6

งอแงแมนเบอร์สอง


6

งอแงแมนเบอร์สอง

 

ไม่มีอะไรทำให้จารุณีกังวลใจได้เท่ากับการที่ลูกชายทั้งสองคนยังไม่กลับบ้านอีกแล้ว หัวอกคนเป็นแม่ร้อนวาบราวกับมีไฟมาสุมทรวง คอยชะเง้อชะแง้มองประตูห้องอาหารอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีอันต้องถอนใจเฮือกใหญ่อยู่เนืองๆ เพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกชายทั้งสอง

“คุณภรรยาครับ กินข้าวบ้างเถอะ ข้าวในจานไม่พร่องเลยนะ”

“ใครจะไปกินลงคะคุณ ลูกชายหายหน้าหายตาไปทั้งคู่อย่างนี้” ปากบางสวยที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงเลือดนกขยับบ่นเสียงเขียว ฟ้องชัดว่าอารมณ์กำลังไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง

“เดี๋ยวลูกก็มาน่า ลูกเราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ อีกคนก็สามสิบหก อีกคนก็ยี่สิบเจ็ด คุณห่วงลูกเหมือนลูกอายุสิบขวบไปได้”

“จะอายุเท่าไร ฉันก็ห่วงทั้งนั้นแหละค่ะ”

คนเป็นสามีถอนใจ พยายามแนะด้วยความรัก “ผมเข้าใจว่าคุณห่วงลูก แต่ผมก็ห่วงคุณด้วย เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมจะอยู่ยังไง”

ละไม หญิงสูงวัยหัวหน้าแม่บ้านและแม่ครัวของตระกูลจิตรภากร ก้มหน้าลอบยิ้มเมื่อนำทัพปากหวานเอาใจภรรยา ก่อนจะเอ่ยแนะด้วย

“เชื่อคุณผู้ชายเถอะค่ะคุณจ๋า กินสักคำสองคำให้คนทำชื่นใจได้ไหมคะ”

คนโดนกล่อมถอนใจยอมแพ้ หลุดยิ้มกับลูกไม้ของทั้งคู่ นำทัพเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ ตักมัสมั่นไก่ใส่จานข้าวของภรรยา พอเธอตักเข้าปากอย่างไม่เกี่ยงงอนอะไรอีก ละไมก็ยิ้มร่าชื่นใจ มองเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาของความจงรักภักดี และในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ซ้อนทับกับเวลานี้ สร้างความตื่นเต้นระคนขบขันจนเธออดเปรยออกมาไม่ได้

“คุณจ๋ารู้ตัวไหมคะ ตอนนี้อาการคุณจ๋าน่ะ เหมือนคุณหญิงขวัญจิตอย่างกับถอดแบบกันมาเลยค่ะ”

จารุณีขมวดคิ้ว ทำสีหน้าสงสัยใส่คนที่เอ่ยถึงแม่สามีผู้ล่วงลับไปได้หลายปีแล้ว

“เหมือนยังไงเหรอละไม”

“ก็ตอนที่คุณผู้ชายยังไม่กลับบ้าน คุณหญิงขวัญจิตก็ชะเง้อชะแง้รอลูกชายอย่างนี้เลยค่ะ แล้วตอนนั้นคุณผู้ชายไปไหนล่ะคะ” ละไมเอ่ยยิ้มๆ กระตุ้นให้จารุณีหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ไป...” จารุณีค่อยๆ นึกย้อนไปยังเวลานั้น ก่อนจะหน้าตื่นเบิกตากว้าง ”...ไปหาฉัน! นี่ละไมกำลังจะบอกว่า ที่ลูกชายทั้งสองคนของฉันยังไม่กลับบ้าน มันก็เป็นเพราะว่าพวกเขา...”

“ค่ะ คุณนบกับคุณไนท์...ท่าจะกำลังติดหญิงทั้งคู่”

 

อีตาลุงหลงเด็กจนหัวปักหัวปำ ยายตัวน้อยก็ขยันโปรยเสน่ห์ให้จอมทัพรักตัวเอง...

