2

ตอนที่ 2


“ตาลไม่กลับ”

ราวินทรากลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายขณะฟังเสียงพร่ำบ่นข้ามประเทศของพี่ชายผ่านโทรศัพท์มือถือ “พี่ต้นเลิกเชื่อข่าวในซีเอ็นเอ็นหรือบีบีซีได้แล้ว พวกฝรั่งก็ชอบใส่สีตีไข่เกินความเป็นจริงตลอดนั่นละค่ะ เรื่องที่ตลาดข่านเมื่อวานไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกก่อการร้ายเลยสักนิด แค่เหตุทะเลาะวิวาทที่เลยเถิดเท่านั้นเอง ข่าวในโทรทัศน์ที่นี่รายงานแบบนี้ทั้งนั้น ไม่เชื่อถามพี่สาดูก็ได้”

หญิงสาวหันไปมองนริสสาที่ยืนทำอาหารเช้าอยู่หน้าเตาด้วยแววตาเว้าวอน แต่เจ้าตัวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน...ให้คุยกับวราทิตย์ ไปคุยกับเสือเสียยังจะดีกว่า อย่างน้อยเสือก็น่าจะมีเหตุผลมากกว่าอีตาคนนี้เยอะ!

“ตาลรู้ว่าพี่ต้นเป็นห่วง แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ สถานการณ์ในอียิปต์ปลอดภัยกว่าที่เราเห็นในข่าวมากนะคะ”

ราวินทราเม้มริมฝีปากแน่น นริสสามองปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าคนปลายสายคงกำลังร่ายบทเทศนายาวอยู่เป็นแน่

“ไม่รู้ละ ยังไงตาลก็ไม่กลับ พรุ่งนี้ตาลจะไปล่องเรือสำราญแล้วด้วย ตาลจ่ายเงินแล้ว ไม่แคนเซิลเด็ดขาด ถ้าพี่ต้นยังทำเหมือนตาลเป็นเด็กสิบขวบแบบนี้อีก ตาลจะไม่รับสายพี่ต้นอีกเลย”

พูดจบ หญิงสาวก็กดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที เธอเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้กลมไม่มีพนักข้างเคาน์เตอร์ครัว

“เดี๋ยวคอยดูนะ ไม่เกินสองนาที พี่ต้นของลูกตาลต้องโทร.เข้าเครื่องพี่แน่ๆ”

กริ๊ง...

พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์มือถือที่นริสสาทิ้งไว้ในห้องนอนซึ่งอยู่สุดทางเดินก็ดังขึ้นแทบจะในทันทีราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว เธอหันไปมองรอยยิ้มแหยๆ ของสาวรุ่นน้องแล้วย่นจมูก

“ปล่อยให้ดังไปแบบนั้นแหละ พี่ไม่รับหรอก”

“ตาลขอโทษนะคะพี่สา เลยต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย” ราวินทราทำหน้าไม่ถูก รู้สึกผิดที่พลอยทำให้นริสสาต้องวุ่นวายไปด้วย

“แหม เดือดร้อนอะไรกันจ๊ะ” นริสสาพูดพร้อมกับตักข้าวต้มไก่หอมกรุ่นจากหม้อกระเบื้องเคลือบใส่ถ้วย แล้วนำมาวางตรงหน้าหญิงสาว “พี่เข้าใจความรู้สึกของคุณต้นนะ เวลามีข่าวทำนองนี้ออกไป คนอยู่ไกลไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว พ่อกับแม่พี่เอง เวลามีข่าวประท้วงหรือระเบิดก็ตกอกตกใจกัน รีบโทร.มาหาพี่ก่อนทุกทีนั่นละจ้ะ แต่ไม่พารานอยด์จัดแบบพี่ชายของลูกตาลหรอกนะ”

แม้สถานการณ์ในอียิปต์จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังมีกลุ่มคนหัวรุนแรงสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายอยู่บ้างเป็นระยะ บางครั้งถึงกับวางระเบิดเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ในโบสถ์คริสต์เพื่อให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา โชคดีที่ฝั่งผู้นำทางศาสนาทั้งสองฝ่ายใจกว้างและหนักแน่น ออกมาประณามการกระทำอันเหี้ยมโหดนั้นอย่างดุเดือด ทำให้ประชาชนไม่หลงทางจนทะเลาะเบาะแว้งกันเอง

“ตาลรู้ว่าพี่ต้นเป็นห่วงค่ะ ตอนที่ตาลยังอยู่เมืองไทย เห็นข่าวระเบิดในโบสถ์ที่ซิตาเดล ตาลก็กลัวเหมือนกัน แต่พอมาอยู่ที่นี่ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วปลอดภัยจะตายไป นี่ถ้ารู้ว่าที่เกิดเหตุระเบิดครั้งนั้นอยู่ห่างบ้านพี่สาไปแค่สิบกิโลนะคะ รับรองว่าโวยวายยิ่งกว่านี้อีก” ราวินทราตักข้าวต้มร้อนๆ เข้าปาก ก่อนจะอุทานเสียงดัง “โอ้โห อร่อยมากเลยพี่สา เปิดร้านได้เลยนะคะเนี่ย”

“สมาคมชมกันเองอีกแล้วนะเรา” นริสสาหัวเราะแล้วตักข้าวต้มใส่ชามให้ตนเองบ้าง จากนั้นจึงลากเก้าอี้มานั่งที่เคาน์เตอร์ฝั่งตรงข้าม “พี่ก็แค่ทำกินกันตายประสาสาวโสดละจ้ะ”

“แหม พี่สาเลือกจะโสด ‘กึ่งถาวร’ เองต่างหาก” ราวินทราตักข้าวต้มกินสองคำติดๆ กันแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข แทบลืมเรื่องที่ถูกพี่ชายบ่นยาวเหยียดไปเสียสนิท ข้าวต้มร้อนๆ ช่วยทำให้ท้องอุ่น

ในฤดูนี้อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น แม้ภายในอาคารมีฮีตเตอร์ แต่คนที่เกิดในเมืองร้อนอย่างราวินทราก็ไม่ชินกับอากาศเย็นยะเยือกระดับนี้อยู่ดี ยิ่งตกดึกอุณหภูมิยิ่งดิ่งลงจนเหลือราวแปดหรือเก้าองศาเซลเซียส นริสสาจึงต้องเปิดฮีตเตอร์ในห้องนอนที่จัดไว้ให้ราวินทราแรงขึ้นอีก พร้อมขนผ้าห่มฟลีซมาให้อีกสองผืนให้หญิงสาวห่อตัวเป็นหนอนดักแด้อยู่กลางเตียง

อะพาร์ตเมนต์ของนริสสาอยู่บนชั้นสิบของตึกเก่าแก่ในย่านดอกกี ซึ่งถือเป็นย่านของผู้ดีมีเงินระดับหนึ่งของไคโรจึงถือว่ามีความปลอดภัยพอสมควร โดยรอบมีทั้งสถานเอกอัครราชทูตอิรัก ร้านอาหารนานาชาติรวมไปถึงร้านกาแฟและร้านค้าต่างๆ เรียกได้ว่าเจริญและค่อนข้างคึกคักไม่น้อยโดยเฉพาะช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน วันแรกที่มาถึงอียิปต์ ราวินทรายืนเกาะหน้าต่างกระจกห้องรับแขก แล้วมองลงไปยังบรรดาร้านอาหารที่เปิดไฟสว่างไสวเบื้องล่างด้วยความตื่นเต้น

อะพาร์ตเมนต์ของนริสสากว้างขวาง แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัวสวยงาม มีห้องนอนถึงสามห้อง หนึ่งห้องรับแขกและหนึ่งห้องนั่งเล่น ทุกห้องตกแต่งอย่างสวยงามน่ารักตามแบบยุโรปผสมอาหรับ เว้นแต่ห้องน้ำสำหรับแขกที่ตกแต่งด้วยหน้ากากไม้ของชนเผ่าแอฟริกากับบรรดาข้าวของที่มีลายเสือและม้าลาย เวลาเข้าไปทำธุระส่วนตัวทีไร ราวินทรารู้สึกเหมือนตนเองกำลังอยู่ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง จอร์จออฟเดอะจังเกิล ทุกทีสิน่า

“ก็คงจะกึ่งถาวรแบบนี้ไปอีกนานละจ้ะ” คนพูดยักไหล่เหมือนปลงตกนานแล้ว

“บอกแล้วว่าให้มาเป็นพี่สะใภ้ของตาลแต่แรกก็ไม่เชื่อ”

“งั้นพี่ขอเลือกเป็นโสดแบบถาวรเลยดีกว่าจ้ะ” คำพูดที่เพิ่งได้ยินทำเอาคนฟังเกือบสำลักข้าวต้ม “อุ๊ย...กำไลข้อมือน่ารักจัง ซื้อมาจากร้านจอร์ดีเมื่อคืนเหรอจ๊ะ”

