7
มีป้อคนเดียวก็พอแล้ว
ความรวดเร็วในการจัดการคิว บวกกับรสชาติอร่อยเลื่องชื่อ คือตัวแปรสำคัญที่พริ้งพราวนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกสรรเมนูอาหารสำหรับจอมทัพกับเธอในมื้อเย็นนี้ และเมนูนั้นก็คือก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นร้านใกล้อะพาร์ตเมนต์ที่เธอฝากท้องเป็นประจำ
แม้จะไม่แน่ใจว่าจอมทัพจะชอบหรือไม่ รับประทานอาหารจากร้านธรรมดาๆ เช่นนี้ได้ไหม แต่เพราะข้อจำกัดทางด้านเวลาและความจริงใจที่อยากจะให้ตาลุงเห่อลูกปลอมเห็นว่าวิถีชีวิตของเธอเป็นอย่างไร ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เลยเป็นตัวเลือกที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายและคว้าตำแหน่งอาหารมื้อแรกที่ได้รับประทานด้วยกัน
เธอเดินไปยังตึกแถวสองชั้นที่ค่อนข้างเก่าตามอายุหลายสิบปี มีป้ายชื่อร้าน ‘หมูตุ๋นรสเลิศ’ ขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ด้านในร้านมีลูกค้านั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่หลายคน โต๊ะที่ไม่มีลูกค้าก็ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งยังมีพนักงานคอยเก็บจานและเช็ดทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา
“ว่าไง หนูพริ้งคนสวย วันนี้เอาอะไรดี”
คนสวยยิ้มหวานให้ชายสูงวัยคนไทยเชื้อสายจีนที่ส่งเสียงทักทายกัน เขากำลังยืนลวกเส้นบะหมี่ให้ลูกค้าที่รออยู่อย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้พริ้งขอเส้นเล็กหมูตุ๋นสองที่ค่ะ”
“ได้ๆ มานั่งรอในร้านก่อน”
พริ้งพราวค้อมหัวรับคำเชิญจากเจ้าของร้าน ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงิน ก่อนจะหันไปหาภรรยาเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน เตรียมจะอ้าปากทักทายตามประสาคนคุ้นเคย ทว่าหญิงสูงวัยผิวขาวร่างอวบดันตกอยู่ในโลกส่วนตัวเสมือนไม่เห็นเลยว่าเธอมานั่งด้วย
ดวงตาของเจ้าหล่อนจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ซึ่งตั้งอยู่ในร้านเพื่อบริการลูกค้า ครั้นพริ้งพราวเพ่งสายตามองตามก็เบิกตากว้าง เพราะคนที่เธอเห็นคือจารุณีในเวอร์ชันยังสาว
ชะตาคนเรานี้หนอ ช่างประหลาดดีแท้ ตอนที่ยังไม่ได้ข้องเกี่ยวกันก็ไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ยามได้ข้องเกี่ยวกันแล้ว แม้จะในทางอ้อม ก็ดันมีจังหวะพิเศษให้ได้เห็นกันอย่างง่ายดาย
ภาพบนหน้าจอที่ภรรยาเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวกำลังดูอย่างใจจดใจจ่อ คือละครดังในยุคก่อนซึ่งทางสถานีโทรทัศน์นำมาฉายใหม่ เอาใจแฟนละครสูงวัยที่ยังคงคิดถึงและชื่นชอบพระ-นางในสมัยตัวเอง
“เอ้าๆ ติดละครจนไม่เห็นใครเลย หนูพริ้งนั่งด้วยตั้งนานแล้วนั่น”
เฮียเจ้าของร้านแกล้งโหวกเหวกแซวภรรยา หญิงสูงวัยเองก็รู้สึกตัวพร้อมๆ กับที่ละครจบตอนเข้าช่วงโฆษณาพอดี