พริ้งพราวส่ายหน้ายิ้มๆ เอ็นดูสองพ่อลูกปลอมๆ ที่กำลังหยอกล้อปิดตาเล่นจ๊ะเอ๋กันอยู่บนเตียง เสียงหัวเราะของทั้งคู่ประสานกันอย่างลงตัว จนดังลั่นไปทั้งห้อง

“เอาละ ตาพ่อแล้วนะ” จอมทัพเอามือปิดตา แกล้งทำทีพูดลอยๆ “เอ พริกแกงน้อยของพ่ออยู่ไหนน้อ...”

คนตัวจ้อยดิ้นและหัวเราะเอิ๊กอ๊าก พร้อมกับที่ชายหนุ่มเอามือออก “โอ๊ะ อยู่นี่เอง มาให้พ่อจับเสียดีๆ”

เขาคว้าตัวแกมากอด กดจมูกหอมแก้มป่องเสียหลายฟอด อิ่มอกอิ่มใจเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้รู้ว่ายอดวิวในยูทิวบ์ของเพลงจากศิลปินในสังกัด JPK Entertainment ทะลุร้อยล้านวิวเสียอีก

“คุณ...ฉันถามอะไรหน่อยสิคะ”

จอมทัพเงยหน้ามองคนพูด เลิกคิ้วสงสัยเมื่อเห็นนัยน์ตาไหววูบไม่สบายใจของสาวเจ้า “จะถามอะไรเหรอพริ้ง ถามได้เลย”

พอเขาอนุญาต พริ้งพราวก็สูดลมหายเข้าใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหยั่งเชิงถาม “ถ้าสมมุติว่ายายหนูไม่ใช่ลูกคุณ คุณจะยังรักแกแบบนี้ไหม”

ดวงตาคมกล้าขุ่นคลั่กทันควัน ปากก็แผดเสียงเข้มดุพริ้งพราว “อย่ามาสมมุติอะไรอย่างนี้อีกนะ ผมไม่ชอบ!”

“ก็คุณเชื่อฉันจนน่าใจหาย ถ้าเกิดฉันมาหลอกคุณ ยายหนูไม่ใช่ลูกคุณขึ้นมา ฉันก็แค่อยากรู้ว่าคุณจะว่ายังไง”

เธอเอ่ยเสียงอ่อนกับเขาเป็นครั้งแรก ดวงหน้าสวยพริ้งเผือดสีลง ด้วยรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มกำลังอยู่ในภาวะขึ้งโกรธกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“ผมไม่รู้ว่าจะว่ายังไง เพราะมันคือเรื่องสมมุติ”

“ก็ถ้าเรื่องสมมุติมันเป็นเรื่องจริงล่ะ คุณจะว่ายังไง”

ชายหนุ่มตีหน้าเสือโมโหใส่คนถามซ้ำ ก่อนจะสะบัดหน้าเมินคำถาม คำรามอย่างเอาแต่ใจ “ไม่เอา ผมไม่ฟัง!”

“เอ๊ะ”

“คุณหยุดพูดแบบนี้เถอะ”

พริ้งพราวทำเสียงจึ๊กจักขัดใจ หรี่ตามองคนสั่งด้วยสีหน้าอ่อนใจระคนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีมุมกะบึงกะบอนเป็นเด็กๆ ด้วย

“ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นอย่างนี้ ฉันก็แค่...สมมุติขึ้นมา คุณก็ตอบมาดีๆ ไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ตอบ แล้วผมก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินเรื่องสมมุตินี่อีกแล้ว!”

ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ตั้งท่าต่อต้านคำถามจากพริ้งพราวอย่างชัดแจ้ง รวบคนตัวน้อยมากอดในอ้อมแขนแกร่งด้วยความรักสุดใจ จู่ๆ ก็หวงแหนหวาดกลัวว่าจะมีคนมาพรากแกไป

“ยายหนูคือลูกผม หน้าเหมือนเราสองคนผสมกันอย่างนี้ จะไม่ใช่ลูกผมได้ไง!”

