9

ตอนที่ 9


พระพายเจ้าเอย :: ตอนที่ 9

“ห๊า! แต่งงาน!” รตากับพลอยไพลินหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ยิน รู้ๆ กันอยู่ว่าเจ้าเอยป็นคนหัวดื้อ เอาแต่ใจแล้วปิดกั้นตัวเองขนาดไหน แม้จะตกเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ขาดหากเอาเข้าจริงกลับไม่เคยคบหาใครจริงจัง ชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ดาหน้าเข้ามาก็ล้วนถูกขีดเส้นไว้ที่เพื่อนทั้งนั้น ขนาดบางคนที่ถือคติ ‘ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ยังต้องกระเจิงไปคนละทางเมื่อเจอเจ้าหล่อนแผลงฤทธิ์ใส่ แล้วอยู่ๆ เดินมาบอกว่ากำลังจะโดนจับแต่งงานเป็นใครก็ช็อค

“แกล้อเล่นหรือเปล่า” พลอยไพลินละล่ำละลักถาม สีหน้าท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ถ้าเจ้าเอยเดินมาบอกว่าจะไปบวชยังน่าเชื่อเสียกว่า

 “เรื่องจริง!” คนต้นเรื่องสีหน้าเคร่งเครียด ไร้วี่แววล้อเล่น

“กับใคร!” พลอยไพลินไล่เรียงต่อ พอเห็นสีหน้ากระอักกระอวน หางตาตวัดมองไปยังโต๊ะด้านหลังก็ตาโต “อย่าบอกนะ ว่า…” ดวงตาสีน้ำตาลมองผ่านเจ้าเอยไป เห็นพระพายนั่งอมยิ้มมองตรงมาราวกับได้ยินในสิ่งคุยกันอยู่ ก็คล้ายจะเดาคำตอบได้

 “เพราะข่าวเหรอ…”

“อือ จะว่าอย่างนั้นก็ได้” คนโดนจับคลุมถุงชนถอนหายใจแรง เอนหลังพิงพนักเก่าอี้อย่างเซ็งจัด

“เดี๋ยวๆ แกพูดถึงใครกัน ยัยเอยจะแต่งกับใคร” คนตามไม่ทันหันมองเพื่อนทั้งสองงงๆ ก่อนพลอยไพลินจะบุ้ยปากไปยังโต๊ะที่นั่งอยู่ถัดไป

“ห๊า! อย่าบอกว่าเป็น คุณพระพาย!”

“จะใครซะอีกล่ะ ก็เมื่อเช้าข่าวเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ขนาดนั้น” รตาพลอยหมดอาลัยตายอยากไปด้วย นึกท้อใจแทนสิ่งที่เพื่อนกำลังจะเผชิญ ‘ความเจ้าชู้ของผู้ชาย’ แบบที่เธอประสบมา

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ น้าดารินไม่รู้หรือไงว่าคุณพระพายเจ้าชู้จะตาย” พลอยไพลินเผลอพูดเสียงดังจนกลุ่มสี่หนุ่มหันมามอง เจอสายตาคมกล้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายเข้าไปก็ทำให้น้องสาวต้องรีบหลบสายตาพัลวัน

“ก็รู้ แต่คงกลัวเสียชื่อเสียงมากกว่า” พูดแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก ทำไมเรื่องราวมันช่างพอเหมาะพอดี ราวกับมีคนขีดเส้นให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้

“แต่รูปในข่าวเมื่อเช้าก็ไม่เห็นหน้าแกนี่นา” รตาต้องข้อสังเกต ถ้าดูหลักฐาน ณ.ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งชี้มาถึงเจ้าเอยเลยสักนิด “น้าดารินรู้ได้ไงว่าเป็นแก…”

“เจอป้าศรีนวลต้อนนะสิ เลยหมดหนทาง ไหนจะข่าวเมื่อสองเดือนก่อนอีก”

“เดี๋ยวๆ ข่าวนั้นมันตั้งนานแล้ว เกี่ยวอะไรกัน” พลอยไพลินครุ่นคิดตาม ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อสะกิดใจบางอย่าง “อย่าบอกนะว่า ผู้ชายที่จูบแกนั่น…” รอลุ้นคำตอบอยู่อึดใจ พอเจ้าเอยพยักหน้ายอมรับเท่านั้นแหละ ก็พากันเอนหลังพิงพนักอย่างหมดเรี่ยวแรงตามๆ กัน

