดี…” เจ้าเอยตวัดมองสี่หนุ่ม จ้องเขม็งไปทางคู่อริเป็นพิเศษ จงใจให้รู้เลยว่าใครที่ทำให้บรรยากาศเสีย

“จะกลับแล้วเหรอ อยู่ทานข้าวกับพี่ก่อนสิ” มินตราหน้าหมองลงเมื่อความคิดที่ว่าจะมีเพื่อนดูเลือนราง “พี่มีเรื่องงานจะคุยกับเจ้าเอยอยู่พอดี”

“ไว้คุยวันอื่นก็ได้นี่คะ”

“วันนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว จะได้ร่วมฉลองวันครบรอบแต่งงานให้พี่ด้วยไง”

“เอยว่า…”

“ถ้าพวกเธอไม่สะดวกก็อย่าไปรบกวนเลยครับ” น้ำเสียงที่แทรกเข้ามาทำให้เจ้าเอยหันขวับ คนที่พูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ไอ้เป็ดเหลือง’ จอมกวน

“คุณมินตราจะทำให้พวกเธอลำบากใจเสียเปล่าๆ”

เจ้าเอยกัดฟันกรอดๆ พูดมาได้ว่ามินตราทำให้ลำบากใจ ทั้งๆ ที่ความจริงหมอนั่นก็น่าจะรู้ดีว่าเป็นเพราะใคร และดูมินตราจะบ้าจี้ตาม ถึงได้แสดงอาการที่บ่งบอกว่าผิดหวังเสียชัดเจน

“งั้นพี่ก็ขอโทษด้วยที่คะยั้นคะยอ”

“พี่มินอย่าคิดอย่างนั้นสิคะ เราก็คนกันเอง…”

“คนกันเองแต่ปฏิเสธ” เสียงกวนอารมณ์ยังลอยมากระตุ้นต่อมโมโห เจ้าเอยเม้มปากอยากอาละวาดใจแทบขาด หากต้องระงับไว้เพราะยังอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ แถมสถานที่ไม่เป็นส่วนตัว

“เอยมากับเพื่อนค่ะ จึงคิดว่าไม่น่าสะดวก พี่มินน่าจะทราบดี เรื่อง…” หยุดเว้นจังหวะ แล้วปรายตามองไปยังรตา มินตรามองตามก็เข้าใจจึงเหตุผล งานแต่งของรตาเธอก็ไปแต่ไปถึงตอนที่เกิดเรื่องแล้ว จึงไม่ทราบรายละเอียดอะไร ถามณัฐก็บอกแต่เพียงว่า ‘รตากับนิมมานมีเรื่องเข้าใจผิดกัน’ เท่านั้น

หลายสายตาที่มองมาทำให้รตาเริ่มรู้ว่าเป็นตัวปัญหา แม้อยากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอดีตสามีปานใดก็ทำใจไว้แล้วว่าไม่มีทางหนีได้ตลอด ที่ผ่านมาก็บอกตัวเองว่าเสียใจมากเกินพอจากนี้จะเป็นคนใหม่จึงไม่จำเป็นต้องหนีอีก

“ถ้าสาเหตุของความไม่สะดวกเป็นเพราะฉันละก็ ฉันไม่มีปัญหาค่ะ” เจ้าเอยกับพลอยไพลินหันไปมองเพื่อนรักเป็นตาเดียว พออีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันว่าไหวเธอสองคนก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล

“งั้นตกลงค่ะ พวกเราจะไปทานข้าวกับพี่มิน” เจ้าเอยย้ำเสียงแข็งแถมตวัดสายตาไปคู่ปรับอย่างท้าทาย ‘ให้รู้เสียบ้างว่าผู้หญิงก็เข้มแข็งไม่หวั่นเกรงอะไร โดยเฉพาะจากผู้ชายที่เคยทำให้เจ็บ’

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้อึมครึมอย่างที่นึกหวั่น สี่สาวสรรหาหัวข้อมาสนทนากันอย่างสนุกสนาน บางครั้งบางคราก็ลากณัฐเข้ามามีส่วนร่วมด้วย จนคนถูกเอ่ยถึงร้อนๆ หนาวๆ นั่งไม่เป็นสุขอยู่ตลอด ส่วนสามหนุ่มที่เหลือแทบไม่ได้ส่งเสียง แค่อ้าปากเจ้าเอยก็แทรกเรื่องอื่นขึ้นมาจนหมดโอกาสพูด

