คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกเข้าของสมาร์ทโฟนเครื่องหรู ควานสะเปะสะปะอยู่ครู่ก็สามารถหยิบติดมือมาจนได้ ด้วยความง่วงงุนจึงไม่ได้ลืมตาดูชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ กระนั้นนิ้วเรียวก็สามารถเลื่อนปลดล็อคได้อย่างชำนิชำนาญ
“เจ้าเอยพูดค่ะ” นิ่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วของปลายสายอยู่ครู่ ก็เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งรู้สึกตื่นเต็มตาทันที “แกว่าไงนะยัยพลอย ข่าวในหนังสือพิมพ์เหรอ” ใจหายวาบแค่ได้ยินคำว่าหนังสือพิมพ์ หรือว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะมีผู้พบเห็น “ฉันยังไม่เห็น ขอเปิดดูก่อนนะ” บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงร้อนรน รีบกดวางแล้วเปิดหาข่าวออนไลน์ทันที
เพียงแค่เปิดเว็บไซต์แรก ก็เห็นพาดหัวข่าวที่โชว์หรา “เซเลบหนุ่ม ‘พระพาย’ นัวเนียสาวกลางลานจอดรถร้านอาหารดัง” ความวิตกกังวลเกาะกุมหัวใจ เฝ้าภาวนาว่า ‘ขออย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อเดือนก่อนเลย’ นิ้วเรียวค่อยๆ กดตามลิงค์เพื่ออ่านข้อความ รูปและข้อมูลที่ค่อยๆ แสดงออกมาทีละนิดๆ ยิ่งทำให้เจ้าเอยหายใจหายคอไม่ออก อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงดูช้ายังกับเต่าคลานทันทียามร้อนใจ
‘ไม่รู้ว่าความรักมันจุกอกจนต้องรีบปลดปล่อยหรืออย่างไร เซเลบหนุ่มจึงไม่สนใจสถานที่ พอลับสายตาผู้คนถึงได้ดึงหญิงสาวปริศนามาจูบแบบไม่อายฟ้าดิน เสียดายที่เห็นแต่เพียงแผ่นหลังของหญิงสาวผู้โชคดีทำให้ยากต่อการคาดเดาว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่เคยตกเป็นข่าวหรือไม่
งานนี้ก็ไม่รู้ว่าคุณพระพายจะว่าอย่างไร จะเปิดตัวคู่ควงคนใหม่หรือไม่ หญิงสาวปริศนาคนนี้เป็นใคร คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด แต่ที่แน่ๆ สาวทั่วประเทศคงอกหักอย่างแน่นอน’
เจ้าเอยอ่านทวนอีกหลายรอบ ให้แน่ใจว่าไม่มีภาพและชื่อของตนในข่าว ดูจนละเอียดดีแล้วจึงค่อยโล่งอก ถ้าเกิดเธอขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในทางเสียหายอีกครั้งน้าดารินคงเล่นงานหนักแน่
“นัวเนียเลยเหรอ พาดหัวเกินไปหน่อยนะยะ” อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะการพาดหัวข่าวของสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ แม้จะอยากดึงดูดผู้อ่านก็ไม่ควรใช้ถ้อยคำรุนแรงขนาดนี้
“เป็นเพราะนาย…” นิ้วเรียวจิ้มรัวๆ ไปยังใบหน้าของคนที่โชว์หราอยู่ในสมาร์ทโฟนอย่างหมั่นไส้ “สมน้ำหน้า ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนดีนัก โดนเองซะบ้าง” จังหวะนั้นเองรูปก็ขยายใหญ่เต็มหน้าจอ “เสนอหน้าเชียว ไม่ต้องมาทำเคลิ้ม” ด่าแล้วหัวใจก็กระตุกเอง ‘เคลิ้มเหรอ’ จู่ๆ ใบหน้าสวยก็เห่อร้อนเหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปนั่นคือใคร
เจ้าเอยพิศมองบุคคลในข่าวอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง ในรูปเห็นแค่เพียงแผ่นหลังที่โดนสองมือใหญ่โอบรัด นอกนั้นก็เป็นเสี้ยวหน้าของเขาที่กำลังหลับตาพริ้ม เห็นเด่นชัดตั้งแต่หน้าผากจนถึงจมูก ส่วนที่เหลือโดนศีรษะของเธอบดบังไว้ทั้งหมด แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจวางสมาร์ทโฟนลงบนเตียง พลิกนอนหงาย สายตามองเหม่อไปยังเพดานสีขาว ความรู้สึกในตอนนั้นเธอยังจำได้เป็นอย่างดี
จูบกระชากวิญญาณจบลงเมื่ออีกฝ่ายยอมผละออก เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดเลือนหายจนต้องอิงซบอยู่กับอกของเขาเพื่อเป็นหลักยึด ลมหายใจหอบแรงราวกับวิ่งมาเป็นร้อยเมตร เนิ่นนานกว่าสติสัมปชัญญะจะกลับแล้วรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สองมือจึงรีบผลักไส กระโดดถอยห่างอย่างรวดเร็ว “แก! ไอ้เป็ดบ้า” มือเล็กจับริมฝีปากตัวเอง อีกมือชี้ไปยังคนที่บังอาจล่วงเกิน “แกจูบฉันอีกแล้วนะ”
“ก็จูบนะสิ คิดว่าพาไปกินข้าวอยู่หรือไง” น้ำเสียงกวนอารมณ์ทำให้ความโกรธยิ่งปะทุ ลืมไปเลยว่าตกเป็นรองขนาดไหน
“ไอ้บ้า ไอ้เป็ดเหลืองบ้า ฉันจะฆ่าแก!” คนโมโหโถมเข้าใส่อย่างลืมตัว เป็นเหตุให้เข้าไปอยู่ในวงแขนของคนที่คอยตั้งรับอย่างพอดิบพอดี
“กรี๊ด! ปล่อยนะ”
“ก็กระโดดเข้ามาเอง เรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆ”
“ไอ้เป็ดบ้า บอกให้ปล่อย!”