“น้าดารินรู้เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม” เจ้าเอยพยักหน้าอีกครา ก่อนจะตีอกชกหัวด้วยความขัดใจกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับ รตากับพลอยไพลินก็หมดคำพูด ทั้งสองเหตุการณ์ผูกมัดเจ้าเอยจนดิ้นไม่หลุดจริงๆ

“คุณน้ากลัวจะมีภาพอื่นๆ หลุดออกมาอีก ก็เลยแก้ที่ต้นเหตุโดยการจับแต่งงานให้รู้แล้วรู้รอดไป”

“กลัวจะเป็นข่าวเสียหายอีกสินะ” รตาเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถ้ามีภาพหลุดออกมาอีกคนทั่วไปก็จะมองว่าเป็นคู่รักที่แสดงความรักต่อกันย่อมไม่เสียหายมากนัก แต่ถ้าไม่มีงานแต่งผู้คนทั่วไปก็จะมองในแง่ลบ คงได้จะวิจารณ์กันสนุกปากว่าหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมชื่อดังประพฤติตัวไม่เหมาะสม

มองเห็นปัญหาและความมืดมนของทางออกแล้ว สามสาวก็ได้แต่นั่งเงียบจนอาหารที่สั่งไว้ก่อนหน้าทยอยมาเสิร์ฟก็ยังไม่มีใครแตะ “แกจะเอาไงต่อ…” พลอยไพลินถามขึ้นอย่างทนต่อความเงียบต่อไปไม่ไหว

“ก่อนอื่นฉันต้องรู้ให้ได้ว่าหนังสือพิมพ์ได้รูปมาจากไหน” เจ้าเอยกล่าวอย่างมาดมั่น นับเป็นแผนการแรกที่นึกออก

“แกจะทำยังไง…”

“พวกแกจำนนท์ได้ไหม นนท์อะ ที่ขาวๆ ตี๋ๆ” โน้มตัวลงมากระซิบเสียงเบา กลัวโต๊ะข้างๆ จะได้ยิน

“เพื่อนตอนมหาลัยใช่ไหม”

“ที่เคยตามเทียวไล้เทียวขื่อแกนั่นนะ” สองสาวพลอยต้องเสียงเบาตาม ก้มลงกระซิบกระซาบจนหัวแทบจะชนกัน

“คนนั้นแหละ ฉันคุ้นๆ ว่าหมอนั่นทำงานอยู่ในแวววงสื่อสารมวลชน อาจจะไปขอให้ช่วย”

“ก็ดี! อย่างน้อยก็คนรู้จักมักคุ้นกัน คงพูดไม่ยาก” คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถามต่อ “แล้วเรื่องแต่งงาน…”

“ฉันจะหาหลักฐานไปยืนยันกับคุณน้า ว่าหมอนั่นเจ้าชู้ ไร้คุณสมบัติในการเป็นสามีที่ดี”

“แล้วคุณน้าจะยอมเหรอ ในเมื่อข่าวของเขาก็เยอะแยะ คุณน้ายังบังคับแกเลย” รตายังไม่หายข้องใจ เจ้าเอยจึงเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างเธอกับน้าดารินให้ฟัง

“ก็ดี! อย่างน้อยแกก็มีเวลาสามเดือนในการหาหลักฐาน รางวัลคืออิสระกับหุ้น ฉันว่าน่าลุ้น”

“ใช่!  ฉันแน่ใจว่าไม่มีทางพลาดแน่นอน” สีหน้าเจ้าเอยเต็มไปด้วยความมั่นใจ อิสรเสรี ณ. ปลายอุโมงค์ยามแผนการสำเร็จเริ่มส่งแสงสว่างรำไร

“แล้วจะหาหลักฐานที่ไหน เขาก็คงไม่อยากเสียหุ้นให้แกง่ายๆ หรอก”