ผ่านไปพักใหญ่อาหารบนโต๊ะเริ่มบางตา หัวข้อสนทนาก็เริ่มไม่มีจึงถึงเวลาแยกย้าย พระพาย นิมมาน เพทายร่วมกันเป็นเจ้ามือค่าอาหารมื้อใหญ่ที่ราคาไม่ธรรมดา เล่นเอากระเป๋าเบาตามๆ กัน สามสาวเล่นสั่งแบบไม่พัก ขนาดตอนขอเช็คบิลยังมีอาหารที่ปรุงไม่เสร็จอีกบานตะไท

“เดี๋ยวผมแพ็คอาหารที่ยังไม่ได้นำมาเสิร์ฟให้นะครับ” บริกรบอกพลางยื่นมือไปรับบัตรเครดิตที่หนึ่งในสามคนยื่นให้

“แพ็คได้เลยค่ะ แต่ไม่ต้องยกมาหรอกนะคะ พี่ๆ เอาไปแบ่งกันทานได้เลยค่ะ คุณทั้งสามคนเขาเลี้ยง” เจ้าเอยโปรยยิ้มหวานมาทางเจ้ามือทั้งสาม “ใช่ไหมคะ”

“ตามที่คุณผู้หญิงว่านั่นแหละครับ” พระพายยักไหล่ไม่ยี่หระ แม้ค่าอาหารจะสูงเกินปกติ ก็ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วงได้หรอก

“ขอบคุณที่เลี้ยงนะคะ” คิ้วบางยักน้อยๆ ก่อนจะหันไปสรุปงานกับมินตราที่คุยกันในระหว่างรับประทานอาหาร

“เอาเป็นว่าเรื่องถ่ายแบบตกลงตามที่คุยกันไว้นะคะ พี่ดีใจจริงๆ ที่ได้พวกเธอมาขึ้นปก” มินตรายิ้มหน้าชื่นตาบานเมื่อเจ้าเอยรับปากเรื่องถ่ายนิตยสารเล่มล่าสุดในคอนเซ็ปเซ็กซี่แสนซน แถมตอนที่เธอบอกว่ายังต้องหานางแบบอีกสักคนสองคนมาประกบคู่ เจ้าเอยก็รีบเสนอเพื่อนรักอีกทั้งยังช่วยเกลี้ยกล่อมจนสองสาวยอมรับปาก

 “ยอดขายถล่มทลายแน่ๆ พี่รับรอง”

“กลัวจะพังทลายมากกว่าสิคะ พี่มินแน่ใจแล้วใช่ไหมคะ” เจ้าเอยถามย้ำอีกครั้ง รู้ดีว่าตนกับเพื่อนๆ ตกเป็นข่าวเสียหายในช่วงที่ผ่านมา

“แน่ใจสิจ๊ะ พี่มั่นใจว่าเจ้าเอยกับเพื่อนตรงคอนเซ็ปที่สุด ส่วนเรื่องสปอนเซอร์เดี๋ยวพี่จัดการเอง คิดว่าไม่มีอะไรต้องห่วง” เมื่อมินตรามั่นใจเจ้าเอยก็ไม่มีอะไรจะแย้ง หันไปทางผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสองโดยเฉพาะรตาที่ตกเป็นข่าวมากสุดในช่างที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครเสนอความคิดเห็นใดๆ

“งั้นก็ตกลงตามนี้ค่ะ ถ้ารู้กำหนดวันถ่ายรบกวนพี่มินช่วยแจ้งพวกเราด้วยนะคะ”

“ได้จ๊ะ คงเร็วๆ นี่ล่ะ เตรียมฟิตหุ่นรอได้เลย”

“คงต้องฟิตหนักหน่อยละครับ เพราะว่าตอนนี้…” น้ำเสียงกวนบาทาที่แทรกเข้ามาทำให้เจ้าเอยเอือมระอา อุตส่าห์เมินเฉยช่วงที่โดนกวนประสาทระหว่างทานอาหาร ครั้งนี้เกินจะทน…