นริสสาคว้าข้อมือเล็กเรียวของราวินทราขึ้นมองใกล้ๆ กำไลข้อมือสีทองหม่นนั้นกว้างราวหนึ่งนิ้ว กึ่งกลางประดับด้วยหินสีเหลืองอ่อนโปร่งแสงขนาดไม่เกินนิ้วโป้ง แกะสลักเป็นแมลงสการับอย่างประณีตบรรจงประหนึ่งมีชีวิต ส่วนปีกที่กางออกทั้งสองข้างนั้นฝังด้วยเทอร์คอยส์และปะการังชิ้นเล็กจิ๋วสลับกันอย่างวิจิตร บ่งชัดว่ารังสรรค์โดยช่างฝีมือชั้นเยี่ยม ซึ่ง...งานระดับนี้ไม่น่าจะเป็นสินค้าเลียนแบบที่วางขายในตลาดไปได้เลย หากบอกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์เธอก็เชื่อ

“ตาลก็ไม่แน่ใจค่ะพี่สา ตาลซื้อเยอะแยะไปหมดจนจำไม่ได้ จำได้แค่คนขายที่ร้านจอร์ดีบอกว่ามีของแถมให้ สงสัยจะเป็นชิ้นนี้มั้งคะ สวยดีเนอะ ตาลช้อบชอบ” ราวินทราไล้ปลายนิ้วไปตามแนวโค้งของตัวด้วงสการับอย่างแผ่วเบา

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืนจบลง เธอกับนริสสาก็ซมซานกลับมายังอะพาร์ตเมนต์อย่างเหนื่อยอ่อน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีแก่ใจรื้อของฝากออกมาจดลิสต์ว่าชิ้นไหนเป็นของใคร วินาทีแรกที่เห็นกำไลวงนี้ปะปนอยู่กับเครื่องประดับชิ้นๆ อื่น เธอก็ตกหลุมรักมันในทันที แม้จะดูเก่าและมอมแมมกว่าชิ้นอื่นๆ อยู่มาก แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้ชิ้นงานดูเข้มขลังเหมือนเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากห้องลับในพีระมิดอย่างไรอย่างนั้น

“หือ?” นริสสาขมวดคิ้ว “ใจดีขนาดนี้เชียว ชิ้นนี้ดูแพงกว่าพวกจี้ที่ลูกตาลซื้ออีกนะจ๊ะ”

ยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นรายละเอียดอันอ่อนช้อยเกินกว่าจะเป็นสินค้าราคาย่อมเยาในร้านขายของที่ระลึกตามท้องตลาดทั่วไป งานประณีตขนาดนี้ แม้แต่ร้านจิวเอลรีชั้นนำในไคโรก็ยังไม่เคยเห็นวางขายด้วยซ้ำไป

“ตาลว่าไม่น่าแพงนะคะ หินบนตัวเรือนพวกนี้ก็ไม่น่าจะเป็นของจริงหรอกค่ะพี่สา น่าจะเป็นพวกหินย้อมสีกับพวกแก้วสีเท่านั้นแหละ”

แวบแรกเธอคิดว่ากำไลวงนี้สวยเกินกว่าจะเป็นของแถมเช่นกัน แต่เมื่อเห็นชัดว่าตัวด้วงสการับตรงกึ่งกลางเป็นเพียงแก้วเนื้อหนา จึงสรุปเอาเองว่าหินสีที่อยู่รอบๆ ก็น่าจะเป็นเพียงหินที่ย้อมสีเลียนแบบลาพิส ลาซูลี เทอร์คอยส์ และปะการัง เมื่อใช้เทคนิคตกแต่งอีกนิดหน่อยให้ดูเก่าและมีริ้วรอยประหนึ่งผ่านกาลเวลามานานนับพันปีก็กลายเป็นของเลียนแบบชั้นหนึ่งได้อย่างไม่มีที่ติ

“อือ...ก็คงงั้นเนอะ” นริสสาพยักหน้าเห็นด้วย แม้จะยังรู้สึกตงิดๆ ใจอยู่บ้างก็ตาม “พี่ก็นึกว่าอีตาฝรั่งที่มาจีบลูกตาลเมื่อคืนทุ่มทุนซื้อให้เป็นของขวัญเสียอีก”

“โอ๊ย จีบอะไรกันคะ เมื่อคืนตาลกลัวเขาจะแย่ ท่าทางแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”

ภาพดวงตาคมกริบขอบชายหนุ่มแปลกหน้าที่ปรากฏในห้วงความคิดทำเอาราวินทราหายใจขัดขึ้นมาเสียเฉยๆ ไออุ่นจากร่างใหญ่โตที่ได้แนบชิดกันชั่วระยะเวลาสั้นๆ ยังคงติดตรึงอยู่บนผิวกายอย่างน่าละอาย เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาผู้ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับเพื่อนต่างเพศเสียหน่อย แต่ไม่รู้ทำไม...ผู้ชายพิลึกคนนั้นถึงทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินยามนึกถึงเขาแบบนี้กันหนอ

“แหม ไม่จีบก็ไม่จีบ ทำไมต้องทำเสียงแหลมขนาดนี้ด้วยเล่า” นริสสากระเซ้า เหลือบมองนาฬิกาแล้วตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก “อิ่มหรือยังจ๊ะ จะแปดโมงแล้วนะ พี่ว่าเราควรจะออกกันได้แล้วละ รถในไคโรยิ่งติดวินาศสันตะโรอยู่ด้วย”

“อิ่มแล้วค่ะ” ราวินทรายกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่เป็นการปิดท้ายอาหารมื้อเช้า แล้วหยิบถ้วยชามทั้งหมดไปล้างที่อ่างล้างจานอย่างคล่องแคล่ว “เดี๋ยวตาลไปหยิบผ้าพันคอกับเสื้อโคตก่อน พี่สาไปส่งตาลที่พิพิธภัณฑ์แล้วจะเลยไปทำงานเลยใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ เช้านี้พี่มีนัดคุยกับผู้กำกับจากไทยที่จะมาทำเรื่องขออนุญาตถ่ายละครที่อียิปต์ คุณกฤษณ์จะตามไปเจอลูกตาลที่พิพิธภัณฑ์ช้าหน่อยนะจ๊ะ ลูกตาลซื้อบัตรด้านหน้าแล้วเข้าไปเดินเล่นก่อนได้เลย พอคุณกฤษณ์ไปถึง เขาจะโทร.หา เดี๋ยวนี้ข้างในถ่ายรูปได้แล้วนะจ๊ะ แค่อย่าใช้แฟลชก็พอ อ้อ แล้วก็อย่าลืมซื้อบัตรสำหรับใช้กล้องด้วยนะจ๊ะ”

“ถ้าคุณกฤษณ์ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ ตาลเดินดูเองก็ได้ เกรงใจน่ะค่ะ”

ตอนแรกที่รู้ว่านริสสาติดต่อนักเรียนไทยในอียิปต์ให้ช่วยดูแลพาตนเที่ยว ราวินทราก็รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก แต่เจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่า ‘จำเป็น’ ต้องมีคนดูแล

“คุณกฤษณ์เขาพูดอาหรับเก่งอย่างกับเจ้าของภาษา แล้วก็คล่องแคล่วมาก เวลาติดขัดอะไรจะได้ช่วยแก้ไขได้ไงจ๊ะ” จริงอยู่สถานการณ์ต่างๆ ในอียิปต์นั้นค่อนข้างปลอดภัยกว่าเมื่อสองสามปีก่อนมาก แต่บางครั้งอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงขอร้องกฤษณ์ให้ช่วยดูแลราวินทราให้มีแต่ความทรงจำดีๆ ติดตัวกลับบ้านไปให้มากที่สุด “เอาละ รีบไปหยิบของเถอะจ้ะ เดี๋ยวก็ไปถวายบังคมพระสวามีสายกันพอดี”

“พี่สาล้อตาลอีกแล้ว” ราวินทราหัวเราะเสียงใส “ตุตันคามุนเป็นรักแรกของตาลที่มีกับอียิปต์เลยนะคะ ตาลตั้งใจว่าถ้ามาอียิปต์ต้องไปดูหน้ากากทองคำกับหลุมฝังพระศพที่หุบผากษัตริย์ให้ได้”

“พี่จำที่ลูกตาลเคยพูดตอนเรียนได้จ้ะ ถึงได้ชวนมาถวายบังคมพระสวามีที่อียิปต์นี่ไง” นริสสายังจำประกายตาวับวาวยามราวินทราพูดถึงความฝันที่จะเห็นโลกกว้างได้ดี ทั้งทัชมาฮาลที่อินเดีย แคปปาโดเกียที่ตุรกี และพีระมิดที่อียิปต์ แต่ที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คงเป็นหน้ากากทองคำของตุตันคามุนนี่ละ “พี่ละอยากเห็นจริงจริ๊ง ว่าผู้ชายแบบไหนที่จะทำให้ตาลสนใจมากกว่ามัมมี่ของตุตันคามุนได้”

“ท่าจะยากนะคะ สงสัยคงยังไม่เกิด หรือไม่ก็คงรอตาลไม่ไหวเลยเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายด้วยกันนานแล้วมั้งคะ”

 

“ฮัดเช้ย!”

