พระพายเจ้าเอย :: ตอนที่ 8
การเจรจากับพระพายจบลงด้วยความล้มเหลว เจ้าเอยแทบอยากจะบ้าตายเมื่อข้อเสนอร้อยแปดที่สรรหามาเป็นทางออกถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ให้เขาโกหกว่ามีแฟนแล้ว เป็นเก้งกวางหรือแม้แต่ยุให้หนีจากการคลุมถุงชน
“ให้ไปบอกแม่ว่าผมเป็นเกย์นี่นะ ฝันไปเถอะ!”
“ก็แค่เรื่องโกหก จะคิดมากทำไมถ้าไม่ได้เป็น” เจ้าเอยพยายามหว่านล้อมอย่างสุดความสามารถ ผลที่ได้ก็คือคำพูดง่ายๆ สั้นๆ
“ไม่ทำ! อยากทำก็ทำเอง”
“ฉันจะทำได้ยังไง อยู่บ้านกับคุณน้าทุกวัน ไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถรับส่งเกือบตลอด โกหกไปใครจะเชื่อ เมื่อกี้ฉันก็โกหกจนหน้าแตกยับไปแล้วไม่เห็นหรือไง”
“เห็น! ก็ยังสมน้ำหน้าอยู่”
“นี่นาย!”
“ก็ใครใช้ให้ไปโกหกว่าจูบกับไอ้คนที่ชื่อ ‘ชานนท์’ นั่นล่ะ คนที่เธอจูบด้วยมันฉันชัดๆ” พระพายเน้นชื่อหนักๆ ตรงบุคคลที่หญิงสาวยกขึ้นมาอ้าง “เพื่อนก็มีตั้งเยอะแยะทำไมต้องเจาะจงคนนี้ด้วยก็ไม่รู้” พึมพำอย่างอารมณ์เสียยามนึกถึงหน้าหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของหญิงสาว ก็เพราะหมอนั่นนั่นแหละที่ทำให้ความตั้งใจเมื่อห้าปีก่อนของเขาล้มครืน
แต่คนไม่ทันฟังหาได้รู้ถึงความไม่พอใจไม่ ยังกระฟัดกระเฟียดหาเรื่องคนตรงหน้าต่อ “โอ๊ย! แล้วฉันจะพูดความจริงให้ตัวเองเดือดร้อนทำไมยะ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางเคยได้ยินไหม”
“แล้วเป็นได้ไหมล่ะ ไอ้ปีกกับหางน่ะ” เจอคำยอกย้อนเข้าไปเจ้าเอยก็ส่งค้อนตาคว่ำ หมดความอดทนกับการเจรจา เดินจ้ำพรวดๆ กลับมายังห้องทำงานทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกคนจะเดินตามมาหรือไม่ ในเมื่อการเจรจาล้มเหลวก็ยังเหลืออีกแค่วิธีเดียวที่นึกออก คือ ‘ถ่วงเวลา’
“เป็นยังไง ตกลงกันได้แล้วใช่ไหม น้ากับดารินคุยกันแล้วนะ เราจะกำหนดวันแต่งให้เร็วที่สุด” ถ้อยคำต้อนรับของส่งผลให้ริมฝีปากบางเม้มแน่น แม่ของพระพายดูจะยินดีปรีดาออกนอกหน้า ส่วนน้าดารินก็ยังรักษาเชิงด้วยการนั่งเงียบ คงรู้ทันกระมังว่าหลานสาวยังไม่หมดฤทธิ์ง่ายๆ
“คุณน้าลัลนาขา…” เจ้าเอยพุ่งเป้าไปยังแม่ของคู่กรณีแทนที่จะเป็นน้าสาว ทรุดนั่งลงกับพื้น ยื่นมือไปจับขาผู้สูงวัย กระพริบตาปริบๆ อย่างออดอ้อน
“ว่าไงจ๊ะหนูเจ้าเอย อยากได้งานแต่งแบบไหนบอกได้เลยนะ น้าทุ่มเต็มที่สำหรับสะใภ้เดชาธรคนนี้” มือที่เหี่ยวย่นตามวัยยื่นไปลูบกลุ่มผมดกดำของหญิงสาวที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย พลางนึกสะท้อนใจ ‘ถ้าครั้งนั้นเธอไม่ขัดขวาง อะไรๆ ก็คงไม่ยุ่งยากแบบนี้’