“จ้างก็ไม่ปล่อย ยัยกบบ้า…” เหมือนคนตัวโตจะชอบใจนอกจากไม่ปล่อยแล้ว สองแขนยังกอดรัดแน่นขึ้น เท่านั้นไม่พอใบหน้าหล่อยังก้มลงมาขโมยหอมแก้มป่องทั้งซ้ายขวาอย่างย่ามใจ
“กรี๊ด! ไอ้เป็ด ไอ้ลามก ไอ้หื่นกาม ปล่อย!” เจ้าเอยหลบหลีกสุดฤทธิ์ ปากก็พ่นคำไม่สุภาพออกมาเป็นชุด ดีที่แถวนั้นเป็นลานจอดรถที่ค่อนข้างลับตาจึงไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมา
“ไม่ปล่อย จะทำมากกว่านี้อีก ถ้าเจ้าเอยยังไม่หยุดดิ้น” ชื่อเรียกปกติธรรมดาแต่น้ำเสียงแสนอ่อนโยนก็ทำให้คนโดนเรียกหยุดดิ้น แล้วเงยหน้ามองเขา…
คำเรียกที่เธอแทบไม่เคยได้ยินเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา น้ำเสียง สายตาเสมือนพาย้อนกลับไปยังวันวานที่อีกฝ่ายชอบรวบเรียกชื่อตัวเองกับชื่อเธอติดกัน ‘พระพายเจ้าเอย’ เขาบอกว่าดูหวานดี เสมือนเป็นตอนจบหรือจุดสิ้นสุดที่แสนสวยงาม บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่มากกว่าพี่น้อง ยิ่งกว่ามิตรภาพของคนรู้จัก เป็นความสัมพันธ์แปลกใหม่ที่สองหัวใจเพิ่งรู้จักและต้องการที่จะเรียนรู้ไปด้วยกัน
ความรู้สึกของหญิงสาวอายุ 20 ในตอนนั้นช่างมีความสุข สองตาไม่สามารถมองใครได้อีกนอกจากผู้ชายที่ชื่อ ‘พระพาย’ แต่จู่ๆ เขาก็จากไป ทิ้งไว้เพียงตุ๊กตาเป็ดสีเหลืองให้ดูต่างหน้า เธอพยายามหาเหตุผลในการกระทำ ถึงขั้นบินตามไปต่างประเทศก็ต้องผิดหวังกลับมา เขาไม่เพียงไม่สนใจเธอ ยังควงผู้หญิงอื่นให้เห็นต่อหน้า นับตั้งแต่วันนั้นเธอจึงตั้งปณิธานเอาไว้ ว่าจะไม่มี ‘พี่พระพายของน้องเจ้าเอย’ อีกต่อไป
คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ แล้วจิตใจก็พลันหวั่นไหว ความคลุมเครือตลอดห้าปีที่ผ่านมาทำให้หัวใจด้านชาขึ้นทุกที ยิ่งได้ทราบข่าวคราว เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ยิ่งส่งผลให้ความรู้สึกดีๆ สั่นคลอน ชื่อเสียงเรื่องความเจ้าชู้ของเขากระฉ่อนจากอังกฤษมาถึงประเทศไทย สร้างเรื่องฉาวโฉ่ ควงสาวไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอซึ่งไปเรียนต่อมหาลัยเดียวกับเขา ยังถูกพาไปกินตับแล้วทิ้งจนต้องซมซานกลับมาเมืองไทย จะไม่ให้เธอเกลียดเขาได้ยังไง
“อย่าเรียกฉันแบบนั้นอีกเชียว” ดวงตากลมโตวาววับ เค้นเสียงรอดไรฟันออกมาด้วยความโกรธ
“ทำไมล่ะ ก็เรียกแบบเมื่อก่อนไง พระพาย เจ้า…”
“ฉันบอกว่าห้ามเรียก!” ขู่ฟ่อเสียงเขียว ออกแรงดิ้นหนี แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนจะถูกรัดแน่นมากกว่าเดิม
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่ปล่อย เจ้าเอยไม่คิดว่าเรามีเรื่องต้องพูดกันเหรอ”
“ไม่มีอะไรต้องพูด!”