แอรอนจามเสียงดัง ใบหน้าของชายหนุ่มบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีแว่นกันแดดสีชาอันเขื่องปกปิดใบหน้าเอาไว้กว่าครึ่ง ดวงตามองตรงไปยังผู้คนที่กำลังต่อแถวเข้าไปในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ณ กรุงไคโร สลับกับมองนาฬิกาข้อมือ เขาอัดบุหรี่เข้าปอดซ้ำๆ อย่างหงุดหงิดใจ นึกอยากได้กาแฟสักแก้วเพื่อช่วยให้ตาสว่างหลังจากที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งในรถเฝ้า ‘เป้าหมาย’ อยู่แทบทั้งคืน ตอนแรกเขาคิดว่าจะรอให้ ‘เหยื่อ’ บินออกจากรังเสียก่อน จากนั้นค่อยหาทางหลบบาวับ หรือคนเฝ้าตึก ดอดเข้าไปหยิบ ‘ของ’ แล้วชิ่งหนีออกจากไคโรโดยเร็วที่สุด

แต่งานที่ควรจะง่ายกลับยุ่งยากอย่างเหลือเชื่อเพราะยายเด็กตัวแสบคนนั้น!

ความดีใจในตอนแรกที่เห็นสองสาวเดินเยื้องย่างมาขึ้นรถหน้าอาคารที่พักหายวับไปกับสายลมหนาวของกรุงไคโรทันทีที่ดวงตาเจ้ากรรมเห็นว่า ‘ของชิ้นสำคัญ’ อยู่ที่ข้อมือของแม่เด็กหน้าหวาน...เจ้าหล่อนกล้าดียังไงถึงได้หยิบของล้ำค่าขนาดนั้นใส่ออกไปเดินอวดในที่สาธารณะ! ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเกรี้ยวขณะขับรถตามหญิงสาวทั้งสองคนห่างๆ เขาแทบทึ้งผมตนเองเมื่อขับตามมาครึ่งทางแล้วพอเดาออกว่าพวกเธอกำลังจะไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่ซึ่งอาจมีคนเห็นกำไลนั่นแล้วจำมันได้!

บ้าเอ๊ย!

แอรอนต้องเค้นสมองนึกเส้นทางลัดในไคโร แล้วบึ่งมาให้ถึงพิพิธภัณฑ์ก่อนหน้าสองคนนั้น แล้วคิดหาวิธีดักเอากำไลคืนมา ก่อนที่ภัณฑารักษ์ตาไวจะเห็นมันเข้าแล้วเกิดเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้ เขานึกโมโหตนเองนักที่ตาถั่วไปเลือกแม่เด็กชื่อเรียกยากนั่น ตอนนั้นเขาแค่คิดหาทางให้กำไลออกจากเขตตลาดไปโดยเร็วที่สุด ต่อให้พวกของไอ้ฌอง-ลุคจับตัวเขาได้ ก็ไม่มีวันหากำไลเจอ เขาถึงได้เลือกหญิงสาวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตนทั้งสิ้นเพื่ออำพรางร่องรอยทั้งหมดที่มี เขาตามหามันมาเกือบห้าปี ลงทุนลงแรงไปก็มาก กว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องอะไรจะยอมให้ไอ้สารเลวพวกนั้นมาชุบมือเปิบง่ายๆ กันเล่า...แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กคนนั้นจะทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากบรรลัยแบบนี้!

“โผล่หัวมาจนได้นะ แม่ตัวดี”

แอรอนดีดบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าหนาในรองเท้าบูตสีน้ำตาลคู่เก่งขยี้จนดับ ดวงตามองตรงไปยังสาวน้อยที่กำลังเดินตรงมายังทางเข้าพิพิธภัณฑ์เขม็ง นึกประหลาดใจนิดหน่อยที่เธอเดินผ่านจุดตรวจด้านหน้าตรงเข้ามาต่อแถวเพียงลำพัง บางที...เพื่อนของเธออาจจะกำลังวนรถไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นได้

ถ้าอย่างนั้น คงต้องรีบชิงลงมือ...

ชายหนุ่มแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่นขณะรอให้หญิงสาวเดินต่อแถวผ่านเครื่องสแกนกระเป๋าไปก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ต่อแถวแล้วเดินตามเธอไปห่างๆ...ที่จริงการมองหาเธอในฝูงชนไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ก็เล่นเด่นสะดุดตาเสียขนาดนั้น อยู่ตรงไหนก็เห็น แม้จะมีรูปร่างกะทัดรัดตามแบบฉบับผู้หญิงเอเชีย แต่ท่วงท่าการเดินเหินสง่างามส่งให้เรือนร่างเพรียวระหงของเธอชวนมองยิ่งนัก ยามเยื้องย่าง เส้นผมที่รวบขึ้นเป็นหางม้าสะบัดไหวอย่างมีชีวิตชีวาราวเด็กน้อย ท่าทางตื่นเต้นกับทุกสิ่งรอบกายและดวงหน้าอ่อนเยาว์ทำให้เขาเดาว่าเธอน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปีหรือน้อยกว่านั้น

น่ารักดีแฮะ...

นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่แอรอนมีเวลามองผู้หญิงตัวเป็นๆ ที่ไม่ใช่รูปจำหลักหินอ่อนหรือในภาพสลักบนผนังโบราณสถาน ชีวิตส่วนใหญ่ที่ต้องมุดอยู่แต่ใต้สุสานและนอนกลางดินกินกลางทราย มีท้องฟ้าต่างหลังคา มีทรายต่างเตียงนอนทำให้เขาไม่มีเวลาสานสัมพันธ์กับใครเป็นเรื่องเป็นราว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าบรรดาหญิงสาวรักสนุกที่เคยนอนร่วมเตียงกันชื่ออะไรบ้าง และไม่เคยคิดใส่ใจด้วย อาจเพราะความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันคนรักไม่ใช่สิ่งที่หัวใจของเขากำลังเสาะแสวงหาอยู่ก็เป็นได้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในยามนี้คือสานต่อความฝันของบิดาให้สำเร็จ พิสูจน์ให้ทุกคนที่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามรู้ว่าท่านไม่ใช่คนบ้าน่าสมเพชดังที่เคยถูกกล่าวหา และสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เขาสมปรารถนาได้มีเพียงกำไลวงนั้น

ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขาจะต้องไม่สูญเปล่า

ปัญหาคือ...เขาจะฉกมันคืนมาจากแม่เด็กคนนี้ได้อย่างไรโดยที่เจ้าตัวไม่ส่งเสียงโวยวาย...

แอรอนขบคิดขณะสาวเท้าเดินตามหญิงสาวเข้าไปในอาคารทรงยุโรปอันแสนโอ่อ่า เช้านี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวยุโรปสองสามกลุ่มและชาวญี่ปุ่นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเท่านั้น สายกว่านี้อาจมีกลุ่มเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษาบ้างประปราย

สมัยเขายังเด็ก จำได้ว่าทุกครั้งที่บิดาพาเขามายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แทบทุกอณูของพื้นที่มักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล กว่าจะต่อแถวเข้าไปชมโบราณวัตถุชิ้นงามๆ ด้านในอาคารได้ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แถมผู้คนยังแออัดยัดเยียดกันประหนึ่งมีงานเทศกาลแทบจะตลอดเวลา แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นที่อียิปต์หลายต่อหลายครั้ง นักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เคยเป็นรายได้หลักของประเทศก็พากันหายไปถึงสามในสี่ เพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้บ้างก็ตอนที่ผูกสัมพันธไมตรีกับจีนจนได้นักท่องเที่ยวแดนมังกรมาช่วยต่อลมหายใจเมื่อสักปีสองปีนี่เอง

ดวงตาคมกล้าอ่อนแสงลงเมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นระคนประทับใจของหญิงสาวขณะแหงนหน้าขึ้นมองไปรอบๆ...นั่นเป็นสีหน้าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สีหน้าของคนที่เพิ่งได้สัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการของอารยธรรมอียิปต์โบราณเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาเองก็เคยมีสีหน้าและแววตาเช่นนี้ ก่อนที่จะถูกกระชากให้ตื่นจากความฝันครั้งเยาว์วัยอย่างโหดร้ายที่สุด

“เดี๋ยวนี้อาจหาญขนาดคิดขโมยของในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเชียวเหรอ แอรอน”

น้ำเสียงเยาะหยันที่ดังมาจากเบื้องหลังดึงแอรอนออกจากภวังค์ความคิด เขาหันกลับไปหาเจ้าของสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ พร้อมแสยะยิ้มเย็นชา ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชาลุกวาบด้วยแรงอารมณ์อย่างรวดเร็วราวไฟไหม้ฟาง

“อย่าพูดพล่อยๆ สิ ดอกเตอร์ฟาดิล ซูไลมาน นี่มันสมบัติของชาติ ใครจะกล้า”

“แล้วไอ้ที่แกลักลอบขุดไปขายในตลาดมืด มันไม่ใช่สมบัติของชาติหรือไง”

ร่างผอมสูงในชุดสูทสีเทาเข้มสาวเท้าเข้ามาประชิด เขาเป็นชายวัยราวห้าสิบปลายๆ ที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงอยู่มาก เขามีโหนกแก้มสูงและปลายจมูกงุ้มเข้านิดๆ เมื่อประกอบกับเส้นผมที่ย้อมสีดำขลับผิดธรรมชาติและดวงตาสีเดียวกันทำให้เขาดูคล้ายตัวร้ายในภาพยนตร์เกรดบีไม่มีผิด

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่คล้ายหรอก ตัวตนแท้จริงของมันก็ร้ายฉิบ!