“ละครดาราคนโปรดมาเมื่อไร ดูจนลืมโลกทุกที”
คนร่างอวบค้อนวงใหญ่ใส่สามี ก่อนจะหันมายิ้มให้พริ้งพราว
หญิงสาวยิ้มกลับ เอ่ยถามเสียงหวาน “ป้าชอบคุณจ๋าเหรอคะ”
“โอ๊ย ชอบมากเลยพริ้ง” หญิงสูงวัยตอบเสียงแหลม สีหน้าเริงร่าปลาบปลื้มดาราคนโปรดประกอบวาจาที่เอ่ยมา
“ตอนป้าสาวๆ ป้าเคยไปเจอเขา มีละครเรื่องนึงมาตั้งกองถ่ายแถวๆ นี้ เขาสวยอย่างกับนางฟ้า ยิ้มแย้มใจดี เป็นกันเอง ไม่ถือตัว ตอนที่มีข่าวเสียๆ หายๆ ของเขาออกมา ป้าไม่เคยเชื่อเลย ไอ้คนทำข่าวมันใส่ร้ายคุณจ๋าของป้าแน่ๆ”
“ป้า...คิดอย่างนั้นเหรอคะ”
คนฟังแกล้งถามดูเชิง อึ้งอยู่เหมือนกันเมื่ออีกฝ่ายสันนิษฐานได้ตรงกับสิ่งที่ศรันย์นำมาเล่าให้เธอฟัง ทั้งยังเป็นการเสริมความจริงให้น่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม
“ใช่ ป้าคิดอย่างนั้น” หญิงสูงวัยยืดอกแก้ต่างแทนจารุณีอย่างมั่นใจ “เคยมีข่าวว่าเขาตบกับเมี่ยง มารตี นางร้ายที่เล่นด้วยกัน แต่ตอนที่ป้าไปเจอ ป้าเห็นพวกเขาสนิทกันมาก เหมือนเป็นเพื่อนรักกันเลย พวกเขาไม่มีทางตบกันหรอก”
ยังไม่ทันที่พริ้งพราวจะถามต่อ เฮียเจ้าของร้านก็ร้องบอกว่าก๋วยเตี๋ยวของเธอได้แล้ว เลยจำต้องหยุดบทสนทนาเรื่องจารุณีไว้เพียงเท่านี้
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ของจอมทัพ หยิบเงินออกมาจ่าย รับเงินทอน ค้อมหัวให้ชายสูงวัยและภรรยา ก่อนจะรีบออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว แวะซื้อข้าวเหนียวมะม่วงที่ร้านขนมไทยข้างๆ กันอีกสองกล่อง เรียบร้อยแล้วก็นำเงินที่เหลือมาเก็บไว้ที่เดิม ยิ้มเริงร่าขณะเดินกลับอะพาร์ตเมนต์ โดยที่ไม่รู้เลยว่า...ความวุ่นวายกำลังรอเธออยู่
จอมทัพเพียรสอดส่ายสายตาถือวิสาสะค้นหาที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ในห้องของพริ้งพราวอยู่พักหนึ่ง แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ เลยจำต้องหักใจ ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสายกลับไปหาคนบ้าห้าร้อยคนนั้น และทำได้เพียงรอถามจากพริ้งพราวว่าหมอนั่นเป็นใคร
ชายหนุ่มอุ้มคนตัวน้อยมายืนดูทิวทัศน์ที่ริมระเบียง ลมเย็นที่พัดโชยมาปะทะหน้าช่วยทำให้อาการพื้นเสียของเขาคลายลงได้บ้าง ก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อมองไปยังเบื้องล่างแล้วเห็นว่าพริ้งพราวกำลังเดินเข้ามาในตึก
“แม่พริ้งกลับมาแล้วลูก” จอมทัพคลี่ยิ้มดีใจ ยายตัวน้อยเองก็ดิ้นดี๊ด๊าไม่แพ้กัน
“พ่อจะได้รู้สักทีว่ามันเป็นใคร...” เขาเอ่ยอย่างคนที่เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ “ว่าแต่ หนูเคยเจอคนบ้าห้าร้อยคนนี้ไหมลูก พ่อหวังว่าหมอนั่นคงไม่เคยมาเจอหนูนะคะ พ่อไม่อยากให้หนูยุ่งกับมันเลย คุยกันแค่นั้น พ่อก็ไม่ชอบขี้หน้ามันละ มาหาว่าพ่อเป็นขโมยได้ไง”
“แอ๊ะ!”