“เอยขอเวลาได้ไหมคะ”
“เวลาอะไรคะ เวลาในการเตรียมชุดหรือลูก”
“เอยอยากได้เวลาพิสูจน์ค่ะ” คิ้วบางของผู้สูงวัยขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันมองไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ ไม่ลืมปรายไปยังคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วย ภาวะหนักใจเกิดขึ้นทันทีที่เห็นสายตาท่าทางยามเผลอของลูกชาย ‘สีหน้าเศร้าๆ ของคนที่ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า’
“หนูเจ้าเอยจะพิสูจน์อะไรคะ หนูกับพี่พระพายก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา” เจ้าเอยเม้มปากแน่น ถ้าเป็นตอนที่ความสัมพันธ์แนบแน่นดั่งก่อน คงไม่ต้องการเวลาเหมือนตอนนี้
“คนจะแต่งงานกัน ต้องรักกันไม่ใช่เหรอคะ”
ลัลนาปรายสายตาไปทางลูกชายแวบหนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ก็ถ้าเจ้าตัวเขายังไม่ยอมรับความจริง เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่าม สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มไปหาหญิงสาวตรงหน้า “หนูเจ้าเอยจะพิสูจน์ยังไงล่ะลูก บอกน้าสิ…”
คนสร้างเงื่อนไขใจชื้นขึ้นเมื่อน้าลัลนาดูท่าจะใจอ่อน เข้าอกเข้าใจเธอมากกว่าทุกคน จึงบอกสิ่งที่คิดออกไปทันที “เอยขอเวลาหนึ่งปีเพื่อพิสูจน์ค่ะ ว่าเราจะไปด้วยกันได้ไหม”
“หนึ่งปี!” ไม่ใช่แค่เสียงอุทานของลัลนาคนเดียว รวมอีกสองคนที่อยู่บริเวณนั้นด้วย
เจ้าเอยไม่แปลกใจนักกับเสียงอุทานของน้าดารินกับน้าลัลนา หากอีกเสียงของคนที่ถูกจับแต่งงานกับเธอนี่สิ ทำไมต้องตกใจด้วย
ใบหน้าสวยที่จ้องเขม็งทำให้พระพายเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงท่าทีไม่สมควร จึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติร่วมเออออไปกับยัยตัวร้าย “ดีครับ! ผมก็ไม่อยากแต่งเหมือนกัน”
พอได้รับคำยืนยันแบบเสียงดังฟังชัด แทนที่คนสร้างเงื่อนไขจะดีใจกลับคล้ายว่าลมหายใจสะดุด “เห็นไหมคะคุณน้า การแต่งงานต้องยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายแต่นี่เราสองคนไม่ได้สมัครใจเลยนะคะ” น้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่อ่อนลงตามไปด้วย หากยังไม่วายยืนยันเจตนารมณ์เดิม
“นะคะคุณน้าลัลนา ให้เวลาเราหนึ่งปีนะคะ” เจ้าเอยรุกคืบเมื่อเห็นเปอร์เซ็นการเป็นไปได้สูงขึ้น แต่ความหวังก็ดับวูบด้วยน้ำมือน้าสาวของตนเอง
“ต้องแต่ง!”