คำพูดของรตาคล้ายจะดับแสงสว่าง ณ. ปลายอุโมงค์ลงไปนิด เจ้าเอยหน้ามุ่ยเมื่อยังจนหนทางในข้อนี้ “ยังนึกไม่ออก”

“อ้าว…”

“พวกแกช่วยคิดหน่อยสิ ฉันควรทำไงดี” สามสาวสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที ก่อนจะเป็นรตาที่เสนอขึ้นมาคนแรก

 “อย่างแรก! ต้องรู้ก่อนว่าวันๆ เขาทำอะไรบ้าง ที่ไหน เมื่อไหร่ กับใคร”

“คุณน้าบอกว่าเขาจะมาเริ่มงานที่โรงแรมเร็วๆ นี้ ฉันจะจับตาดูเอง เอาแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย”

“แค่นั้นไม่พอ แกต้องรู้ความเคลื่อนไหวหลังเลิกงานด้วย ที่พักทั้งบ้าน คอนโด ต้องรู้ให้ละเอียด” พลอยไพลินกล่าวเสริม เพราะคนทั่วไปจะเถลไถลยามเลิกงานเพื่อปลดปล่อยความเครียด

“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ” สีหน้าของคนเจ้าแผนการเริ่มหนักใจ จะให้ตามติดเขาขนาดนั้นคงไม่ไหวแน่

“ใช่สิ เกิดเขาพาผู้หญิงขึ้นคอนโด จะได้มีหลักฐานแบบดิ้นไม่หลุดไง”

“จริงด้วยแหะ งั้นฉันจ้างนักสืบเลยดีไหม”

“ดี!”

“ดีอะไรกันเหรอครับ” สามสาวสะดุ้งเฮือกกับคำถามที่ดังในระยะใกล้ เมื่อเงยหน้าก็เห็นคู่อริมายืนค้ำหัวอยู่

“ว่าไง มีอะไรดี” พระพายพยักพเยิดไปยังคนที่เป็นหัวโจก เห็นสายตาที่จ้องราวกับโกรธแค้นแล้วก็นึกอยากเข้าไปทำโทษนัก ตาใสๆ หน้าสวยๆ แต่เจ้าแผนการสุดๆ

“ไม่เกี่ยวกับนาย!” คนมีความลับเชิดหน้าสู้ ไม่รู้เลยว่าเขาเดินเข้ามาเมื่อไหร่ ได้ยินอะไรไปบ้าง

“มายุ่มย่ามแถวนี้ทำไม กลับไปนั่งโต๊ะนายนู้นเลย”

พระพายยักไหล่ ยอมเดินกลับไปนั่งโต๊ะตัวเองแบบง่ายๆ เสียจนเจ้าเอยอดมองตามไม่ได้ “แกว่าเขาจะได้ยินที่เราคุยกันไหม” ถามทั้งๆ ที่ตายังเฝ้ามองท่าทีฝ่ายตรงข้ามไม่ลดละ

“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ”

“งั้นเราแยกย้ายกันดีกว่า ฉันกลัวแผนการรั่วไหล” เจ้าเอยรีบตัดบท หันไปกวักมือเรียกบริกรมาจัดการเรื่องค่าอาหาร ส่วนเพื่อนทั้งสองก็หยิบกระเป๋ามาวางบนตัก เตรียมพร้อมชิ่งเหมือนกัน

“พวกแกรู้กำหนดการถ่ายแฟชั่นของพี่มินแล้วใช่ไหม” ระหว่างนั้นก็ย้อนถามถึงงานชิ้นสำคัญที่รับปากรุ่นพี่ไว้ มินตราเพิ่งส่งข้อความมาบอกช่วงที่นั่งรถมาว่ากำหนดถ่ายสุดสัปดาห์นี้

“ติดอะไรกันหรือเปล่า สะดวกไหม”

“ฉันสะดวก”

“ฉันก็ไม่มีปัญหาแต่คงต้องเรียนคุณแม่ก่อน” เมื่อได้รับคำยืนยันจากเพื่อนทั้งสอง เจ้าเอยจึงบอกว่าจะไปคอนเฟิร์มกับมินตราเอง ครู่ต่อมาบริกรก็เดินมาบอกว่าโต๊ะข้างๆ จ่ายให้แล้ว สามสาวจึงปรายตามอง ปากก็ขมุบขมิบว่าดีไม่เสียเงินแล้วรีบพากันเดินชิ่งหนีออกไปกันอย่างรวดเร็ว