“กาหัวไว้เลยนะคะ ถ้าไอ้ฮอตอะไรนี่มายุ่งกับแม่พริ้ง หนูต้องร้องไห้แงๆ ใส่มันเลยนะลูก”
“อ๊ะ!”
“หือ?” จอมทัพเลิกคิ้วเมื่อเห็นกิริยาอันน่าแปลกใจของยายตัวน้อย แกยิ้มเริงร่ามากกว่าปกติเมื่อได้ยินชื่อของคนบ้านั่น ปากน้อยๆ พยายามออกเสียง
“ปะ...”
“อะไรนะคะ” จอมทัพไม่เข้าใจ เอียงหูไปใกล้ๆ เจ้าตัวเล็ก “พูดให้ชัดๆ ซิ”
“ปะ...”
“ปะ?” เขาขมวดคิ้วงุนงง “ปะ อะไรคะพริกแกงน้อย”
“ปะ...ปะป๊า!”
“หา!”
เขาอุทานทั้งสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาคู่คมเบิกโตจนมันแทบหลุดออกมาจากเบ้า ความมึนงงหายไป ความตกใจเข้ามาแทนที่ พยายามละล่ำละลักทวนถามเจ้าตัวจ้อยอีกรอบ
“หนูว่ายังไงนะคะพริกแกงน้อย เรียกไอ้ฮอตอะไรนี่ว่ายังไงนะ”
“ปะป๊า!”
เสียงใสแจ๋วของแกไม่เพียงแต่ทำให้จอมทัพตาเหลือกลานเท่านั้น เพราะพริ้งพราวที่เปิดประตูผลัวะเข้ามาพอดีก็ตาค้าง ตะลึง!ตึง! ตึง! เช่นกัน
“พริกแกง!”
เธอร้องเรียกแสบจิ๋วเสียงหลง ดวงตาโตสวยเบิกกว้าง เมื่อมองหน้าจอมทัพที่กำลังแผ่รังสีความเกรี้ยวกราดออกมาทางนัยน์ตาก็หวาดหวั่นว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“มันหมายความว่ายังไงพริ้ง!”
“เอ่อ...คะ?” เธอทำเป็นอึกอัก และแสร้งถาม “มีอะไรเหรอ”
“ตอนที่คุณไม่อยู่ ผู้ชายที่ชื่อฮอตโทร. มาหาคุณ มันเป็นใคร ทำไมพริกแกงน้อยเรียกมันว่าปะป๊า!”
น้ำเสียงเขาเข้มจัดจนเธอตื่นตระหนกตัวสั่น อยากเขกกะโหลกตัวเองนักที่ลืมเครื่องมือสื่อสารแสนสำคัญไว้ในห้อง พลันก็จินตนาการในทางร้ายไปต่างๆ นานาว่าจอมทัพจะทราบความจริงทั้งหมดหรือยัง กลัวจับใจว่าแผนป่วนจารุณีจะพังไม่เป็นท่า และที่กลัวยิ่งกว่าก็คือความบ้าของงอแงแมนเบอร์หนึ่งเบอร์สอง
คนหนึ่งหวงพริกแกงสุดชีวิต อีกคนก็คิดว่ายายตัวน้อยคือลูกสาวตัวเองจริงๆ หายนะเตรียมบังเกิดกับเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“ตอบผมมานะ ทำไมลูกสาวผมถึงเรียกคนอื่นว่าปะป๊า!”