พริ้งพราวถอนใจ ผินหน้าหนีมาบ่นกับตัวเอง ‘จริงๆ แล้วยายหนูคิ้วดกขนตาเยอะเหมือนพ่อแท้ๆ ของเขาต่างหากย่ะ’

“ห้ามสมมุติอะไรแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นผมจะโวยวายเป็นบ้าเป็นบอให้คุณดู”

ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเขาทำพริ้งพราวปวดหัวจนอยากจะเอามือนวดขมับ นอกจากตานี่จะเคยเป็นแรดแมนแล้ว ตอนนี้เขายังกลายเป็น ‘งอแงแมนเบอร์สอง’ ต่อจากพ่อตัวจริงของยายหนูอีกด้วย

“แอ๊ะ”

เสียงของคนตัวจ้อยช่วยหยุดบทสนทนาตึงเครียดได้ฉับพลัน จอมทัพละสายตาจากคนงามล้ำ ก้มหน้าสบตาน้อยๆ ที่กำลังมองตนกับพริ้งพราวสลับไปมา ราวกับกำลังส่งสารบอกให้ผู้ใหญ่หยุดทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น

“อ๊ะ!” แกหันไปหาพริ้งพราว ทำปากจู๋ไม่พอใจ “บู้ๆ!”

“อ้าว ว่าแม่ทำไมคะ” เธอถามพลางทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะส่งค้อนวงโตให้คนที่กำลังหัวเราะเย้ยกัน “แม่ก็แค่สมมุติ ป้อหนูนั่นแหละ งอแงเกินเรื่อง”

“เกินเรื่องที่ไหน มาสมมุติแบบนี้ ผมเป็นบ้าได้เลยนะ” ชายหนุ่มโต้กึ่งแก้ตัว มันเขี้ยวคนตัวเล็กจนอดใจไม่ไหว ยื่นหน้าเอาจมูกไปถูไถแก้มป่องน่าหอมสองฟอดใหญ่ “แม่พริ้งพูดจาไม่เข้าหูพ่อเลยลูก น่าลงโทษจริงๆ ยายหนูจะไม่ใช่ลูกพ่อได้ยังไงเนอะ”

“ป้อ!”

การเรียกขานและท่าทางดีดดิ้นเริงร่าของแกสร้างความสุขให้จอมทัพจนชายหนุ่มไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย เขาลูบผมอ่อนนุ่มสีดำที่ปกคลุมศีรษะเล็กๆ ด้วยความทะนุถนอม ชี้ชวนอวดพริ้งพราว

“เห็นไหมพริ้ง คุณดูด้วยว่าลูกอยู่ทีมผม ถ้าคุณยังไม่เลิกพูดอะไรบ้าๆ คุณโดนลูกแบนของจริงแน่”

พริ้งพราวพ่นลมหายใจ กลอกตาหมั่นไส้คนหลงเด็ก พลันรู้สึกถึงความยุ่งยากในเบื้องหน้าเมื่อจะคลี่คลายแผน ดูทรงแล้ว จอมทัพคงไม่เชื่อง่ายๆ เป็นแน่ว่าตัวเองไม่ใช่พ่อของพริกแกง

คนอื่นอาจจะตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพ่อลูกกันหรือไม่ แต่กรณีของจอมทัพคงจะกลับกันโดยสิ้นเชิง เพราะเธออาจจะต้องให้เขาตรวจเพื่อยืนยันว่ายายหนูไม่ใช่ลูกเขาแทน

“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า ปวดท้องเหรอ”

หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัยขณะเอ่ยถามคนบนเตียงที่จู่ๆ ก็ยกมือลูบท้องพร้อมทำหน้าเหยเกเหมือนคนไม่สบาย

“ก็ไม่เชิงปวดท้อง...” จอมทัพหัวเราะแหะๆ กระดากอายเหลือแสนที่ต้องมาหมดท่าต่อหน้าสาว

“ไม่เชิงปวดท้อง แล้วตกลงเป็นอะไรคะ”

“ผม...หิวน่ะ”

พริ้งพราวหลุดยิ้ม ขันเจ้าของเสียงอ่อยนัก...หิวจะตาย แต่ก็ยังไม่วายมีฟอร์มเต๊ะท่า

“อยากกินอะไรไหมล่ะ เดี๋ยวฉันลงไปซื้อให้ ถ้ารอให้ฉันทำ กว่าจะเสร็จ เกรงว่าคุณจะต้องหิ้วท้องรออีกพัก”

เธอออกปากอาสา ด้วยไหนๆ เขาก็โชว์สกิลอาบน้ำให้ยายหนูได้อย่างผ่านฉลุย จะไล่เขาให้ไปหากินเอาเองก็ดูจะแล้งน้ำใจจนเกินไป เดี๋ยวเขาจะว่าเอาได้ว่าเธอเป็นคนสวยใจดำ

“เดี๋ยวลงไปซื้อด้วยกันก็ได้”

