1

ดรามาแม่ผัวลูกสะใภ้


1

ดรามาแม่ผัวลูกสะใภ้

 

หลายวันก่อนหน้า...

พริ้งพราวแกล้งเหลือกตาแบะปากใส่คนที่นอนเคียงกันบนเตียงทันควัน หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เธอขอคอนเฟิร์มเลยว่าโคตรจะ ‘ดราม้าดรามา’ จากปากของเพื่อนรัก

กลิกาพบรักกับนักรบ ลูกชายคนเล็กของตระกูลจิตรภากร สานสัมพันธ์กันจนถึงคราวที่นักรบเห็นว่าควรจะพากลิกาไปพบกับครอบครัวตัวเองเสียที

ทว่า...การพบกันครานี้กลับไม่ได้ชื่นมื่นเท่าที่ควร ซ้ำยังกลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหานรกแตกฮอตฮิตระดับโลก ว่าด้วยเรื่องของแม่สามีผู้ร่ำรวยที่ไม่พิสมัยลูกสะใภ้แสนยากจนข้นแค้น

ดรามานี้เปรียบเสมือนมรสุมลูกใหญ่ที่พัดมาเยือนชีวิตของกลิกา จนเธอรับมันไม่ไหว ต้องมาระบายให้พริ้งพราวฟัง

“เฮ้อ...ทำไมคุณแม่ของคุณนบถึงต้องรังเกียจฉันด้วยอะพริ้ง”

พริ้งพราวถอนใจใส่คนตัดพ้อ ไม่ได้ตอบคำถามเพื่อน ด้วยคิดว่ากลิการู้อยู่แก่ใจ แต่แค่ยังไม่กล้าพอจะยอมรับความจริง

“นี่ แกเคยได้ยินคำว่าได้อย่างเสียอย่างป้ะก้อย” หญิงสาวเกริ่นนำ เข้าสู่กระบวนการปลอบระคนชี้แนะในแบบของสาวแซ่บสุดแกร่ง

“เคย”

“นั่นแหละ ตอนนี้แกกำลังได้อย่างเสียอย่าง แกได้ว่าที่ผัวรวยเว่อร์ ถือว่าเป็นบุญ ส่วนพระมารดาของว่าที่ผัวที่ใจร้ายเว่อร์ มันก็คือกรรมที่แกต้องยอมรับ คนเขาถึงบอกกันไงว่า ได้ผัวดี ไม่เจ๋งเท่าได้แม่ผัวดี ให้ทายนะ ต่อหน้าลูกเขา เขาคงทำท่าพิศวาสแกปานจะกลืนกิน แต่กับแกแค่สองคน เขาคงมองบนเหยียดแกรัวๆ”

“ใช่” กลิกาพยักหน้ารับแรงๆ ก่อนถามกลับ “แกรู้ได้ไงอะพริ้ง”

“โอ๊ย!” พริ้งพราวลุกขึ้นนั่ง ตบเข่าฉาด จีบปากจีบคอเอ่ย “แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของวัฒนธรรมแม่ผัวเขาก็เป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละแก๊”

กลิกาหน้าเจื่อน ลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน ก่อนจะถามเสียงอ่อย “แล้วฉันจะทำยังไงดีอะพริ้ง ลองใช้ความดีเข้าสู้ดีไหม”

พริ้งพราวมองบนใส่ “ยังไงยะ แกจะเอาตัวไปบังกระสุนให้เขาเหรอ บทนางเอกละครที่ฉันเคยไปแคสตอนที่อยากเป็นดาราเนี่ย สะใภ้ต้องเสี่ยงชีวิตจะตายไม่ตายแหล่ทุกเรื่อง อนาถมาก รำสุด”

เจอประโยคนี้เข้าไป กลิกาก็อารมณ์ดีจนเริ่มยิ้มขำออกมา พลางมองใบหน้าหวานล้ำของเพื่อนสาวด้วยความเสียดายสุดใจ

พริ้งพราวเป็นคนสวยเจิดจรัสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ใครๆ ก็คิดว่าต้องได้เป็นดาราแน่ๆ

ตัวพริ้งพราวเองก็ใฝ่ฝันอยากเป็นดารานักแสดง เฝ้าเพียรพยายามแคสติงบทนางเอกมานานหลายปี