จวบจนมาถึงหน้าร้านจึงนึกขึ้นได้ว่านั่งรถมากับใครแถมกุญแจไม่ได้อยู่ในมืออีก เจ้าเอยจึงได้แต่ตะบึงตะบอนโดยมีเพื่อนรักทั้งสองยืนรอรถแท็กซี่อยู่ข้างๆ เนื่องจากขามาที่บ้านมาส่ง ส่วนขากลับคิดจะพึ่งพารถสาธารณะอยู่แล้ว

จังหวะนั้นมีรถแล่นมาส่งผู้โดยสายพอดี รตาจึงหันไปชวนเพื่อนกลับด้วยกันจะได้ไม่เสียเวลารอ อีกอย่างคือกลัวพวกผู้ชายตามออกมาด้วย “นั่งไปด้วยกันเลยไหม ให้แท็กซี่แวะไปส่งทีละคนก็ได้”

“ไม่ได้หรอก กว่าจะถึงบ้านคนสุดท้ายก็ดึกดื่นพอดี แกนั่นแหละไปก่อนเลย” รตาพะว้าพะวัง แม้จะบอกว่าไม่อยากหลบหน้าหนีอดีตสามีแต่ถ้าเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง

 “ไปเถอะ พวกฉันไม่เป็นไร” เจ้าเอยเดินไปเปิดประตูรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดเทียบให้ รตาลังเลอยู่ครู่ก็พยักหน้าแล้วเดินขึ้นรถไป หากประตูไม่ทันปิด มือของใครบางคนก็คว้าไว้เสียก่อน

“นี่นาย…” เจ้าเอยขยับเข้าขวางเมื่อนิมมานทำท่าจะขึ้นรถไปกับรตาด้วย ยื้อหยุดอยู่ได้ไม่นานก็โดนดึงรั้งให้ถอย เมื่อหันไปเห็นว่าใครเป็นคนดึงก็โวยวายเสียงดัง

“ปล่อยนะไอ้เป็ดบ้า ฉันไม่ยอมให้เพื่อนนายไปกับรตาหรอก”

“ไม่ยอมก็ต้องยอม” พระพายกล่าวจบ ก็พยักพเยิดให้นิมมานเข้าไปในรถ ได้ยินเสียงทุ่มเถียงดังออกมาอยู่ครู่ รถจึงแล่นออกไป

“ปล่อยนะ!” เจ้าเอยใจเสียมองตามด้วยความเป็นห่วง กลัวเพื่อนจะได้รับอันตรายหรือมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ

“ให้หมอนั่นไปกับเพื่อนฉันได้ยังไง ก่อเรื่องอะไรไว้จำไม่ได้หรือไงห๊ะ!” หันมาอาละวาดใส่คนห้ามปรามอย่างเอาเป็นเอาตาย หากอีกฝ่ายกลับสงบเยือกเย็นกว่า

“ให้เขาได้ตกลงกันเองเถอะน่า คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่ง”

“คนนอกที่ไหน นั่นเพื่อนฉัน…”

“ก็ถือว่าเป็นคนนอก” คนโวยวายจึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จัดแจงหันไปโบกรถคันใหม่ที่แล่นเข้ามา เธออยากตามไปช่วยรตาหากก็โดนพระพายตามมาดึงไว้อีก แถมยังก้มลงไปขอโทษขอโพยแท็กซี่ที่ทำให้เสียเวลา โกหกเป็นตุเป็นตะว่าเป็นสามี ตอนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่ แท็กซี่ก็ดูเชื่อง่ายจนน่าโมโหขับรถออกไปเฉย ไม่สนใจฟังคำของเธอสักนิด ให้ได้อย่างนี่สิ!

