3

ตอนที่ 3


“ขออนุญาตครับ ดอกเตอร์”

กาบาลเคาะประตูห้องทำงานที่เปิดแง้มอยู่ แต่ไม่ก้าวเข้าไปด้านในจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่อีกฝ่ายมี ‘แขกพิเศษ’ มาเยี่ยมเยียน ประสบการณ์ในการทำงานกับผู้เป็นนายสอนเขาว่าการเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในวงสนทนาโดยไม่ได้รับเชิญ อาจทำให้ถูกพบเป็นศพนิรนามในวันถัดมาได้อย่างง่ายดายกว่าที่คิด

“เข้ามา”

ชายหนุ่มผลักบานประตูให้เปิดออก พร้อมโค้งศีรษะคำนับแขกของเจ้านายที่นั่งอยู่บนชุดโซฟารับแขกอย่างนอบน้อม “สวัสดีครับศาสตราจารย์ดูวาล”

เจ้าของชื่อไม่ตอบ เขาทำเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้อย่างไว้ตัว ซึ่งกาบาลไม่ถือสาแต่อย่างใด ด้วยชินกับความยโสชนิดนี้ของชายชาวฝรั่งเศสผู้นี้เสียแล้ว มิเชล ดูวาล เป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เขามีชื่อเสียงจากการค้นพบวัตถุโบราณอันทรงคุณค่าร่วมกับรัฐบาลอียิปต์หลายต่อหลายครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่นักวิชาการแถวหน้าเช่นเขาจะวางท่ายกตนข่มท่านอยู่บ้าง

ในแวดวงนักอียิปต์วิทยาค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยที่ดอกเตอร์ฟาดิล ซูไลมาน เป็นเพื่อนสนิทกับศาสตราจารย์มิเชล ดูวาล ได้ ทั้งที่ไม่มีสิ่งใดคล้ายกันเลยสักนิด ฟาดิลเป็นคนเจ้าระเบียบและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแทบจะตลอดเวลา จนผู้คนพากันนินทาว่าเขาสวมชุดสูทและผูกไทเข้านอนเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่มิเชลชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลำลองโดยไม่เคยนึกถึงกาลเทศะใดๆ ทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่เขาไปร่วมงานสำคัญและเป็นทางการของกระทรวงโบราณคดีของอียิปต์โดยสวมเพียงเสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้ายับๆ ประหนึ่งหลุดออกมาจากภาพยนตร์เรื่องอินเดียนา โจนส์ แต่รูปร่างกลมป้อม อุดมด้วยไขมันและจมูกโด่งที่มีปลายงุ้มแบบคนฝรั่งเศสของเขาทำให้เขาดูคล้ายมนุษย์เพนกวิน ตัวร้ายในหนังเรื่องแบตแมนเสียมากกว่า

“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง” ฟาดิลที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์แลปทอปบนโต๊ะทำงานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่สีหน้าและแววตาบ่งชัดว่ากำลังรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

กาบาลเหลือบมองมิเชลครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับมามองเจ้านาย

“ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดต่อหน้ามิเชลได้เลย เรื่องนี้มิเชลควรได้รับรู้ด้วย”

กาบาลค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่ง ก่อนจะเดินตรงไปวางทัมบ์ไดรฟ์บนโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานี

“นั่นเป็นภาพที่คนของเราแอบถ่าย แอรอน วินสตัน ที่พิพิธภัณฑ์เช้านี้ครับ มีคลิปจากกล้องวงจรปิดประกอบด้วยนิดหน่อย เท่าที่ผมเช็กดูเบื้องต้น เขาคุยกับคนแค่สองคน คนแรกเป็นไกด์นำเที่ยวชื่อ คามิลาห์ กาเนม ส่วนอีกคนเป็นนักท่องเที่ยวผู้หญิงชาวไทยยังไม่ทราบชื่อ”

“นักท่องเที่ยวชาวไทย?” มิเชลทำหน้าประหลาดใจ “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามี ‘ผู้ซื้อ’ คนไทยในตลาดมืดด้วย”

“ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีไม่ใช่เหรอ” ฟาดิลเคาะนิ้วชี้บนโต๊ะอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเสียบทัมบ์ไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์แลปทอปเพื่อเปิดดูภาพ “แล้วรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงที่ว่านั่นเป็นคนไทย”

“เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์รู้จักกับนักศึกษาไทยที่ชื่อกฤษณ์ เห็นว่าเวลาสถานทูตไทยมีแขกมาเยือนจะจัดคนชื่อกฤษณ์นี่ละครับมาคอยดูแล ผมกำลังให้คนเร่งเช็กอยู่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตที่ไหน หรือแค่แฝงตัวเป็นนกต่อมารอซื้อ ‘ของ’ กันแน่”

“ดูเหมือนแกจะพุ่งเป้าไปที่ยายเด็กคนนี้เป็นพิเศษนะ กาบาล” ฟาดิลคลิกดูภาพนับสิบในไฟล์แล้วเลิกคิ้ว “ยังเด็กอยู่เลยนี่ อายุไม่น่าถึงยี่สิบด้วยซ้ำ”