“ก็น่าจะน้อยกว่าที่ไอ้พวก ‘นักวิชาการจอมปลอม’ ขโมยไปขายเยอะ”

คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำเอาคนฟังหน้าตึง แต่ยังฝืนฉีกยิ้มกว้างเต็มที่

“นักวิชาการจอมปลอมที่ว่านั่น รวม ศาสตราจารย์อาร์เธอร์ วินสตัน ด้วยสินะ เท่าที่ฉันจำได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ข่าวที่พ่อแกถูกจับข้อหาลักลอบเอาโบราณวัตถุไปขายก็อื้อฉาวไม่เบานี่ พ่อแกคงภูมิใจมากที่ลูกชายสุดที่รักเลือกเดินตามรอยเท้าตัวเองแบบนี้”

“พ่อฉันไม่ใช่โจร แกเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ!” แอรอนคำรามในลำคอ “แกกับไอ้มิเชล ดูวาล จัดฉากทำลายชื่อเสียงพ่อฉัน เพราะพ่อรู้ว่าพวกแกกำลังทำเรื่องระยำอะไรกันอยู่!”

“จะพล่ามอะไรก็ให้มีหลักฐานหน่อยไอ้หนู พูดลอยๆ แบบนี้ใครจะเชื่อแก” ฟาดิลกดเสียงลงพอให้ได้ยินกันสองคน มุมปากกระตุกขึ้นจนเกือบจะเป็นรอยยิ้มแต่ชืดชากว่ามาก “ว่าแต่คนมีคดีติดตัวแบบแกมาทำอะไรที่นี่กันแน่ รู้ตัวหรือเปล่าว่าตำรวจสากลกับพวกไอ้ฌอง-ลุคกำลังหาตัวแกกันจ้าละหวั่น”

“มีคดีติดตัว? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” แอรอนทำเสียงขึ้นจมูก “ถ้าตำรวจสากลมีหลักฐานแน่ชัด คงจับฉันเข้าซังเตไปนานแล้ว คงไม่ปล่อยให้ฉันบินเข้าออกอียิปต์-ฝรั่งเศสปร๋อแบบนี้หรอกมั้ง”

“อวดดีจริงนะ เที่ยวสร้างศัตรูไปทั่วแบบนี้ ระวังจะถูกลากลงนรกไม่รู้ตัว” ฟาดิลทำท่าคล้ายปัดฝุ่นบนไหล่เสื้อแจ็กเกตหนังสีน้ำตาลของชายหนุ่ม...เสื้อที่เขารู้ดีว่าเป็นของรักของหวงของคนตรงหน้า และเป็นมรดกตกทอดจากบิดาผู้ล่วงลับ “ถ้าไม่อยากลงเอยเหมือนพ่อแก ก็อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ดีกว่า แอรอน มอบของที่ฌอง-ลุคต้องการให้มันไปซะ”

“ดูเหมือนแกจะรู้เรื่องข้อตกลงของฉันกับฌอง-ลุคดีเหลือเกินนะ ถ้าอย่างนั้นแกก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันทำผิดข้อตกลง ดังนั้นทุกอย่างถือเป็นโมฆะ” แอรอนปัดมือของฟาดิลทิ้งอย่างรังเกียจ คนสารเลวอย่างมันไม่มีสิทธิ์แตะต้องสมบัติของพ่อ! “ฝากบอกไอ้ระยำฌอง-ลุคด้วยว่า ถ้ามันคิดจะลากฉันลงนรกละก็ ให้มันเตรียมตัวพินาศไปพร้อมกันได้เลย ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันมอบ ‘ของ’ ให้มันแน่!”

“ก็ตามใจ” ฟาดิลชักมือกลับพลางเดาะลิ้น “ฉันอุตส่าห์เตือนเพราะเห็นแก่ที่แกเคยเป็นศิษย์เอกของมิเชลเพื่อนรักของฉันแท้ๆ เอาเถอะ ครั้งนี้ฉันจะทำเป็นไม่เห็นแกที่นี่ แต่ครั้งหน้า ถ้าฉันเจอแกมาเสนอหน้าแถวนี้อีก ก็เตรียมชีวิตมาตายให้พอด้วยก็แล้วกัน ดูจากที่ฌอง-ลุคโกรธจนถึงกับไล่ยิงแกกลางตลาดแล้ว เวลาของแกน่าจะเหลือไม่มากนักหรอก”

“เอาเวลาไปห่วงเงาหัวของตัวเองดีกว่ามั้ง ฟาดิล ถ้าครั้งหน้าแกยังยื่นจมูกมาแส่เรื่องของฉันอีก ต่อให้พกชีวิตมาตายเป็นร้อยก็ไม่พอ”

แอรอนเอ่ยเสียงเหี้ยม ในขณะที่อีกฝ่ายตอบรับด้วยรอยยิ้มขบขันประหนึ่งเรื่องที่เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต

“ดอกเตอร์ครับ อีกสิบนาทีจะได้เวลาประชุมแล้วครับ”

เลขานุการส่วนตัวเดินตรงเข้ามากระซิบอย่างนอบน้อม แอรอนจำได้แม่นว่าชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นี้เป็นลูกหม้อของ ฟาดิล ซูไลมาน มานานแรมปี และเป็นฟันเฟืองสำคัญตัวหนึ่งของกระทรวงโบราณคดีอียิปต์ เช่นเดียวกับเจ้านายที่ตนทำงานรับใช้ชนิดถวายหัว

เฮอะ! ไอ้พวกขี้ข้า!

“ก็คอยดูกันไปว่าใครจะได้ไปเจอพ่อแกในนรกก่อนกัน” ฟาดิลพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทิ้งหนุ่มรุ่นลูกให้ยืนตั้งท่าคล้ายจะทุบรูปสลักสฟิงซ์ของฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุตระบายแค้น “กาบาล ส่งคนตามประกบไอ้หนุ่มนั่นอย่าให้คลาดสายตา แล้วมารายงานฉันให้ละเอียด ไม่ว่ามันจะพูดคุยกับใคร เข้าห้องน้ำกี่ครั้ง อยู่ที่ไหนในพิพิธภัณฑ์นานเป็นพิเศษ ต้องบอกฉันให้หมด อย่าให้พลาดแม้แต่รายละเอียดเดียว”

ฟาดิลเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเดินพ้นระยะที่แอรอนจะได้ยินมาแล้ว

“จะให้เก็บภาพจากกล้องวงจรปิดด้วยไหมครับท่าน” กาบาลถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมจะได้ทำสำเนาส่งให้เมอสิเออร์เรนิเยร์ด้วยเลย”

“ไม่ต้องทำสำเนาส่งให้ฌอง-ลุค เอามาให้ฉันคนเดียวก็พอ”

คำตอบนั้นทำเอาคนฟังต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ฟาดิลมักรายงานให้ฌอง-ลุคหุ้นส่วนคนสำคัญรับรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง และอาจมีผลกระทบต่อ ‘ธุรกิจ’ ของพวกตนอย่างไม่เคยปิดบัง

“แต่ท่านเคยสั่งว่า...”

“ครั้งนี้ไม่ต้อง” ฟาดิลโบกมือ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด “รายงานเฉพาะฉันคนเดียว มีบางเรื่องที่ฉันต้องเช็กให้แน่ใจก่อน”

บางเรื่อง...ที่เขาไม่จำเป็นต้อง ‘แบ่งปัน’ กับคนอื่น และอาจทำให้เขาสบายไปทั้งชาติ!