ทว่า...ราวกับเพื่อนสาวไม่มีดวงจะได้ไปทางนี้ อะไรๆ เลยติดขัดจนถึงจุดที่พริ้งพราวยอมรับกับตัวเองว่าควรจะเลิกไขว่คว้าหาดาวเสียที

“ฉันว่ามันคงไม่ถึงกับต้องเอาตัวไปบังกระสุนหรอกมั้งแก” กลิกาแกล้งเย้าคนสวย

พริ้งพราวเองก็ค้อนวงโต “ย่ะ อาจจะไม่ถึงกับต้องเอาตัวบังกระสุน แต่หนทางพิสูจน์ใจว่าที่แม่ผัวแก มันก็คงไม่ได้ราบรื่นเหมือนมีคนมาโปรยกลีบกุหลาบให้เดินไปแน่ๆ”

“ถ้าแกแต่งเข้าบ้านนี้ แกแน่ใจเหรอว่าคุณแม่สามีเขาจะยอมรับแกง่ายๆ ไม่ใช่ว่าแกต้องไปรับใช้เขา ทำงานบ้านให้เขางกๆ นะ”

พริ้งพราวประชดเสียงแข็ง ครั้นจินตนาการถึงวิถีสะใภ้ผู้ต่ำต้อยของกลิกา หญิงสาวก็ทำหน้าเบ้ แนะนำอย่างตรงไปตรงมา

“หาผัวเป็นคนธรรมดาที่เขาดูแลเราเหมือนเจ้าหญิง ดีกว่าได้ผัวรวยๆ ที่เราต้องไปเป็นนางซินก้นครัวให้เขานะก้อย ฉันไม่ได้แอนตี้ค่านิยมทำดีพิสูจน์ใจแม่ผัวหรอกนะ แต่ประเด็นหลักๆ คือ เขาคิดว่าแกไม่เหมาะสมกับลูกชายของเขา จุดนี้ต่างหากที่สำคัญ ความไม่เหมาะสม ไม่ใช่ความดีหรือความไม่ดี”

สาวแซ่บฉะตรงประเด็นชนิดที่ว่าไม่มีหมกเม็ดสักคำ แม้จะทำให้เพื่อนเจ็บปวด แต่มันก็ดีกว่าการพูดให้กำลังใจด้วยถ้อยคำสวยหรู แล้วทำให้กลิกาเพ้อฝันไปวันๆ อย่างที่เพื่อนเป็นมาตลอด

ความรักของกลิกาว่าดรามาแล้ว ชีวิตครอบครัวของเพื่อนยิ่งโคตรดรามากว่า

แม่เสีย พ่อมีเมียใหม่ จากนั้นเจ้าหล่อนก็กลายมาเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายที่คอยกลั่นแกล้งกลิกาให้เจ็บช้ำน้ำใจ ตามสูตรเป๊ะ!

“ฉันรู้นะว่าแกคาดหวังกับความรักครั้งนี้มาก เพราะแกคงคิดว่าคุณนบคือเจ้าชายรูปหล่อบ้านรวยที่จะมาพาแกออกไปจากชีวิตห่วยบรม ใช่ไหมล่ะ” พริ้งพราวหรี่ตามองเพื่อน

คนโดนจับผิดหน้าเจื่อน พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เฮ้อ...” พริ้งพราวถอนใจ ตบบ่าเพื่อนเบาๆ “แกลองปรับความคิดตัวเองใหม่ดีไหมก้อย ทำไมเราต้องไปหวังให้ผู้ชายรวยๆ มาทำให้ชีวิตเราดีขึ้นด้วยอะ เราสร้างชีวิตที่ดีด้วยมือของเราเองได้นะแก เงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองน่ะ มันน่าภูมิใจที่สุดแล้ว”

“หมายความว่า...” กลิกาเลิกคิ้ว หยั่งเชิงถาม “ถ้าแกมีผัว แล้วผัวให้เงินใช้ แกจะไม่เอาเหรอพริ้ง”

“เอาสิ”

“อ้าว”

พริ้งพราวหัวเราะคิกคักใส่คนหน้าเหลอ เชิดหน้าเชิดตาเอ่ยคติประจำใจ “ก็ถ้าเขาให้โดยเสน่หาแบบสามีภรรยา เราจะรับไว้ มันก็ย่อมด้ายยย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่เราต้องไปคาดหวังให้เขามาให้เราไงแก พื้นฐานสำคัญคือเราต้องดูแลชีวิตตัวเองให้ดีก่อน ยกเว้นก็แต่กรณีที่จะเฮงจัดเหมือนน้องสาวฉัน รายนั้นน่ะ ผัวรักผัวหลงเบอร์แรง”