“ก็เรื่องเมื่อห้าปีก่อนไง…” คนพยศหยุดไปชั่วอึดใจ เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่คนถูกมองอ่านไม่ออก
“ไม่! ฉันไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น”
“อย่าดื้อได้ไหม ฟังกันบ้าง…” คนพูดเอ่ยออกมาคล้ายๆ หนักใจ เล่นเอาคนฟังฉุนขาด เท้าเล็กจึงกระทืบลงบนรองเท้าหนังราคาแพงสุดแรง จนคนตัวโตสะดุ้งโหยงจึงอาศัลจังหวะนั้นขยับหนีออกมา
“โอ๊ย! เจ็บนะ เหยียบลงมาได้”
“ไม่ได้เหยียบ เขาเรียกกระทืบ!” สะบัดหน้าหนี ถอยกรูดอย่างระมัดระวังตัว “ห้ามเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีก เข้าใจไหม!” พุ่งเข้าไปผลักร่างสูงใหญ่จมล้มหงาย วิ่งกลับไปยังรถตัวเอง กดสัญญาณปลดล็อค เปิดประตูเข้าไปนั่งภายในอย่างรวดเร็ว มีเสียงเคาะกระจกในเวลาต่อมาหากเจ้าเอยไม่สนใจฟัง สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับหนีทันที
‘ดื้อเหรอ ใครกันแน่ที่ดื้อ ยามเธอต้องการคำอธิบายเขาไม่เคยมีให้ ตอนนี้ทำไมเธอต้องฟัง’
ดวงตากลมโตตวัดมองไปยังเป็ดเหลืองที่นั่งทำหน้าบ้องแบ๊วอยู่ข้างหมอน ยังกรุ่นโกรธกับสิ่งที่ย้อนเข้ามาในความทรงจำไม่หายจนต้องหาที่ระบาย คว้าหมับไปยังคอเจ้าเป็ดตัวปัญหา “ไอ้เป็ดเหลืองบ้า กล้าจูบฉันเหรอ ไอ้โรคจิต ไอ้ลามก ตายซะเถอะ!” แล้วเจ้าตุ๊กตาเป็ดตัวน้อยก็ถูกขยำขยี้จนหัวสั่นหัวคลอน “อย่าเรียกฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีกนะ” สุดท้ายก็จบลงตรงที่ต้องลอยละลิ่วไปกระทบผนังแล้วหล่นตุบลงกองอยู่กับพื้นอย่างที่เคยเป็นบ่อยครั้ง
หลังจากระบายอารมณ์ใส่ตุ๊กตาเป็ดจนปลอดโปร่งโล่งสบาย ก็โดนรตากับพลอยไพลินโทรมาซักถามเกี่ยวกับข่าวคาว เมื่อคืนหลังจากกลับมาถึงบ้านเจ้าเอยได้โทรไปซักถามเรื่องของนิมมานกับเพทายจนรู้ว่าเพื่อนทั้งสองถึงบ้านโดยปลอดภัยก็รีบวางโดยไม่ได้เล่าอะไรต่อ เป็นเหตุให้ต้องถูกไล่บี้แต่เช้า จึงรีบบอกปัดว่าให้มาเจอกันตอนเย็นค่อยเล่ารอบเดียว สองสาวรีบรับปาก จากนั้นเจ้าเอยจึงเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เตรียมตัวเข้าไปเรียนรู้งานของโรงแรมในวันนี้
เดินฮัมเพลงมาจากชั้นสองของบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วท่วงทำนองก็เป็นอันสะดุดเมื่อสายตาบังเอิญไปสบเข้ากับน้าดารินกับป้าศรีนวล คนทั้งสองจ้องเขม็งราวกับจับผิด บรรยากาศจึงเริ่มอึมครึมคลับคล้ายคลับคลากับที่เคยเกิดขึ้นกับเธอเมื่อเดือนก่อน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทำไมดูเครียดกันจัง”
“เห็นข่าวหรือยัง…” น้ำเสียงของน้าสาวทำให้ขนกายอ่อนๆ ลุกหือ หรือว่าจะมีภาพอื่นที่นอกเหนือจากที่เห็นในเว็บไซด์ข่าวออนไลน์
“ข่าวอะไรเหรอคะ” ทำใจดีสู้เสือย้อนถามกลับ น้าสาวเลยลุกเดินมาหาพร้อมกับยื่นหนังสือพิมพ์ให้
“อ่านดูสิ” เจ้าเอยรับมาถือไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใจระทึกยามกวาดสายตามองภาพข่าว แล้วก็เหมือนโลกที่มัวหม่นพลันสว่างไสว ไม่มีรูป ไม่มีชื่อเธอ เนื้อหาข่าวก็เหมือนกับที่อ่านก่อนหน้านี้
“ทำไมคะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็แค่ข่าวซุบซิบธรรมดา”
“ไม่ธรรมดาค่ะ นั่นรูปคุณพระพาย คุณหนูจำไม่ได้เหรอคะ” แม่บ้านใหญ่เดินมาขนาบข้าง จับหนังสือพิมพ์กางออกให้เห็นแบบชัดๆ
“แล้วไงคะ ยิ่งปกติใหญ่เลยตั้งแต่หมอนั่นกลับมายังไม่เห็นมีวันไหนที่ว่างเว้นจากหน้าหนังสือพิมพ์เลยสักวัน” เจ้าเอยยักไหล่ไม่ยี่หระ เป็นเรื่องจริงที่ตั้งแต่พระพายกลับมาจากอังกฤษสื่อทุกแขนงก็เล่นข่าวแทบทุกวัน จะทำอะไร ที่ไหน กับใครก็เป็นข่าวหมด
“คุณหนูว่าไม่แปลกเหรอคะ แต่ป้าว่าแปลกนะคะ เพราะชุดที่ผู้หญิงในรูปใส่เหมือนชุดของคุณหนูที่ใส่เมื่อคืนเลยค่ะ” เจ้าเอยตัวเย็นวาบ เงยหน้ามองน้าสาวกับแม่บ้านสูงวัยสลับไปมาอย่างตื่นตระหนก
“เหมือนเหรอคะ” ดวงตากลมโตลอกแลก แก้ตัวอึกๆ อักๆ “ป้าศรีนวลจำผิดแล้วค่ะ เอยไม่มีชุดแบบนี้เสียหน่อย”
“ไม่ผิดค่ะ ป้าจำได้ คุณหนูใส่ชุดลายนี้ สีนี้เมื่อวานจริงๆ เหมือนราวกับเป็นชุดเดียวกัน”
“ไม่ใช่นะคะ”
“งั้นเดี๋ยวป้าขึ้นไปหยิบมาดีกว่า จะได้เทียบชัดๆ ไปเลย” คนมีชนักปักหลังผวาเข้าขวางเมื่อป้าสูงวัยทำท่าจะเดินขึ้นไปชั้นบนจริงๆ “โธ่! ป้าคะ ชุดมันก็คล้ายๆ กันหมดนั่นแหละ”
“แต่ป้ามั่นใจ อีกอย่างผู้หญิงในรูปนี้ ดูๆ ไป ทั้งหุ่น ทั้งรูปร่างก็เหมือน…”
“เอยไปทำงานดีกว่าค่ะ เพิ่งไปวันแรกด้วยไม่อยากสาย” เจ้าเอยไม่รอให้ถูกซักฟอกต่อ รีบชิ่งหนีเอาตัวรอด ส่วนเหตุผลที่อ้างมาจะเนียนหรือไม่เนียนค่อยว่ากันอีกที
ผู้สูงวัยทั้งสองมองตามหญิงสาวที่จ้ำอ้าวออกไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พวกเธอเลี้ยงเจ้าเอยมาแต่อ้อนแต่ออก เห็นแค่เส้นผมยังจำได้ นับประสาอะไรกับแผ่นหลัง
“ทำยังไงต่อดีคะ ป้าไม่สบายใจเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันกับลัลนาจัดการเรื่องนี้เอง” สีหน้าดารินเรียบนิ่ง แม้การตัดสินใจครั้งนี้จะคล้ายๆ กับบังคับฝืนใจ แต่เธอคงปล่อยให้หลานสาวเป็นข่าว (คาว) ต่อไปไม่ได้อีก
เจ้าเอยกลับเข้าห้องประจำตำแหน่งในสภาพหมดเรี่ยวแรง การศึกษาดูงานวันแรกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ละแผนกต่างพาไปดูนั่นดูนี่ซะจนคนไม่เคยจับงานด้านการโรงแรมมาก่อนรับแทบไม่ทัน จัดแจงวางแฟ้มเอกสารและสัมภาระที่หอบหิ้วกลับมาลงบนโต๊ะ สะบัดแขนด้วยความเมื่อยล้าแล้วทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ ดวงตากลมโตที่เคยเจอแต่เสียงแฟลช แสงไฟปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน นานจนเสียงนาฬิกาข้อมือดังขึ้นถึงได้ลืมตา ยังจำได้ว่าเย็นนี้มีนัดกับสองสาวเพื่อนรักจึงไม่มีเวลาโอ้เอ้แม้จะยังเกียจคร้านอยู่ก็ตาม
ลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเพื่อเรียกความสดชื่น ลงเครื่องสำอางใหม่แบบไม่พิถีพิถันอะไรมาก สำรวจความเรียบร้อยเสร็จก็หยิบกระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้อง แต่ประตูก็ถูกเปิดเสียก่อน เป็นน้าสาวที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตามมาด้วยเพื่อนสนิทของคุณน้าที่มีสีหน้ากังวล ปิดท้ายด้วยคนที่เธอเกลียดขี้หน้าที่สุด ‘พระพาย’