เธอส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอ “อย่าเลยค่ะ ลูกอาบน้ำแล้ว ไม่อยากพาลูกไปเจอฝุ่นเจอควันอีก คุณอยู่กับลูกในห้องนี่แหละ ฉันไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็มาแล้ว”

เหตุผลที่เธอกล่าวมาทำให้จอมทัพไม่สามารถอ้างอะไรได้อีก เขาพยักหน้ารับแต่โดยดี ก่อนจะล้วงเข้าไปในกางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ส่งให้หญิงสาว

“เอามาให้ฉันทำไม”

พริ้งพราวทำหน้างุนงง คนส่งให้เองก็ขมวดคิ้วงงกับคำถาม

“ก็ให้พริ้งเอาไปซื้อของไง”

“อ้อ...”

เธอลากเสียงตอบรับ ได้รู้อุปนิสัยอีกประการของจอมทัพไปโดยปริยาย...มีความ ‘ป๋า’ ไม่น้อยเลยแฮะ ตาลุงไนท์

“เอาไปเถอะ ขอให้ผมช่วยดูแลพริ้งกับลูกบ้างได้ไหม”

คำอ้อนวอนพร้อมนัยน์ตาไหววูบที่กำลังขอร้องกัน ช่วยหยุดปากที่กำลังจะปฏิเสธน้ำใจเขาได้อย่างชะงัดนัก เธอยื่นมือบางไปรับกระเป๋าสตางค์ของเขามา ทำท่าจะเปิดออก แต่ก็โดนเสียงเรียบนิ่งขัดไว้

“เอาไปทั้งกระเป๋านั่นแหละ”

คร้านที่จะแย้งเขาได้ พริ้งพราวเลยจำยอมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย สั่งทางสายตาให้เขาดูแลคนตัวน้อยให้ดี ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป

“แอ๊ะ!”

“คะ?” จอมทัพย่นจมูกหยอกเอินสุดที่รัก “พ่อเท่ไหมลูก พ่อจะเริ่มเข้ามาดูแลหนูกับแม่พริ้งแล้วนะครับ”

ราวกับถูกใจในคำมั่นนี้ คนตัวน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังกว่าทุกคราที่จอมทัพเคยได้ยิน...ดังจนเกือบจะกลบเสียงสายเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารของพริ้งพราวที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง

ชายหนุ่มรวบตัวพริกแกงน้อยมาอุ้มไว้แนบอก ก่อนจะลงจากเตียง เดินไปหยิบโทรศัพท์ของหญิงสาวขึ้นมาดู...

‘ฮอต’

อ่านดูก็รู้ว่านี่เป็นชื่อของผู้ชาย

“ใครวะ”

ถามตัวเองไปก็คงไม่ได้คำตอบ ครั้นจะรอให้สาวเจ้ากลับมา ความหวงเมียเก่าก็เข้ามาครอบคลุมพื้นที่ในอกจนมันคันยุบยิบไปทั้งใจ ลามไปยังมือที่ไม่สามารถหักห้ามไว้ได้ ถือวิสาสะกดรับทันใด

“ฮัลโหล”

“หือ...เสียงผู้ชายที่ไหน เอ่อ ขออภัยด้วยนะครับ สงสัยผมกดเบอร์ผิดเอง...” อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยตอบกลับมา “เอ้า ไม่ผิดนี่หว่า นี่คุณเป็นใครเนี่ย!”

“คุณนั่นแหละเป็นใคร โทร. หาเมียผมทำไม จะจีบเมียผมอีกคนหรือไง!”

“หา!” คนปลายสายอุทานด้วยความตกใจ “เมีย เมียใคร มึงเป็นใครวะ!”

พออีกฝ่ายขึ้นมึงขึ้นวะมา จอมทัพก็ฉุนกึ้ก ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงขัดเคือง “เมียกูไง เจ้าของเบอร์นี้มีผัวแล้ว ใครก็จีบไม่ได้!”

“มึงมั่วแล้ว เจ้าของเบอร์นี้ยังไม่มีผัว!” อีกฝ่ายโต้กลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวอย่างโมโหจัด “มึงเก็บโทรศัพท์เขาได้ หรือขโมยโทรศัพท์เขามา มึงสารภาพมาเสียดีๆ”

“ขโมยอะไรวะ กูรวยพอจนซื้อโทรศัพท์ร้อยเครื่องพันเครื่องได้เลยด้วยซ้ำ”

“ชะ...อวดรวยเสียด้วย มึงอย่ามาอวดรวยแข่งกับกู กูขอบอกให้มึงรู้ไว้ กูคือเทพด้านการอวดรวยและเปย์สาว กูคือเบอร์หนึ่งโว้ย!”