พริ้งพราวทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ นึกหมั่นไส้ความรักเมียแบบโอเวอร์ของน้องเขย พลางกลอกตามองบนราวกับว่าทั้งคู่นั่งอยู่ตรงหน้า

ทว่าแม้จะหมั่นไส้เพียงใด พริ้งพราวก็ต้องยอมรับกับตัวเองแต่โดยดีว่าเธอชื่นใจกับสิ่งที่หฤทธิ์ทำให้พริ้มเพราจนอดที่จะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างไม่ได้

“มันมีจริงๆ นะ ก้อย ผู้ชายธรรมดาที่ดูแลเมียเหมือนเจ้าหญิงน่ะ น้องเขยฉันนี่แหละ เขาไม่ได้รวยหรอกนะ ก็คนทำงานปกติ แต่เก่ง แล้วก็ดูแลยายพริ้มดีมากกก” พริ้งพราวลากเสียง ชื่นชมน้องเขยอย่างเต็มปากเต็มคำ

“ทำงานได้เงินมาเท่าไรยกให้เมียหมด คอยช่วยยายพริ้มเลี้ยงลูก ทำงานบ้านเอง เคารพบูชายายพริ้มไว้บนหิ้ง จนฉันงงว่าน้องสาวฉันเป็นเมียหรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแน่”

พริ้งพราวยิ้มขำ ไพล่นึกถึงความรักของหฤทธิ์กับพริ้มเพรา ที่เริ่มต้นด้วยการตั้งท้องแบบไม่ได้ตั้งใจของน้องสาว นำมาซึ่งเรื่องราวพิสูจน์รักมากมาย จนท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้ครองคู่กัน

“ชีวิตรักของยายพริ้มทำให้ฉันเห็นภาพว่า บางทีความเป็นเจ้าชายก็ไม่ได้วัดว่าเขามีเงินเท่าไร มีบ้านหลังใหญ่ไหม มีรถหรูขับหรือเปล่า แต่อาจจะวัดจากการที่เขาดูแลผู้หญิงของตัวเองยังไง โอเคว่าเจ้าชายในแบบที่แกฝันถึงน่ะมีอยู่จริง หล่อ รวย เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่คนที่จะได้อยู่ข้างเจ้าชายแบบนี้น่ะ มีไม่กี่คนหรอกก้อย พื้นที่ตรงนั้นมันมีจำกัด”

กลิกานิ่งงัน ถ้อยคำที่พริ้งพราวเอ่ยมาช่างแทงใจดำ จนเธอเถียงไม่ออกสักคำ

“แล้วแกล่ะพริ้ง อยากเป็นผู้หญิงที่ได้ครองคู่กับเจ้าชายไหม”

“No!” พริ้งพราวส่ายหน้าหวือรับคำถาม “ฉันชอบผู้ชายธรรมดา ไม่เคยพิศวาสผู้ชายหล่อรวย เพราะฉันรู้ว่าการอยู่เคียงข้างผู้ชายแรร์ไอเทมแบบนั้นน่ะ มันไม่ง่าย ไหนจะแม่ผัวที่โคตรหวงลูกชาย ไหนจะชะนีที่ดาหน้าเข้ามาแย่งชิงเขามากมาย ฉันคงไม่เหมาะกับคนแบบนั้นหรอก เกรงว่าจะประสาทแดร๊กตาย”

“เหรอ...” กลิกานิ่งคิด มองคนสวยที่กำลังทำหน้าเบ้ไม่ชอบใจ ก่อนจะเอ่ยแย้ง “แต่ฉันว่าแกเหมาะนะ คนที่จะต่อกรกับแม่ผัวใจร้าย จัดการชะนีที่เข้ามาแย่งชิงเจ้าชายได้อยู่หมัด ก็คงต้องเป็นคนแซ่บๆ ร้ายๆ อย่างแกนี่แหละ”

“ใครร้ายฮะ ฉันออกจะนางเอ๊กนางเอก”

“ค่ะ คุณนางเอก” กลิกาเอ่ยประชด แกล้งค้อนใส่คนสวย “งั้นคุณนางเอกช่วยแนะนำดิฉันอย่างจริงจังได้ไหมคะ ว่าดิฉันควรจะทำยังไงกับดรามาแม่ผัวลูกสะใภ้ดี”