“ตอนนี้ทำไม!” แหวเสียงแหลมจนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันเลิกลัก เนื่องจากเพิ่งรู้เมื่อไม่นานว่าน้าของเจ้าเอยกับแม่ของพระพายเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งดูเหมือนความสนิทจะไม่ส่งผลมายังทั้งสองเลย เจอหน้าถึงได้ลับฝีปากกันตลอด

“ก็…” สายตาคมตวัดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยักไหล่ ราวกับสาวเจ้ามีข้อเสียเยอะจนอธิบายไม่หมด

“ไอ้…เอ่อ คุณพระพาย!” เจ้าเอยแทบจะหลุดคำไม่เหมาะสม ดีที่ยังเห็นแก่รุ่นพี่จึงพยายามอดทน

“เรียกทำไมครับ คุณเจ้าเอย” คนกวนยังไม่มีทีท่ายอมแพ้ เจ้าเอยจึงยิ่งฮึดฮัด เดือดร้อนเพื่อนทั้งสองต้องห้ามปราม

 “พวกเรากลับก่อนนะคะ”

“ได้สิ แล้วกลับกันยังไง ให้พี่ไปส่งดีไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราขับรถมา แล้วเจอกันใหม่นะคะ” บอกกล่าวรุ่นพี่เสร็จ สามสาวก็ลุกออกมาโดยไม่มองหน้าหรือร่ำลาคนอื่น จ้ำพรวดๆ มาได้ครึ่งทางเจ้าเอยก็ก็หยิบกุญแจรถส่งให้รตา “พวกแกไปรอที่รถก่อนนะ ฉันขอไประงับสติอารมณ์แป๊บ”

“ให้พวกเราไปเป็นเพื่อนไหม”

“นี่! ฉันไม่ใช่เด็กนะยะ ขอไปเข้าห้องน้ำห้านาทีเดี๋ยวมา” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป สองสาวที่เหลือจึงพากันเดินไปรอที่รถ

ยังไม่ทันจะได้กดปลดล็อคสัญญาณ บุคคลที่ไม่อยากเจอมากที่สุดก็เดินเรียงกันเข้ามาหา รตาเป็นคนแรกที่เห็นจึงรีบเมินหน้าหนี คงเหลือแต่พลอยไพลินที่หันรีหันขวางจะเมินไปทางอื่นอีกคนก็เกรงจะเป็นการเสียมารยาทมากไป

“จอดรถไว้แถวนี้เหมือนกันเหรอคะ”

เพทายไม่ตอบ กลับเดินไปคว้าข้อมือคนพูดเสียแน่น “กลับกับผม…”

“ฉันจะกลับพร้อมเพื่อนค่ะ” พลอยไพลินฝืนตัวสุดแรง ปรายตามองไปยังเพื่อนเขาทั้งสองคน แต่พระพายกับนิมมานก็นิ่งเฉย

“ฉันทิ้งรตาไว้คนเดียวไม่ได้หรอกคะ ยัยเอยไปห้องน้ำคงอีกเดี๋ยวกว่าจะกลับมา”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งรตาเอง” นิมมานเสนอตัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนเมินหน้าไปทางอื่นหันขวับ

“ไม่ต้อง!” รตาปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื่อใย เหลือบมองไปทางพลอยไพลิน เห็นโดนพี่ชายรั้งอยู่ก็เดาได้ว่าคงไม่ยอมให้อยู่ต่อแน่ๆ “แกกลับไปก่อนเถอะ ฉันรอยัยเอยคนเดียวได้”

“แต่ฉันว่า…” พลอยไพลินยังลังเล ห่วงสวัสดิภาพตัวเองก็ห่วง ห่วงเพื่อนก็ห่วง

“คุณรตาโตแล้วจะเป็นห่วงอะไรหนักหนา ที่นี่ร้านอาหารใครจะทำอะไร” เป็นเพทายที่ดุเสียงเข้ม หันไปพูดกับรตาต่อ “ผมขอพาตัวน้องสาวกลับก่อนนะครับ”

“ค่ะ” รตาจำต้องตอบรับ แม้เพื่อนสาวจะส่ายหน้าแถมส่งสายตาปรอยๆ มาขอร้องให้ช่วยเหลือ