“เฮอะ” จอมทัพทำเสียงขึ้นจมูกข่มคนปลายสาย “มึงมันโลกแคบ ยังไม่เคยเจอคนเปย์เก่งตัวจริงละสิท่า มึงรู้จักกูน้อยไป กูเนี่ย สายเปย์ตัวจริง เทพเหนือเทพ”

“นี่มึงกำลังจะบอกว่ามึงเปย์เก่งกว่ากูงั้นเหรอ”

“เออ” จอมทัพเหยียดยิ้มเย้ยประหนึ่งคนปลายสายมายืนอยู่ตรงหน้า “แล้วกูก็ขอใช้อำนาจแห่งการเป็นผัว ห้ามมึงโทร. มาหาเขาอีก!”

“ผัวอะไรวะ กูไม่เชื่อ กูรู้จักเขามาเกือบสองปี กูไม่เคยเห็นผัวเขาสักคน มึงอย่ามาแอบอ้าง ไอ้หัวขโมยขี้โม้!”

ทวนตามระยะเวลาที่คนปลายสายเอ่ยมา จอมทัพก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงช่วงเวลาที่ตนไม่ได้อยู่ในชีวิตของพริ้งพราว

“เออ ไม่แปลกที่เกือบสองปีมานี้มึงไม่เคยเห็นกู เพราะกูกับเขามีช่วงที่ต้องห่างกันไป แต่ตอนนี้กูโผล่มาแสดงตัวแล้ว มึงรู้ไว้ด้วยว่ากูเป็นผัวเขา!”

“กูไม่เชื่อ มึงเอาโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของเดี๋ยวนี้เลยนะ มึงบังอาจมาก มาขัดขวางไม่ให้กูได้คุยกับสุดที่รักของกู มึงอยากตายใช่ไหมวะ!”

‘หน็อย...สุดที่รักงั้นเหรอ กล้าเรียกพริ้งพราว (ของกู) ว่าสุดที่รักได้ยังไง’

“มึงนั่นแหละจะตาย” คนหวงสาวกระแทกเสียงโต้กลับด้วยความกรุ่นโกรธ “ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน มาเจอกัน เคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลยดีไหม”

“ได้...”

คนท้าทายขมวดคิ้ว เมื่อจู่ๆ คนปลายสายก็หยุดวาจาไว้แต่เพียงเท่านี้ ไม่โต้กลับมาอีก พอเอาโทรศัพท์ออกจากหู ก็ได้คำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

“สงสัยแบตหมด” ชายหนุ่มพูดอย่างขัดอกขัดใจเมื่อเห็นหน้าจอดำสนิท ก่อนจะมองคนตัวจิ๋วในอ้อมแขน “พริกแกงน้อยคะ ทำไมแม่พริ้งถึงรู้จักคนบ้าห้าร้อยแบบนี้ได้เนี่ยลูก ไม่ได้การ พ่อต้องเคลียร์กับแม่พริ้งสักหน่อยละ”

แสบจิ๋วหัวเราะเริงร่า ยกมือตบหน้าจอมทัพดังแปะๆ ความสดใสของแกช่วยทำให้จอมทัพคลายความโมโหไปได้ แต่พอนึกถึงถ้อยคำกวนประสาทของหมอนั่น ความไม่สบอารมณ์ก็ผุดขึ้นมาให้ตนขุ่นเคืองอีกระลอก

ไอ้ฮอตอะไรนี่มันเป็นใครวะ อยากเจอมันจริงๆ!