“คามิลาห์ กาเนม เป็นไกด์มาเกือบสิบปี ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับการซื้อขายโบราณวัตถุ เส้นทางการเงินในบัญชีก็สะอาดดี เงินเก็บก็มีไม่มากนัก ผมคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับแอรอนแน่ แต่สำหรับผู้หญิงไทยคนนั้น ผมอยากให้ท่านลองดูนี่ก่อน”

กาบาลดึงคอมพิวเตอร์แลปทอปมากดเล่นวิดีโอแล้วหันให้เจ้านายดู ศาสตราจารย์ดูวาลอดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาจากชุดรับแขกมายืนชะโงกหน้าดูอยู่ทางด้านหลังฟาดิล

“เด็กคนนี้สวยใช่เล่น มิน่าเล่า ไอ้เวรแอรอนมันถึงเดินตามก้นต้อยๆ”

ศาสตราจารย์คนดังไม่ปกปิดความเกลียดชังในน้ำเสียงไว้แม้แต่น้อย ซึ่งกาบาลไม่แปลกใจนัก เพราะเมื่อหลายปีก่อน แอรอน วินสตัน ทำตัวเป็นศิษย์ล้างครู ล้างแค้นด้วยการเหยียบจมูกมิเชลและทำเขาชวดเงินไปเกือบสองล้านยูโรทีเดียว

“เดี๋ยวก่อน นั่นมันทำอะไร...มันเอาตัวบังเด็กคนนั้นงั้นเหรอ...”

มิเชลชี้ไปบนหน้าจอในขณะที่ดอกเตอร์ฟาดิลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือลูบปลายคางไปมาคล้ายกำลังเรียบเรียงความคิด

“มันไม่ได้เอาตัวบังเด็กคนนั้นหรอก” ดวงตาสีนิลทอประกายวับวาว “แต่เป็นสิ่งที่อยู่กับเด็กคนนั้นใช่ไหม กาบาล”

“ใช่ครับดอกเตอร์” กาบาลพูดพลางเปิดอีกคลิปหนึ่งซึ่งถ่ายจากกล้องมุมสูงของห้องแสดงสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุน ในคลิปวิดีโอ ผู้คนค่อนข้างบางตาเนื่องจากยังเช้าอยู่ จึงเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายทันที “ตอนแรกผมก็มองไม่ออกว่าเขาพยายามทำอะไร แต่พอลองย้อนดูสองสามครั้งถึงได้เห็นว่าเขาพยายามใช้ตัวบังกล้องเพื่อไม่ให้จับภาพนี้”

กาบาลกดปุ่มหยุดภาพไว้ในจังหวะที่หญิงสาวถลกแขนเสื้อแล้ววางข้อมือบนกระจกตู้โชว์ ก่อนที่แอรอนจะทันเดินมาบังเอาไว้ แม้จะเป็นภาพจากระยะไกลและคุณภาพของภาพค่อนข้างต่ำ แต่ก็พอมองเห็นรูปร่างของสิ่งที่อยู่บนข้อมือของเธอได้รางๆ

“นั่นมัน...อาร์สิโนเอ!” มิเชลถลันไปที่หน้าจอ ดวงตาของเขาฉายแววกราดเกรี้ยว “ไอ้เด็กเวรนั่น...ขายอาร์สิโนเอไปแล้ว!”

“ฉันไม่คิดว่ามันจะขายง่ายดายขนาดนั้นหรอกมิช” ฟาดิลเรียกเพื่อนรักด้วยชื่อเล่นที่คุ้นปากมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย “สิ่งที่อดีตลูกศิษย์ของแกอยากได้จริงๆ ไม่ใช่กำไลวงนั้น แต่เป็นสิ่งที่มันจะพาไปเจอต่างหาก ฉันคิดว่าไอ้แอรอนกำลังตามหาพันธมิตรใหม่เสียมากกว่า ไหนๆ ไอ้ฌอง-ลุคก็รวมหัวกับแกหักหลังมันแล้วนี่”

“แกคิดว่ามันจะออกล่าสมบัติเองอย่างนั้นเหรอ” มิเชลกัดกรามกรอด ดวงตายังคงจับจ้องหน้าจออย่างเอาเรื่อง

“ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แกน่าจะรู้จักมันดีกว่าฉันไม่ใช่เหรอ ปั้นมันมากับมือนี่” ท้ายประโยคฟาดิลเหน็บเข้าให้ “ฉันเคยเตือนแกตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้วว่าไอ้เด็กคนนี้หัวไวเกินไป อย่าใช้งานมัน แกก็ไม่เชื่อฉัน ปล่อยให้คนฉลาดเป็นกรดอย่างมันรู้เรื่องมากเกินไปจนย้อนกลับมาแว้งกัดแกจนได้”

“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วน่า จะรื้อฟื้นทำไมอีก” มิเชลหน้ายุ่ง เขาไม่อยากพูดถึงความหลังอันแสนอัปยศของตนนัก

“ไม่ได้รื้อฟื้น แค่เตือนสติว่าไอ้แอรอนมันไม่ธรรมดา จำได้ไหม ตอนที่มันรู้เรื่องที่แกทำกับพ่อมัน มันยังเอาคืนเสียเจ็บแสบชนิดไม่รู้ลืม ขนาดตอนนั้นมันเป็นแค่นักศึกษา ไม่มีพิษสงอะไรมากนัก แกยังอ่วมขนาดนั้น ตอนนี้มันกลายเป็นไอ้สารเลวตัวพ่อไปแล้ว แกคิดว่าจะรับมือมันไหวเหรอวะ”