“ไปได้แล้ว” เมื่อโดนแรงดึงพลอยไพลินจึงหมดปัญญาต้านทาน จำยอมน้องเดินตาม

“ถึงบ้านไลน์บอกด้วยนะ” รตาตะโกนตามหลัง มองดูเพื่อนถูกพี่ชายลากไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ถ้าเจ้าเอยอยู่ก็คงจะห้ามปรามได้เสียงแข็งกว่านี้

หมดเรื่องของพลอยไพลินไป รตาก็เพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้เองว่าอดีตสามีขยับมายืนประชันหน้าอยู่ในระยะใกล้

“ผมจะไปส่ง”

“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ตอบกลับแบบรักษามารยาท ถึงจะยังโกรธเกลียดในเรื่องเก่าๆ ก็สร้างภาพได้เก่งพอ

“คุณอย่าดื้อได้ไหม เมื่อก่อนคุณไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา” พอได้ยินคำว่าเมื่อก่อน คนเคยทุกข์ใจแสนสาหัสก็แทบกระอัก ไหนจะประโยคที่ทำราวกับเธอเป็นตัวปัญหานั่นอีก ทั้งๆ ที่นิมมานน่าจะรู้ดีว่าทำไมเธอถึงไม่อยากไปด้วย ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษเลยแม้แต่คำเดียว

“ฉันฉลาดขึ้นมั้งคะ ช่วงนี้มองอะไรก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่โง่อยู่ตั้งนาน”

“รตา…”

“เลิกเรียกฉันซักที! ถ้าจะกรุณา ช่วยทำเหมือนไม่รู้จักจะดีมาก” วีนเสียงดังก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถของเจ้าเอย กดปลดล็อคดึงประตูเพื่อเข้าไปนั่งรอด้านใน ก็โดนอดีตสามีตามมาขวางอีก

“ผมจะไปส่ง”

“ก็บอกว่าไม่ไง!”

“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“ฉันไม่มี!”

“รตา” นิมมานรีบคว้ามือเล็กไว้ ดึงรั้งให้เธอหันกลับมา ผลที่ได้คือฝ่ามืออีกข้างฟาดตามมาด้วยแบบเต็มแรง

“ไปให้พ้น!” รตาสะบัดมือออก โมโหจนไม่อยากอยู่รอต่อ จึงเดินลิ่วๆ ออกไปจากตรงนั้น โดยมีนิมมานวิ่งตามไปติดๆ

พระพายยืนมองเพื่อนกับอดีตภรรยาฉุดดึงกันอยู่อีกพัก จนกระทั่งทั้งสองขึ้นรถแท็กซี่ตามกันออกไปคนละคัน คนโดนทิ้งจึงได้แต่ส่ายหน้า พอละสายตากลับมาก็ไปสะดุดกับกุญแจรถที่ตกอยู่ข้างรถ ริมฝีปากกระตุกยิ้มร้าย เดาได้ว่าน่าจะเป็นของใคร จึงหย่อนลงกระเป๋าเสื้อแล้วเดินผิวปากตรงไปยังห้องน้ำ

 

ประชากรผู้หญิงดูพลุกพล่านมากเป็นพิเศษจนคนรอออกอาการเขิน ก็สายตาแต่ละคนที่มองมาทำดั่งกับเอ็นดูหนักหนาคงคิดว่ามายืนรอแฟน ใครจะรู้บ้างว่าเขามายืนเพื่อรอเอาคืนใครบางคนต่างหาก

ยืนอยู่ไม่นานก็เหมือนจะได้เรื่องแต่เป็นเรื่องที่ไม่อยากมีส่วนร่วมนัก เมื่อหนึ่งในบรรดาอดีตคู่ควงบังเอิญออกมาเจอเข้าพอดี

“พระพาย! ไม่ได้เจอตั้งนาน ดีใจจังค่ะ” นางแบบสาวรุ่นเดอะผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการตรงเข้ามาเกาะแขน  เอนใบหน้าซบลงกับอกกว้างโดยไม่เกรงสายตาผู้คน

“ลูกพีช คุณเอ่อมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ฉันมาทานอาหารเย็นกับเพื่อนค่ะ แล้วคุณมายืนทำอะไรตรงนี้คะ” นางแบบสาวส่งสายตาเย้ายวน มือบางยื่นไปจับปกเสื้อเชิ้ตอย่างเชิญชวน “อย่าบอกว่าเห็นฉันก็เลยมายืนรอ”