เจ้าของห้องมองแขกทั้งสามด้วยความรู้มึนงง เห็นท่าทีของแต่ละคนแล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ “เอ่อ มีอะไรกันหรือเปล่าคะ ทำไมมากันซะพร้อมหน้าพร้อมตา”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน ยาว…” น้ำเสียงห้วนๆ ของน้าสาวยิ่งสุมความกังวลให้มากขึ้น ถึงจะคาดเดาไม่ออกเรื่องที่ต้องคุยคืออะไร แต่สถานการณ์แบบนี้เธอไม่อยากอยู่ร่วมด้วยสักนิด
“แต่เอยมีนัดนะคะ”
“ยกเลิกให้หมด ยังไงวันนี้เราก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” ขยับหนีเมื่อน้าสาวไม่สนใจฟังเหตุผล เดินลิ่วตรงไปยังโซฟาตัวยาว โดยมีน้าลัลนากับบุตรชายตามไปติดๆ
“เดี๋ยว!” คว้าหมับไปดึงแขนเสื้อคนเดินปิดท้าย รั้งเบาๆ ให้อีกฝ่ายขยับห่างออกมา “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพากันมาห้องฉันแบบนี้” กระซิบถามด้วยความใคร่รู้ สายตาก็คอยมองไปยังคุณน้าอย่างหวาดระแวง
“เกิดเรื่อง…” พระพายตอบแค่นั้น ก่อนจะตวัดมือดึงแขนเธอให้เดินเข้าไปสมทบกับผู้สูงวัยทั้งสองแทน เล่นเอาคนถามตาโตกับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ปากอยากจะตะโกนต่อว่าคนกวนอวัยวะเบื้องล่างใจแทบขาด หากทำอะไรไม่ได้เนื่องจากโดนสายตาของน้าสาวจ้องเขม็งอยู่ จึงจำต้องเดินตามไปสมทบอย่างไม่อาจหลีกเหลี่ยง
“เอาล่ะ! เข้าเรื่องกันสักที” เสียงของดารินทำเอาเจ้าเอยสะดุ้ง หันไปสบตาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คำว่า ‘เข้าเรื่อง’ ทำให้ขนอ่อนๆ ในกายพากันลุกฮือ แอบคาดเดาไปต่างๆ นานา หากกังวลอยู่เพียงเสี้ยววิก็กระจ่างเมื่อหนังสือพิมพ์วางตุบมาตรงหน้า เป็นฉบับที่มีข่าวของพระพายกับหญิงสาวปริศนา(ซึ่งคือเธอเอง) เจ้าเอยค่อยโล่งใจ ถ้าเป็นเรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับเธอ
ตั้งท่าจะแย้งแต่แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อสองเดือนก่อนก็วางตุบลงมาอีกหนึ่งฉบับ ปากที่อ้าค้างจึงจำต้องหุบปากโดยพลัน
“มีอะไรจะพูดไหม” เจ้าเอยฝืนกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ รีบคิดหาทางออกอย่างรีบเร่ง สงสัยต้องงัดคำแก้ตัวของเมื่อสองเดือนก่อนมาใช้อีกครา โดยการอ้างชื่อเพื่อนชายสักคน ส่วนข่าวของพระพายหมอนั่นคงเอาตัวรอดได้ ยังไงเขาก็ไม่ชอบขี้หน้าเธอพอๆ กับที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเขา คงไม่อุตริตัดอนาคตตัวเองโดยการบอกความจริงแน่ๆ
“โธ่! คุณน้าคะ เรื่องนี้เราคุยกันเองก็ได้ ไม่เห็นต้องพาคุณน้าลัลนากับไอ้…เอ่อ คุณพระพายมาเลย ยังไงก็เรื่องในครอบครัว”
“ไม่ได้หรอกจ๊ะ คนของน้าก็ผิดยังไงก็ต้องรับผิดชอบ”
