9

สะใภ้ตัวร้ายกับจิ๋วน้อยตัวแสบ


9

สะใภ้ตัวร้ายกับจิ๋วน้อยตัวแสบ

 

จารุณีมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยความงงงวย...เธอกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงของบ้านจิตรภากร ขณะเดียวกันก็เห็นตัวเองในวัยสาวนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นข้างนำทัพในวัยหนุ่ม จำได้ว่าทั้งสองคนกำลังรอพบคุณหญิงขวัญจิตด้วยความกังวลระคนตื่นเต้นว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นไรกับเธอ

‘ว่าไงยะ แม่ลูกสะใภ้’

คนงงงวยสะดุ้งเฮือก หันไปหาเจ้าของเสียงแหบอย่างคนสูงอายุที่ดังขึ้นทางด้านหลัง พลันก็หน้าตื่นเหลอหลาเมื่อพบเข้ากับหญิงชราร่างอวบ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมไทยสีแดงก่ำ ดวงหน้าเหี่ยวย่นทว่าดูอิ่มเอิบประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางสีเดียวกับชุด ผมที่ย้อมจนดำขลับถูกทำเป็นทรงตีกระบังเหมือนในคราที่ยังมีชีวิตอยู่

‘คุณแม่!’

คุณหญิงขวัญจิตเวอร์ชันความฝันยิ้มมุมปาก ก่อนจะหน้าตึงเมื่อได้ยินคำทักทายแสนแสลงใจ

‘คุณแม่ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเหรอคะ นานแล้วนะคะ’

‘นี่ แม่จ๋า เธอนี่ร้ายกับฉันตั้งแต่ฉันยังอยู่จนฉันตายเลยนะยะ’ หญิงชรายกมือเท้าเอว ขึงตาเขียวขุ่นใส่ศรีสะใภ้ ก่อนจะบอกความอันสำคัญ

‘ฉันพาเธอมาทบทวนความจำในวันที่เราเจอกันครั้งแรก’

จังหวะนั้น ภาพเก่าก็ค่อยๆ วนมาฉายซ้ำอีกครา คุณหญิงขวัญจิตในอดีตเดินเข้าไปหาจารุณีและนำทัพ ทิ้งตัวนั่งเชิดหน้าบนโซฟากำมะหยี่สีทอง กวาดตามองจารุณีตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างหยามเยียด แสดงความรังเกียจออกมาโดยไม่สนใจเลยว่านำทัพจะอึดอัดเพียงใด

‘ดูเธอตอนนั้นสิ แม่ลูกสะใภ้ตัวร้าย ทั้งอวดดี ทั้งเหิมเกริม ไม่อ่อนข้อให้ฉันบ้างเลย’

จารุณียิ้มขำ ขณะมองตนเองในวัยสาวที่กำลังผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคุณหญิงขวัญจิตซึ่งกำลังเหยียดปาก เอ่ยดูถูกอาชีพของเธอ

‘แหม คุณแม่ก็ไม่เบานะคะ ว่าฉันสารพัดเลย หาว่าฉันไม่มีชาติตระกูล เป็นนางเอกบังหน้า แต่ที่จริงหวังจับคนรวยบ้างละ เต้นกินรำกินบ้างละ’

โดนย้อนความผิดตัวเองบ้าง คุณหญิงขวัญจิตก็หน้าแห้ง หัวเราะแหะๆ ‘เอ่อ มาเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า จำตอนที่เธอคลอดตาไนท์ได้ไหม ที่ฉันเคยบอกเธอ’

สะใภ้ตัวร้ายชะงัก นึกย้อนไปหาวันนั้น...แม่สามีหัวเราะเย้ยเธอว่า ‘รอลูกชายโตเป็นหนุ่ม ไปให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนอื่นมากกว่าเธอ เธอจะเข้าใจความรู้สึกฉัน!’

‘จำได้แล้วใช่ไหม’ คุณหญิงขวัญจิตถามซ้ำเมื่อเห็นอาการนิ่งงันของลูกสะใภ้

‘ค่ะ จำได้แล้ว’

คุณหญิงขวัญจิตหัวเราะร่า ยกมือชี้หน้าขู่ ‘ถึงคราวเธอโดนบ้างแล้วละย่ะ หลานชายสุดหล่อของฉันกำลังจะไปให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนอื่นมากกว่า’

‘ไม่จริงค่ะ ยังไงตาไนท์ตานบก็ต้องเห็นแม่สำคัญที่สุด’

‘เหรอ’ หญิงชราหัวเราะหึ ‘ระวังไว้เถอะ ทุกอย่างมันย้อนศรกลับมาหาเธอแล้วแม่จ๋า เธอจะโดนลูกสะใภ้ตัวร้ายปราบบ้าง’

‘ไม่ค่ะ ฉันไม่ยอมหรอก!’

จารุณีส่ายหัวแรงๆ ทำหน้าเบ้กรุ่นโกรธคำพยากรณ์ของแม่สามี เอามือปิดหูหนีเสียงหัวเราะแสนเสียดแทงใจตนเอง ก่อนจะ...รู้สึกตัว สะดุ้งเฮือกเพราะน้ำเสียงตื่นตระหนกของสามี

“จ๋า...จ๋า!”