“คุณน้า…” เจ้าเอยผินหน้ามาทางคนยื่นคำขาด กระพริบตาปริบๆ อย่างขอความเห็นใจ
“เลิกอ้อนได้แล้ว ต่อให้ลัลนายอมน้าก็ไม่ยอมหรอก คิดว่าหาข้ออ้างร้อยพันขึ้นมาแล้วน้าจะใจอ่อนเหรอ ทำเรื่องเสื่อมเสียกันซะขนาดนี้”
“แต่คุณน้าคะ” เจ้าเอยดวงตาที่แดงก่ำ เหตุผลสุดท้ายที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ไม่อาจยอมรับได้จริงๆ “เขาเป็นคนเจ้าชู้ คุณน้าไม่กลัวว่าเขาจะเป็นอย่างคุณพ่อเหรอ เอยไม่อยากมีจุดจบเหมือนคุณแม่นะคะ”
น้ำตาและเสียงสะอื้นแผ่วเบาทำให้ดารินสะท้อนใจ ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่รู้ว่าหลานสาวรู้สึกยังไง ‘คนเจ้าชู้’ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนอยากหนีให้ห่าง แม้แต่ตัวเธอเองก็ประสบพบเจอจนเกือบเอาตัวไม่รอด ก็ปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ
“ก็ได้ น้าจะให้เวลา…” เจ้าเอยเงยหน้าทั้งน้ำตา เสมือนความหวังเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง “สามเดือน ถ้าพวกเธอเข้ากันไม่ได้จริงๆ งานแต่งเป็นอันยกเลิก”
“สามเดือน! แต่คุณน้าคะ สามเดือนมัน…”
“แค่นี้เจ้าเอย น้าให้เวลาพวกเธอแค่นี้” ดารินเหมือนจะบอกหลานสาว หากสายตามองเลยไปคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ‘สามเดือนคงเพียงพอสำหรับโอกาสที่หยิบยื่นให้ใครบางคน’
“ก็ได้ค่ะ สามเดือนก็สามเดือน” เจ้าเอยรับคำเสียงเบา ถึงจะน้อยนิดแต่ก็ยังพอต่อความหวัง
“สามเดือนที่ได้ไป พวกเธอต้องสานสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง ห้ามนอกใจ ห้ามมีกิ๊กหรือทรยศหักหลังกันอย่างเด็ดขาด ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น การแต่งงานเป็นอันยกเลิก”
“ค่ะ” เจ้าเอยรับคำเสียงหนักแน่น แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ หนทางที่จะเป็นอิสระดูง่ายขึ้นราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก็แค่…เธอไปหาผู้ชายสักคนมาควง ก็ถือว่า ‘เกมส์โอเวอร์’
“ถ้าใครทำผิดเงื่อนไข หุ้นที่มีอยู่ในมือต้องตกเป็นของอีกฝ่ายทันที”
“คะ!” ดวงตากลมโตเบิกโพลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา ดอกไม้ที่โปรยเส้นทางเมื่อครู่กลายเป็นขวากหนามในบัดดล
“แต่หมอนั่น เอ่อ คุณพระพายไม่ได้มีหุ้นในโรงแรมของเรานี่คะ” ย้อนถามเสียงหลง เธอไม่ได้งกในทรัพย์สินเงินทองแต่ถ้าจะยอมให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นง่ายๆ ก็ไม่มีทาง
“พระพายกับลัลนามีหุ้นอยู่ในโรงแรมของเรารวมๆ แล้วก็เท่ากับของเจ้าเอย” คนได้ฟังอ้าปากค้าง หันขวับไปทางคนที่เธอเพิ่งรู้ว่าเป็น ‘หุ้นส่วน’
“เท่าเอย...เหรอคะ” ทวนถามหน้าตาตื่น พอน้าสาวพยักหน้ายืนยันก็แทบหมดเรี่ยวแรง แสดงว่าหุ้นหนึ่งในสี่ของโรงแรมคือของเขา
“พระพายมีประสบการณ์ด้านการบริหารงานโรงแรมที่ต่างประเทศมา เพราะฉะนั้นเอยคงต้องเรียนรู้จากเขา น้าจะให้น้องเป็นผู้ช่วยพอไหวไหม” ประโยคหลังน้าสาวหันไปทางชายหนุ่ม เจ้าเอยไม่ทันได้ฟังว่าเขาตอบรับเช่นไร ในสมองมึนงงไปหมด