“ก็ถึงได้ให้คนที่สารเลวพอกันอย่างไอ้ฌอง-ลุคเล่นงานมันไงเล่า”

“แกคิดว่าไว้ใจไอ้ฌอง-ลุคได้สักแค่ไหนกันเชียว แกทำธุรกิจกับมันมานานก็น่าจะรู้เช่นเห็นชาติมันดี ลองได้อาร์สิโนเอไว้ในมือ มีหรือจะยอมปล่อยแกไว้”

ความเหี้ยมโหดของ ฌอง-ลุค เรนิเยร์ เป็นที่เลื่องลือในแวดวงนักค้าวัตถุโบราณเถื่อนมานานนับปี เขาเป็นชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรียผู้ใช้ชีวิตในโลกมืดมาอย่างโชกโชน จึงค่อนข้างกว้างขวางและมีอิทธิพลในตลาดมืดอยู่มาก ประกอบกับมีเส้นสายกับทางการอย่างเหนียวแน่นจากสินบนมหาศาลที่โปรยปูทางไว้ เขาจึงกล้าทำเรื่องอุกอาจหลายต่อหลายเรื่องโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น รวมไปถึง...ฆ่าคน! บ่อยครั้งผู้คนที่กล้าขวางทางเขามักอันตรธานไปเฉยๆ มาโผล่อีกทีก็ตอนที่เป็นศพลอยเท้งเต้งอยู่ในแม่น้ำไนล์แล้ว

“ได้อาร์สิโนเอไปไว้ในมือก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรู้วิธีไขปริศนาที่มากับกำไลนี่” มิเชลยักไหล่อย่างทะนงตน “ฉันเสาะแสวงหาอาร์สิโนเอมาเกือบยี่สิบปี ไม่มีใครรู้เรื่องมันดีไปกว่าฉันอีกแล้ว ถ้ามันอยากถอดรหัสก็มีแต่ฉันเท่านั้นที่ทำได้”

“ฉันไม่อยากพูดอย่างนี้หรอกนะ เพื่อนเอ๋ย แต่ถ้าพูดถึงคนที่รู้เรื่องอาร์สิโนเอเป็นอย่างดีก็ควรนับ อาร์เธอร์ วินสตันเข้าไปด้วย” ฟาดิลหมุนเก้าอี้กลับไปประจันหน้ากับเพื่อนรัก “แล้วก็เป็นไอ้แอรอน ลูกชายของมันอีกนั่นละที่เป็นคนสืบหากำไลนั่นจนพบ ส่วนแกก็แค่รอฉกของจากมันอีกต่อ แต่ไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”

“แกอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฟาดิล”

มิเชลกัดกรามกรอด เถียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว เพราะนั่น...เป็นความจริงทุกประการ! คนแรกที่จุดประกายเรื่อง ‘อาร์สิโนเอ’ ที่ใครต่อใครพากันหัวเราะว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่สุดในรอบร้อยปีของวงการอียิปต์วิทยาคือ อาร์เธอร์ วินสตัน แต่คนที่รับลูกสานต่อเรื่องเหลวไหลนี้หลังไอ้คนอ่อนแอนั่นฆ่าตัวตายอย่างมุ่งมั่นคือเขา! ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ในอาร์สิโนเอเต็มร้อย ไม่ใช่ไอ้ศิษย์ทรยศอย่าง แอรอน วินสตัน!

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียน่า ฉันแค่จะบอกว่าแกไม่ใช่คนเดียวที่เชี่ยวชาญเรื่องอาร์สิโนเออย่างที่คิด ถ้าฌอง-ลุคหาคนอื่นมาแทนแกได้ ทุกอย่างก็จบ” ฟาดิลปรายตามองไปทางกาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังมิเชลครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ “กาบาล ให้คนของเราเช็กข้อมูลของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างละเอียด มีเบื้องลึกเบื้องลับยังไงบ้าง ถ้าเจอตอขึ้นมาจะได้รู้ว่าจะเดินหมากแบบไหนต่อ”

เลขานุการหนุ่มค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบเช่นทุกครั้ง กาบาลไม่เคยถามเหตุผลของคำสั่ง มีแต่น้อมรับและทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจในแทบทุกเรื่อง 

“เดินหมาก?” มิเชลขมวดคิ้ว “นี่แกคิดจะทำอะไรกันแน่”

“หาทางช่วยแกน่ะสิ” ฟาดิลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้เต็มร้อยว่ากำไลวงนั้นจะพาไปเจอสิ่งที่ตามหากันอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมา มันจะกลายเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ชื่อเสียงของแกจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับดอกเตอร์ซาฮี ฮาวาสส์ แต่สำหรับฌอง-ลุค ผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากมายมหาศาลเกินกว่าจะยอมให้ใครรู้ได้”

“ฌอง-ลุคตกลงกับฉันแล้วว่าถ้าอาร์สิโนเอเป็นของจริง หลังแบ่งสันปันส่วนกันแล้ว มันจะยอมให้ฉันอ้างเครดิตเป็นผู้ค้นพบได้ อย่างที่แกบอกนั่นละฟาดิล ฉันกับมันทำธุรกิจกันมานาน ความลับของมันอยู่ในกำมือฉันทั้งนั้น ถ้ามันฆ่าฉัน รายชื่อลูกค้าและคนใหญ่คนโตที่รับเงินใต้โต๊ะจากมันส่งไปถึงอินเตอร์โพลแน่”