“เปล่าหรอกครับ คือผม…” ปฏิเสธไม่ทันจะครบประโยค หญิงสาวเรือนร่างบอบบางก็ถูกบรรดาผู้คนที่เดินสวนไปมาชนจนเซถลา พระพายจึงต้องช่วยรับไว้แล้วพลิกตัวให้เธอเข้าไปอยู่ด้านในชิดกำแพง เป็นเหตุให้เกิดความใกล้ชิดมากขึ้น สาวเจ้าจึงได้ทียื่นสองมือมาคล้องคอเขาไว้

คนตกกระไดพลอยโจนพยายามปัดออกอย่างสุภาพก็ไม่เป็นผล ในระหว่างยื้อยุดนั่นเองก็โดนใครบางคนชนเข้าอีกครั้งจนพระพายหน้าทิ่ม 

นางแบบสาวโวยวาย ตะโกนด่าคนที่เดินลิ่วๆ จากไปอย่างเดือดดาล “นี่หล่อน! ไม่เห็นคนหรือไงยะ” สองมือเล็กจับตามเนื้อตัวเพื่อสำรวจตรวจทาน ปากก็ออดอ้อนเสียงหวานดั่งกับเป็นห่วงเป็นใยหนักหนา “คุณพระพายเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ให้ฉันพาไปโรงแรม เอ่อ โรงพยาบาลดีไหม”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ” คนเจ็บยิ้มแหยๆ กับคำเชิญชวนที่ดูออกหน้าออกตา

“จะไม่เป็นอะไรได้ไงคะ ยัยนั่นชนซะแรงไม่รู้จะรีบอะไรหนักหนา” พระพายมองตาม ‘ยัยนั่น’ ที่นางแบบสาวพูดถึง แค่เห็นหลังไวๆ ก็รู้ว่าเป็นใคร

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ มีธุระต้องไปจัดการ” สองมือจับแขกไม่ได้รับเชิญออกห่างจากตัว จ้ำอ้าวตามคนที่เดินชนไปโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกที่ดังตามหลัง

 

คนวิ่งหนีมายกยิ้มสะใจกับการกระทำเมื่อครู่ เธอเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่พอออกมาก็เห็นภาพนัวเนียที่ไม่เหมาะไม่ควรเข้า คราแรกว่าจะเดินผ่านเฉยๆ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับตนและเธอก็หัวสมัยใหม่มากพอ ทว่าพอเห็นหน้าฝ่ายชายชัดๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเดินไปกระแทก

“สมน้ำหนาไอ้คนโรคจิต ลามกไม่ดูสถานที่” ยกยิ้มอย่างพออกพอใจที่ได้แก้แค้น แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ เจ้าเอยฮึมเพลงจนเดินมาถึงรถ หันมองซ้ายขวารวมทั้งส่องเข้าไปภายในก็ไม่เห็นเพื่อนทั้งสอง จึงรู้สึกแปลกใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรถาม รอสายอยู่นานกว่าพลอยไพลินจะกดรับ

“พวกแกอยู่ไหนกัน ฉันกลับมาไม่เจอใครเลย” กรอกเสียงเข้าไปอย่างร้อนใจกลัวเพื่อนจะเกิดอันตราย พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายอ้อมแอ้มตอบกลับมาพร้อมเหตุผลก็เดือดดาน

“เขาไม่ได้ทำอะไรแกใช่ไหม” เจ้าเอยถามย้ำๆ จนพลอยไพลินต้องยืนยันอยู่หลายรอบ เมื่อแน่แก่ใจว่าปลอดภัยดีจึงถามถึงเพื่อนอีกคน

“แล้วรตาล่ะ”

“กลับไปกับไอ้นิมมานแล้ว” ไม่ใช่เสียงของพลอยไพลินที่ตอบ หากเป็นเสียงของคนที่มายืนพิงรถอยู่ข้างๆ ต่างหาก “ว่าไงนะ!”