จารุณีลืมตามองคนเรียกที่คงจะตื่นก่อนหน้าเธอสักพักแล้ว หน้าเขาซีดเผือดฉายความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“คุณเป็นอะไร อยู่ๆ คุณก็กระสับกระส่าย สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเลย”

จารุณีโผกอดสามี ละล่ำละลักบอกสถานการณ์อันเลวร้ายที่ตนได้ยล “คุณคะ ฉันฝันถึงแม่คุณ ท่านมาเยาะเย้ยฉัน บอกว่าฉันจะโดนสะใภ้ตัวร้ายปราบ”

คำบอกเล่าของภรรยาสร้างความตื่นเต้นให้นำทัพจนเขาห่อปาก เบิกตากว้างตื่นตะลึง ก่อนจะหัวเราะชอบใจ ตรงกันข้ามกับจารุณีที่ฮึดฮัดจวนจะอัดอกตาย

“นี่คุณขำอะไรนักหนา!”

ถึงเธอจะแหวเสียงเข้มใส่ แต่นำทัพก็ยังคงหัวเราะ ทำเอาเธอเคืองจนอยากจะหยิกให้เนื้อเขียว ยิ่งนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับแม่สามี เธอก็ยิ่งไม่สบอารมณ์จนอยากจะกรีดร้องลั่นบ้าน

เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว คราที่ตัวเองอยู่ในฐานะว่าที่สะใภ้ เธอเตรียมการรับมือกับว่าที่แม่สามีโดยที่ไม่คิดจะอ่อนข้อให้สักนิด ลงมือปราบคุณหญิงขวัญจิตจนอยู่หมัด

ทว่าเมื่อตัวเองมาอยู่ในฐานะเดียวกับหญิงชรา ทั้งยังมีแววว่าจะโดนปราบบ้าง เธอกลับรับไม่ได้ จะไม่ยอมให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด

อีกทั้งยังรู้ดีว่าลูกชายคนโตหนักแน่นในวาจาของตัวเองเพียงใด เลยเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมใจไว้ในระดับหนึ่งว่าเธออาจจะได้พริ้งพราวเป็นสะใภ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง เธอคงต้องสั่งสอนให้แม่นั่นได้รู้ซึ้งถึงพลังอำนาจของว่าที่แม่สามี และยอมสยบอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเธอแต่โดยดี

 

“แอ๊ะ...บู้ๆ!”

พยัคฆ์หน้าหยกมองคนตัวจ้อยในอ้อมแขนด้วยความรักสุดหัวใจ แกกำลังดิ้นอย่างเริงร่าหลังจากที่เขาบอกว่าจะพาไปบ้านจิตรภากร ดวงตากลมโตเปล่งประกายวิบวับน่ารักน่าใคร่ ร่างเล็กจ้อยสวมชุดกระโปรงสีขาวราวกับนางฟ้าแสนบริสุทธิ์ เชื่อนักว่าเมื่อมารดาได้เห็นตัวจริงของแก ท่านคงจะเลิกตั้งแง่ เผลอเอ็นดูแกไม่มากก็น้อย

“รอแม่แต่งหน้าแป๊บนึงนะคะพริกแกงน้อย เดี๋ยวเราค่อยออกไปกันนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม กดจมูกลงบนแก้มป่อง ตาคมมองคนที่กำลังประทินโฉมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอแต่งกายด้วยชุดจัมป์สูทขายาวสีขาว ช่วงตัวเสื้อเปิดไหล่ข้างหนึ่ง โชว์แขนเรียวสลักเสลา อีกข้างมีระบายพองเป็นชั้นๆ ผมยาวดำสลวยถูกรวบเป็นทรงหางม้าต่ำ ดูหวานและทะมัดทะแมงในคราวเดียวกัน

“วันนี้พริ้งสวยจัง”

คนสวยยักไหล่รับคำชมโดยไม่คิดจะถ่อมตนเลย มือกำลังปัดมาสคาราให้ขนตางอนเช้ง ปากก็ตอบกลับเขา “จะไปเจอนางเอกเก่าทั้งทีนี่คะ จะให้โทรมๆ เหมือนตอนเจอคุณได้ยังไง”

คนฟังทั้งขันทั้งงงในคราวเดียวกัน ด้วยปกติแล้วสาวๆ มักจะอยากดูดีต่อหน้าเขา มีพริ้งพราวคนเดียวนี่แหละที่ไม่เคยสนใจรูปลักษณ์ยามได้พบกันเลย

“พริ้งนี่หน้าตาทรงดาราเลยนะ รู้ตัวไหม” เขาชมไม่ยั้ง เกือบบอกด้วยซ้ำว่าสวยกว่านางเอกที่ตนเคยกิ๊กกั๊กเสียอีก

“จริงๆ ฉันก็เคยอยากเป็นดารานักแสดงค่ะ แต่สงสัยดวงไม่ถึง ทำยังไงก็ไม่ได้เป็น” เธอหันหน้ามาบอก ก่อนจะผุดรอยยิ้มที่มุมปาก “คุณสนใจรับฉันเป็นนางเอกในสังกัดไหม คุณมีช่องทีวีเป็นของตัวเองด้วยนี่นา”

เธอกะพริบตาปริบๆ ปะเหลาะพยัคฆ์หน้าหยกประกอบคำขอ...เมื่อก่อนตระกูลจิตรภากรอาจจะเน้นเพียงธุรกิจค่ายเพลง แต่ในยุคทีวีดิจิทัลที่กำลังแข่งขันกันอย่างสูงก็เกิดการขยับขยายธุรกิจจนมีช่องทีวีในเครือ และสร้างละครออกมาหลายเรื่องแล้ว

“ไม่ คุณเป็นนางเอกไม่ได้แล้วละพริ้ง”

หญิงสาวสะดุดกึก ด้วยเข้าใจว่าเขาดูแคลนเรื่องหนังหน้าที่ไม่ได้ใสปิ๊งเท่าเด็กสาววัยเอ๊าะ

“ย่ะ ฉันคงจะแก่เกินไปสำหรับบทนางเอก” เธอตวัดค้อนวงโตใส่เขา ก่อนจะยิ้มมุมปากอีกครา “ถ้าไม่รับฉันเป็นนางเอก แล้วยายหนูล่ะ สนใจให้ยายหนูไปเป็นดาราเด็กไหม”

“นี่ก็ไม่!”