“แกคิดเหรอว่าฌอง-ลุคไม่มีสายในอินเตอร์โพล” ฟาดิลหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “แกอย่าคิดว่าแกกำความลับของมันข้างเดียวสิวะ ในทางกลับกันมันก็กำความลับของแกอยู่ไม่ใช่น้อย มันเป็นอาชญากรนะมิเชล มันไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว แต่แกเป็นนักวิชาการ มีหน้ามีตาในสังคม ต่อให้มันไม่เก็บแก แค่ส่งต่อข้อมูลเรื่องที่แกทำมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ แกก็ตายทั้งเป็นแล้ว”

มิเชลนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าการร่วมมือกับฌอง-ลุคนั้นไม่ต่างอะไรกับการเล่นกับไฟ เพียงแต่เงินทองมากมายที่ได้รับจากตลาดมืดทำให้เขาพร้อมจะปิดตาหนึ่งข้างแล้วทำงานใต้อาณัติของเจ้าพ่อจอมโหดต่อไป

“คิดดูดีๆ นะมิเชล เราจัดการเรื่องนี้กันเองเงียบๆ ได้ ฉันอาจจะหาใครสักคนออกหน้าเรื่องการค้นพบ แล้วให้เครดิตแกในฐานะผู้ค้นพบบันทึกแรกเริ่มที่นำไปสู่อาร์สิโนเอได้...คนที่เงินซื้อได้และไม่เกี่ยวข้องกับทั้งแกและฉัน แค่นี้ฌอง-ลุคก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าแกหักหลังมัน ส่วน ‘ของ’ ที่ได้มาเราก็แค่แบ่งสันปันส่วนกันโดยไม่ต้องมีคนอื่นมาเอี่ยวด้วย เห็นไหมว่ามีแต่ได้กับได้”

ฟาดิลประสานมือบนตักด้วยท่าทางสบายๆ แต่ดวงตาจับจ้องใบหน้าของศาสตราจารย์ดูวาลเพื่อนซี้อย่างรอคอยคำตอบ...คำตอบที่เขาคาดเดาได้อยู่แล้ว มิเชลอาจฉลาดในเรื่องวิชาการและแกมโกงหน่อยๆ ในเรื่องการใช้ชีวิต แต่เขามีจุดอ่อนอันใหญ่หลวงคือ เมื่อใดก็ตามที่จี้ถูกจุด เขาจะกลายเป็นคนที่ถูกจูงจมูกได้ง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ

“ที่พูดมาทั้งหมดนี่ก็เพราะแกอยากมีเอี่ยวเท่านั้นใช่ไหมเล่า” มิเชลขบกรามแน่น ดวงตาสีเทาอมฟ้าจ้องหน้าคู่สนทนาเขม็ง

“ใครบ้างไม่อยากมีเอี่ยวกับอาร์สิโนเอ” ฟาดิลยอมรับหน้าตาเฉย “แต่อย่างน้อยฉันก็ไว้ใจได้มากกว่าไอ้ฌอง-ลุคเยอะไม่ใช่เหรอ เชื่อฉันเถอะ วิธีนี้ดีที่สุดแล้ว ตัวหารน้อยแล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย”

“แกมันเจ้าเล่ห์จริงๆ ฟาดิล” หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ มิเชลก็ระบายลมหายใจยาว “เอาละ แผนของแกคืออะไร”

“ต้องอย่างนี้สิ” ฟาดิลหัวเราะอย่างชอบใจเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงกลายๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ฟ้องชัดว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวไม่ได้อยาก ‘แบ่งปัน’ กับฌอง-ลุคแฟร์ๆ อย่างที่ปากบอกสักนิด “อย่างแรกหลังจากเราเช็กประวัติแม่เด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว เราต้องหาทางพาตัวกับกำไลมาซ่อนไว้ก่อนที่ฌอง-ลุคจะระแคะระคาย บางทีเจ้าหล่อนอาจรู้เรื่องอาร์สิโนเอในส่วนที่เราไม่รู้จากไอ้แอรอนก็ได้”

“แล้วถ้ามันไม่รู้ล่ะ จะไม่กลายเป็นชักศึกเข้าบ้านหรือไง”

“ก็ไม่ยากอะไรนี่” ฟาดิลแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม “ถ้าเค้นเรื่องอาร์สิโนเอจากปากมันไม่ได้ ก็เก็บไว้แต่กำไลสิ ส่วนนังเด็กนั่นเชือดมันทิ้งซะก็จบ!”