“มีสองทาง หนึ่ง...ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม” พริ้งพราวเอ่ยเสียงเครือ แอกติงห่อไหล่หงอประกอบการแนะ ก่อนจะเชิดหน้าคอตั้ง ยกมือสะบัดผมยาวสลวยสีดำเงางาม เอ่ยเสียงแหลม “กับสอง...สวยเริดเชิดใส่ หาว่าที่ผัวใหม่ที่แม่เขารักเรา”

ทางเลือกที่พริ้งพราวแนะนำทำกลิกาหน้าแห้ง หัวเราะแหะๆ “ทำไมแต่ละข้อมันยากสำหรับฉันจัง...”

คนเสนอแนะส่ายหน้าอ่อนใจ สำหรับพริ้งพราวที่เป็นคนเด็ดขาด นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากเลย แต่สำหรับกลิกาที่ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจอะไร แน่นอนว่านี่คือปัญหาระดับชาติ

ขนาดจะก้าวขาออกมาจากชีวิตเส็งเคร็งที่เกิดจากแม่เลี้ยงใจร้าย กลิกายังไม่คิดจะเดินออกมาด้วยตัวเอง ได้แต่รอให้เจ้าชายที่ฝันถึงมาพาออกมา การต้องมาเลือกทางที่ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ข้างหน้าจะสวยงามไหม แน่นอนว่ากลิกาย่อมไม่กล้าอยู่แล้ว

“ถ้ากลับกัน เป็นแกที่อยู่ในตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ของบ้านนี้ แกคงจัดการทุกอย่างได้แน่เลยพริ้ง คุณแม่ก็คุณแม่เถอะ เจอฤทธิ์ของแกเข้าไปก็ต้องมีร้อนๆ หนาวๆ บ้างแหละ”

พริ้งพราวค้อนเพื่อนที่ยังคงมอบตำแหน่งสาวร้ายกาจให้เธอ ทว่าก็นึกสนุกเมื่อคิดตามคำเพื่อนด้วย

หากคุณว่าที่แม่ผัวเจอกับสายแซ่บอย่างเธอ ศึกระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้คงจะมันน่าดู

“แกคงไม่ยอมโดนเหยียดอย่างที่ฉันยอมอยู่แล้วละเนอะ”

พริ้งพราวสงสารคนตัดพ้อจับใจ ดึงตัวกลิกามาโอบกอดไว้ เลือดของความเป็นพี่สาวคนโตเดือดพล่านไปทั่วทั้งร่าง ลูบหลังปลอบเพื่อนด้วยความเอ็นดูระคนอ่อนใจ

กลิกาเป็นคนที่มีคุณสมบัติในเชิงควรค่าแก่การทะนุถนอม หน้าตาน่ารัก นิสัยเรียบร้อย และพริ้งพราวก็กล้าบอกอย่างมั่นใจเลยว่าเพื่อนเป็นคนดี

แต่...ดันเป็นคนดีที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ปกป้องตัวเองไม่เป็น

พริ้มเพราเองก็นิสัยประมาณนี้ เลยพานทำให้เธอรู้สึกกับกลิกาเสมือนเพื่อนรักคือน้องสาว ทั้งที่รุ่นเดียวกัน

“นี่ถ้าพี่ชายของคุณนบยังเจ้าชู้ตัวพ่อเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงแนะนำให้แกกับเขารู้จักกันไปแล้ว แกสวยขนาดนี้ ถ้าคุณไนท์ได้เจอแก อาจจะชอบแกก็ได้”

วาจาที่เพื่อนเอ่ยออกมาอย่างมีความหวังทำพริ้งพราวชะงักกึก อดที่จะเผือก...เอ๊ย อยากช่วยเหลือเพื่อนสาวผู้น่ารักไม่ได้

ในหัวเริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่อยากจะทำตามประสาคนชอบวางแผนและคิดการณ์ไกล ผ่านไปครู่ใหญ่ก็สรุปผลดีผลเสียออกมาในใจ ปากก็เอ่ยไป

“หรือไม่ก็...อาจจะช็อกไปเลยก็ได้นะก้อย”

กลิกาผละออกมามองหน้าพริ้งพราว เลิกคิ้วสงสัย “ช็อก?”