“เอ้า ไม่มันทุกคำขอเลยนะ”

เธอค่อนขอดอย่างขัดเคือง ก่อนจะสะบัดหน้าหันไปหากระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบลิปสติกสีนูดชมพูเตรียมมาทาที่ริมฝีปากอิ่มเอิบ บ่นขมุบขมิบขัดใจที่เขาหักฝันเธอให้ดับสลาย

“ผมไม่มีทางยอมให้พริ้งกับลูกเอาหน้าไปโชว์ใครมากมายหรอกนะ ห้ามพริ้งเป็นดาราเด็ดขาด”

ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม...ทั้งในฐานะพ่อที่หวงลูกสาว ทั้งในฐานะผัวที่หวงเมีย

“เข้าใจไหมคะพริกแกงน้อย ห้ามเป็นดารา พ่อไม่อนุญาต”

พริ้งพราวหลุดยิ้มขันคนขี้หวง อาการหนักพอกันกับหฤทธิ์เป๊ะ รายนั้นก็หวงพริกแกงจนน่าหน่ายใจ

คราที่พริกแกงอายุห้าเดือน กำลังอวบอ้วนน่าฟัด พริ้มเพราพาลูกสาวไปเที่ยวเล่นที่บริษัทโฆษณาของหฤทธิ์ เจ้าของสินค้าครีมอาบน้ำเด็กที่สนใจให้หฤทธิ์กำกับโฆษณาตัวใหม่ให้เผอิญได้มาเห็นคนตัวน้อยพอดี และตกหลุมรักเสียจนทาบทามยายหนูให้ไปเป็นพรีเซนเตอร์ ทว่าหฤทธิ์ก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ขนาดว่าเจ้าของสินค้าพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าไม่ยอมจะยกเลิกงานกำกับโฆษณา พ่อคุณก็ไม่สนใจ

“อะ เสร็จละ” พริ้งพราวพูดกับตัวเอง หลังจากทาลิปสติกเรียบร้อยแล้ว ยิ้มพอใจกับใบหน้าที่บรรจงประทินโฉม ก่อนจะหันไปหาจอมทัพแล้วแกล้งเปรย “สวยเช้งพร้อมไปไฟต์กับแม่คุณละค่ะ”

จอมทัพส่ายหัวอ่อนใจในจุดประสงค์ของเธอ ก่อนลองวอนขอ “พริ้ง ผมรู้นะว่าคุณไม่ใช่สายหัวอ่อน แต่ผมก็อยากขอให้คุณ...ยอมคุณแม่บ้าง”

“ก็ถ้าแม่คุณไม่ร้ายใส่ฉัน ฉันก็ไม่เอาเรื่องหรอก”

จอมทัพถอนใจ...นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าการยอมอ่อนข้อของพริ้งพราวเสียอีก

“คุณแม่ท่านร้ายเพราะคงคิดว่าพริ้งจะจับผม”

พริ้งพราวแบะปาก แสดงออกกลายๆ ว่าไม่เคยคิดอยากจะจับ ก่อนจะเชิดหน้าเอ่ย “รวมทั้งคิดว่าฉันจน ไม่เหมาะสมกับคุณ เหมือนที่แฟน...”

เธอสะดุดกึก ยั้งปากที่เกือบจะหลุดว่า ‘เหมือนที่แฟนน้องคุณโดน’ ไว้ได้ทันท่วงที

“แฟน?”

“เอ่อ...” เธออึกอัก รีบหาทางลงให้ตัวเอง “...แฟนคนก่อนๆ ของคุณไง”

“ไม่นะ หญิงคนก่อนๆ ของผม ที่คุณแม่ไม่ปลื้มก็ไม่ใช่เรื่องจนรวยหรอก ท่านมีเหตุผลของท่าน”

“เหตุผลอะไรคะ”

“ไม่รู้ แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติทางภายนอก คุณแม่ไม่เคยดูถูกคนไม่มี ตรงกันข้าม คุณแม่แอบช่วยเหลือคนเสมอ แต่ท่านไม่ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เลยไม่ค่อยมีข่าวออกมา ยิ่งบวกกับที่คุณแม่ชอบแสดงท่าทางร้ายๆ เลยทำให้คนมองว่าท่านใจดำ แต่จริงๆ ถ้าจับจุดคุณแม่ถูก ท่านก็มีพาร์ตที่อ่อนหวานใจดีเยอะนะ”

“อ่อนหวานใจดี?” เธอย่นคิ้ว ทำหน้าเบ้อย่างไม่เชื่อ “คุยกันเมื่อวานฉันยังสัมผัสความหวานใจดีไม่ได้สักกะติ๊ด...เนอะ ยายหนู เมื่อวานใครดุหนูคะ”

ยายตัวเล็กตอบรับคำถามพริ้งพราวด้วยการทำปากจู๋ ส่งเสียงใส “บู้ๆ!”