 

ราวินทราเดินชมโบราณวัตถุชิ้นหลักๆ ที่ชั้นหนึ่งจนครบแล้ว ไกด์หนุ่มที่นริสสาติดต่อไว้ให้ก็ยังไม่มา เขาโทรศัพท์มาขอโทษขอโพยพร้อมแจ้งว่าการจราจรในไคโรวันนี้ติดขัดเป็นพิเศษ น่าจะมาถึงในอีกราวครึ่งชั่วโมง ซึ่งหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างใด เพราะเธอกำลังเพลิดเพลินกับการเสพความงามและประวัติอันทรงคุณค่าของโบราณวัตถุทีละชิ้นอย่างมีความสุข ความเข้มขลังของรูปสลักหินและอักษรไฮโรกลิฟที่สลักอยู่บนพื้นผิวดึงเธอเข้าสู่โลกโบราณกาลอันลี้ลับและเต็มไปด้วยปริศนาชวนขบคิด ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเมื่อหลายพันปีก่อนช่างน่าทึ่งเสียจนเธออดรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในร้านลูกกวาดที่เต็มไปด้วยขนมหวานถูกใจไม่ได้ ยิ่งชิมก็ยิ่งอร่อยลิ้นจนไม่อยากจะออกจากร้านไปไหนอีกเลย ต่อให้ไกด์กิตติมศักดิ์ไม่มา เธอก็คงเดินวนเวียนอยู่ในนี้ได้จนถึงเวลาปิดชนิดไม่ต้องกินข้าวกินปลาอยู่ดี

“นี่คือบัลลังก์ทองอันเลื่องชื่อของฟาโรห์ตุตันคามุนค่ะ เป็นงานชิ้นเอกที่หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะคะ”

เสียงไกด์สาวที่กำลังบรรยายให้ลูกทัวร์ชาวยุโรปฟังเรียกให้ราวินทราต้องชะงักฝีเท้า เธอเพิ่งเริ่มต้นเดินชมโบราณวัตถุบนชั้นสองได้ยังไม่ถึงห้านาที พอได้ยินไกด์ชาวอียิปต์บรรยายประวัติความเป็นมาของสิ่งที่เรียกว่า ‘งานชิ้นเอก’ เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไพเราะก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อร่วมฟังด้วยอย่างแนบเนียน แม้จะรู้ว่าผิดมารยาทอยู่สักหน่อย แต่ความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นของคู่กันกับผู้หญิงก็ทำให้เธออดใจไม่อยู่

“ว้าว!”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อหันไปเห็นบัลลังก์ทองที่ตั้งอยู่บนแท่นครอบด้วยกระจกแก้ว ดูเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางโบราณวัตถุชิ้นอื่นๆ ที่ขุดพบจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุน ตัวบัลลังก์ทำจากไม้แกะสลักอย่างงดงามหุ้มด้วยทองคำเหลืองอร่ามประดับด้วยหินมีค่าอย่างลาพิส ลาซูลี เทอร์คอยส์ แผ่นเงิน แก้วสี และกระเบื้องเคลือบอย่างวิจิตรบรรจงที่สุด ที่กึ่งกลางพนักพิงสีทองเป็นภาพนูนต่ำของยุวกษัตริย์ผู้กระเดื่องนามประทับอยู่บนบัลลังก์ในขณะที่พระชายาทรงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พระหัตถ์ข้างหนึ่งของพระองค์แตะบนกรองพระศอของพระสวามีด้วยลักษณาการอันแสดงถึงความรักอย่างสุดซึ้ง

ไม่น่าเชื่อว่าภาพนูนต่ำอายุนับพันปีจะแสดงอารมณ์ลึกซึ้งอย่างเด่นชัดเช่นนี้ได้...

“บัลลังก์นี้มีตำนานรักด้วยนะคะ” ไกด์สาวยังคงเล่าเจื้อยแจ้วด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ว่ากันว่าตุตันคามุนรักอังเคเซนามุนผู้เป็นพระชายามาก จึงแสดงความรักในรูปแบบที่แหวกขนบที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ใครรู้บ้างคะว่าคืออะไร”

ไกด์ท้องถิ่นกวาดตามองไปยังนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ของตน แล้วฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าทุกคนส่ายหน้ากันหมด ราวินทราเองยังลอบส่ายหน้าดิก เธอยกกล้องดิจิทัลขึ้นเก็บภาพบัลลังก์ทองแทบจะทุกมุม ยังไม่เห็นสิ่งใดที่เรียกว่าแหวกขนบเลยสักนิด จะว่าเป็นหัวสิงห์ที่อยู่ด้านหน้าพนักเท้าแขนหรือขาเก้าอี้ที่แกะเป็นเท้าสิงห์ก็ไม่น่าใช่ การแตะเนื้อต้องตัวกันระหว่างฟาโรห์ตุตันคามุนกับพระนางอังเคเซนามุนก็ดูเป็นเรื่องปกติอย่างที่สุด

“เอ๊ะ...” จู่ๆ ราวินทราก็เห็นความผิดปกติบางอย่างบนรูปสลักนูนต่ำ เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจขณะขยายภาพในกล้องดิจิทัลดู “รองเท้า...ทั้งสองพระองค์สวมฉลองพระบาทข้างเดียว!”

หญิงสาวหลุดปากพูดเสียงดังเป็นภาษาอังกฤษด้วยความตื่นเต้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว

“ถูกต้องค่ะ” ไกด์สาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับคำตอบจากคนที่ไม่ใช่ลูกทัวร์ของตน ราวินทราได้แต่ยิ้มแหยๆ ที่ถูกจับได้ว่าแอบฟังการบรรยายฟรี “ว่ากันว่าตุตันคามุนรักพระชายามาก ถึงขนาดแบ่งฉลองพระบาทของพระองค์ให้หนึ่งข้าง เป็นสัญลักษณ์ถึงความเท่าเทียมกันระหว่างสามีภรรยา และจะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างให้กันและกันโดยไม่มีข้อแม้ เรื่องนี้เป็นตำนานที่โรแมนติกที่สุดของพิพิธภัณฑ์เลยนะคะ”

“ว้าว โรแมนติกจริงๆ ด้วย” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวับวาวยามมองไปยังภาพอันเป็นตำนานเลื่องชื่อ ในสมองจินตนาการเพ้อเจ้อไปไกลถึงความรักหวานซึ้งของยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ หากเป็นนิยายรักละก็ คงจะต้องหวานชนิดมดไต่ผึ้งตอมแน่ๆ

“โรแมนติก? ขอที อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย”

เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกความสนใจจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบบัลลังก์ทองแทบจะในทันที

“นี่...คุณ!”

ราวินทราหันขวับกลับไปหาต้นเสียงทันควัน แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนที่คาดแว่นตากันแดดสีชาไว้บนศีรษะเต็มตา สูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นแบบนี้...หน้าแบบนี้...นี่มัน...อีตาผู้ชายปากเสียที่ชื่อแอรอนนี่!

“ตอนที่ ฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ ขุดพบสุสานของตุตันคามุน เขาจดบันทึกรายละเอียดของโบราณวัตถุทุกชิ้นอย่างละเอียดโดยมี แฮร์รี เบอร์ตัน ทำหน้าที่ถ่ายภาพเอาไว้ แม้จะเป็นภาพขาวดำก็เห็นได้ชัดว่าตุตันคามุนสวมฉลองพระบาทครบทั้งสองข้าง”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มผู้มาใหม่ยังจิ้มนิ้วไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือระบบสัมผัสอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันภาพถ่ายขาวดำที่ขยายส่วนของฉลองพระบาทจากภาพนูนต่ำของฟาโรห์ตุตันคามุนไว้อย่างชัดเจนให้คนรอบด้านดูโดยทั่วกัน จากนั้นจึงชี้ไปยังบัลลังก์ทององค์จริงที่อยู่ในตู้กระจก “ถึงในภาพสลักนูนต่ำนี้จะดูเหมือนทรงสวมฉลองพระบาทคนละข้าง แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นพื้นฉลองพระบาทที่ทำจากบรอนซ์เหลืออยู่ใต้พระบาทของทั้งสองพระองค์ เป็นไปได้ว่าอาจมีบางส่วนหลุดล่อนหายไประหว่างทางขนส่งหรือตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ถ้ามีสมองสักหน่อย รู้จักใช้โปรแกรมเซิร์ชหาข้อมูลโง่ๆ ในอินเทอร์เน็ตสักนิด ก็น่าจะรู้ได้ไม่ยากว่าตำนานรักหวานเลี่ยนที่ว่านั่นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อทั้งเพ”

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นยืนนิ่งงันประหนึ่งถูกสาป ราวินทรากะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทันกับบทร่ายยาวแกมเหน็บแนมของชายหนุ่ม หญิงสาวหันไปมองไกด์เจ้าของเรื่องเล่าที่ยืนหน้าม้านอยู่ด้วยสายตาแสดงความเห็นใจ...ดูเหมือนจินตนาการโรแมนติกของเธอไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ถูกผู้ชายปากเสียคนนี้ทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีเสียแล้ว

“อะ...เอ่อ...เราไปชมสมบัติชิ้นอื่นๆ ต่อกันทางนี้ดีกว่าค่ะ”

ไกด์สาวที่ถูกฉีกหน้ายับเยินผายมือเชิญลูกทัวร์ให้เดินตามไปอีกทาง ราวินทราคิดว่าเจ้าหล่อนคงโกรธจนอยากจะกระโจนข่วนหน้าพ่อคนไร้มารยาทเต็มแก่ แต่จากการที่ไม่ยอมต่อความยาวสาวความยืด และเลือกที่จะเดินหนีไปเสียเฉยๆ เช่นนี้ แสดงว่าข้อมูลที่เขาเพิ่งพล่ามมานั้นถูกต้องทุกประการ ที่ไม่ถูกคงมีอย่างเดียวนั่นละ คือไม่ถูกกาลเทศะ!