“ใช่ ช็อก...” คนสวยยักคิ้วทะเล้น จีบปากจีบคอเอ่ย “ถ้าได้เจอเมียสุดสวยที่เคยฟีเจอริงด้วย พร้อมกับลูกที่ไข่ทิ้งไว้ คุณพี่ไนท์อะไรนี่จะทำยังไงน้อ”

“เมีย ลูก?”

“ใช่ เมีย ลูก...หึๆ” พริ้งพราวหัวเราะในลำคอ ทำท่าแบมือขอ “ขอข้อมูลคุณไนท์จากคุณนบให้หน่อยสิ พี่ชายเขาเป็นคนยังไง รายละเอียดในชีวิตแบบเจาะลึกสารพัดสิ่ง ฉันอยากรู้ทุกอย่างเลย”

“แกคิดจะทำอะไรอะพริ้ง”

พริ้งพราวยังไม่ตอบคำถามเพื่อนสาวที่กำลังมองเธอด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เอาแต่ยิ้มมุมปากกับแผนสุดเฟี้ยวที่คิดได้...

 

รอยยิ้มเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้นเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่พริ้งพราวกำลังแย้มปากรื่นเริงใจอยู่ในตอนนี้เป๊ะ

“แอ้...แอ๊ะ!”

“ขา” พริ้งพราวขานรับเสียงหวาน สังเกตได้ว่าเจ้าตัวน้อยจ้องไปยังถุงผ้าลายดอกไม้ที่เธอถือมาด้วย นึกรู้โดยพลันว่าแกต้องการอะไร

“หิวนมแล้วเหรอคะ มาค่ะ หม่ำๆ นมนะคะ”

“หม่ำๆ”

“ค่ะ หม่ำๆ นะ อยากให้ใครป้อนคะ”

ได้ยินคำถามของพริ้งพราว จอมทัพก็กลืนน้ำลายทันควัน เสียวสันหลังวาบๆ ว่าตัวเองจะได้ทำหน้าที่มุ้งมิ้งน่ารักแบบนั้น และสะกดจิตคนในอ้อมแขน...อย่านะ อย่าเด็ดขาด อย่า...

“อยากให้ใครป้อนเอ่ย”

เจ้าตัวจ้อยมองหน้าคนถาม ยิ้มร่าให้หญิงสาวเสมือนจะให้เธอป้อน แต่แล้วจู่ๆ แกก็หันกลับมามองหน้าจอมทัพเสียดื้อๆ

“ป้อ!”

“ไม่!” จอมทัพปฏิเสธเสียงแข็ง ทำตาขุ่นใส่เจ้าตัวจ้อย “ให้แม่ตัวเองป้อนเลยนะ ฉันไม่ป้อน!”

“ป้อ!”

คนตัวน้อยเรียกอีก แถมยังทำตาพองปากจู๋ใส่เขาเสียด้วย ตัวแค่นี้เถียงเป็นเสียแล้ว

“อย่ามาเหิมเกริมนะ คิดว่าตัวเองเป็นใคร มาสั่งฉัน!”

“ป้อๆ!”

“ไม่ ฉันไม่ป้อน แล้วก็ไม่ต้องมาเบะปากทำหน้าจะร้องไห้ด้วยนะ!” จอมทัพสั่งเสียงเข้ม ยกมือชี้หน้ากำราบคนตัวน้อย ก่อนจะหน้าม้านเมื่อหันไปเห็นเลขาฯ กำลังหัวเราะคิกคัก “ขำอะไรปิติ!”

“เอ่อ...” ปิติหน้าเจื่อน ก้มหน้าหนีตาเขียวจัดของเจ้านายหน้าหยก จะให้บอกได้อย่างไรว่าขำที่จอมทัพเถียงกับเด็กเป็นเรื่องเป็นราว เสมือนเข้าใจภาษาของกันและกัน

“อย่าไปพาลคุณเลขาฯ เลยค่ะ” พริ้งพราวเอ่ยแทรก “ป้อนนมลูกสักทีเถอะ ถ้าคุณไม่ป้อน ฉันจะไม่บอกนะว่าฉันมาพบคุณทำไม”

“คุณจะมาให้ผมรับผิดชอบละสิ มุกแบบนี้ผมเห็นมาเยอะ” จอมทัพหรี่ตาแล้วเอ่ยดักคอสาวเจ้า “แต่ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาเล่นไม่ซื่อได้ง่ายๆ แค่หน้าตามีส่วนเหมือนผมแค่นี้ คิดเหรอว่าผมจะเชื่อเต็มร้อย ยังไงก็ต้องมีการตรวจดีเอ็นเอให้มันรู้เรื่องรู้ราวกันไปข้างหนึ่ง”

พริ้งพราวแบะปาก สะบัดหน้าใส่เขา “เชอะ เสียใจด้วยย่ะ ฉันไม่ให้คุณตรวจ!”