 

“คุณลูกตาลไหวหรือเปล่าครับ สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย”

เสียงที่เจือความเป็นห่วงของกฤษณ์เรียกรอยยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมาแต้มบนเรียวปากอิ่มของหญิงสาว

“ตาลไม่เป็นไรค่ะ สงสัยเมื่อกลางวันจะกินอิ่มมากไป พอเดินเร็วๆ ก็เลยจุก”

ราวินทราแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนขณะเดินผ่านช่องตรวจอาวุธเพื่อออกไปชมมหาพีระมิดแห่งกีซา หลังจากชายหนุ่มที่ชื่อแอรอนทำให้หมดอารมณ์เดินชมพิพิธภัณฑ์แล้ว หญิงสาวจึงขอให้กฤษณ์พาเธอกลับไปรับประทานอาหารกับนริสสาที่สถานทูตไทย เธอไม่ได้เล่าเรื่องผู้ชายแปลกประหลาดคนนั้นให้สาวรุ่นพี่ฟังด้วยกลัวว่าจะทำให้เป็นห่วงเสียเปล่าๆ แต่พอไม่ระบายออกไปก็กลายเป็นเธอเองที่ไม่สบายใจ

ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงอยากได้กำไลวงนี้นักนะ มันเป็นเพียงแค่ของเลียนแบบธรรมดาไม่ใช่หรือ...

ดวงตากลมโตหลุบลงมองกำไลข้อมือของตนด้วยความรู้สึกฉงนยิ่ง ปลายนิ้วเรียวลูบบนแมลงสการับเบาๆ พลางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

“ถ้าอย่างนั้นจะนั่งพักสักครู่ไหมครับ พอดีขึ้นแล้วค่อยเดินต่อก็ได้ เพราะเรายังต้องเดินกันอีกเยอะเลย”

กฤษณ์มองสาวสวยตรงหน้าด้วยความรู้สึกกังวล สีหน้าท่าทางของเธอดูแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่พบกันที่พิพิธภัณฑ์แล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าเธอโกรธเพราะเขามาช้ากว่าที่แจ้งเอาไว้มาก แต่หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันแล้วจึงเห็นว่าเธอเป็นคนง่ายๆ ไม่ถือเนื้อถือตัว เธอไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เขามาสายให้นริสสาฟังเสียด้วยซ้ำไป

“ตาลไหวค่ะคุณกฤษณ์” ราวินทราพยายามทำตัวให้ร่าเริง “อุตส่าห์มาถึงที่ทั้งที ต้องเดินชมให้คุ้มค่ะ”

หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าตนเริ่มทำให้คนรอบตัวเป็นห่วง ยิ่งกับคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกอย่างกฤษณ์ด้วยแล้ว เธอไม่ควรทำให้เขารู้สึกอึดอัดเพราะสีหน้ายุ่งเหมือนยุงตีกันของตนเอง

ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของอีตาแอรอนอะไรนั่นคนเดียวเลย ทำเธอผวาจนหมดสนุก!

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้เลยครับ” กฤษณ์ผายมือ “คุณลูกตาลเอาแว่นตากันแดดมาด้วยใช่ไหมครับ วันนี้แดดค่อนข้างแรง ถ้าอยู่ในร่มหรือใต้เงาพีระมิดจะหนาวนิดหนึ่ง แต่ออกแดดก็จะอุ่นๆ สวมแว่นตากันแดดกับกันลมพัดทรายเข้าตาไว้หน่อยก็ดีนะครับ”

ไกด์หนุ่มจำเป็นพูดเจื้อยแจ้วน่าฟัง เขาเป็นชายไทยเชื้อสายมุสลิมร่างสันทัด ใบหน้าของเขาค่อนไปทางชาวอียิปต์ ยิ่งมีหนวดเครารกครึ้มตามแนวคางด้วยแล้ว ก็ยิ่งดูกลมกลืนไปกับประชากรของประเทศนี้อย่างยิ่ง ราวินทราได้ยินเขาพูดอาหรับกับทหารที่ถือปืนคุมเชิงทางเข้าด้านหน้าด้วยสำเนียงประหนึ่งเป็นเจ้าของภาษาแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ แถมทหารคนนั้นยังถามสารพัดคำถามและขอดูใบขับขี่และเอกสารต่างๆ อย่างละเอียดอีกต่างหาก หากเป็นเธอคงสั่นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ แต่กฤษณ์กลับตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะโดนซักฟอกจนแทบอ่อนใจก็ตามที

ชายหนุ่มอธิบายให้เธอฟังว่าเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน มีการลอบวางระเบิดที่ด่านตรวจ เจ้าหน้าที่บาดเจ็บหลายนาย และมีนักท่องเที่ยวถูกลูกหลงด้วยจึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ แม้จะเป็นรถป้ายทะเบียนสีเขียวที่มาจากสถานทูตซึ่งมักได้รับอภิสิทธิ์มากมายเหนือกว่าป้ายทะเบียนรถทั่วไป แต่ก็ปล่อยผ่านเข้าไปในโบราณสถานโดยไม่ตรวจสอบไม่ได้ รถคันนี้นริสสาให้ยืมมา ตามกฎหมายของอียิปต์แล้ว หากเจ้าของรถให้ผู้อื่นยืมรถจะต้องมอบใบขับขี่และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของให้ผู้ที่ยืมติดตัวไว้ด้วย เพื่อป้องกันการขโมยรถของผู้อื่นมาใช้ในการก่อการร้าย

“โอ้โห”