จอมทัพหัวเราะ รีบแก้ตัวแทนมารดา “ก็เมื่อวานจังหวะยังไม่ดี อะไรๆ ไม่เอื้อให้คุณกับพริกแกงน้อยได้สานสัมพันธ์กับคุณแม่ ลองมีจังหวะดีๆ เถอะ คุณจะได้เห็นว่าคุณแม่ใจดี ถ้าท่านร้ายกาจอย่างที่ใครๆ พากันเข้าใจ ตอนสมัยเป็นนางเอก คงไม่มีใครรักทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนั้นหรอก”

หญิงสาวนิ่งคิด ทวนสิ่งที่จอมทัพเล่า...สีหน้าเธอใคร่รู้อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับจารุณีมากเท่าไร ก็ยิ่งงงปนสงสัยมากเท่านั้น ด้วยทุกอย่างมันช่างย้อนแย้งกับสิ่งที่นักรบกับกลิกาเข้าใจและบอกเธอเหลือเกิน

หากคำตอบมันดันออกมาว่าจารุณีไม่ได้รังเกียจเพื่อนสาวของเธอเพราะความยากจนข้นแค้นจริงๆ แล้วจะรังเกียจในข้อหาอะไรกันหนอ

“ถ้าอยากรู้จักคุณแม่ คุณก็ลองมาเป็นลูกสะใภ้ท่านเลยสิ อาจจะช่วยให้คุณเข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของคุณแม่ก็ได้นะ”

พริ้งพราวสะดุ้งโหยง ตกใจนักเมื่อจอมทัพลองเชิงราวกับว่าได้ยินความคิดในหัวเธอ และรีบแย้งเสียงหลง “ไม่ต้องมาอ่อยมาเชิญชวนฉันเลยนะยะ ขืนฉันไปเป็นสะใภ้แม่คุณตอนนี้ เราสองคนคงได้ฆ่ากันตายพอดี ไม่เอาด้วยหรอก”

“คุณไม่เอา แต่ผมจะ...เอา”

เธอขึงตาขุ่นใส่คนยิ้มมุมปาก แถมยังกำลังมองเธอด้วยสายตาวิบวับเกินปกติ ดูออกเลยว่า ‘เอา’ ของตาลุงหื่น คือเอาอะไร

“ป้อ!”

“คะ พริกแกงน้อย” จอมทัพกดจมูกลงบนศีรษะของคนที่เอ่ยแทรกขึ้นมา กระซิบถามข้างหู “พร้อมไปเจอคุณย่าไหมเอ่ย”

“อ๊ะ!”

เขาส่ายหัวด้วยความมันเขี้ยว แม่ก็สายแซ่บ ตัวเล็กก็สายป่วน พร้อมจะไปซ่าเต็มที่...งานนี้มีแววว่าเขาจะได้กุมขมับหนักที่สุดในรอบหลายปี

 

นอกจากจะหงุดหงิดเมื่อนำทัพดูเริงร่าเพราะการมาของสองแม่ลูกนั่นแล้ว จารุณียังขัดใจเหลือคณานับที่สามีสั่งการให้คนในบ้านเตรียมอาหารขนมนมเนยไว้ต้อนรับพวกนั้น โดยไม่สนใจเลยว่าเธอจะหน้าตึงเพียงใด ทางด้านละไม แทนที่จะอยู่ฝ่ายเธอบ้าง ก็ดันเห็นดีเห็นงามมั่นใจในสายสัมพันธ์พ่อลูกที่จอมทัพเชื่อ จนถึงกับออกปากเรียกเด็กนั่นว่าคุณหนูน้อย

ทำไมไม่มีใครคิดว่าเรื่องทั้งหมดมันทะแม่งๆ บ้าง เชื่อคนง่ายอะไรปานนี้ บ้าบอจริงๆ!

“คิ้วผูกโบมาสักพักแล้วนะคุณจ๋า ยิ้มหน่อยสิ”

นำทัพแกล้งเย้าคนที่นั่งเคียงกันบนโซฟากำมะหยี่สีทองในห้องโถง นึกขันนักเมื่อภรรยาทำหน้าเชิดคอตั้งเหมือนมารดาตนอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“คุณ ถ้าตาไนท์มีครอบครัวก็ดีไปอย่างนะ น้าฤทัยจะได้เลิกวอแวหาคู่ให้ลูกเราไง”

จารุณีสะบัดหน้าใส่คนที่ทำเป็นยกปัจจัยอื่นมาประกอบการเกลี้ยกล่อมกัน ครั้นนึกถึงน้องสาวของคุณหญิงขวัญจิตขึ้นมา นางเอกเก่าก็กลอกตาร้อยแปดสิบองศา

ฝ่ายนั้นชอบวางตนเสมือนเป็นย่าแท้ๆ ของสองหนุ่ม เที่ยวมาเจ้ากี้เจ้าการทำท่าว่าจะหาสาวมาให้ลูกชายทั้งสองคนของเธออยู่ร่ำไป แน่นอนว่าเธอไม่มีทางยอม ต่อให้เธอจะหวงลูกชายเพียงใด ก็ไม่เคยคิดจะใช้วิธีการจับคู่คลุมถุงชนให้พวกเขา

คราที่คุณหญิงขวัญจิตยังอยู่ แม้จารุณีจะรักใคร่กับแม่สามีปานจะกลืนกินแล้ว แต่ขวัญฤทัยก็หาได้ญาติดีด้วยไม่ เพราะอีกฝ่ายสนิทสนมกับอดีตอริหัวใจของจารุณีมาก

ช่วงที่คุณหญิงขวัญจิตจากไปใหม่ๆ ขวัญฤทัยก็ลำพองใจว่าตัวเองคือญาติผู้ใหญ่คนสำคัญทางฝั่งของแม่นำทัพที่เหลืออยู่ กระทำการโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ ชอบเหน็บแนมจารุณีในทำนองว่าเสียดายที่นำทัพไม่ได้แต่งงานกับภรณ์วดี

“คุณไนท์มาแล้วค่ะ”