“ที่คุณทำเมื่อกี้ใจร้ายมาก” สีหน้ากระอักกระอ่วนของไกด์สาวทำให้ราวินทราพลั้งปากพูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด

แอรอนเดาะลิ้นสองสามครั้ง แล้วหันกลับมาหาหญิงสาวด้วยสีหน้าเสแสร้งแสดงความประหลาดใจเหลือล้น “โอ้โห โลกมันกลมจริงๆ แฮะ เราเจอกันอีกแล้วนะ เรเวน”

“ฉันชื่อราวินทรา!” หญิงสาวเค้นเสียงลอดไรฟัน บางทีเธอก็นึกอยากให้โลกแบนมากกว่า จะได้อยู่คนละขอบโลกกับเขา ไม่ต้องวนมาเจอกัน!

“ก็ชื่อไต้หวันของคุณมันเรียกยากเหลือเกินนี่ เรียกแบบนี้ง่ายดี” ชายหนุ่มยักไหล่ยียวน

“ไทยแลนด์ ไม่ใช่ไต้หวัน! ฉันเป็นคนไทย!”

นั่นเป็นสิ่งที่แอรอนคาดเดาไว้แต่แรกแล้ว เพียงแต่ต้องการคำยืนยันเพื่อความแน่ใจ จากข้อมูลคร่าวๆ ที่เขาค้นจากป้ายทะเบียนรถบ่งชัดว่าเจ้าของรถเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายของเขาก็น่าจะเป็นคนไทยด้วย แต่...ผิวของเธอขาวมาก ดวงตาแป๋วแหววคู่นี้ก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน แถมเค้าโครงหน้ายังเหมือนคนมีเลือดผสมจากทางฝั่งยุโรปอีก

เดี๋ยวนะ? แล้วเขาจะสนใจทำไมว่าแม่ตัวยุ่งนี่เป็นคนชาติไหน เขาแค่ต้องหาทางเอากำไลคืนมาจากเธอก็พอแล้วไม่ใช่หรือ

“เบาๆ หน่อยสิคู้น เราอยู่ในพิพิธภัณฑ์นะ รบกวนคนอื่นเขา”

แอรอนเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยท่าทางกวนประสาทเสียจนราวินทราอยากกรี๊ดใส่หน้าเขานัก แต่ทำไม่ได้ดังคิดจึงได้แต่ส่งค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปยังตู้กระจกขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ทางขวาของบัลลังก์ทองโดยไม่รักษามารยาทกับชายหนุ่มอีกต่อไป

“แหม...งอนซะแล้ว ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง”

แอรอนเดินตามไปยืนข้างๆ หญิงสาว สีหน้างอง้ำเหมือนเด็กน้อยที่ถูกขัดใจของเธอทำเอาเขาต้องฝืนกดมุมปากไม่ให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าเธอน่ารัก...ยิ่งโกรธ ก็ยิ่งน่ารัก...แต่ความคิดนั้นคงอยู่เพียงชั่วขณะก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเลื่อนสายตามาเห็นส่วนหนึ่งของกำไลโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อของเธอเข้า

ต้องเลิกคิดเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลได้แล้ว เขาจะไขว้เขวไปจากเป้าหมายไม่ได้

“ฉันไม่คิดว่าเราสนิทกันถึงขั้นจะล้อเล่นกันได้หรอกนะคะ” ราวินทราหน้าตึง เธอกดชัตเตอร์ถ่ายภาพพระเศียรจำลองของตุตันคามุนที่ตั้งอยู่บนฐานทรงกรวยวาดลวดลายเป็นดอกบัวสีน้ำเงิน ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์โบราณ อย่างพยายามข่มอารมณ์

“เย็นชาจริงจริ๊ง คุณรู้จักชื่อผม ผมรู้จักชื่อคุณ เราไม่ใช่คนแปลกหน้าเสียหน่อย”

“แปลกหน้าแน่นอน! คุณยังเรียกชื่อฉันไม่ถูกด้วยซ้ำ!” หญิงสาวกลอกตามองเพดานอย่างหงุดหงิดใจ “ฉันรู้ว่าพูดแบบนี้เสียมารยาทมาก แต่กรุณาปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวได้ไหมคะ ฉันอยากซึมซับวัฒนธรรมโบราณแบบคนมีอารยธรรมเงียบๆ”

ท้ายประโยคจงใจแขวะเขาเต็มที่ คิดว่าหากเขาไม่พอใจหรือโกรธก็คงเดินจากไปเอง แต่ผิดคาดที่เขาตอบรับคำพูดไร้มารยาทของเธอด้วยการส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ

“จริงอะ” แอรอนกอดอก พยักพเยิดไปทางตู้กระจกที่อยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว “แล้วคนมีอารยธรรมอย่างคุณรู้หรือเปล่าว่าที่อยู่ข้างหน้าคืออะไร”

“ก็...” ดวงตากลมโตเหลือบมองป้ายเขียนคำอธิบายซึ่งวางอยู่ในตู้กระจกแวบหนึ่งเพื่อความแน่ใจ “รูปแกะสลักเศียรของตุตันคามุนไงคะ”

“บางทีก็เรียกเศียรของเนเฟอร์เตม” แอรอนพูดยิ้มๆ พลางชี้ไปที่บริเวณฐานทรงกรวยคว่ำที่วาดลวดลายเป็นกลีบของดอกบัวสีน้ำเงิน “เนเฟอร์เตมคือเทพแห่งแสงอาทิตย์แรกยามอรุณรุ่ง มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสีน้ำเงิน คนอียิปต์โบราณเชื่อกันว่าพระอาทิตย์จะเกิดใหม่ทุกเช้าโดยผุดขึ้นมาจากดอกบัว ฟาโรห์เองก็ได้ชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากรา เทพแห่งดวงอาทิตย์ ดังนั้นการจำลองเศียรของตุตันคามุนในวัยเยาว์ไว้บนดอกบัวสีน้ำเงินนี้ก็เท่ากับเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์จะฟื้นคืนจากความตายอย่างแน่นอน แต่คนมีอารยธรรมอย่างคุณน่าจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วละมั้ง...เอ๊ะ! ทำหน้าแบบนี้หรือว่าไม่รู้”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเล่านิทานในขณะที่คนฟังกะพริบตาปริบๆ คำอธิบายของเขาเรียบง่าย อาจไม่ได้ให้ข้อมูลชนิดละเอียดยิบ แต่ฟ้องชัดว่าเขามีความรู้เรื่องเกี่ยวกับโบราณคดีเป็นอย่างดี...ดีจนน่าหมั่นไส้เสียด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามลอยหน้าลอยตาเหมือนเยาะหยันเธอเช่นนี้!