ราวินทราห่อปากอย่างตื่นเต้นเมื่อเดินขึ้นไปตามทางลาดแล้วพบกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ขนาดอันมหึมาของพีระมิดทำให้เธอลืมเรื่องที่สร้างความหงุดหงิดให้ไปเสียสนิท ความสูงเทียบเท่าตึกสี่สิบชั้นของมหาพีระมิด หรือพีระมิดของฟาโรห์คูฟู ซึ่งเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาพีระมิดทั้งสามยามต้องแสงอาทิตย์นั้น ก่อให้เกิดแสงเงาอันน่าทึ่งและดูสง่างามน่าเกรงขามจนเธอไม่อาจละสายตาไปได้ อิฐแต่ละก้อนที่ก่อร่างสร้างรูปขึ้นเป็นมหาพีระมิดนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารและสูงกว่าตัวเธอเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียงตัวกันเป็นชั้นได้อย่างประณีตงดงาม อีกทั้งยังสนิทแนบชนิดกระดาษบางๆ ยังสอดเข้าไประหว่างก้อนหินไม่ได้เลยสักนิด

“นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณหนึ่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ครับ” กฤษณ์ใจชื้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้นของหญิงสาว “ส่วนสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประภาคารฟาโรสแห่งอะเล็กซานเดรีย สวนลอยแห่งบาบิโลน วิหารอาร์เทมิส เทวรูปโคลอสซุส เทวรูปเทพเจ้าซุสแห่งโอลิมเปีย ไม่เหลืออยู่แม้แต่ซาก คนอียิปต์เชื่อกันจริงจังเลยนะครับว่าอีกพันปีข้างหน้าพีระมิดนี้ก็จะยังคงอยู่”

“ดูแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยละค่ะ” ราวินทราหยิบกล้องดิจิทัลออกมากดถ่ายภาพ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามาในเฟรมภาพ

คนที่สวมเสื้อหนังสีน้ำตาลตัวนั้น...แอรอน!

หญิงสาวรีบลดกล้องลงแล้วมองไปทางฐานพีระมิดคูฟูทันควัน แต่กลับพบเพียงพ่อค้าแม่ขายที่เดินขายสินค้ากันในบริเวณรอบๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวที่มีอยู่บางตาเท่านั้นเอง

“มีอะไรเหรอครับคุณลูกตาล” กฤษณ์เริ่มคิดว่าสาวน้อยที่นริสสาฝากฝังให้เขาดูแลเป็นอย่างดีคนนี้เป็นโรคไบโพลาร์เสียแล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าเปลี่ยนแปลงไวเสียจนเขาตามแทบไม่ทัน

“อ๋อ...มะ...ไม่มีอะไรค่ะ สงสัยแสงคงแยงตา” หญิงสาวดึงแว่นตาดำที่คาดอยู่บนศีรษะลงมาสวมแล้วหัวเราะเสียงแห้ง นี่เธอคงระแวงผู้ชายคนนั้นมากไปจนประสาทหลอนเสียแล้ว “จริงสิคะ ทำไมเราค้นพบแต่พีระมิด วิหาร ซากกำแพงเมือง แต่ไม่ค่อยเจอซากของพระราชวังโบราณที่อียิปต์เลย”

“โอ้โห ถามคำถามยากเลย ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นะครับ แต่เท่าที่อ่านตำรามาบ้าง มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมากเลยครับ เขาว่ากันว่าพระราชวังในยุคโบราณอาจสร้างด้วยวัสดุที่ไม่คงทนนัก”

“หือ? ทำไมล่ะคะ สร้างพีระมิดให้อยู่มานานได้เป็นพันปี แต่กลับใช้วัสดุไม่คงทนสร้างพระราชวังเนี่ยนะคะ” ราวินทราเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แม้ปากจะเอ่ยถามคำถามที่ตนสนใจ แต่ดวงตายังคงกวาดมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ถ้าต่อจากนี้เธอเที่ยวอียิปต์ไม่สนุกก็ต้องเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อแอรอนคนเดียวนั่นละ!

“เพราะใช้งบไปกับการสร้างพีระมิดจนหมดแล้วไงครับ” กฤษณ์หัวเราะ “คนอียิปต์โบราณเห็นความสำคัญของโลกหลังความตายมากกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ครับคุณลูกตาล เมื่อฟาโรห์ขึ้นครองราชย์ สิ่งแรกที่จะทำคือเตรียมตัวตาย”

“เตรียมตัวตายเหรอคะ นี่ตาลไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมคะคุณกฤษณ์”

“เตรียมตัวตายจริงๆ ครับคุณลูกตาล คนสมัยนั้นเชื่อกันว่าต้องเตรียมพร้อมสำหรับโลกหน้าไว้ให้มากที่สุด ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดจึงทุ่มให้แก่การสร้างสุสานและตระเตรียมข้าวของทรัพย์สมบัติที่จะนำติดตัวไปใช้ในโลกหลังความตายอย่างอลังการงานสร้างมากเลยครับ อย่างที่คุณลูกตาลเห็นสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุนนั่นละครับ มีทั้งเครื่องทรง รถม้า ตั่งเตียง เครื่องหอม ไปจนถึงอาหารการกิน นั่นขนาดสุสานของตุตันคามุนถือเป็นสุสานที่เล็กมากและถูกจัดวางเหมือนไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นะครับ ยังมีของล้ำค่ามากขนาดนั้น แล้วถ้าเป็นสุสานใหญ่โตอื่นๆ ที่ถูกโจรขุดสุสานขโมยไปจนหมดล่ะครับ จะมีสมบัติมากมายขนาดไหน นักโบราณคดีส่วนหนึ่งก็เลยเชื่อกันว่า พระราชวังโบราณสมัยก่อนก็น่าจะสร้างจากดินเหนียวหรือวัสดุที่ราคารองๆ ลงมา เพราะหมดงบไปกับการเตรียมตัวตายแล้ว”