“ถ้าทั้งสองลงเองกันได้ น้าจะมอบหุ้นในส่วนของน้าให้เป็นของขวัญ แต่ถ้าทั้งสองคนไปด้วยกันไม่ได้ น้าจะยกให้คนที่เห็นว่าเหมาะสมแทน”
“คะ…” เจ้าเอยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เหมาะสมก็เท่ากับไม่ทำความผิดหรือไม่ทำผิดสัญญา ไม่น่าเชื่อว่าน้าดารินจะเอากิจการครอบครัวที่รักหนักหนามาเสี่ยงขนาดนี้
“คุณน้าคะ มันไม่เกินไป…”
“ไม่เกินไปหรอกเจ้าเอย น้าเหนื่อยอยากวางมือเต็มที” คำตัดบทเล่นเอาคนไม่ยอมเข้ามาช่วยเหลือกิจการครอบครัวพูดไม่ออก รู้ดีว่าตลอดสิบกว่าปีน้าสาวทุ่มเทให้กับงานเพียงใด
“ได้ค่ะ ตกลงตามนี้ เอยจะพิสูจน์ให้ได้ว่าหมอนี่เจ้าชู้ มั่วผู้หญิงขนาดไหน ส่วนเรื่องงานก็จะทุ่มเทสุดตัวเลยค่ะ”
“นี่! ทำไมไม่คิดบ้างว่า คุณเองนั่นแหละที่จะทำผิด” พระพายแทรกขึ้นมาอย่างเหลืออด จนคนคิดแผนควงผู้ชายอื่นเมื่อครู่สะดุ้ง
“เพราะฉันไม่ได้เจ้าชู้อย่างนายนะสิ” เถียงค้างๆ คูๆ ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องขว้างห่วงให้พ้นคอ
“กล้าพูด…”
“เอ๊ะ!” เจ้าเอยลุกพรวดพราด จ้ำเร็วๆ ไปยืนต่อหน้าคนที่กล่าวหาเธอ “อย่ามากล่าวหากันนะ”
“กล่าวหาที่ไหน ก็เห็นข่าวควงคนนั้นทีคนนี้ทีแทบทุกวัน ยังมาบอกว่าไม่ได้เจ้าชู้”
“ก็ฉันไม่ได้เจ้าชู้”
“แล้วที่ควงไม่ซ้ำหน้า หมายความว่าไง”
“ก็เพื่อนทั้งนั้น”
“เห็นโอบด้วย”
“ทีนายกับคู่ควงยังอิงแอบจนแทบจะสิงร่างกันได้เลย” สองหนุ่มสาวฮึ่มฮั่มใส่กันจนหวิดจะวางมวย ผู้สูงวัยต้องเรียบห้ามปราม
“พอๆ พอทั้งสองคนนั้นแหละ วีรกรรมไม่ได้ด้อยต่อกันเท่าไหร่นักหรอก”
“ไม่เหมือนค่ะ/ครับ” ปฏิเสธโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะมองหน้ากันแล้วสะบัดไปคนละทาง
ดารินกับลัลนาเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า มีรอยยิ้มบางเบาที่ริมฝีปาก ไม่รู้ทำไมพวกเธอถึงเห็นแต่ความแตกต่างที่แสนจะเข้ากันของทั้งสอง
“ถ้าตอนนั้นเราไม่เข้าไปขวาง บางทีอาจจะได้อุ้มหลานกันแล้ว”
“นั่นสิ เราไม่น่าดูถูกความรักของพวกเขาเลย” ผู้สูงวัยทั้งสองพึมพำ ความรู้สึกผิดยังเกาะกุมหัวใจไม่จางหาย
หลังจากจำใจยอมรับข้อตกลงของน้าสาว เจ้าเอยก็ขอตัวกลับออกมาโดยทันที ระหว่างเดินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรติดต่อเพื่อนรัก บอกสั้นๆ แค่ว่ามีเรื่องด่วนเพื่อขอคำปรึกษา รตากับพลอยไพลินก็ไม่ปฏิเสธแม้เวลาจะผ่านไปค่อนข้างดึกแล้วก็ตาม พอตกลงสถานที่ว่าเป็นร้านอาหารประจำเรียบร้อยคนนัดก็มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ งานนี้คงต้องวางแผนกันอย่างรัดกุม เธอต้องหาหลักฐานมายืนยันความเจ้าชู้ของหมอนั่นให้เร็วที่สุด
เปิดประตูเตรียมจะเข้าไปนั่ง อยู่ๆ ก็มีมือปริศนายื่นมารั้ง เหลียวกลับไปมองพอเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าก็งอง้ำทันที
“ตามมาทำไม!”