“หึ คุณไม่บริสุทธิ์ใจสินะ”

“เปล่าย่ะ” พริ้งพราวย่นจมูกใส่คนที่กำลังเหยียดยิ้มดูแคลนเธอ แถลงไขให้เขาทราบจุดยืนของตัวเอง “ฉันแค่ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องพิสูจน์อะไร เพราะฉันไม่ได้มาให้คุณรับผิดชอบ ฉันรับผิดชอบชีวิตฉันกับลูกได้”

อ้าว...

จอมทัพขมวดคิ้ว ความสงสัยผุดขึ้นมาในอกอย่างมหาศาล

“แล้วคุณมาทำไม”

“ฉันก็แค่อยากให้คุณได้รู้ไว้ว่าคุณมีลูกกับฉัน ถ้าคุณอยากเจอแก คุณก็ไปเจอได้ ฉันไม่หวงห้ามอะไรเลย” พริ้งพราวเชิดหน้า ยักไหล่สบายๆ ก่อนจะแสดงความจำนง

“ที่สำคัญ ฉันก็ไม่อยากเป็นเมียคุณด้วย ปล่อยให้เหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของอดีตก็พอ แล้วคุณก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะฉันสมยอมเอง มันไม่ใช่ความผิดพลาดของใครคนใดคนหนึ่ง เราสนุกกันทั้งสองฝ่าย”

“ฉันไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรสักอย่าง ฉันแค่อยากให้ลูกได้เจอพ่อบ้างก็แค่นั้นเองค่ะ แล้วฉันก็จะไม่บอกใครด้วยว่าเขาคือลูกคุณ เพราะจุดที่คุณยืนอยู่มันจะทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง ฉันไม่อยากให้ใครมายุ่งกับยายหนูด้วย”

จอมทัพอึ้งอีกครา...ราวกับโดนสาวเจ้าปล่อยหมัดน็อกให้ล้มตึง

ตั้งแต่เกิดมา ชายหนุ่มไม่เคยโดนใครพูดใส่หน้าเช่นนี้มาก่อนเลย

ไม่ว่าในความสัมพันธ์ใด กับสาวคนไหน เธอเหล่านั้นมักจะเรียกร้องอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา ต้องการมาอยู่ในตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลจิตรภากร แต่พริ้งพราวกลับต่างออกไป นอกจากจะไม่ไยดีหรืออาลัยอาวรณ์ความสัมพันธ์แสนลึกซึ้งกับเขาแล้ว เธอยังไม่ต้องการความรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

“ป้อ!”

“นั่น ยายหนูทวงนมอีกแล้วค่ะ” พริ้งพราวยิ้มขำเจ้าตัวจ้อยที่หิวจนส่งเสียงขัดจังหวะผู้ใหญ่ ก่อนเปิดกระเป๋าผ้า หยิบขวดนมออกมาส่งให้จอมทัพ เอ่ยปากขอชายหนุ่มอีกครา “ป้อนลูกเถอะน่า ทำหน้าที่พ่อบ้างสิคะ”

จอมทัพรับขวดนมมาทั้งสีหน้างงงวย เธอเองก็ยกแขนทำท่าบอกว่าต้องอุ้มเจ้าตัวจ้อยด้วยท่าทางแบบไหน เพื่อให้แกกินนมได้สบายที่สุด

“ป้อๆ”

เสียงเล็กที่เรียกจอมทัพหาได้ทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างเมื่อกี้ ด้วยพอทราบจุดประสงค์ของพริ้งพราว การต่อต้านสถานะพ่อก็ลดลงไปโดยอัตโนมัติ ทั้งยังกล้ายื่นมือไปเขี่ยแก้มป่องน่าหอมของคนที่กำลังอ้าปากดูดนมดังจ๊วบๆ อย่างน่าเอร็ดอร่อย

ดวงตาใสแจ๋วไร้เดียงสาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดู จนเขาอยากจะก้มลงไปหอมแก้มให้ชื่นใจสักฟอดสองฟอด

“ฮื้ม...ฮืม...”