“เคยมีใครบอกไหมว่าคุณมันเหลือทนจริงๆ”

“ก็...เกือบทุกคนละมั้ง ผมฟังบ่อยจนคิดว่าเป็นคำชมไปแล้ว” แอรอนยักไหล่ ไม่ยี่หระต่อคำเหน็บแนมที่เพิ่งได้ยินสักนิด “รู้ไหม จะดูพวกโบราณสถาน โบราณวัตถุในอียิปต์ให้สนุกคุ้มค่า ต้องมีพื้นฐานเรื่องพวกนี้ไว้บ้างนะคุณ หรือไม่ก็ควรจ้างไกด์เจ๋งๆ แบบผมสักคน”

“ฉันมีไกด์ที่เจ๋งมากอยู่แล้ว อีกเดี๋ยวเขาคงมาถึง”

“แต่เท่าที่เห็น ตอนนี้เขายังมาไม่ถึงนี่ ให้ผมพาคุณเดินเที่ยวไปพลางๆ ก่อนก็ได้ ไม่คิดเงิน รับรองว่าสนุกไม่รู้ลืม”

คำตอบที่ได้รับยืนยันอย่างชัดเจนว่าเธอน่าจะอยู่เพียงลำพังอีกสักพัก ก่อนหน้านี้เขาเดินตามประกบเธออยู่เกือบสี่สิบห้านาที จึงแน่ใจว่าเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตของเธอแค่มาส่ง ไม่ได้มาเดินเที่ยวด้วย ถือเป็นโอกาสอันงามที่ควรรีบลงมือโดยเร็วที่สุด

“ถ้าสนุกแบบที่คุณทำเมื่อครู่ละก็ ฉันขอผ่านดีกว่าค่ะ” ราวินทราปฏิเสธทันควันแล้วเดินหนีไปทางอื่น

ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะสาวเท้าตามไปอย่างไม่เร่งร้อน ที่จริง...เขาจงใจเว้นระยะห่างระหว่างตนกับหญิงสาวขณะเดินผ่านกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าห้องแสดงหน้ากากทองคำของฟาโรห์ตุตันคามุนไว้บ้าง เพื่อไม่ให้เห็นชัดจนเกินไปนักว่าเขามีปฏิสัมพันธ์กับเธอเป็นพิเศษ เขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่า ฟาดิล ซูไลมาน ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวเขาอยู่จากที่ใดสักที่เป็นแน่ เผลอๆ อาจกำลังให้ลูกน้องหาทางไล่ตรวจสอบภูมิหลังของแม่สาวไทยคนนี้อยู่ก็เป็นได้ พวกมันคงงงเป็นไก่ตาแตกเชียวละที่หาความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเธอไม่พบ อย่างมากก็เห็นแค่เขากำลังไล่จีบสาวสวยที่พบกันโดยบังเอิญอยู่เท่านั้นเอง

แค่คิดก็ขำแล้ว ถ้าเจอความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับเธอก็คงแปลกพิลึก เขาเพิ่งเคยเห็นหน้าหวานๆ ของแม่คุณเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้เอง รู้แค่เธอเป็นคนไทยและมีชื่อที่ออกเสียงยากเป็นบ้า นอกนั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่ว่าก็ว่าเถอะ...ถึงอยากทำความรู้จักกันมากกว่านี้ ก็คงไม่มีโอกาสอยู่ดี  เวลามีน้อยเกินไป...น้อย...เกินกว่าจะไขว้เขวเพราะหมากตัวเล็กๆ ไร้ความสลักสำคัญที่โผล่มาบนกระดานโดยไม่คาดฝันได้...

“นี่คุณโกรธเรื่องที่คุณบอกว่าผม ‘ใจร้าย’ น่ะเหรอ” แอรอนแบะปาก “รู้ไหมว่าผมฟังเรื่องแลกรองเท้ากันใส่เพื่อยืนยันความรักนั่นมาตั้งแต่ผมอายุเก้าขวบ จนป่านนี้ก็ยังพูดกันอยู่เลย นักท่องเที่ยวได้รับข้อมูลผิดๆ กันไปค่อนโลกแล้ว ถ้าจะขายฝันเพ้อเจ้อขนาดนั้นก็ควรเลิกเป็นไกด์แล้วไปเอาดีทางด้านเขียนนิยายจะดีกว่า ทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสิ”

“ก็อธิบายดีๆ สิ พูดให้นุ่มนวลกว่านั้นก็ได้ ที่คุณทำน่ะ ฉีกหน้าเพื่อนร่วมอาชีพชัดๆ”

ราวินทราถอนใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเดินตามมาอย่างไม่ลดละ เธอเก็บกล้องลงกระเป๋าก่อนเลี้ยวเข้าไปในห้องแสดงหน้ากากทองคำซึ่งห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด

เพื่อนร่วมอาชีพ?

แอรอนอยากหัวเราะนัก สิ่งที่เขาทำเลี้ยงชีพก็ได้เงินดีอยู่หรอก แต่ไม่แน่ใจว่าจะจัดเป็น ‘อาชีพ’ ได้หรือเปล่านี่สิ

“บางครั้งก็ต้องเตือนกันหนักๆ บ้าง จะได้เลิกทำเรื่องโง่ซ้ำซากเสียที จะรักษาโรคให้หายขาดในครั้งเดียวก็ต้องใช้ยาแรงหน่อยสิ จริงไหม”

“ไม่คิดว่าตัวเองผิดสักนิดเลยว่าอย่างนั้นเถอะ” ราวินทราพึมพำเป็นภาษาไทย ก่อนจะเอ่ยต่อเป็นภาษาอังกฤษ “พูดกับคุณไปก็เท่านั้น ฉันขอจบการสนทนาระหว่างเราเอาไว้แค่นี้ก็แล้วกันนะคะ บ๊ายบาย”

พูดจบหญิงสาวก็หันหลังให้ชายหนุ่มทันที เธอตั้งใจเข้ามาชมหน้ากากทองคำอันเลื่องชื่อ แต่เมื่อเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นกำลังยืนล้อมตู้กระจกซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง เธอจึงเดินดูโบราณวัตถุชิ้นอื่นๆ ไปพลางๆ ก่อน รอให้คนซาแล้วค่อยเข้าไปชื่นชมให้สมกับที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมา

ในห้องแสดงสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุนนี้ เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าที่ขุดพบจากหลุมเควี ๖๒ ในหุบผากษัตริย์ ทั้งโลงพระศพชั้นนอก เครื่องประดับจากทอง และอัญมณีกับหินกึ่งมีค่านับร้อยชิ้น แต่ละชิ้นถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรด้วยฝีมือของช่างที่เรียกได้ว่าเหนือมนุษย์

ราวินทราเคยเห็นภาพสมบัติเหล่านี้มาบ้างจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต แต่เทียบไม่ได้เลยสักนิดกับความงามที่ปรากฏต่อสายตาในยามนี้ เครื่องประดับโบราณที่ชั้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ที่เธอคิดว่าน่าตื่นตาตื่นใจแล้วยังดูด้อยค่า ไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของสิ่งที่อยู่ในห้องนี้ หญิงสาวตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจจนเมื่อเห็นรายละเอียดอันประณีตอ่อนช้อยของชิ้นงานอายุนับพันปีชัดถนัดตา เธอทึ่งปนฉงนนักว่าช่างฝีมือในยุคนั้นสร้างผลงานที่บอบบางและละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้อย่างไรทั้งที่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัยเทียมเท่ายุคนี้เสียด้วยซ้ำ

นี่มัน...งามเกินกว่าจะเป็นฝีมือมนุษย์แล้ว...

“สวยกว่าภาพในหนังสือใช่ไหมเล่า ของจำลองที่ช่างฝีมือสมัยนี้ทำกัน ต่อให้เป็นเกรดพิพิธภัณฑ์ยังถอดแบบมาไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของสมบัติจริงๆ เลยสักนิด”

ราวินทราขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากเบื้องหลัง

“คุณไม่มีธุระต้องไปทำบ้างหรือไงคะ ถึงมาเดินตามฉันอยู่ได้” หญิงสาวพูดเสียงเบาโดยไม่หันกลับไปมองเจ้าของเสียง ไม่ชอบใจนักที่เขาพูดเหมือนอ่านใจเธอออก

“ธุระของผมอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

ราวินทราหันหน้าไปมองคนพูด แล้วก็ต้องรีบหลุบตาลงอย่างเคอะเขิน เมื่อเห็นว่าดวงตาคมกริบของเขาจ้องหน้าเธอนิ่ง เธอไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดมองไม่ออกว่าสายตาชนิดนี้ซ่อนความนัยอะไรไว้

“ถ้าคิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ฉันละก็ บอกไว้ก่อนนะคะว่าไม่สำเร็จหรอก คุณไม่ใช่สเปกฉัน”

“แปลกนะ ผมคิดว่าตัวเองเป็นสเปกของผู้หญิงทุกคนเสียอีก” แอรอนแสร้งตีสีหน้างุนงงได้จอมปลอมเสียจนราวินทราอดแบะปากด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ “สักนิดก็ไม่เลยเหรอ”

“ไม่เลยค่ะ” ราวินทราถอนใจ “คุณนี่หลงตัวเองชะมัด”

“เขาเรียกว่ารู้จักจุดแข็งของตัวเองดีต่างหาก”

คำตอบของเขาทำเอาหญิงสาวจนด้วยคำพูด ไม่รู้จะหาประโยคไหนมาตอบโต้ผู้ชายอีโก้สูงลิ่วเท่ายอดพีระมิดคนนี้ดี จึงได้แต่ลอบกลอกตาแล้วหันไปสนใจเครื่องประดับที่วางเรียงรายในตู้กระจกแทน เธอได้ยินเขาพูดอะไรอีกสองสามคำ แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และพยายามตั้งสมาธิกับการชมโบราณวัตถุต่อไปเงียบๆ จนกระทั่งสะดุดตาเข้ากับเครื่องประดับชิ้นขนาดใหญ่ไม่เกินฝ่ามือที่มุมขวาสุดของตู้ เธอจำได้อย่างเลือนรางว่าเคยดูคลิปวิดีโอที่ ดอกเตอร์ซาฮี ฮาวาสส์ เจ้าของฉายามาเฟียมัมมี่และนักอียิปต์วิทยาผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอียิปต์ในยุคหนึ่งกล่าวถึงงานระดับมาสเตอร์พีซที่ขุดค้นพบจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนว่า สำหรับเขาแล้วมีอยู่สองชิ้นที่ไม่ควรพลาดชม แน่นอนว่าชิ้นแรกต้องเป็นหน้ากากทองคำอันลือลั่น และชิ้นที่สองก็คือทับทรวงทองคำชิ้นที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้เอง