‘คุณต่างหากที่เป็นคนอื่น ตาลุงเห่อเด็ก’
“ปะป๊า!”
“ไม่เอานะคะลูก” ชายหนุ่มทำตาดุใส่คนตัวจ้อยที่โพล่งแทรกเอ่ยคำแสลงใจตน “ไม่เรียกหมอนั่นว่าปะป๊านะคะ”
“ปะป๊า!”
“หยุดเรียกเดี๋ยวนี้ พ่อไม่ยอม”
“ปะป๊า!”
“พริกแกง ทำไมดื้อแบบนี้”
“ปะป๊า!”
“ถ้าหนูเรียกคนอื่นว่าปะป๊าอย่างนี้ พ่อจะไม่รักหนูแล้วนะ!”
หนูน้อยสะดุ้งโหยง ด้วยครานี้จอมทัพถลึงตาดุจริงจัง เขาเองก็ช็อกกับการกระทำของตนไม่แพ้กัน เพราะนอกจากดวงตาน้อยๆ จะเบิกกว้างอย่างตกใจแล้ว ปากเล็กจิ้มลิ้มยังค่อยๆ แบะออก แผดเสียงที่บาดหัวใจคนเป็นพ่อปลอมออกมา
“แง้...แง้!”
พริ้งพราวรีบวางถุงก๋วยเตี๋ยวกับข้าวเหนียวมะม่วงลงบนโต๊ะรับประทานอาหาร ปรี่ไปหาคนตัวจ้อย ยกมือเตรียมพร้อมในท่าอุ้ม “โอ๋ๆ ยายหนู มาค่ะ มาหาแม่นะคะ”
“ฮึก...แง้...แง้!”
ตัวเล็กยังคงแผดเสียงร้องไห้จ้า โผเข้าหาพริ้งพราว เอาหน้าซุกซบอกอุ่นของหญิงสาว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคนเก่ง”
“ฮึก...”
จอมทัพห่อไหล่จ๋อยซึม ใจแทบสลายเมื่อทำให้คนตัวจ้อยต้องร้องไห้ รีบยื่นมือไปลูบหลังปลอบแกเบาๆ จนแกเริ่มหยุดสะอื้นไห้ คลายความตกใจ ผละออกจากอกอุ่นมามองหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัวพ่อแล้วลูก...พ่อขอโทษ พ่อดุเพราะพ่อหวงหนู กลัวหนูรักคนอื่นมากกว่าพ่อ อย่าโกรธพ่อเลยนะคะ”
สีหน้าของเขาเศร้าหมองจนพริ้งพราวชักสงสาร แต่จะสงสารอย่างไรก็ต้องเผยความจริงข้อสำคัญอันไร้คำโกหกใดๆ “คุณไนท์คะ คุณต้องเข้าใจด้วยนะ ต่อให้ตอนนี้พริกแกงจะเริ่มคุ้นเคยกับคุณแล้ว แต่คุณไม่เคยอยู่กับแกตลอดเกือบสองปีมานี้ ในขณะที่ฮอตอยู่กับแกมาตั้งแต่แกอยู่ในท้องแม่”
“หมายความว่ายังไง ตกลงมันเป็นใครกันแน่!”