“จะรีบไปไหน”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย…”
“เกี่ยวสิ ผมเป็นว่าที่สามีคุณนะ” คนฟังอ้าปากค้างกับคำว่า ‘ว่าที่สามี’ “จะบ้าเหรอ พูดอะไร” หน้าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จะรู้ว่าไม่ควรตื่นเต้นหรือหวั่นไหว แต่หัวใจกลับไม่ทำตาม
“ก็พูดความจริง” กล่าวจบชายหนุ่มก็ดันหญิงสาวให้ออกห่าง ขยับเข้าไปนั่งประจำที่คนขับเสียเอง เล่นเอาเจ้าของรถยืนงง “จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ขึ้นรถสิ”
ถ้อยคำที่ดังย้ำดึงสติให้กลับคืน เจ้าเอยมองไปยังคนนั่งที่ประจำคนขับ ชักอยากตีอกชกหัวตัวเองขึ้นมาตงิดๆ เผอเรอไปกับคำว่า ‘ว่าที่สามี’ ของเขาไปได้ยังไง
“แต่นี่มันรถฉัน นายลงมาเดี๋ยวนี้!” รั้งประตูไว้ พยายามดึงคนที่นั่งเป็นยักษ์ปักหลั่นให้ออกมา แต่ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนก็ไม่ขยับเลย
พระพายปรายตามองคนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างนึกขัน ตัวก็เล็ก เรี่ยวแรงก็มีแค่นี้ยังจะแผลงฤทธิ์อีก จึงตวัดมือเล็กมากุมไว้แทน “ขึ้นมานั่งข้างพี่ดีๆ เถอะน่าคุณว่าที่ภรรยา เดี๋ยวว่าที่สามีจะไปส่งเอง” หยอกล้อตาพราว เล่นเอาคนโมโหหน้างอง้ำมากกว่าเดิม
“ฉันจะไปเอง!”
“เจ้าเอย…อย่าดื้อได้ไหมครับ” น้ำเสียงนุ่มๆ กับประโยคที่เขาเคยพูดเมื่อนานมาแล้วทำให้คนโดนปรามชะงัก ดวงตากลมโตจ้องราวกับต้องการมองให้ทะลุไปถึงความคิด คำเรียกแบบนี้ บวกกับน้ำเสียง สายตาเอื้อเอ็นสามารถสะกดเธอได้ตลอด แต่ก่อนที่หัวใจจะพ่ายแพ้ใบหน้าสวยก็สะบัดแรงๆ ก่นด่าตัวเองในใจ ‘อย่ามาใช้สำเนียงและท่าทางแบบนี้หน่อยเลย เธอไม่หลงกลเด็ดขาด’
“อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะ”
“จะเรียก”
“เอะ!”
“เจ้าเอย เจ้าเอย เจ้าเอย” เขาไม่ได้เรียกแค่ชื่อเธออย่างเดียว ยังดึงสองมือเธอให้เข้าใกล้แล้วยื่นใบหน้าตัวเองออกมา
“ไอ้เป็ดบ้า จะทำอะไรปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
“ก็ทำ…” คำพูดหยุดอยู่แค่นั้น หากแรงดึงรั้งกลับมากยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างแก้มป่องกับจมูกน้อยลงทุกทีๆ จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นรดออกมา
“ปล่อยน๊า…” ไม่มีเสียงตอบกลับ มีแต่เสียงหัวเราะเบาๆ ราวกับชอบอกชอบใจหนักหนา เมื่อเห็นว่าหนทางรอดเหลือน้อยเต็มที เจ้าเอยจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ครั้งนี้เป็นไงเป็นกันเธอจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียอีกเป็นแน่
ในระหว่างที่พระพายไม่ทันระวังตัวนั่นเอง หน้าผากนูนก็โขกมาที่สันจมูกเต็มแรง “โอ๊ย! ยัยกบตัวแสบทำอะไรเนี่ย” มือหนากุมจมูกไว้แน่น สายตาจ้องไปยังคนฤทธิ์เยอะเขม็ง