“ก็ตามนั้น” ท่าทียียวนทำให้เจ้าเอยยิ่งอารมณ์เสีย ได้ยินเสียงพลอยไพลินแว่วๆ มาตามสาย คงได้ในสิ่งยินที่พระพายพูดเหมือนกัน

“แกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะตามไปเอง” เจ้าเอยกดวางโทรศัพท์แล้วควานหากุญแจรถ ก่อนจะนึกได้ว่าส่งให้รตาไป คิดแล้วอยากจะตีอกชกหัวจัดแจงยกโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่หมายจะโทรไปถามอีกฝ่ายว่าอยู่ที่ไหน แต่แล้วสิ่งที่กำลังหาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าเอยจำได้ทันทีว่าเป็นกุญแจรถของตน

“ไปอยู่ที่นายได้ยังไง!”

“เก็บได้…”

“โกหก! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”

 “ไม่คืน…”

“อย่ากวนได้ไหมไอ้เป็ดเหลือง! ฉันจะรีบตามรตาไป”

“ก็บอกว่ากลับไปพร้อมนิมมาน ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“แบบนั้นยิ่งต้องห่วง เพื่อนนายไว้ใจได้ที่ไหน เอากุญแจคืนมา” เจ้าเอยตรงเข้ายื้อแย่ง พยายามสักเท่าไหร่คนที่สูงกว่าเธอหลายสิบเซ็นก็ยังได้เปรียบอยู่ดี

“บอกให้เอาคืนมาไง หรืออยากจะโดน…”

“โดนแบบเมื่อกี้นะเหรอ” คำพูดของพระพายทำเอาเจ้าเอยชะงัก นึกได้ทันทีว่าเมื่อกี้ที่เขาหมายถึงคือตอนไหน ก็เธอเพิ่งไปเดินชนเขามาหยกๆ

“พูดอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

“อย่าบอกนะว่าไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ตั้งใจอะไร ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง เอากุญแจรถคืนมาได้แล้ว” เจ้าเอยยื่นมือขอดีๆ หากอีกฝ่ายก็ยังเฉยจึงอาศัยจังหวะนั้นกระโดดคว้า แต่ก็พลาดอีก…

“บอกให้เอามาไง”

“ไม่ให้ จนกว่าจะชดใช้”

“ชดใช้อะไรไม่ทราบ”

“ก็เธอทำให้ผู้หญิงคนเมื่อกี้หนีไป”

“ไหน ใครทำอะไรที่ไหน ไม่เคย…” เจ้าเอยตีหน้าซื่อสุดฤทธิ์ เรื่องอะไรจะยอมรับง่ายๆ ในเมื่อเขาไม่ได้เห็นหน้าเธอเสียหน่อย

“ผู้ร้ายปากแข็ง!”

“ฉันไม่ได้ปากแข็ง”

“งั้นก็ยอมรับมา ว่าเมื่อกี้เธอเดินชนผม” เจ้าเอยนิ่งไปอึดใจ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองทัน อยากจะยืนยันปฏิเสธอีกก็รู้ว่าไม่เนียน จึงจำต้องยอมรับ

“ใช่! เดินชนแล้วไง”

“ทำไมต้องเดินชน หรือว่า ‘หึง’ ”

เจ้าเอยฉุนกึก ใบหน้าสวยแดงก่ำรู้สึกโกรธมากกว่าอาย คนอย่างเธอนี่นะจะไปหึงคนเจ้าชู้มากเล่ห์อย่างหมอนี่ “ประเมินค่าตัวเองสูงเกินไปหน่อยมั้ง คนอย่างนายจ้างฉันก็ไม่ชายตาแล” พูดจบก็สะบัดหน้าหนี ไม่องไม่เอามันแล้วกุญแจยอมนั่งแท็กซี่กลับยังดีกว่า

เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องเสียหลักจากแรงดึงทางด้านหลัง

“เอ๊ะ!” ตวาดออกมาได้แค่นั้น จู่ๆ ริมฝีปากก็โดนปิดจากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มือ มันอ่อนนุ่มและรุ่มร้อนแถมยังลุกคืบอย่างเอาแต่ใจ

ดวงตากลมโตเบิกโพลงยามรู้ตัวว่าโดนล่วงเกิน สองมือพยายามผลักไสแต่คนตัวโตกว่าตวัดแขนกอดรัดเสียแน่น ริมฝีปากที่ถูกรุกรานรู้สึกเจ็บในตอนแรก ตามมาด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะบรรยาย

รู้ตัวอีกที…สองมือของเธอก็ขยุ้มเสื้อเชิ้ตที่แผ่นหลังของเขาไว้เสียแน่น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น