เมื่อพลาดกับแท็กซี่จึงหันมาตะบึงตะบอนใส่ขนข้างกาย “ขอกุญแจรถด้วย”  แบมือพร้อมกระดิกยิกๆ เป็นเชิงเร่งเร้า “เร็วสิ ฉันจะไปส่งยัยพลอย”

“ไม่ต้องหรอกครับ พลอยกลับกับผมได้” เพทายขยับมายืนขนาบข้างน้องสาว เจ้าเอยปรายตาไปมองเพื่อนรักเห็นสีหน้ากระอักกระอวนก็พยายามจะช่วย เพทายก็เหมือนจะรู้ทันยื่นมือโอบไหล่ ข่มขู่เบาๆ ให้น้องสาวยอมเออออด้วย

“ใช่ไหม พลอยไพลิน”

“อือ! ฉันไปกับเขา เอ่อ พี่เพทายก็ได้” คนไม่มีทางเลือกจำใจตอบรับ เดินตามแรงดึงไปยังรถที่จอดอยู่เยื่องๆ กันแต่โดยดี

“เดี๋ยว! ยัยพลอย” เจ้าเอยทำท่าจะเดินตาม ก็โดนคู่ปรับตลอดกาลรั้งไว้อีก

“รถอยู่ทางนี้” เขาบุ้ยหน้าบอกพร้อมทั้งดึงมือให้เดินตาม จึงจำต้องยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สายตาก็มองตามพลอยไพลินอย่างกังวล

“เลิกเป็นห่วงได้แล้วน่า เพทายมันไม่ทำอะไรหรอก” พระพายดุเสียงเข้มเมื่อสาวเจ้ายังพะว้าพะวัง

“ไว้ใจได้ที่ไหน ดูสายตาสิ!”

“ทำไม สายตาเพทายเป็นยังไง” สองมือแข็งแรงจับหญิงสาวมาเผชิญหน้า จ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

“ก็ทำตาพราวระยับขนาดนั้น”

“แบบผมตอนนี้หรือเปล่า” เจ้าเอยหันขวับ แล้วก็ต้องชะงักไปกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้

 “ว่าไง ตาที่เพทายมองคุณพลอยเหมือนกับที่ผมกำลังมองคุณไหม” เผลอจ้องผสานสายตาอยู่เพียงครู่ก็หลบวูบ ดวงตาของเขาเหมือนจะบ่งบอกหลายอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากคาดเดา

“ทำอะไรไร้สาระ ฉันง่วงอยากกลับบ้าน” ตวัดเสียงห้วน ก้มหน้าหลบซ่อนความรู้สึก จ้ำพรวดๆ ไปขึ้นรถโดยมีพระพายเดินอมยิ้มตามไปห่างๆ ไม่ลืมตะโกนบอกเมื่ออีกฝ่ายเดินเลยรถที่จอดอยู่ ‘ศึกครั้งนี้ เขาเดิมพันด้วยชีวิตเลยทีเดียว’

 

คนถูกลืมส่ายหน้าระอาเมื่อเพื่อนกับพี่ชายตามสาวไปเสียหมด ทำไมไม่มีใครเชื่อเลยว่าการมีพันธะเหมือนกับตกนรกดีๆ นี่เอง คิดแล้วก็เบื่อหน่ายจึงตั้งใจจะไปหาความสุขใส่ตัว ณัฐเดินผิวปากตรงไปยังรถ สมองก็ครุ่นคิดจะไปหาสาวคนไหนดีแต่แล้วหน้าสวยๆ ที่นึกถึง ก็มลายหายวับเมื่อสมาร์ทโฟนเครื่องหรูในกระเป๋าสั่น เวลานี้ ดึกๆ แบบนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้

“ว่าไงครับที่รัก…” กรอกเสียงเข้าไปด้วยสีหน้าเซ็งจัด มินตราคงโทรมาตามให้กลับบ้านอีกเช่นเคย “ยังติดงานอยู่ครับ น่าจะดึกๆ หน่อย” พูดตามสคริปต์ที่ท่องมาจนขึ้นใจไปยังอีกปลายสายราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา “ที่รักนอนก่อนเลยครับไม่ต้องรอแล้วผมจะรีบกลับ รักคุณเหมือนกันครับ…” หยอดคำหวานเป็นการเปิดท้ายก่อนจะถอนหายใจเฮือก โล่งใจที่สามารถเอาตัวรอดไปได้อีกวัน เมื่อไม่มีอุปสรรคมาขัดขวางมือหนาก็เลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟนเพื่อเข้าเมนูค้นหารายชื่อ