ฟังจากคำถามของเขา พริ้งพราวก็เดาได้ว่าจอมทัพยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด สมองแล่นปรู๊ดรีบหาทางลงให้ตัวเอง
“ฮอตเขาก็เป็นหนึ่งในคนสนิทของฉันนี่แหละค่ะ รู้จักกันตั้งแต่ยายหนูอยู่ในท้อง”
“สนิท?...ฮึ!” จอมทัพทำเสียงขึ้นจมูก กัดฟันแค่นเสียงถามอย่างไม่พอใจ “คนนี้สนิทเท่าไหนล่ะฮะ คนสนิทเยอะจริงนะ”
“คนนี้ก็สนิทประมาณนึง เขารักยายหนูเหมือนลูกแท้ๆ เลยละค่ะ รักมาก จนขอเป็นปะป๊าของยายหนู”
“เฮอะ อยากมีลูกก็ไปทำลูกเองสิวะ มาขี้ตู่รักลูกของคนอื่นเขาได้ยังไง!” จอมทัพสะบัดเสียงเยาะฝ่ายนั้น หันไปวอนขอคนในอ้อมแขนพริ้งพราว “มีป้อคนเดียวก็พอแล้วนะคะพริกแกงน้อย ไม่จำเป็นต้องมีปะป๊าหรอก”
“จำเป็นค่ะ”
“จำเป็นยังไงพริ้ง” เขานิ่วหน้าไม่เข้าใจใส่คนค้าน “ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีคนบ้าห้าร้อยอยู่ในชีวิตลูกเรา”
“แต่คนบ้าคนนี้เขารักพริกแกงมาก” พริ้งพราวปกป้องน้องเขยกลายๆ “เขาผูกพันกับยายหนูมากกว่าคุณไม่รู้กี่เท่า รู้ไว้ด้วย”
ชายหนุ่มนิ่งขึง กัดฟันอย่างแค้นเคือง และเงียบจนพริ้งพราวกังวลว่าพายุอารมณ์กำลังตั้งเค้าเตรียมจะพัดถล่มเธออยู่
ทว่า...ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่ได้ทำอย่างที่เธอคิด ด้วยหลังจากเงียบแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดเผือด น้ำตาคลอเบ้าอย่างคนที่รับความจริงข้อนี้ไม่ได้
“ทำไมคุณไม่มาหาผมตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่าท้อง ทำไมไม่ให้ผมได้ใช้เวลากับลูกตั้งแต่ตอนนั้น”
ถ้อยคำตัดพ้อของเขาทำเธออึ้งงัน ปากอิ่มเม้มสนิท ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไป
“ผมรับไม่ได้” จอมทัพส่ายหน้าช้าๆ และกระแทกเสียงว่า “มันคงเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของผม ผมเสพติดการเป็นที่หนึ่ง ผมไม่ชอบเป็นรองใคร คุณรู้ไหม ผมไม่เคยมีชีวิตส่วนตัวเหมือนคนอื่นเขาเลย ผมเกิดมาก็ถูกฝึกให้ต้องเป็นผู้นำของตระกูลในรุ่นต่อไป ทำอะไรก็ต้องนึกถึงที่บ้าน งานที่ทำ บริษัทที่ต้องดูแล ผมไม่เคยคิดว่ามันคือของผมเลย แต่มันคือของทุกคน ไม่เคยมีอะไรที่เป็นของผมคนเดียว
“ต่อให้เมื่อก่อนผมจะเสเพลเจ้าชู้ แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรเกินลิมิตที่มันควรจะเป็น ผมเซฟตัวเองเป็นอย่างดี ตอนที่คุณพาลูกไปเจอผม มากกว่าความตกใจคือผมไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดได้ แต่พอผมทำใจยอมรับทุกอย่างแล้ว ผมก็มีความสุขมาก ไม่เคยคิดว่าคุณกับลูกคือตัวปัญหา ในขณะที่คุณ...กำลังทำให้ผมรู้สึกว่าผมต่างหากที่เป็นตัวปัญหา” ชายหนุ่มพ้อเสียงอ่อย นัยน์ตาคมไหวระริกอย่างเจ็บปวด
“เหมือนผมหน้าด้านหน้าทนเข้ามายุ่งกับคุณ โดยที่คุณก็ไม่ได้อยากให้มา คุณไม่แคร์อะไรผมเลย และผมก็คิดว่าคุณกับลูกเป็นแค่ของผมคนเดียว แต่คุณดันมีใครอีกหลายคนที่ต้องให้ความสำคัญ มีทั้งเพื่อนที่มีสัญญาแต่งงานกับคุณ มีทั้งคนที่ยายหนูเรียกว่าปะป๊า แล้วผมล่ะ ผมเป็นใคร คุณไม่เคยคิดว่าผมเป็นของคุณเลยใช่ไหม
“ผมอยากให้พริกแกงน้อยรักผมที่สุด อยากเป็นคนสำคัญของพริ้งที่สุด พริ้งให้ผมเป็นคนนั้นไม่ได้เหรอ ให้ผมสำคัญมากกว่าสองคนนั้นได้ไหม”
“คุณไนท์...”