ราวินทราประหลาดใจไม่น้อยที่ทับทรวงชิ้นนี้มีขนาดเล็กกว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก เธอเคยเปิดภาพดูผ่านๆ ในอินเทอร์เน็ตก็เห็นว่ามีรายละเอียดซับซ้อนและอ่อนช้อยมาก แมลงสการับที่อยู่กึ่งกลางนั้นกางปีกที่มีลักษณะเหมือนปีกนกออกกว้าง ขณะชูเรือที่ด้านในมีดวงตาของเทพฮอรัสอยู่ เหนือขึ้นไปมีดวงอาทิตย์ตั้งอยู่บนฐานจันทร์เสี้ยว ตรงกลางแกะสลักเป็นภาพฟาโรห์ตุตันคามุนยืนโดยมีสุริยเทพและจันทราเทพประกบทั้งสองข้าง ตามปกติแล้ว หญิงสาวมักเห็นแมลงสการับอันเป็นสัญลักษณ์ของอาทิตย์ยามอรุณรุ่งแกะสลักจากลาพิส ลาซูลี หรือเทอร์คอยส์ แต่สการับที่อยู่เบื้องหน้าเธอนี้กลับสลักเสลาจากหินสีเหลืองขุ่นซึ่ง...คุ้นตาเป็นอย่างมาก

“สการับสีเหลือง...”

หญิงสาวรีบดึงชายแขนเสื้อขึ้น แล้ววางข้อมือที่สวมกำไลลงบนกระจกด้านบนของตู้โชว์ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าแมลงสการับที่อยู่บนข้อมือของเธอถอดแบบมาจากทับทรวงชิ้นนี้ชนิดโขกพิมพ์กันมา ทั้งสีสัน รูปลักษณ์ แม้แต่ปีกและหางที่เหมือนนก เหมือน...จนเธอขนลุกไปหมด!

“นั่นเป็นสการับที่แกะสลักจากหินน้ำตาสวรรค์”

แอรอนเอ่ยเสียงเข้ม เขาเหลือบมองไปทางกล้องวงจรปิดที่อยู่บนเพดานก่อนจะเคลื่อนกายใหญ่โตมาบังกำไลข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้กล้องจับภาพได้ นึกอยากเขกกะโหลกแม่คุณนักที่จู่ๆ ก็อวดกำไลอายุเหยียบหลายพันปีท้าทายสายตาภัณฑารักษ์เสียอย่างนั้น! ยายเด็กบ้าเอ๊ย!

“น้ำตาสวรรค์?”

เมื่อได้ยินเรื่องน่าสนใจ ราวินทราก็หูผึ่ง ลืมไปเสียสนิทว่าไม่อยากสนทนากับเขาอีก

“จะเรียกว่าแก้วทะเลทรายลิเบียก็ได้ ว่ากันว่าเมื่อยี่สิบเก้าล้านปีก่อนมีอุกกาบาตตกเพียงครั้งเดียวในทะเลทรายลิเบีย แรงปะทะก่อให้เกิดความร้อน แก้วก็เลยหลอมละลาย กลายเป็นแก้วสีเหลืองที่มีส่วนผสมของมวลสารจากเทหวัตถุนอกโลก เป็นของหายากและมีค่ามาก”

“มีค่ามากเลยเหรอคะ” หญิงสาวหลุบตามองสการับบนข้อมือของตนเองสลับกับชิ้นที่อยู่ในตู้ แล้วนึกขำตนเอง โธ่...กำไลของเธอเป็นแค่ของเลียนแบบราคาถูก ไม่น่าจะแกะจากหินน้ำตาสวรรค์ที่เขาว่าหรอกน่า

“เดี๋ยวนี้ก็ยังมีค่าอยู่ เป็นของหายากด้วย เพราะรัฐบาลอียิปต์ไม่ให้เข้าไปเก็บในทะเลทรายแล้ว ราคาก็เลยพุ่งพรวดๆ น่าดู ขายกันเป็นกรัมเลยละ ก้อนใหญ่ๆ สวยๆ ราคาหลักร้อยไปจนถึงพันดอลลาร์โน่น” แอรอนมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าคนในห้องซาลงมากแล้วจนเหลือเพียงไม่กี่คน จึงขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวอีกนิด “กำไลของคุณสวยดีนะ ผมไม่เคยเห็นของเลียนแบบที่ทำได้เนี้ยบขนาดนี้มาก่อนเลย ผมชอบนะ ขายต่อผมได้ไหม”

เขาพยายามเน้นคำว่า ‘เลียนแบบ’ เพื่อไม่ให้เจ้าตัวรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งที่ตนครอบครองอยู่

“หา?” ราวินทราทำหน้างง สายตาที่เขามองมาทำให้เธอต้องรีบดึงแขนเสื้อปิดกำไลไว้โดยอัตโนมัติ “คงไม่ได้หรอกค่ะ ฉันชอบมันมากเลย ถ้าคุณอยากได้ก็ไปที่ตลาดคาน เอล คาลิลีสิคะ ฉันจำไม่ได้ว่าได้มาจากร้านไหน อาจจะเป็นร้านจอร์ดีก็ได้”

ใช่ที่ไหนกันเล่าแม่ตัวดี เธอได้มาจากฉันต่างหาก!

“ผมยังไม่มีของไปฝากแม่เลย ถ้าเมื่อคืนไม่เกิดเรื่องเสียก่อน ผมคงได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง” แอรอนนึกขอโทษมารดาที่นอนหลับอย่างสงบอยู่ในหลุมศพที่ฝรั่งเศสอยู่ในใจ “วันนี้ผมเสร็จธุระที่นี่แล้ว ก็ต้องกลับอะเล็กซานเดรียเลย คงไม่มีเวลาแวะไปดูของฝากที่ไหนอีกแน่ๆ คุณช่วยผมหน่อยเถอะน่า จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา ร้อยดอลล์ สองร้อยดอลล์ หรือจะเอาพันดอลล์ก็ว่ามา ผมยินดีจ่าย”

การเสนอราคาจากหลักร้อยขึ้นเป็นหลักพันดอลลาร์ในพริบตา ทำเอาราวินทรางงเป็นไก่ตาแตก...นี่เขากำลังล้อเธอเล่นอยู่ใช่ไหม คนบ้าที่ไหนจะกล้าซื้อของเลียนแบบจากตลาดข่านด้วยราคาสูงลิ่วเช่นนี้กัน

“ฉัน...ฉันก็อยากช่วยคุณอยู่หรอกนะคะ แต่...อย่างที่บอก ฉันชอบมันมากจริงๆ”

“สองพันดอลลาร์” แอรอนหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วเปิดให้หญิงสาวดูธนบัตรดอลลาร์ที่อัดแน่นอยู่ด้านใน “ผมเทหมดหน้าตักเลย”

ความรู้สึกแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาในอกสั่งให้ราวินทราก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง...และผิดปกติมาก ทำไมคนที่แทบไม่รู้จักกันเลยถึงได้กล้าเสนอเงินจำนวนมากเพื่อซื้อกำไลข้อมือเก๊จากเธอ แถมยังเปิดกระเป๋าให้ดูเงินเพื่อหลอกล่อเธออีกต่างหาก แบบนี้ชัดเลย...เขาต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎที่คอยหลอกนักท่องเที่ยวไปเรียกค่าไถ่แบบที่เคยเห็นในข่าวแน่!

“ไม่ขายค่ะ ให้เท่าไหร่ฉันก็ไม่ขาย” หญิงสาวส่ายหน้าในจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูแล้วลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ของกฤษณ์ปรากฏขึ้นหน้าจอ “ไกด์ของฉันมาแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”

พูดจบ ราวินทราก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอชิ่งหนีจากเขาโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองสีหน้าเหมือนอยากกระโจนบีบคอใครสักคนของเขาสักนิด ด้วยกลัวว่าคนโชคร้ายคนนั้นจะเป็นตนเอง!

“บ้าเอ๊ย!” แอรอนเค้นเสียงลอดไรฟัน มือหนายัดกระเป๋าสตางค์เก็บเข้าที่อย่างหงุดหงิด “ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ก็คงต้องเล่นไม้แข็งกันแล้ว เรเวน!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น