“ก็ทำอย่างที่เห็น” เจ้าเอยขยับออกมายืนนอกรถ หัวใจยังเต้นรัวกับความใกล้ชิดเมื่อครู่ นี่ถ้าเธอไม่ตัดสินใจพุ่งชนไม่อยากคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ถ้าจมูกหักจะว่ายังไง”
“ศัลยกรรมมาหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ศัลฯ ก็คงไม่หัก”
“ฮึ้ย! ยัยกบตัวแสบ” พระพายผุดลุกออกมาจากรถด้วยความกรุ่นโกรธ คนก่อนเรื่องจึงถอยหลังกรูด
“อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียวนะ ไม่งั้นฉันจะแหกปากให้ลั่นเลยคอยดู” ขู่พร้อมกับปรายตามองไปรอบๆ เห็นผู้คนทยอยกันเดินไปเดินมาหนาตาขึ้นก็ใจชื้น
“คิดว่ากลัวเหรอ ก็ดี! เห็นกันเยอะๆ จะได้เป็นข่าว เผื่อจะได้แต่งงานเร็วขึ้น” โดนขู่เข้าไปก็หน้าตาตื่น อะไรไม่เท่าขายาวๆ ที่ก้าวเข้ามาจนใกล้ถึงตัว
“อย่านะ! ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณน้าว่านายทำร้าย รังแก กักขัง หน่วงเหนี่ยว” คำกล่าวโทษที่รัวมาเป็นชุดทำให้พระพายต้องหยุด ก่อนที่จะถึงตัวสาวเจ้าเพียงก้าวเดียว
“ทำร้าย รังแก กักขัง หน่วงเหนี่ยว” ทวนข้อกล่าวหาเสียงเบา สองมือยกขึ้นกอดอก กระตุกยิ้มมุมปากสายตาจับจ้องไปยังคนตัวแสบ “ผมไปทำข้อกล่าวหาพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ไหนล่ะหลักฐาน”
“นี้ไงหลักฐาน เห็นไหม…” เจ้าเอยยกมือชี้ที่หน้าผากตัวเอง เธอมั่นใจว่ามันต้องทิ้งรอยแดงไว้ไม่ต่างจากจมูกเขาหรอก “เจ็บชะมัด”
พระพายเห็นแล้วก็ตาโต คนประทุษร้ายเขาดูจะเจ็บมากกว่าเขาเสียอีก สองขาก้าวพรวดไปคว้าแขนเล็กไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าเข้ามานะ” เจ้าเอยไม่ทันได้ตั้งตัว พอโดนประชิดก็หลับตาปี๋ คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาเอาคืน
“เจ็บมากเหรอ” น้ำเสียงละมุนพร้อมกับนิ้วมือที่แตะบริเวณหน้าผากอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้คนหลับตาปี๋ค่อยๆ ลืมขึ้น จึงได้เห็นสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยของความเสียใจ
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ตอบเสียงอึกอัก รีบเมินสายตาหนีไปทางอื่น ใจอ่อนยวบทุกทียามได้รับรู้ถึงความห่วงหาอาทรที่เขามีให้
“ทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บนัก รีบไปให้หมอดูก่อนดีกว่า” พระพายโอบหญิงสาวให้เดินเข้าไปในโรงแรม เนื่องจากมีห้องพยาบาลที่หมอประจำการอยู่
“ไม่ต้อง ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง จ้ำแดงขนาดนี้แล้วก็เพิ่งบอกเองว่าเจ็บ” หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่าน เมื่อก่อนถ้าใครทำเธอเจ็บ ใครคนนั้นต้องเจ็บกว่า หากถ้าเธอเผลอทำตัวเองเจ็บก็มีเขานั่นแหละที่คอยประคองและอยู่เคียงข้างทุกครั้งไป แม้จะโดนดุทุกครั้งแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ดวงตาจะกร้าวแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงหา…