“ไม่ต้องรับ…คะ!” เจ้าเอยตาโตทันทีที่จับใจความได้ ลางสังหรณ์ในทางเลวร้ายเริ่มทำงานอีกครา “รับผิดชอบอะไรกันคะ ข่าวของเอยกับของหมอนี่ไม่เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย” คนตกเป็นข่าวแก้ตัวเสียงระรัว ในใจเริ่มวางแผนเป็นฉากๆ “ผู้ชายในรูปเป็นเพื่อนเอยเองค่ะ นนท์ไงคะ คุณน้าก็รู้จัก” รังสีแห่งความไม่พอใจดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม นอกจากจะแผ่มาจากดารินแล้ว ยังแผ่มาจากใครอีกคนที่นั่งเงียบอยู่ด้วย “วันนั้นเอยบังเอิญไปเจอนนท์ ก็เลยทักทายกันนิดหน่อย ไม่มีอะไรเกินเลยกว่าที่เห็นจริงๆ ค่ะ”
“พอได้แล้ว เจ้าเอย!” เสียงกร้าวของน้าสาวทำให้คนปั้นน้ำเป็นตัวสะดุ้งโหยง ทว่ายังไม่วายหาหนทางเอาตัวรอดต่อ
“คุณน้าคะ เอย…”
“น้าบอกให้พอไง” เจอของจริงเข้าไปคนอยากแก้ตัวก็ถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่เคยเห็นน้าสาวเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน
“น้าคงตามใจเราซะเคยตัวสินะ พูดอะไรน้าก็เชื่อไปหมด ถึงได้กล้าปั้นน้ำเป็นตัวขนาดนี้” คนโดนจับได้หายใจติดขัดไปชั่วขณะ ก้มหน้าเงียบๆ หลบซ่อนความละอาย น้ำตาปริ่มจะไหลยามเห็นผู้เลี้ยงดูแสดงท่าทีผิดหวัง
“ใจเย็นๆ กันดีกว่า ทั้งดาริน ทั้งหนูเจ้าเอยนั่นแหละ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน” ลัลนายื่นมือไปบีบมือเพื่อนสนิทเบาๆ ให้ผ่อนคลาย ก่อนจะหันมาทางหญิงสาวที่นั่งคอตกอยู่ถัดไป
“น้าสองคนรู้ความจริงหมดแล้ว ทั้งข่าวของหนูเมื่อสองเดือนก่อนและข่าวของพระพายเมื่อเช้า เราจึงคุยกันว่าลูกชายของน้าต้องรับผิดชอบ”
เจ้าเอยเอยอ้าปากค้างกับความจริงที่ตรงเข้ามากระแทกใจ คำว่า ‘รู้ความจริงหมดแล้ว’ ทำให้ความหวังที่จะเอาตัวรอดลดฮวบ ผลที่ตามมาดูจะรุนแรงเกินการควบคุมเสียด้วย
“ไม่เห็นมีอะไรต้องรับผิดชอบนี่คะ แค่เรื่องเข้าใจผิดเองค่ะ” ปัดป้องเสียงแข็งกับคำว่า ‘รับผิดชอบ’ ของน้าลัลนา “ไม่ได้หรอกจ๊ะ หนูเจ้าเอยเป็นฝ่ายเสียหาย…”
“แต่เรื่องข่าวของหนูมันเงียบไปตั้งนานแล้วนะคะ เราก็ไม่ควรจะพูดถึงมันอีก”
“แล้วข่าวเมื่อเช้าล่ะจ๊ะ” คนมีชนักสะดุ้ง หากยังไม่วายแถต่อ
“ข่าวเมื่อเช้า ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นหนู เพราะฉะนั้น…”
“แน่ใจได้ยังไง ว่าไม่มีรูปอื่นอีก” เป็นเสียงของน้าสาวที่แทรกขึ้นมา ซึ่งความจริงข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่คนก่อเรื่องลืมนึกถึงไปเสียสนิท “จูบกันในที่โล่งแจ้งซะขนาดนั้น รู้ได้ยังไงว่าจะมีแค่รูปเดียว” ถ้อยคำแดกดันและน้ำเสียงกรุ่นโกรธทำให้จำต้องสงบปากสงบคำ หันไปหาทางรอดเดียวที่น่าจะช่วยได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ‘ตัวต้นเหตุ’
ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังคู่กรณี อยากให้เขาแก้ตัวหรือพูดอะไรบ้างแทนการเงียบเฉย ปล่อยให้เธอจัดการอยู่คนเดียว หากแทนที่เขาจะทำดั่งหวังกลับเมินหน้าหนี ทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งสงบเสงี่ยมสร้างภาพเป็นผู้ชายดีๆ ต่อหน้ามารดากับคุณน้าของเธอซะงั้น เจ้าเอยแทบอยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอเขย่าๆ เหมือนดั่งที่ทำกับตุ๊กตาเป็ดเหลืองนัก
“น้าจะให้เราสองคนแต่งงานกัน!” สายตาที่ส่งไปฟาดฟันคู่กรณีตวัดขวับเมื่อได้ยินคำประกาศกร้าวของน้าสาว
“อะไรนะคะ!”
“เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอีก น้าจำเป็นต้องให้เธอสองคนแต่งงานกัน”
“ไม่นะคะคุณน้า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองทำไมถึงกับต้องดับอนาคตเอยด้วยคะ”
“แต่งงานกับผมมันดับอนาคตคุณตรงไหนไม่ทราบ” ในที่สุดคนที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากแต่ดันพูดในสิ่งที่ไม่ควรเสียนี่ เจ้าเอยอยากจะตอกกลับเสียจริงว่าถ้าอ้าปากเพื่อจะพูดอะไรแบบนี้ ก็นั่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเดิมไปดีกว่า
“นั่นสิจ๊ะ เป็นลูกสะใภ้บ้านน้าไม่ดีตรงไหน บอกน้าหน่อยสิ”
เจ้าเอยเสมือนโดนรุม หันมองหน้าคุณน้าทั้งสองด้วยความอึดอัด “ไม่ใช่ไม่ดีหรอกค่ะ คนเราจะแต่งงานกันต้องเริ่มต้นด้วยความรักไม่ใช่เหรอคะ แต่เอยกับหมอนี่…”
“แต่งๆ กันไปก็รักกันเอง” คำพูดของน้าดารินชัดเจนเสียจนเจ้าเอยอยากลุกมาตีโพยตีพาย ชักดิ้นชักงอลงกับพื้นเหมือนตอนเป็นเด็ก ทว่าบัดนี้เธอโตแล้วจึงทำได้แค่หาเหตุผลมาโต้แย้ง “แต่มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะคะ คุณน้าจะมาบังคับเอยแบบนี้ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ น้าตามใจเธอมาตั้งเท่าไหร่ จะทำงานในวงการก็ให้ทำ จะเที่ยวเตร่ จะเข้าสังคมอะไรยังไงก็ไม่เคยว่า ข่าวลือซุบซิบบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยถาม ไม่ใช่เพราะน้าไว้ใจ เชื่อใจหรือไง แล้วดูสิ่งที่เธอทำกับน้าสิ ถ้ามีข่าวอื่นๆ หรือรูปอื่นๆ ออกมาอีกน้าจะทำยังไง ไหนจะความน่าเชื่อถือในธุรกิจบ้านเราอีก” เสียงของผู้เป็นน้าสาวสั่นเครือ คล้ายจะสะกดกั้นหยดน้ำตาไว้ยากเต็ม
“เธอโตแล้วนะเจ้าเอย โตพอที่จะเลิกเที่ยวเตร่หันมารับช่วงธุรกิจต่อได้แล้วแต่นี่อะไร นอกจากจะปิดหูปิดตาไม่สนใจงานการ ยังสร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน” คำพรั่งพรูจากความอัดอั้นตันใจของผู้เลี้ยงดูทำให้เจ้าเอยน้ำตาซึม ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างดื้อดึง
“งั้นเอยจะเลิกรับงานในวงการบันเทิง ไม่เที่ยวเตร่ จะเข้ามาดูแลกิจการอย่างจริงจัง แต่เรื่องแต่งงาน…”
“ยังไงก็ต้องแต่ง!” คำพูดดักคอของน้าสาวทำให้คนพยายามหาทางออกถึงกับสะอึก แทบจนปัญญาที่จะหาทางรอด
“เอยขอคุยกับเขาก่อนได้ไหมคะ” ปรายตามองไปยัง ‘เขา’ ที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าใคร “คุณน้าคงไม่อยากให้งานแต่งงานของเอยเป็นเหมือนรตาใช่ไหมคะ” ยกเหตุผลที่ทุกคนต่างรู้ต้นสายปลายเหตุมาเป็นเครื่องต่อรอง ซึ่งคราวนี้เป็นคุณน้าทั้งสองที่พูดไม่ออก
ความเงียบเสมือนเป็นคำตอบว่าอนุญาต เจ้าเอยจึงลุกขึ้น ผายมือเชิญคนต้นเหตุให้เดินน้ำหน้า พาออกมาจากห้องไปยังห้องประชุมเล็กที่อยู่ข้างๆ เพียงแค่ประตูปิดลงเสียงกรีดร้องก็ดังลั่น เจ้าเอยปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจแบบเต็มสตรีม ก่อนจะตวัดสายตาไปยังคู่กรณี
“นายจะบ้าหรือไง ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง”
“ก็จะให้พูดอะไรล่ะ” พระพายถอนหายใจ ก้าวเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่งของห้องประชุม
“พูดอะไรก็ได้ หาข้ออ้างมาสิ ไม่อยากแต่ง มีคนรักอยู่แล้วหรืออะไรก็ว่าไป ไม่ใช่เอาแต่นั่งเงียบอยู่แบบนี้” คนฉุนขาดเดินไปเดินมาราวกับเสือติดจั่น
“คิดว่าก่อนที่ผมจะเดินตามแม่กับน้าของคุณมานี่ ผมไม่พูดอะไรเลยหรือไง” สองขาที่เดินไปมาชะงักกึก หันมองไปทางเขาแบบเต็มๆ ตา