“น้องเอญ่าเหรอครับ ทำอะไรอยู่เอ่ย” สีหน้าซังกะตายเมื่อครู่พลันสดชื่นแจ่มใส แตกต่างจากเดิมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ “ผมก็คิดถึง เรามาเจอกันหน่อยไหม” นิ่งฟังอยู่เพียงครู่ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า “โอเคแล้วเจอกันครับ” ส่งจุ๊บเป็นการปิดท้ายก่อนจะกดวางแล้วเดินตัวลอยไปยังรถของตนเอง ค่ำคืนนี้ยังยาวไกลนักสำหรับผู้ชาย (อยาก)โสดเช่นเขา

พลอยไพลินนั่งเกร็งมาตลอดทางนับตั้งแต่รถแล่นออกมาจากร้านอาหาร บรรยากาศภายในก็แสนจะอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก พี่ชายนอกไส้ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยพอเธออยากทำลายความเงียบด้วยการเปิดเพลง ก็โดนอีกฝ่ายตวัดมองจนรีบเก็บไม้เก็บมือแทบไม่ทัน สุดท้ายจึงต้องนั่งเงียบเอนกายพิงประตูรถแบบแทบจะหายไปกับเบาะ ให้เขาได้รู้สึกว่านั่งอยู่คนเดียวไม่ได้มีเธอนั่งมาด้วย

จนรถแล่นเข้ามาถึงในบ้านก็รีบเปิดประตูเตรียมชิ่งอย่างทุกที แต่ปรากฏว่ารถล็อค เขย่าอยู่สองสามครั้งหวังให้คนขับได้ยินก็ไม่มีทีท่าว่าจะปลดล็อคให้ จึงค่อยๆ เหลียวไปมองอย่างระมัดระวัง

 “ช่วยปลดล็อคให้หน่อย...ค่ะ ฉันจะเข้าบ้าน” คนที่นั่งอีกฝั่งไม่ตอบ กลับหยิบนู้นหยิบนี่แถวหน้ารถราวกับจะจัดเรียงข้าวของใหม่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ฮึดฮัดด้วยความขัดใจรู้ได้เลยว่าเขากำลังจะแกล้งเธอ ดวงตากลมโตรีบมองโดยรอบหวังให้ป้าแม่บ้านหรือไม่ก็ลุงคนขับรถออกมาต้อนรับเหมือนทุกวัน จะได้ขอความช่วยเหลือหากความหวังก็ดูมืดมน ทั่วทั้งบ้านปิดสนิทราวกับไม่มีคนอยู่

“คุณพ่อ คุณแม่ไปติดต่องานด่วนที่ต่างประเทศ ส่วนคนอื่นๆ ผมให้เขาลากลับต่างจังหวัด”

“อะไรนะคะ!” พลอยไพลินตาโตกับคำบอกเล่า มือเล็กลนลานควานหาโทรศัพท์ “คุณพ่อ คุณแม่ไม่เห็นบอกอะไรเลย” เลื่อนหาเบอร์ รีบกดโทรออกหาบุพการีที่เลี้ยงดูแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

“เวลานี้น่าจะยังอยู่บนเครื่อง” เพทายยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ไม่ยี่หระกับท่าทีของอีกคน “โทรให้ตายก็ไม่มีคนรับ”

บิดามารดาเพิ่งโทรบอกเมื่อตอนเย็นว่าสินค้าที่ส่งให้ลูกค้าญี่ปุ่นมีปัญหาต้องรีบไปจัดการด่วน ส่วนพวกแม่บ้านเขาก็อนุญาตให้ลาหยุดเอง โดยบอกไปว่าช่วงที่บิดามารดาไม่อยู่ไม่มีใครเข้ามาพัก เขาจะพักคอนโดส่วนตัวส่วนพลอยไพลินจะไปพักกับเจ้าเอย

คนไม่รู้อะไรเลยตวัดมองอย่างแค้นเคือง นึกโกรธที่เขารู้ทั้งรู้แต่อมพะนำ “ฉันจะไปพักกับยัยเอย” กล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนจัด เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่ยอมอยู่กับเขาสองแต่สองเป็นแน่

“ไม่ให้ไป”

“เอะ!”