ประมุขของบ้านจิตรภากรหันหน้าไปหาเด็กรับใช้ที่ส่งเสียงบอกอยู่หน้าประตู อีกฝ่ายค้อมหัวให้ ก่อนจะผละออกไป พร้อมๆ กับที่จอมทัพเดินเข้ามา

ในอ้อมแขนแข็งแรงมีร่างเล็กจ้อยที่นำทัพเอ็นดูจนใจละลาย ข้างๆ กันมีคนงามพริ้งเพริศที่ช่างเหมาะสมกับลูกชายเขาเป็นอย่างยิ่ง

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่”

พริ้งพราวก้มหน้ายกมือไหว้ทั้งคู่ ยิ้มยั่วเย้าหญิงสูงวัยที่ทำหน้าขึ้งโกรธทันทีเมื่อเธอแกล้งเรียกด้วยนามที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจจะให้เรียก

ตาประสานตา ประกายไฟร้อนฉ่าส่งถึงกัน ชัดเจนว่าไม่มีใครยอมใคร

“กองไว้ตรงนั้นนั่นแหละย่ะ!” จารุณีเหยียดปากใส่คนยียวน ขึ้นเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด “ไม่ต้องมานับญาติกับฉัน ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามาเรียกฉันว่าแม่!”

“แอ๊ะ...*&^#@!”

คนตัวน้อยทำปากจู๋เปล่งเสียงเฉพาะตัว รีบปกป้องพริ้งพราวก่อนที่เธอจะอ้าปากเอ่ยอะไรเสียอีก

“พริกแกง...” จอมทัพทำตาดุ “อย่าดื้อกับคุณย่าสิคะ”

“บู้ๆ!”

“พริกแกง ดื้อมากเกินไปแล้วนะคะ”

จารุณีกระหยิ่มยิ้มย่องพอใจที่ลูกชายตำหนิเด็กแสบเสียบ้าง หนูน้อยเองก็เม้มปากเคืองคนดุ ดิ้นหนีไม่อยากให้เขาอุ้ม เขาเลยจะส่งตัวแกให้พริ้งพราวที่ยกมือตั้งท่ารับ ทว่าหนูน้อยดันทำให้ทุกคนตกตะลึงด้วยการชูมือจะโผไปหานำทัพแทน ปากน้อยๆ อ้าเอ่ยคำที่พริ้งพราวสอนมาตลอดทาง

“ปู่”

“ยายจิ๋วน้อย ร้ายนักนะ คิดจะดึงสามีฉันไปเป็นพวกเธอเหรอ ไม่ได้ผลหรอกย่ะ”

จารุณีแยกเขี้ยวใส่คนตัวจ้อย ก่อนจะหันไปหาสามีเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเอ่ย แต่ปรากฏว่าเขากำลังยิ้มบางๆ ตาลอย เคลิ้มไปกับคำเรียกขานนั่น...เห็นได้ชัดเลยว่าลูกไม้ของเด็กจิ๋วนั้นสำเร็จอย่างงดงาม สวนทางกับคำเย้ยของเธอ

“คุณ อย่าเคลิ้มเพราะเรื่องแค่นี้สิ!”

คนโดนแหวย่นคอ หัวเราะแหะๆ พยายามไม่เคลิ้มตามคำสั่งภรรยา ทว่าเมื่อหันไปสบตาแป๋วแหววของคนตัวจิ๋วอีกครา เขาก็ใจสั่น หวิวไหวเพราะคำว่า...

“ปู่!”

ได้ยินซ้ำเป็นครั้งที่สอง นำทัพก็ยั้งใจไว้ไม่อยู่ ยอมโดนภรรยาโกรธ รีบลุกเดินไปหาพริกแกงน้อย “ครับ มาหาปู่นะลูก”

และเพียงแค่นำทัพยกมือขึ้นมา คนตัวจ้อยก็รีบโผเข้าหาราวกับต้องการที่พึ่งอันปลอดภัยจากอ้อมแขนเขา

“โอ๋ๆ คุณพ่อดุหนู หนูเสียใจใช่ไหมครับ” นำทัพลูบหลังปลอบ อุ้มแกไปนั่งบนโซฟากำมะหยี่ข้างจารุณี

“ป้อ!”

คนตัวจิ๋วบุ้ยปากไปทางอดีตคนอุ้ม ราวกับจะฟ้องนำทัพให้จัดการจอมทัพ ก่อนจะเอาหน้าซุกซบอกกว้างของคนปลอบ ด้วยอุ่นใจกับสายตาและสัมผัสแสนละมุนของคนสูงวัย เพราะช่างคลับคล้ายคลับคลากับลุงของมารดา ผู้มีศักดิ์เป็นตาของตัวเอง ที่มองพริกแกงด้วยความรักและเอ็นดูอย่างนี้เช่นกัน

“หน็อย ยายแสบจิ๋ว รู้จักเลือกคนมาหนุนหลังตัวเองตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะ”

คนโดนค่อนหันไปมองจารุณีที่กำลังเข่นเขี้ยวอย่างขุ่นเคือง พลางย่นจมูกทำปากจู๋โต้กลับ

“บู้ๆ!”

“นั่น เห็นไหม คุณเห็นไหม กับฉันเนี่ย ร้ายเชียว” หญิงสูงวัยพยายามชี้ชวนให้สามีเห็นความแสบของเด็กจิ๋ว แต่เขาดันส่ายหน้าอ่อนใจเป็นเชิงบอกว่าเธออคติกับเด็กเสียอย่างนั้น ทำเอาเธอฮึดฮัดจนต้องไปลงกับพริ้งพราวที่กำลังยิ้มร่าจนน่าหมั่นไส้ “เธอเสี้ยมสอนให้ลูกเธอมาอ้อนปะเหลาะสามีฉันใช่ไหมยะ!”