 

ขณะกำลังล้างหน้าเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการไปชอปปิงเสื้อผ้าให้ลูกสาวอยู่ดีๆ พริ้มเพราก็ต้องรีบจัดการตัวเองด้วยความว่องไวกว่าปกติ เพราะได้ยินเสียงโวยวายเอ็ดตะโรของสามีที่ดังอยู่ด้านนอก หญิงสาวรีบก้าวขาออกจากห้องน้ำ ร้องถามคนที่กำลังทำหน้ายุ่งจัด

“พี่ฮอต เกิดอะไรขึ้นคะ”

หฤทธิ์หันมาหาคนถามแล้วรีบฟ้อง “พริ้มครับ เมื่อกี้พี่โทร. หาเจ๊พริ้ง แต่มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มารับสาย แสดงตัวว่าเป็นผัวเจ๊พริ้ง”

“หือ!”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนถามคนฟ้อง “พี่ฮอตแน่ใจนะคะว่าไม่ได้กดเบอร์ผิด”

“ไม่ผิดครับ”

หฤทธิ์ยืนยัน ยื่นโทรศัพท์ให้พริ้มเพราดูประวัติการโทร. ออก พอเธอเห็นหน้าจอ ก็พบว่าเขาต่อสายไปหาพริ้งพราวจริงๆ

“ไม่ผิดจริงด้วย”

“เห็นไหมล่ะ แล้วตอนนี้ก็ดันมีปัญหา โทร. ไม่ติด พี่นี่แทบบ้า ยังไม่ได้คุยกับสุดที่รักของเราเลยสักคำ”

ใบหน้าเข้มคมของคนติดลูกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในใจแปรเปลี่ยนมาเป็นความเคียดแค้นไปเรียบร้อยแล้ว

“ตอนแรกพี่มั่นใจว่ามันคือหัวขโมยโทรศัพท์เจ๊พริ้งแน่ๆ แต่ไม่ว่าจะไล่ต้อนยังไง หมอนั่นก็ยังยืนยันว่าตัวเองเป็นผัวเจ๊พริ้ง บอกด้วยว่ามีช่วงที่ต้องห่างกันไป”

“ช่วงไหนล่ะคะเนี่ย” พริ้มเพราเอ่ยงงๆ ไพล่นึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านมา “ทุกช่วงชีวิตของพี่พริ้ง พริ้มแน่ใจว่าพี่พริ้งไม่เคยมีผัวสักช่วง”

“นั่นสิ เจ๊เขาจะมีผัวได้ไง อยู่บนคานทองนิเวศน์สบายใจเฉิบขนาดนั้น”

หฤทธิ์นินทาพี่เมียสุดแซ่บพร้อมรอยยิ้มขบขัน ตลอดระยะเวลาที่ตนได้เป็นน้องเขยของพริ้งพราว เธอไม่เคยเอ่ยถึงผู้ชายคนไหนในเชิงพิศวาสบาดใจแม้แต่คนเดียว โมเมนต์คุยโทรศัพท์จีบกันกับใครก็หายาก ช่วงเวลาหวานแหววแบบคนมีความรักก็ไม่มี

“พี่อยากกลับไทยเดี๋ยวนี้เลยพริ้ม หมอนั่นพูดจากวนบาทาพี่มาก ทั้งเกทับพี่ อวดรวยแข่งกับพี่ ท้าทายให้พี่ไปเจอ ตั้งท่าไฟต์กับพี่ หยามพี่มาก พี่ไม่ยอมเด็ดขาด!”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะพี่ฮอต” พริ้มเพราวอนขอด้วยเสียงหวานละมุน ดึงแขนพาเขาไปนั่งบนเตียงนุ่ม เขาเองก็รีบโอบกอดเอวบาง เอาหน้าซุกซบอกอุ่นของภรรยา

“เดี๋ยวรออีกสักพักเราค่อยโทร. ไปใหม่นะคะพี่ฮอต ตอนนี้พี่ฮอตต้องสงบจิตสงบใจก่อนนะคะ” เธอค่อยๆ ตะล่อมคนหัวร้อนให้สิ้นฤทธิ์ ลูบหลังปลอบโยนเขาเบาๆ พยายามไม่กวนตะกอนอารมณ์ฉุนเฉียวให้ขุ่นคลั่กขึ้นมาอีก

“พี่รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับพริ้ม”

“ยังไงคะ”

“เหมือนมันโหวงๆ ยังไงก็ไม่รู้”

หฤทธิ์เม้มปากอย่างขัดใจ ไม่รู้จะอธิบายให้ภรรยาเข้าใจได้อย่างไรว่าเขากำลังกระวนกระวายเพราะความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่า...เขาได้พบคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ลางสังหรณ์ของลูกผู้ชายมันก็กำลังกระตุ้นให้เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เปิดศึกชิง ‘ของสำคัญ’ กับหมอนั่นแน่นอน...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น