“อย่างนี้นี่เอง” ราวินทราพยักหน้า

“คุณลูกตาลอย่าเชื่อผมมากนะครับ ผมก็แค่อ่านแล้วจำๆ เขามา อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้”

“ตาลชอบฟังคุณกฤษณ์เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้ค่ะ สนุกดี ได้ความรู้ให้ไปค้นคว้าต่อได้ด้วย”

ที่สำคัญเขารู้จักถ่อมตัว ไม่ทำท่าผยองฉีกหน้าคนอื่นแบบอีตาบ้าแอรอนนั่น!

“ขอบคุณครับ ถ้าคุณลูกตาลชอบ ผมก็ดีใจ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เขาหลุบตามองนาฬิกาข้อมืออยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจือความลังเล “เอ่อ...คุณลูกตาลครับ ถ้าผมจะขอตัวไปละหมาดสักสิบห้านาที จะทำให้คุณลูกตาลเสียเวลาไหมครับ”

“อุ๊ย! ไม่เสียเวลาค่ะ ไปเถอะ ตาลเสียอีกที่รบกวนเวลาคุณกฤษณ์ เดี๋ยวตาลเดินถ่ายรูปเล่นแถวนี้ไปก่อนก็ได้ค่ะ ตาลตั้งใจจะถ่ายรูปไปฝากพี่ชายเยอะๆ อยู่แล้ว”

ราวินทรายิ้มให้ไกด์หนุ่มอย่างเต็มใจ เธอมองความเคร่งครัดทางศาสนาของเขาเป็นเรื่องน่าชื่นชม ทุกศาสนามีวิถีทางปฏิบัติแตกต่างกันไป ล้วนแล้วงดงามตามแบบฉบับของตน...มนุษย์เรามีความศรัทธาแตกต่างกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแตกแยกมิใช่หรือ

“ถ้ามีใครมาชวนให้ถ่ายรูปกับอูฐหรือพยายามขายของให้ คุณลูกตาลปฏิเสธให้หมดนะครับ รอผมมาก่อน เดี๋ยวผมจะพาไปขี่อูฐเอง”

“รับทราบค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “คุณพูดจาเหมือนพี่สาเปี๊ยบเลย”

กฤษณ์อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนริสสา แต่ดูแก่กว่าสักสองสามปีได้ อาจเพราะเขาทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยครั้งผิวพรรณจึงคล้ำเข้มและมีริ้วรอยมากกว่า

“ก็คุณสาบอกว่าคุณลูกตาลซนนี่ครับ ต้องคอยเตือนว่าอย่าเล่นอะไรแผลงๆ”

“แหม พี่สาเผาน้องนุ่งเสียเกรียมเลย” ราวินทราย่นจมูก นึกคาดโทษสาวรุ่นพี่อยู่ในใจ เดี๋ยวเถอะ จะให้คุยโทรศัพท์กับวราทิตย์เสียให้เข็ด! “คุณกฤษณ์ไปเถอะค่ะ แค่สิบห้านาทีเอง รับรองว่าลูกตาลไม่ออกลิงออกค่างแน่นอนค่ะ”

ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังทำท่าตะเบ๊ะเรียกเสียงหัวเราะจากไกด์หนุ่มอีกต่างหาก นิสัยยังเด็กมากอยู่แบบนี้นี่เองเล่า คุณนริสสาถึงได้เป็นห่วงนักเป็นห่วงหนา แต่ก็...เป็นเสน่ห์แบบหนึ่งที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้เธอรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

 

หลังจากกฤษณ์ขอแยกตัวไปสักพัก ราวินทราก็เริ่มออกเดินสำรวจรอบๆ มหาพีระมิดอย่างมีความสุข เธอทำตามคำแนะนำของเขาอย่างเคร่งครัดด้วยการปฏิเสธพ่อค้าแม่ค้าที่มาเสนอขายข้าวของที่ระลึกต่างๆ อย่างสุภาพทว่าเด็ดขาด รวมไปถึงชาวพื้นเมืองที่สวมชุดกาลาเบยาคอยจูงอูฐมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปแล้วโขกเงินในราคาแพงเกินจริงด้วย แม้บางคนจะดูเป็นมิตรมาก แต่ก็ควรระวังไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด

หญิงสาวห่อตัวพลางกระชับเสื้อคลุมแน่นเข้า แม้แดดค่อนข้างจัด แต่ลมในทะเลทรายค่อนข้างแรงและเย็นยะเยือกตามอุณหภูมิของช่วงต้นฤดูหนาว ยิ่งเดินอ้อมมาอีกด้านซึ่งอยู่ใต้เงาพีระมิดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวมากขึ้นไปอีก เธอรู้สึกผิดคาดอยู่สักหน่อยที่อากาศกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งเย็นเยียบกว่าที่คิดแม้กระทั่งในเวลากลางวันเช่นนี้