“ค่ะ พริ้งเสี้ยมสอนให้พริกแกงเรียกคุณพ่อว่าปู่” พริ้งพราวยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ ก่อนจะเลิกคิ้วยิ้มมุมปากกวนประสาทจารุณี “แต่หลังจากนั้น เด็กเขาคงรู้เองมั้งคะว่าใครมีเมตตา ใครดุร้าย”

“เธอ!”

คนโดนกวนประสาทยกมือชี้หน้าพริ้งพราว กำลังจะอ้าปากแผดเสียงต่อว่า แต่ดันโดนละไมขัดจังหวะ อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย

“พริ้ง นี่ป้าละไม หัวหน้าแม่ครัวของที่นี่ วันนี้ป้าละไมเป็นแม่งาน คอยเตรียมอาหารไว้ต้อนรับพริ้งกับพริกแกง” จอมทัพแนะนำให้สาวเจ้ารู้จักกับคนเก่าคนแก่ของบ้าน

พริ้งพราวเองก็รีบยกมือไหว้ทักทายอีกฝ่าย ยิ้มหวานโปรยเสน่ห์หาพวกเช่นกัน “วันนี้ป้าละไมคงจะเหนื่อยเพราะพริ้งกับยายหนูมาก ขอโทษด้วยนะคะ”

ละไมยิ้มพราย เหลือบมองคุณหนูน้อยและพริ้งพราวด้วยความปลาบปลื้ม “ไม่เหนื่อยเลยค่ะคุณพริ้ง เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้วค่ะ”

“อะแฮ่ม!” จารุณีกระแอมขัดการผูกสัมพันธ์ของทั้งคู่ “ละไม มีอะไรหรือเปล่า”

“ดิฉันจะมาถามเรื่องตั้งโต๊ะค่ะ ตั้งก่อนเวลาสักนิดดีไหมคะ เผื่อคุณหนูน้อยต้องนอนกลางวันอีก”

“ได้ ตั้งก่อนเวลาก็ได้ละไม” นำทัพรีบออกปากตกลง พยักหน้าให้ละไมไปทำหน้าที่ต่อ

“เอาใจกันจริงนะ” จารุณีว่าเหน็บสามี เหลือกตาใส่แสบจิ๋วขี้ปะเหลาะที่เถียงกลับทันที

“บู้ๆ!”

จารุณีกัดฟันเข่นเขี้ยว ผินหน้าจากแสบจิ๋วมาหาตัวแม่ “เธอรู้ไว้เลยนะ ลูกชายฉันวอแวเธอเพราะแค่ฐานะพ่อหรอก อย่าคิดหลงตัวเองว่าเขาอยากได้เธอเป็นเมียจริงๆ ไม่มีทางที่ฉันจะรับผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นสะใภ้”

“พริ้งก็ไม่ได้อยากมาเป็นสะใภ้บ้านนี้นักหรอกค่ะ”

“เชอะ เธอจะเล่นตัวให้ตาไนท์อยากได้เธอละสิท่า” จารุณีแบะปากใส่คนที่ทำเป็นลอยหน้าลอยตาปฏิเสธฐานะสะใภ้ ก่อนจะกระแทกเสียงสั่งลูกชาย

“ไนท์ จนกว่าแม่จะจับโป๊ะได้ว่าแม่นี่โกหก ลูกห้ามทำอะไรแม่นี่นะ ไม่งั้นมันจะยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น...เธอเองก็ห้ามใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนอ่อยลูกฉันเด็ดขาด!”

“อ่อยอะไรคะ ไม่เคยอ่อยสักเล่มเกวียนเลยค่า”

พริ้งพราวโต้กลับ ตวัดสายตามองจอมทัพ “มีแต่เขานี่แหละ คอยอ่อยคอยหยอด หวังงาบพริ้งตลอดเวลาเลย ดีนะคะเนี่ยที่พริ้งดึงสติตัวเองเอาไว้ คอยระวังเล่ห์กลเสือร้าย ไม่งั้นพริ้งเสร็จลูกชายคุณแม่ไปแล้วค่ะ”

จารุณีอ้าปากค้าง ในขณะที่คนโดนเผาก็หน้าม้าน เขินจนกายร้อนวูบวาบ รีบสะกิดแขนห้ามสาวเจ้า

“พริ้ง...”

“เอ้า อายเหรอคะคุณไนท์” เธอถามเสียงกลั้วหัวเราะ “ฉันพูดความจริงนี่ คุณมันเสือหื่น จ้องจะจับฉันกิน หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่อยากกินฉัน”

“ปฏิเสธสิตาไนท์ เอาให้แม่นี่หงายเงิบไปเลย!” จารุณียุส่ง ดวงตายาวรีขุ่นคลั่ก กระตุ้นให้ลูกชายเอ่ยคำตอบที่ตัวเองอยากฟัง

“ผม...เอ่อ...ผม” จอมทัพอึกอัก เมื่อเห็นสายตาขบขันของบิดาก็อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

หมดกัน ภาพลักษณ์เข้มดุที่สร้างมา...จากเสือโหดกลายเป็นเสือหื่นเสียแล้ว

“บอกมาสิตาไนท์ พูดมาว่าไม่อยากกินแม่นี่ จุดที่ทำให้ลูกข้องเกี่ยวกับแม่นี่ มันก็แค่เพราะเรื่องยายจิ๋วน้อยเท่านั้น ลำพังเฉพาะแม่นี่คนเดียว ไม่มีทางที่ลูกจะอยากยุ่งด้วย!”