“อย่าเรื่องมากได้ไหม จะไปรบกวนคนอื่นทำไม หัดเกรงอกเกรงใจเขาบ้างสิ”

คนโดนด่าตาวาว เธอยอมให้คนอื่นด่าว่าไม่มีความเกรงอกเกรงใจดีกว่าต้องอยู่กับเขา ดูท่าแล้วน่าจะอีกหลายคืนกว่าบิดามารดาบุญธรรมจะกลับ ถ้าเป็นงานด่วนก็ไม่อาจเดาระยะเวลาได้เลย อาจจะหนึ่งวัน สองวันหรือเป็นอาทิตย์

“ไม่ได้เรื่องมากแต่ไม่อยากอยู่ มันไม่เหมาะสม!”

“ไม่เหมาะสมยังไง” เพทายผินหน้าเข้าหา จ้องเขม็งไปยังใบหน้าสวย

“คุณก็รู้ดี!”

“ไม่เห็นจะรู้อะไรเลย”

“คุณเพทาย!”

“เรียกอยู่ได้ กลัวลืมชื่อหรือไง” คนกวนโมโหตีรวนเห็นสาวเจ้ากระฟัดกระเฟียดก็ยิ่งชอบใจ เขาชอบมองยามเธอแสดงอารมณ์ความรู้สึกแบบตรงไปตรงมา เช่นตอนอยู่ต่อหน้าบิดามารดาก็จะขี้อ้อนราวกับลูกแมวตัวน้อยๆ ยามอยู่กับเพื่อนก็ยิ้มง่าย ร่าเริง สดใส  ไม่รู้ทำไมตอนอยู่กับเขาถึงได้เอาแต่มึนตึง

“เชิดเข้าไปหน้าน่ะ ถ้าคอเคล็ดจะสมน้ำหน้าให้” เพทายพูดพร้อมกับกดปลดล็อครถ ซึ่งพอพลอยไพลินได้ยินก็ถลาลงไปอย่างรวดเร็ว ‘ขอให้ได้ออกจากรถก่อนเถอะ เธอจะหาทางหนีไปนอนที่อื่นให้ได้’

“ถ้าคิดว่าหนีรอดก็ลองดู” คนโดนรู้ทันสะดุ้ง เขารู้ได้ไงว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไม่รอฟังแล้วว่าจะมีคำขู่อะไรดังตามหลังมาอีก พลอยไพลินหันรีหันขวางเพียงครู่ก็วิ่งขึ้นบ้านอย่างไม่คิดชีวิต ถ้าวิ่งออกหน้าบ้านคงไม่รอดแน่ ยังไงก็ขอไปตั้งหลักที่ห้องตัวเองก่อน ค่อยโทรให้เจ้าเอยมารับก็ยังไม่สาย

วิ่งถึงห้องตัวเองได้ก็รีบล็อคประตูให้แน่นหนา เอาหูแนบเพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายนอก ไม่มีเสียงเขาเดินตามมาก็ค่อยโล่งใจ รีบควานหาโทรศัพท์อีกรอบหากคราวนี้ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ “หายไปไหน…” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เททั้งกระเป๋าก็ยังหาไม่เจอ พอลองนึกย้อนกลับไปก็ถึงบางอ้อ เธอหยิบออกมาโทรหามารดาแล้วก็วางไว้ในรถ “ให้ได้อย่างนี้สิยัยพลอย” ตัวอกชกหัวตัวเองด้วยความโมโห ไม่มีโทรศัพท์ก็เหมือนกับอวัยวะสำคัญหายไป ก่อนจะสิ้นหวังก็นึกได้ว่าเธอยังมีหนทางอื่น โทรศัพท์บ้านและอินเตอร์เน็ต

พลอยไพลินรีบเดินไปยังโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงซึ่งส่วนมากแทบไม่เคยได้ใช้ พอยกหูเท่านั้น ความหวังก็พลันดับวูบเพราะไม่มีสัญญาณอะไรเลย