“ป้อ”
จอมทัพเมินคำเรียกขานเสียงอ่อนอ่อย หมุนตัวหนีสองสาว และประชดเสียงแข็ง “รักปะป๊านั่นมากไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมาเรียก ไม่ต้องมารักป้อหรอก!”
ยายหนูหันมองหน้าพริ้งพราว ทำปากจู๋งุนงงท่าทางกะบึงกะบอนของจอมทัพ พริ้งพราวเห็นแล้วก็ขำในลำคอ
โถ...ตาลุงตัวโตขี้น้อยใจ งอนเสียน่าเอ็นดู๊!
“คุงป้องอนเราเสียแล้วลูก ทำยังไงกันดีคะพริกแกงน้อย” หญิงสาวทำเป็นชวนคนตัวน้อยคุย ในขณะเดียวกันก็คอยสังเกตท่าทางของจอมทัพตลอดเวลา
“ป้อ!”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาเรียก”
พริกแกงทำปากจู๋งุนงงอีกครา ก่อนจะยกมือตบหน้าพริ้งพราวเบาๆ ราวกับขอว่าให้ช่วยแกด้วย หญิงสาวเองก็ตอบรับคำขอโดยการเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยกับคนร่างสูง
“คุงป้อขา...หิวไม่ใช่เหรอคะ แม่พริ้งซื้อก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดกับข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าอร่อยมาให้ด้วยน้า”
“ไม่กิน!”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ พริ้งพราวคงจะเชิดหน้าใส่ แบะปากสวนกลับว่า ‘ไม่กินก็อย่ากิน!’
ทว่าครานี้ช่างน่าประหลาด เพราะจู่ๆ เธอก็เกิดความรู้สึกในเชิงอยากจะง้อใครสักคนเป็นครั้งแรก ซึ่งคงเป็นผลมาจากความรู้สึกผิดที่มาหลอกลวงเขา พริ้งพราวไม่คาดคิดว่าเขาจะให้ค่าเธอกับยายหนูมากมายขนาดนี้...ตาเสือโหดเอ๊ย ที่แท้ก็ซุกซ่อนผู้ชายอ่อนไหวไว้ข้างใน และคงมีอะไรในใจอีกมากมาย
ตัวตนนี้ แม้แต่นักรบที่เป็นน้องชายก็ไม่เคยแง้มบอก และเธอก็แน่ใจว่าที่นักรบไม่รู้ว่าพี่ชายก็มีมุมนี้ เพราะจอมทัพไม่เคยแสดงออกให้เห็น พอเขาไว้ใจและแสดงออกกับเธอ ครั้นเธอจะทำแข็งใส่เขา เมินเฉยเขา ก็เลยทำไม่ลง...อยากจะน่ารักน่าใคร่กับเขาบ้างเสียอย่างนั้น
“ยายหนู เราจะง้อคุงป้อยังไงดีคะ”
“อ๊ะ!”
“คุงป้อทำไมขี้งอนขี้น้อยใจแบบนี้ล่ะค้า หนูปวดหมองแล้วนะ หายงอนหนูนะค้า...นะๆ”
ลูกไม้ของพริ้งพราวได้ผล ด้วยจอมทัพเริ่มใจอ่อนเหลือบมองสองสาว ทว่าความน้อยใจก็ยังหลงเหลืออยู่ ไม่หายไปเสียทีเดียว
“คุณไนท์ ฝากลูกหน่อยได้ไหมคะ”
เจ้าตัวเล็กยิ้มหวานสนับสนุนคำฝากของพริ้งพราว ทั้งยังแสดงอาการชูไม้ชูมืออยากให้จอมทัพอุ้ม ปากเล็กก็ร้องเรียกเสียงใส “ป้อ!”