“ผมก็ทำทุกอย่างที่คุณทำนั่นแหละ แต่ก็จนมุมอยู่ดี…” สีหน้าคนพูดดูเคร่งเครียดซะจนเจ้าเอยสัมผัสได้ ในใจที่โกรธเกรี้ยวเมื่อครู่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดแปลกๆ ใช่สิ! เขาไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเธอนี่นา ที่จูบไปสองครั้งก็แค่ ‘เอาคืน’ ที่โดนอาละวาดใส่ ส่วนจูบสมัยเด็กๆ นั้นก็แค่กลั่นแกล้ง
“คิดว่าผมอยากแต่งงานกับยัยกบอ้วนขี้แยนักหรือไง” คนโดนว่าอ้วนแถมขี้แย หันขวับด้วยความโมโห ถ้อยคำล้อเลียนสมัยเด็กเป็นดั่งปมด้อยซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกที่ล้อ ก็เขาคนเดียวนั่นแหละ เธอร้องไห้จ้าหลังจากโดนเขาขโมยจูบตอนแปดขวบ หลังจากนั้นยังโดนแซวว่าชุดเจ้าหญิงสีชมพูที่ใส่ไป ดูกลมซะจนมองเผินๆ คล้ายกับการ์ตูนหมูสีชมพูที่กำลังฮิตในตอนนั้น กว่าจะเลิกแซวก็ปาไปตอนเธออายุ 15 หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มดีขึ้นจนถึงขั้นกลมเกลียวถึงขั้นมีพี่พระพายที่ไหนก็มีน้องเจ้าเอยที่นั่น ก่อนทุกอย่างจะมาจบลงตอนเธออายุยี่สิบ
“คิดว่าฉันอยากแต่งงานกับคนเจ้าชู้ ลามก ควงสาวไม่เลือกอย่างนายนักหรือไง” เจ้าเอยเชิดหน้าสู้ เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “เป็นโรคติดต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้…”
“ถึงผมจะมั่วก็ระมัดระวังตัวนะครับ ยืดอกพกถุงตลอด”
“อี๊! ไอ้เป็ดบ้า” คนเริ่มก่อนหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว สองเท้าขยับถอยห่าง “พูดได้ไม่อายปาก”
“ทำไมต้องอายก็เรื่องจริง” พระพายผุดลุกขึ้นบ้าง ยื่นหน้าเข้าไปหาคนปากดีจนต้องถอยกรูด “หรือว่าไม่เคย…”
“ไม่เคยอะไร” แม้จะตกเป็นรองก็ยังไม่วายสงสัยกับคำพูดกำกวม สมองสาวเวอร์จิ้นยังคงตามไม่ทันในเรื่องสัปดน
“ก็เคย…” แทนคำตอบพระพายกลับใช้สายตากวาดมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังหยุดจ้องเฉพาะส่วนอีก เจ้าเอยจึงเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
“กรี๊ด! ไอ้เป็ดบ้า ไอ้ลามก” หมัดตรงพุ่งออกไปเต็มแรง เป็นเหตุให้คนตัวโตผงะหงาย เซถลาไปหลายก้าว ยกมือกุมเป้าตาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย! ยัยกบป่าเถื่อน”
“สมน้ำหน้า ไอ้เป็ดหื่น!”
“คำก็หื่น สองคำก็ลามก ดี! งั้นแต่งๆ ไปนี่แหละ จะได้พิสูจน์ไปเลยว่า ‘หื่น’ กับ ‘ลามก’ จริงหรือเปล่า” คนเจ็บตัวทำท่าจะเดินออกไปด้วยความฉุน เจ้าเอยจึงต้องถลาไปขวาง น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง ถ้าขืนพระพายไปบอกว่าอยากแต่งงานอีกคนคงหมดหนทางรอดมากกว่าเดิม
“เดี๋ยว!” คนโดนเรียกปรายตามอง เห็นสาวเจ้าพะว้าพะวัง ก็ทำท่าจะก้าวออกไปอีก
“ขอโทษ…”
“ขอโทษอะไร” คนเหนือกว่าได้ทีเล่นแง่เอาบ้าง
“ขอโทษที่ว่านายหื่น”
“แล้ว…”
“ลามกด้วย”
“หือ…”
“ขอโทษที่ว่านายลามก”
“แล้ว…” เจ้าเอยตวัดตามองอย่างไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายไม่พอใจเสียที พอเขาตั้งท่าจะเดินออกไปอีก ก็จำยอมต้องขอโทษอีก
“ขอโทษที่ชก ขอโทษทุกอย่างนั่นแหละพอใจหรือยัง” พระพายยิ้มรื่น ยื่นมือไปหยิกแก้มคนที่กำลังหน้างอง้ำส่ายไปมา
“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะน่ารัก…” คนโดนชมว่าน่ารักฮึดฮัด ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ ‘ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เป็ดเหลือง รอให้จัดการเรื่องแต่งงานจบไปก่อน ได้มีการสังคายนาครั้งใหญ่แน่!’
ความคิดเห็น |
---|