“คุณครับ” เจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบทหารนายหนึ่งปราดเข้ามาหาราวินทราด้วยท่าทางเร่งร้อน เขาคล้องปืนยาวติดลำกล้องเอาไว้กับตัว ทำเอาหญิงสาวรู้สึกเกร็งไม่น้อยว่าตนเผลอทำอะไรผิดหรือไม่ “คุณมากับผู้ชายไทยที่สวมเสื้อแจ็กเกตกันลมสีเขียวใช่ไหม”

“เอ๊ะ...เอ่อ...ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ราวินทรากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง ภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับของเขาค่อนข้างฟังยาก แต่พอจับใจความได้

“เกิดอุบัติเหตุตรงมาสตาบาด้านโน้น เขาได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่รู้สึกตัว”

“หา!” หญิงสาวร้องเสียงหลง หัวใจหล่นวูบลงไปกองที่ตาตุ่ม “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ”

“ยังอยู่ที่เดิม คุณช่วยมากับผมหน่อยได้ไหม”

สีหน้าจริงจังของนายทหารชาวอียิปต์สั่งให้ราวินทราพยักหน้าโดยอัตโนมัติ แล้วออกเดินตามเขาไปโดยแทบจะไม่หยุดคิดสักวินาที ด้วยอารามรีบร้อนจึงไม่ทันมองว่าในบริเวณเขตสุสานทางทิศตะวันออกนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคนเดียว ยิ่งเดินลึกเข้าไปในซอกระหว่างมาสตาบาที่เรียงรายกันเป็นทิวแถว ก็ยิ่งเปลี่ยวและเงียบสงัดชนิดได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่เดินอยู่เบื้องหน้า

“อีกไกลไหมคะ แล้วนี่มีใครอยู่กับเขาหรือเปล่า เราควรเรียกรถพยาบาลหรือเปล่า”

ราวินทราไม่รู้ว่าระบบการรักษาพยาบาลที่อียิปต์เป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นที่เมืองไทย เกิดอุบัติเหตุแล้วมีคนหมดสติก็ควรนำตัวส่งโรงพยาบาลหรือพาไปพบแพทย์ไม่ใช่หรือ

“เขาอยู่ตรงนั้น” นายทหารชี้ไปเบื้องหน้าโดยไม่ตอบคำถามของเธอให้ครบ “ไกด์ของคุณอยู่ใกล้ๆ กับสุสานราชินีเมเรสอังค์โน่น”

หญิงสาวชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินคำตอบ ตอนพบหน้ากันเป็นครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ กฤษณ์บอกเธอว่าเขาเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาโทที่ไม่มีใบอนุญาตมัคคุเทศก์เป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นเวลาเจ้าหน้าที่ถามให้ตอบว่าเป็นเพื่อนกัน มาเที่ยวด้วยกัน อย่าบอกใครว่าเขาเป็นไกด์เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาได้

คำถามคือ นายทหารผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่ากฤษณ์เป็นไกด์ของเธอ ในเมื่อเธอไม่ได้พูดสักคำ และเขาเองก็ยังไม่ได้สติ

เมื่อคิดได้ดังนี้ เนื้อตัวของราวินทราก็เย็นเฉียบ เธอกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง...นี่เธอเดินตามทหารคนนี้มาโดยไม่ทันฉุกคิดเลยว่าได้พาตนเองเข้ามาสู่สถานการณ์เสี่ยงภัยเสียแล้ว เธอไม่รู้จุดประสงค์ของเขา แต่คิดว่าไม่น่าจะดีแน่

“ทำอะไรอยู่เล่าคุณ ทำไมถึงไม่รีบเดินมาทางนี้ ไม่ห่วงเพื่อนหรือไง!”

นายทหารตะคอกเสียงเข้ม หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเขาหันปากกระบอกปืนมาทางเธอ ไม่ขู่ก็เหมือนขู่นั่นละ!

“อะ...เอ่อ...ฉัน...มีก้อนหินเข้าไปในรองเท้าฉัน”

ราวินทรารีบแก้เกมด้วยการทำท่าเหมือนจะถอดรองเท้าออกมาเคาะ แล้วอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างหงุดหงิดใจออกวิ่งเต็มฝีเท้า

“เฮ้ย! นั่นจะไปไหน!”

เสียงตะโกนที่ดังมาจากเบื้องหลังเร่งให้เธอวิ่งเร็วขึ้นไปอีก หัวใจของเธอเต้นรัวแทบโลดออกมานอกอก จะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือก็กลัวว่าจะถูกยิงทิ้งให้เป็นซากศพเฝ้ามาสตาบาเหล่านี้เมื่ออีกฝ่ายจับตำแหน่งของตนได้ จึงได้แต่โกยสุดฝีเท้ากลับไปทางเดิมที่เดินเข้ามาแล้วค่อยไปขอความช่วยเหลือด้านนอก  แต่ก่อนที่จะก้าวขาออกนอกเขตมาสตาบาก็ถูกวงแขนแข็งแรงปานคีมเหล็กรวบเอาไว้แล้วยกขึ้นจนลอยหวือจากพื้น พร้อมกับที่มีฝ่ามือใหญ่โตตะปบริมฝีปากของเธอเอาไว้แน่นไม่ให้ส่งเสียงร้อง

“ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าอย่าเที่ยวตามคนแปลกหน้าไปไหนง่ายๆ ฮึ เรเวน”

ราวินทราตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำเรียกขานท้ายประโยค มีคนเดียวที่ตั้งชื่อเธอแบบนี้...แอรอน!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น