จอมทัพสบตาเจ้าของน้ำเสียงเกรี้ยวกราด สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะประกาศด้วยความจริงจัง ไร้การล้อเล่น

“ผมอยากกินพริ้งครับคุณแม่”

“ตาไนท์!”

จารุณีเบิกตาโพลง ยกมือทาบอกตะลึงงัน ‘โอ๊ย ฉันจะเป็นลม ลูกชายฉันโดนของหรือไร’

“ผมอยากได้พริ้งเป็นเมียอีกรอบครับ แล้วผมก็ไม่ได้ตัดสินใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ผมคิดดีแล้ว”

“ไม่ แม่ไม่ยอม!” จารุณีแผดเสียงปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาแข็งขืนของลูกชาย เธอก็พยายามข่มกลั้นความโมโหด้วยการค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เรียกสติและความใจเย็นให้ตัวเอง ลองเสนอแนะอีกทาง

“เอางี้ ถ้าท้ายที่สุดแล้ว แม่พิสูจน์ได้ว่ายายนี่ไม่ได้โกหก จิ๋วน้อยเป็นลูกไนท์จริงๆ ไนท์ก็รับผิดชอบแค่ลูกก็พอแล้ว ไม่ต้องเอายายนี่มาเป็นเมียหรอก”

“ไม่ครับ ผมบอกคุณแม่แล้วไงครับ ว่าผมจะไม่พรากแม่พรากลูกออกจากกัน ผมจะเอาทั้งแม่ทั้งลูก”

เจตนาอันแรงกล้าของลูกชายทำนางเอกเก่าสะดุดกึก พูดไม่ออก ด้วยรู้ซึ้งดีเลยว่าลูกชายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเพียงใด

“บู้ๆ!”

“พริกแกง ไม่เถียงคุณย่านะครับ เดี๋ยวคุณย่าจะโมโหกว่าเดิม” นำทัพปรามคนตัวน้อยสุดแสบในอ้อมอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อภรรยาตวัดนัยน์ตาลุกวาบมามอง

“คุณเลิกหลงเด็กนี่ได้แล้วค่ะ แม่ของเด็กนี่ง่ายกับตาไนท์ แล้วจะไม่ง่ายกับคนอื่นด้วยเหรอ คิดดูซิ!”

จารุณีกระแทกเสียงถาม ก่อนจะกัดฟันกรอด แค่นเสียงเปรยอย่างไม่สบอารมณ์

“ทำไมนะ...ทำไมลูกชายฉันทั้งสองคนไม่คิดจะเลือกผู้หญิงกันบ้าง แม่อุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูไนท์กับนบ หาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูกทั้งคู่ แต่ไนท์กับนบดันมาเพี้ยนเพราะตาไม่มีแวว เลือกคนที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง ทั้งแม่พริ้งทั้งแม่ก้อยไม่คู่ควรจะมาเป็นสะใภ้บ้านนี้สักคน!”

พอจารุณีเอ่ยเหน็บแนมกลิกาด้วย พริ้งพราวก็ฉุนกึ้ก เชิดหน้าโต้กลับ “ยังไงคะ พริ้งกับ...แฟนคุณนบ ไม่เหมาะกับลูกชายคุณแม่ยังไงเหรอ”

“เธอยังจะกล้าถามอีกเหรอยะ ใจง่าย มีอะไรกับผู้ชาย...มันดีนักเหรอ ผู้หญิงแบบนี้”

‘ผู้หญิงแบบนี้’ นิ่งขึง แม้คนสูงวัยจะไม่ได้อธิบายในส่วนของกลิกาให้พริ้งพราวได้ทราบ แต่เธอก็นึกภาพออกว่าเพื่อนคงโดนคล้ายๆ กัน...วาจาที่แสดงถึงการดูแคลน กิริยาเหยียดปาก ปรายตามองกันราวกับเธอคือผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรี

และต่อให้เธอไม่ได้โกหก ต่อให้เธอเคยเป็นของจอมทัพแล้วมีลูกด้วยกันจริงๆ เธอก็คงโดนเช่นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะดูเหมือนว่าจารุณีจะมีสเปกผู้หญิงในแบบที่ตัวเองอยากได้มาเป็นสะใภ้อยู่แล้ว ทั้งยังไม่คิดจะเปิดใจให้ผู้หญิงในแบบอื่นอีกด้วย

“ให้ฉันตายก่อนเถอะ เธอถึงจะเป็นเมียตาไนท์ได้ ถ้าฉันยังอยู่ ฉันจะขัดขวางให้ถึงที่สุด ก็มาดูกันว่าระหว่างแม่กับผู้หญิงใจง่ายอย่างเธอ ตาไนท์จะเลือกใคร!”

พริ้งพราวหัวเราะหึ เสมือนกำลังขันความมุ่งมั่นของคนสูงวัยนักหนา ก่อนจะป่วนกลับด้วยการเอ่ยหักหน้าอีกฝ่าย

“ไม่ต้องเลือกหรอกค่ะ เพราะพริ้งจะไม่ยอมเป็นตัวเลือกของใคร พริ้งอาจจะไม่ใช่คนดีพร้อม อาจไม่สมบูรณ์แบบพอจนจะมาเป็นสะใภ้ของคุณแม่ได้ แต่...พริ้งดีพอแล้วสำหรับพริกแกง พริ้งมีค่ากับครอบครัว เพื่อน คนที่รักพริ้ง...เพราะฉะนั้น มันไม่จำเป็นเลยที่พริ้งต้องลดคุณค่าของตัวเองด้วยการยอมให้คุณแม่เหยียบย่ำ” คนวัยสาวประกาศกร้าวกลางห้องอย่างคนเก็บความอดทนไว้ไม่ไหวแล้ว

จารุณีเองก็ผงะตกใจจนแผ่นหลังชิดติดโซฟากำมะหยี่ “นะ...นี่เธอ!”