“คุณพ่อ ลูกเรียกหลายรอบแล้วนะคะ ไม่อุ้มจริงเหรอ เกิดลูกงอนกลับขึ้นมา ฉันไม่รู้ด้วยนะ”
คำขู่ของเธอทำจอมทัพชะงัก หวาดหวั่นจนรีบหันมาหา ทว่าก็ยังไว้เชิงด้วยการวางท่าเสมือนไม่เต็มใจสักเท่าไร แต่กระนั้น ด้วยความน่ารักของคนตัวน้อยก็ทำให้เขาใจละลายจนอดใจไม่ไหว หอมยายหนูเสียหลายฟอด แกเองก็รู้งาน เริงร่าเอาใจชายหนุ่มที่ยอมหมดฟอร์มเพื่อแก
คนมองภาพการงอนง้อกันของทั้งคู่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็ก แกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชามให้จอมทัพ และเอ่ยบอกเขา “มากินก่อนเถอะค่ะ อิ่มแล้วค่อยงอนต่อก็ได้”
“ไม่เอา พริ้งกินก่อนเถอะ รู้นะว่าพริ้งก็หิวเหมือนกัน”
หัวใจหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำกับคำปฏิเสธของเขา ตื้นตันที่เขาใส่ใจรับรู้ความรู้สึกของเธอ โดยที่เธอไม่ต้องพูดอะไรออกมาสักคำ
การดูแลตัวเองมาตลอดมักมีจุดที่คนเช่นเธอโดนมองข้ามอยู่เสมอ นั่นก็คือลืมไปว่า...เธอก็เหนื่อยเป็น
เธอกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่ยังโชคดีที่มีลุงป้าที่รักเหมือนพ่อแม่ และพวกท่านก็ไม่ได้ผิดอะไรที่เผลอละเลยความเหนื่อยของเธอ บวกกับความเป็นพี่สาวคนโตที่รับหน้าที่ดูแลน้องสาวตัวน้อย ความกล้าแกร่งเลยมาบดบังความอ่อนล้าจนทำให้เธอปากหนักเกินกว่าจะพูดออกไป
“คุณกินก่อนดีกว่าค่ะ ฉันเป็นเจ้าบ้าน ให้ฉันดูแลแขกเถอะ”
“อืม...” ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ “เอางั้นก็ได้ แต่ช่วยปรุงให้หน่อยนะ ผมไม่เคยปรุงเองเลย”
เธอยิ้ม ทำตามคำขอของคนร่างสูงอย่างไม่เกี่ยงงอนอะไร ด้วยอยากจะบริการ อยากเอาใจให้คนขี้งอนรู้สึกดี
“มาค่ะ ยายหนู มาหาแม่นะคะ ให้คุณพ่อกินก่อนนะ”
แสบจิ๋วยิ้มร่า โผเข้าหาพริ้งพราวอย่างง่ายดาย
หญิงสาวสบตาคมกล้า ค้อมหัวขออภัยเขา “คุณไนท์...ฉันขอโทษนะ ที่พูดจาทำร้ายความรู้สึกคุณ”
“พริ้ง...” จอมทัพยิ้มกว้าง ชื่นใจที่เธอยอมลงให้ก่อน จากการได้รู้จักกันมา แม้จะเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เวลาอันน้อยนิดนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามองออกว่าเธอไม่ใช่คนที่จะอ่อนให้ใครได้ง่ายๆ
“จริงๆ พริ้งก็พูดถูกทุกอย่าง ผมเองที่งี่เง่า รับความจริงไม่ได้” ชายหนุ่มเองก็อ่อนข้อให้บ้าง ก่อนจะยิ้มขำเมื่อเห็นคนหน้าหวานขมวดคิ้วมึนงง “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ก็...นึกว่าจะอีโก้จัดเหมือนตอนแรกที่เจอกัน”
“ผมยอมอ่อนให้แค่ไม่กี่คนหรอก ก่อนหน้านี้มีสองคน ตอนนี้มีสี่คน”
สี่คน...ในหัวพริ้งพราวไพล่นึกถึงคราที่เขาเคยประกาศเสียงกร้าว ‘นอกจากพ่อกับแม่แล้ว คนอย่างผมก็ไม่เคยก้มหัวให้ใคร!’