“ไม่เป็นไรจริงๆ แล้วฉันก็รีบด้วย”
“ไปไหน!” เจอน้ำเสียงห้วนๆ เข้าไป จิตใจที่อ่อนไหวเมื่อครู่พลันแข็งกระด้างขึ้นทันที
“มีนัด!” สะบัดมือออก เบี่ยงตัวเพื่อไปขึ้นรถ
“นัดกับใคร ที่ไหน…” เจ้าเอยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลัง จนในที่สุดก็ถูกรั้งแขนให้หันมาเผชิญหน้า
“ไม่ทันไรจะนอกใจแล้วเหรอ”
“พูดบ้าๆ ใครนอกใจ แค่จะไปหาเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหน พี่ไปด้วย” ไม่พูดเปล่า พระพายยังดุนหลังหญิงสาวให้เดินอ้อมไปอีกทาง เปิดประตูให้แถมบังคับแกมขู่ให้ลงไปนั่งดีๆ
“ทำไมต้องไป” เจ้าเอยยังไม่วายสิ้นฤทธิ์ ตวัดค้อนอย่างหมั่นไส้แม้จะวูบๆ วาบๆ กับคำว่านอกใจก็ต้องพยายามข่มไว้สุดฤทธิ์ จะให้เขารู้ว่าเธอหวั่นไหวกับคำพูดพวกนี้ได้ยังไง ขายหน้าแย่
“ก็จะไป แล้วก็…กรุณาอย่าดื้อ”
“ไม่ให้…” คำพูดสะดุดอยู่แค่นั้นเมื่อริมฝีปากหนาฉกวูบลงมาหา สัมผัสเพียงเสี่ยววินาทีเขาก็ผละออก
“ขอย้ำอีกครั้ง ‘กรุณาอย่าดื้อ’ ถ้าไม่อยากตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีก” หลังจากนั้นก็แทบไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่อ มารู้ตัวอีกที่ก็ตอนรถแล่นมาถึงทางแยกและเขาถามถึงจุดมุ่งหมายที่จะไปนั่นแหละ ทำไมนะ! เธอถึงรู้สึกเหมือนว่า ‘ตามเขาไม่ทันตลอด’
พอถึงร้านอาหารที่นัดกับเพื่อนรักไว้ เจ้าเอยก็พรวดพราดลงจากรถไปโดยไม่อยู่รอคนขับ ปล่อยให้เขาไปหาที่จอดรถและที่นั่งเอง ส่วนเธอรีบมุ่งหน้าไปยังโต๊ะประจำ ต้องบอกเพื่อนสาวให้ย้ายถิ่นฐานโดยด่วน
“ยัยเอยมาเสียที รอตั้ง…” คนทักชะงักคำพูดอยู่แค่นั้น สายตามองผ่านไปทางด้านหลังจนเจ้าเอยนึกเอะใจ แล้วไม่ต้องรอคำเฉลยนานเมื่อหันไปเห็นว่าใครยืนยิ้มอยู่ จึงหันไปแหวอย่างเอาเรื่อง
“ตามมาทันได้เนี่ย เอารถไปจอดแล้วเหรอ”
“พนักงานเอาไปจอดให้” พระพายหยักไหล่ มองผ่านไปยังสองสาวที่อยู่ทางด้านหลัง “สวัสดีครับคุณรตา คุณพลอย” ไม่รอให้สองสาวหายตกตะลึง พระพายก้มกระซิบบอกเจ้าเอยว่าจะไปนั่งรออีกโต๊ะหนึ่งก่อนละปลีกตัวออกไป
“มาด้วยกันได้ยังไง”
“เขาพูดอะไรกับแก” สองสาวถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน ต่างมึนงง สับสนกับการกระทำเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้เห็นทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ทำไมวันนี้อารมณ์คล้ายๆ จะหวานแหววซะยังนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระนะ” เอื้อมมือไปหยิบคอกเทลสีหวานของรตามาดื่มรวดเดียวราวกับเป็นน้ำเปล่า ตอนนี้เธอต้องการอะไรสักอย่างมาดับความวุ่นวายภายในใจ