“อย่าคิดนะคะว่าพริ้งจะมาเอาใจคุณแม่ หรือสู้กับคุณแม่ เพื่อให้ได้ตัวคุณไนท์” พริ้งพราวไหวไหล่เบาๆ เชิดหน้าแสดงเจตจำนงของตัวเอง

“ลูกชายที่คุณแม่หลงว่าเขาเลอเลิศยิ่งใหญ่ รู้เอาไว้ด้วยนะคะว่าพริ้งไม่อยากได้!” นัยน์ตาของหญิงสาวลุกเป็นไฟจากความโกรธ ปากอิ่มสวยเหยียดยิ้มใส่อีกฝ่าย “ไม่ใช่ว่าคุณไนท์เป็นคนไม่ดี เขาดีพร้อม...แต่ถ้าได้มาแล้วต้องมาเจอแม่สามีรังเกียจ พริ้งขอรักกับผู้ชายเดินดินธรรมดาที่แม่เขารักพริ้งดีกว่า”

“หนูพริ้ง...ใจเย็นๆ ก่อนนะ”

ประมุขของบ้านออกปากกล่อมพริ้งพราว เสมือนทุกข์ร้อนกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทว่าดวงตาเขากลับเปล่งประกายพึงพอใจอย่างน่าประหลาด

“ไม่เย็นแล้วค่ะคุณพ่อ พริ้งพายายหนูมาก็เพื่อให้คุณพ่อได้รู้จัก ไม่ได้พามาให้โดนรังเกียจ เขาคือดวงใจของพริ้ง พริ้งจะไม่ยอมให้ดวงใจของพริ้งโดนดูถูกอีกต่อไป เรามีที่ของเราแล้ว ไม่เคยคิดฝันจะมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่นี้หรอกค่ะ ห้องที่พริ้งอยู่อาจจะเล็กเท่ารูหนูสำหรับครอบครัวจิตรภากร แต่เราก็มีความสุขตามประสาของเรา”

เธอเดินเข้าไปใกล้นำทัพ อุ้มคนตัวน้อยออกจากอกเขา “ไปค่ะ ยายหนู เรากลับไปอยู่ที่ของเรากันนะคะ”

“แอ๊ะ!”

“ฝากขอโทษป้าละไมด้วยนะคะคุณพ่อ พริ้งคงไม่ได้อยู่ชิมฝีมือป้าละไมแล้ว” เธอค้อมหัวลานำทัพอย่างสุภาพนอบน้อม ก่อนจะหันไปบอกพยัคฆ์สุดหล่อที่ตอนนี้กำลังหน้าซีดเผือดด้วยความเครียดจัด

“คุณเองก็เลิกยุ่งกับฉันเถอะค่ะคุณไนท์ ยุ่งไปก็พานทำให้คุณเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ แล้วฉันก็ไม่อยากให้คุณต้องมาตกอยู่ในสถานะว่าที่ลูกอกตัญญูด้วย”

“พริ้ง...”

“ฉันขอบคุณที่คุณอยากสร้างครอบครัวกับฉัน แต่ฉันว่าอย่าดีกว่า ฉันไม่อยากมาเป็นสะใภ้ที่แม่สามีรังเกียจ”

“บู้ๆ!”

ยายหนูทำปากจู๋ใส่จารุณีส่งท้ายในจังหวะที่พริ้งพราวหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ราวกับจะบอกว่า ‘หนูก็ไม่อยากมาเป็นหลานคุณย่าแล้วค่ะ’

“พริ้ง...เดี๋ยวก่อน...พริ้ง”

จอมทัพหน้าตื่น ร้องเรียกสาวเจ้า และรีบวิ่งตามออกไป ในขณะที่นำทัพก็หันมองภรรยา ก่อนจะหลุดขำลั่นห้องโถง

“เหตุการณ์นี้คุ้นๆ เนอะคุณจ๋า...ที่คุณตกใจ ผมรู้นะว่าคุณไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องที่โดนหักหน้า แต่คุณตกใจที่หนูพริ้งเหมือนคุณ”

“อะไรเล่า!” จารุณีแหวเสียงแหลม หยิกแขนสามีแก้เขิน

“ผมได้ยินอะไรทำนองนี้ตอนยี่สิบกว่า ไม่นึกเลยว่าจะมาได้ยินซ้ำสองตอนหกสิบกว่า”

ครานั้น...จารุณีก็ประกาศกร้าวใส่คุณหญิงขวัญจิตเช่นนี้

‘คิดว่าดิฉันอยากจับลูกชายคุณหญิง อยากมาเป็นสะใภ้คุณหญิงนักหรือไงคะ ดิฉันไม่ทำอะไรสิ้นคิดอย่างนั้นหรอกค่ะ ดิฉันมีศักดิ์ศรีพอ ไม่มีทางที่จะมาวิ่งตามลูกชายคุณ!’

“กับหนูก้อย ผมยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รู้ว่าตานบหนูก้อยจะจับมือกันแน่นพอจนฝ่าฟันอุปสรรคได้ไหม แต่กับหนูพริ้ง ผมดันมั่นใจแปลกๆ แฮะ”

“มะ...มั่นใจอะไรของคุณ”

นำทัพหันไปมองพริ้งพราวผ่านหน้าต่างของห้องโถงที่มองเห็นโรงจอดรถได้ ก่อนจะหันมาอมยิ้มชอบใจใส่เจ้าของเสียงสั่นพร่า

“มั่นใจว่า...คนนี้นี่แหละ สะใภ้ใหญ่ของเรา”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น