ไม่ต้องถามว่าเพิ่มมาจากไหนอีกสอง เพราะคำตอบมันก็เห็นชัดๆ อยู่แล้ว
“พริ้ง...อ้าปากเร็ว”
“คะ?”
“อ้าปาก”
แม้จะงุนงง แต่เธอก็ทำตามคำขอแต่โดยดี ก่อนจะหน้าตื่นเหลอหลาเมื่อชายหนุ่มใช้ช้อนตักหมูตุ๋นรสเลิศป้อนใส่ปากเธอ
“ป้อนฉันทำไม ฉันเตรียมไว้ให้คุณนะ ไม่ใช่ให้ตัวเอง”
จอมทัพหัวเราะใส่คนบ่น ก่อนจะตักหมูเข้าปากตัวเองบ้าง พลันตื่นตะลึงกับรสชาติของมันจนต้องรีบตักชิ้นที่สองเข้าปากตามมาติดๆ
“อร่อยมากเลยพริ้ง อร่อยที่สุดตั้งแต่ผมเคยกินก๋วยเตี๋ยวมา!” ดวงตาคู่คมเปล่งประกายพอใจ มือใหญ่ตักหมูเตรียมป้อนสาวเจ้าอีกครา “อ้าปากอีกเร็ว”
“ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวกินเอง”
“อ้าปาก”
เมื่อคร้านจะดื้อใส่ พริ้งพราวเลยอ้าปากรับหมูตุ๋นแต่โดยดี จอมทัพเองก็สุขใจ มองเธอแล้วเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
“แอ๊ะ!”
“คะ? ชอบให้พ่อแม่สวีตกันเหรอเรา” จอมทัพเย้าคนตัวเล็กที่กำลังยิ้มหน้าบาน ในขณะที่พริ้งพราวเก้อกระดากจนต้องเชิดหน้าเชิดตาแหวแก้ขวย
“สวีตอะไรยะ มั่วแล้ว!”
“เหรอครับ ไม่สวีตเลยเหรอ”
หญิงสาวค้อนคนยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์...นี่ไงเล่า มุกจีบขั้นเทพของตาเสือร้ายที่เธอกลัว
ตลอดชีวิตของวัยสาวที่มีหนุ่มๆ แวะเวียนมาขายขนมจีบอยู่ไม่ขาด คนแซ่บเช่นเธอไม่เคยแพ้ทางเวลาโดนผู้ชายพูดหวานหูใส่ ไม่เคยใจอ่อนกับการเอาใจด้วยสิ่งของเงินทอง ความร่ำรวยหรือคุณสมบัติภายนอกจึงไม่เคยทำให้เธอเพลี่ยงพล้ำได้เลย
กระนั้น...เธอก็รู้ตัวมาตลอดว่าจะตกหลุมรัก หวั่นไหวได้ง่ายๆ ถ้าเจอผู้ชายที่ค้นพบและเข้าถึงตัวตนที่เป็นสาวน้อยแสนหวานของเธอ
คุณพระ! ไม่ใช่แค่เวอร์จินที่ไม่ปลอดภัยแล้ว
หัวใจ...ก็ไม่ปลอดภัยด้วย
ความคิดเห็น |
---|