หลังรถแล่นออกมาจากโรงแรมเธอก็ไม่พูดอะไรกับเขาอีก บอกตรงๆ ว่าอาละวาดไม่ออก จะถามหมอนั่นว่า ‘จูบ’ ทำไม ก็กลัวโดนยอกย้อนจนอายมากกว่าเดิม จึงเลือกนั่งเงียบๆ หันหน้าเข้ากระจก แสร้งมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกแทน แม้บางครั้งจะได้ยินคำพูดลอยๆ มา ประมาณว่าหน้าบึ้งเดี๋ยวแก่เร็วหรือระวังคอเคล็ดก็ไม่สน ให้คอเคล็ดยังดีกว่าให้เขาเห็นว่าเธอกำลังเขิน…
“เฮ้ย! ยัยเอยใจเย็นๆ เล่นดื่มขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาก่อนได้เล่ากันพอดี” พลอยไพลินผวาไปดึงแก้วออกมาจากมือ แม้เจ้าเอยจะเป็นสาวสังคมแต่เรื่องแอลกอฮอล์ละก็ คออ่อนนักเชียว
“ให้ฉันดื่มเถอะ กำลังกลุ้ม”
“แกก็เล่ามาก่อนสิ แล้วค่อยกลุ้ม” คนห้ามยกแก้วหนีห่าง สีหน้าจริงจังอยากรู้เรื่องของเพื่อนรักเต็มที่ ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปากบอกอะไรเสียงทักทายคุ้นหูของโต๊ะข้างๆ ก็ดังเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าสวยหันไปมองก่อนจะเอ่ยปากพึมพำ “มาครบแก๊งค์เชียว”
สามหนุ่มอย่าง นิมมาน เพทายและณัฐ ส่งยิ้มทักทายมาให้ก่อนจะนั่งลงคุยกับพระพาย เจ้าเอยเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ยิ่งพอหันกลับมาเห็นรตาหน้าตึงและพลอยไพลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย อารมณ์ก็เสียมากขึ้นไปอีก
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะนัดกันด้วย เราไปร้านอื่นกันเถอะ” หันไปคว้ากระเป๋าเตรียมสั่งเช็คบิล ทว่ารตาห้ามปรามไว้
“ไม่ต้องหรอก เรามาก่อนนั่งที่นี่แหละ”
“แกแน่ใจนะ” เจ้าเอยถามย้ำ ยังคงห่วงความรู้สึกของเพื่อนเพราะเป็นกรณีหนักหนาสุด เห็นว่าตั้งแต่คืนที่นิมมานตามไปส่ง วันต่อมาก็ยังอุตส่าห์แวะไปหาที่ทำงาน แว่วๆ มาว่าฝ่ายนั้นมีโครงการจะไปขอขมาพ่อแม่ของรตาด้วย
“อือ! ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดีหลบไปก็เท่านั้น” เจ้าเอยกับพลอยไพลินยื่นมือไปบีบให้กำลังใจเพื่อนรัก เพราะกิจการของสองตระกูลที่ทำร่วมกันจึงไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ด้วยเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องจริงที่บางครั้ง ‘ธุรกิจก็สำคัญกว่าหัวใจ’
“แกล่ะยัยพลอย จะมีปัญหากับพี่ชายนอกไส้ไหม” เจ้าเอยเบนสายตาไปทางเพื่อนรักอีกคน ความสัมพันธ์ของคู่นี้ก็กระอักกระอวนไม่แพ้กัน
“คงไม่หรอกมั้ง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนิ” ตอบแต่หลบตาแค่นั้นเจ้าเอยก็เดาได้แล้วว่า ‘ต้องมีอะไร’ โดยเฉพาะหลังจากโดนพากลับไปเมื่อคืนก่อน ก็แทบไม่ได้ยินพลอยไพลินพูดถึงพี่ชายนอกไส้อีกเลย ‘ยิ่งเงียบ ก็ยิ่งชวนให้คิด’
“โอเค ไม่มีก็ไม่มี” คนรู้เท่าทันคนอื่นแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ณ.เวลานี้เธอคงต้องปล่อยวาง หันมาจัดการเรื่องของตัวเองให้รอดก่อน
“ยัยพลอย รตา” เจ้าเอยถอหายใจเฮือก จ้องมองเพื่อนรักทั้งสองสลับไปมา “คุณน้าจะให้ฉัน…แต่งงาน!”
ความคิดเห็น |
---|