“เป็นไปได้ไง เสียเหรอ” ลองกดปุ่มหลายครั้งก็ยังเงียบ จึงเหลือที่พึ่งสุดท้ายเพียงอย่างเดียว ‘อินเตอร์เน็ต’ หากความหวังก็ดับวูบอีกหนเมื่อไม่มีสัญญาณ wifi คนมืดแปดด้านทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดหนทาง สงสัยคืนนี้เธอคงต้องนอนที่บ้านนี้จริงๆ กระมัง

“เอาน่าพลอยไพลิน เขานอนห้องเขา เธอก็นอนห้องเธอไม่ได้เกี่ยวกันเสียหน่อย อย่าไปกลัว” ปลุกปลอบตัวเองยามหมดหนทาง ยังไม่ทันจะทำใจได้ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังรัวที่หน้าห้อง

“พลอย เปิดประตู” ร่างบางผุดลุกขึ้นอย่างตะลึงตะลาน ในใจหวนนึกถึงคำขู่ของเขา ‘ถ้าคิดว่าหนีรอดก็ลองดู’ แต่ตอนนี้เธอหนีไม่รอดแล้ว

“ไม่ค่ะ ถ้าคุณเพทายมีอะไร ก็เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้นะคะ” พยายามทำใจดีสู้เสือ หวังว่าเขาจะเห็นถึงความไม่เหมาะสม แต่เหมือนเธอจะคิดผิด…

“ฉันบอกให้เปิด!”

“ไม่ค่ะ ฉันง่วงแล้ว” ถัดจากนั้นก็ไม่มีประโยคอะไรตอบกลับมา พลอยไพลินเป่าปากด้วยความโล่งใจ คิดว่าเขาน่าจะเข้าใจแล้ว กลับไม่ใช่เลยวินาทีถัดมาก็เกิดเสียงกุกกักที่หน้าประตู คนในห้องจึงรีบวิ่งถลาไปดันไว้ทันที

“คุณเพทายอย่าเข้ามานะ!” ร้องห้ามเสียงหลงเมื่อเขาไขกุญแจเรียบร้อย กำลังผลักประตูอยู่คนละฝั่งกับเธอ

“เปิดเดี๋ยวนี้!”

“คุณจะเข้ามาทำไมคะ นี้มันดึกแล้ว ฉันจะนอน…”

“ยังนอนไม่ได้!”

“แต่ฉันง่วง!”

“อย่ามาหาข้ออ้างหน่อยเลย เธอยังไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ จะเปิดดีๆ หรือจะให้ฉันหมดความอดทน” คนโดนขู่เต็มไปด้วยความสับสน เรื่องร้ายๆ หมุนวนเต็มหัว

“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอยังไม่หยุดดันไอ้ประตูบ้าๆ นี้ ได้เห็นดีกันแน่”

“1 2…” แทบไม่เหลือเวลาให้คิดเมื่อหนึ่งกับสองไล่ตามกันมาติดๆ ก่อนที่สามจะหลุดออกจากปาก ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดจนได้

“มีอะไรคะ รีบๆ พูดมาเลย” แม้จะหวั่นๆ อยู่บ้างแต่ก็ยังเชิดหน้าสู้ มาถึงขนาดนี้แล้วตายเป็นตาย

เพทายมองสภาพไม่ยอมคนของเธออย่างพึงพอใจ แม้จะไม่เก่งกาจขนาดเจ้าเอยแต่แค่นี้เขาก็รับมือลำบากแล้ว “สระผมให้หน่อย คันหัว…”

“คะ!”

“เดินตามมาเร็วๆ ล่ะ อย่าให้ต้องมาตามอีกรอบ” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวออกไป ทิ้งให้คนโดนขอไปสระผมได้แต่ทำตัวไม่ถูก หลงกลัวว่าจะโดนฆาตกรรมหมกห้องอยู่ตั้งนาน ที่ไหนได้…

“คนบ้า แค่จะสระผมบอกดีๆ ก็ได้”

“บ่นอะไร ได้ยินนะ” พลอยไพลินสะดุ้งเมื่อคำบ่นเบาๆ เขายังได้ยิน ‘อะไรจะหูดีขนาดนั้น’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น