พริ้งพราวเองก็ฮัมเพลงกล่อมเจ้าตัวเล็ก พอนมหมดขวด แกก็ค่อยๆ หลับคาอกจอมทัพ

“คุณไนท์ครับ” ปิติเอ่ยเสียงเบา เตือนความจำเจ้านาย “เราต้องไปประชุมกันแล้วครับ”

“งั้นส่งตัวยายหนูมาให้ฉันเลยก็ได้ค่ะคุณไนท์”

พริ้งพราวยื่นมือไปหาชายหนุ่ม ทว่าแทนที่เขาจะรีบส่งคนตัวน้อยให้ เขากลับทำหน้านิ่ง ชักช้าลีลาจนเธอขมวดคิ้วมึนงง

“ส่งมาสิคะ”

โดนขอซ้ำ จอมทัพก็คร้านจะดึงเชงอีก เขาค่อยๆ ส่งตัวยายหนูน้อยให้พริ้งพราว ถอนใจอย่างเสียดายที่ไม่ได้อุ้มแกแล้ว

“คุณกับคุณเลขาฯ ไปประชุมกันเลยก็ได้ค่ะ ฉันกับลูกอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ใครเป็นห่วงคุณ!”

จอมทัพตีรวนใส่คนรู้ทัน ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา เปิดประตูออกจากห้องทำงานไปโดยไม่รอปิติเลย

“อย่าถือสาคุณไนท์เลยนะครับคุณพริ้ง ทำเป็นดุไปอย่างนั้นเองครับ จริงๆ ก็คงเป็นห่วงคุณพริ้งกับคุณหนูน้อยอยู่เหมือนกัน ว่าจะอยู่กันตามลำพังในห้องนี้ได้ไหม”

“เราอยู่ได้ค่ะ คุณเลขาฯ ตามเจ้านายคุณไปเถอะ”

“โอเคครับ ถ้าประชุมเสร็จแล้ว คุณไนท์คงจะรีบกลับมาเคลียร์เรื่องคุณหนูน้อยต่อแน่นอน คุณพริ้งสบายใจได้ครับ”

พริ้งพราวพยักหน้ารับทราบความที่ปิติรับประกันแล้วยิ้มบางให้เขา เขาเองก็ยิ้มกลับ ก่อนจะหมุนตัวเปิดประตูออกจากห้องไป ในขณะที่หญิงสาวเองก็หัวเราะคิกคักอย่างคนกำลังสาสมใจที่แผนขั้นแรกมีแววว่าจะสำเร็จไปได้ด้วยดี

 

จอมทัพเดินหน้าตั้งกลับไปยังห้องทำงานด้วยความเร็วราวกับวิ่ง ทำปิติขันจนหลุดขำออกมา ทั้งยังกล้าเอ่ยปากแซวเจ้านาย

“อยากรีบไปหาคุณพริ้งกับคุณหนูน้อยเหรอครับคุณไนท์”

“เปล่า ฉันก็แค่อยากรู้ว่าสองแม่ลูกนั่นเป็นยังไงกันบ้างก็เท่านั้นเอง” จอมทัพปฏิเสธเสียงเรียบ พยายามไม่หลุดฟอร์มไปมากกว่านี้ ทั้งที่จริงนั้นกำลังร้อนรนกระวนกระวายใจจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว

ตลอดสองชั่วโมงกว่าที่อยู่ในห้องประชุมของบริษัท ใจเขาวูบโหวงหวาดหวั่นราวกับว่าตนกำลังจะสูญเสีย...ของรักของหวง

แม้จะเพียรบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งไปรู้สึกอะไรกับสองสาว แต่ไอ้เจ้าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันก็ช่างดื้อรั้น จู่ๆ ก็ผูกพันกับพวกเธออย่างฉับไว จนแม้แต่ตัวจอมทัพเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะรู้สึกเช่นนี้ได้

ครั้นเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน จอมทัพก็รีบเปิดประตูเข้าไป และภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขาก็คือ...ความว่างเปล่า!

นัยน์ตาชายหนุ่มลุกโชนวาววับไปด้วยไฟของความเกรี้ยวกราด มองกวาดไปทั่วห้อง และสบถกับตัวเองในใจ...

‘เวร ลูกเมียกูหายไปไหนวะ!’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น