6

ตอนที่ 6


ตอน 6

ณ สนามประลองยุทธ์

เมฆพยับดำทะมึนก่อตัวขึ้นเหนือท้องฟ้ามืดครึ้ม ระลอกลมหนาวพัดชายเสื้อของคนที่อยู่บริเวณนั้นพัดพลิ้วจนดังพึ่บพั่บ สอดประสานไปกับเสียงกระทบจากปลายกระบี่จนเกิดเป็นท่วงทำนองขับขานตามธรรมชาติ

“ท่านอ๋อง วันนี้ดูเหมือนจะหิมะตกแล้ว จะให้ฝ่าบาทกับเด็กๆ พักหน่อยหรือไม่” หลังจากมองดูอยู่พักใหญ่ ฝูจื้อก็เดินเข้ามารายงานในศาลา

“รอให้หิมะตกค่อยว่ากัน เจ้าออกไปสั่งคนให้เตรียมฉลองพระองค์สำหรับผลัดเปลี่ยนมา” ลิ่นจ้งซวินจิบชาแล้วโบกมือส่งๆ หลังจากฝูจื้อรับคำแล้วผละไป ลิ่นจ้งซวินถึงได้เอ่ยปากถามซ่านเอ้อหลีที่อยู่ข้างๆ ว่า “ซ่านเอ้อหลี เจ้าคิดว่าเด็กพวกนี้เป็นเช่นไรบ้าง”

“ผิดจากที่กระหม่อมคาดไว้มาก หากไม่รวมเสี่ยวเป่าที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ความสามารถของจื่อเจิง ทังหรง ทังเสี่ยน รวมถึงฝ่าบาท แทบจะอยู่ในระดับเดียวกันก็ว่าได้” ซ่านเอ้อหลีหรี่ตาลงนิดๆ ขณะมองดูภาพในสนามประลองยุทธ์

“ทังหรง เจ้าเด็กคนนี้เก่งกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ฝ่าบาทเองก็เหนือความคาดหมายของข้าเช่นกัน” ช่วงนี้ลิ่นเส้าเยวียนรูปร่างสูงเพรียวขึ้นมาก แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีกล้ามเนื้อสักเท่าไร อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ฝึกฝนวิชาตามที่เขากำหนดให้เป็นอย่างดี ซ้ำยังเจียดเวลาออกมาฝึกฝนด้วยตนเองเช่นนี้ได้ เท่านี้ก็เรียกว่าไม่ง่ายแล้ว

หากเทียบกับเสด็จพี่แล้ว…เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าฝ่าบาทเป็นพระโอรสแท้ๆ ของเสด็จพี่อย่างนั้นหรือ

“นั่นก็เพราะว่า บางครั้งยามที่ท่านอ๋องกลับจวนไปแล้ว ฝ่าบาทยังทรงขอให้กระหม่อมประมือกับพระองค์ต่อ”

“เจ้าสู้กับพระองค์จริงๆ หรือไร”

“ประลองกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

“เป็นอย่างไรบ้าง”

“พละกำลังน้อยไปนิด แต่ออกกระบวนท่าได้ค่อนข้างดุดันและเฉียบคม โดยเฉพาะความกล้า ในอนาคตจะต้องยอดเยี่ยมกว่านี้และคงสามารถเป็นคู่ต่อกรของท่านอ๋องได้” หากขาดซึ่งความกล้า แม้จะรู้วรยุทธ์ไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

“เช่นนั้นหรือ” แววสนอกสนใจผุดวาบขึ้นในดวงตาของลิ่นจ้งซวิน อยากจะดูว่าเขาจะขัดเกลาเจ้าเด็กพวกนี้ออกมาได้อย่างไรบ้าง

ซ่านเอ้อหลีทำท่าครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ จากนั้นก็เอ่ยถาม “ท่านอ๋องให้ลูกบุญธรรมฝึกวรยุทธ์เอาไว้ ท่านตั้งใจว่าจะให้พวกเขาเข้าวังอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ พี่เสี่ยวถงไม่ชอบ”

“ถ้าเช่นนั้น...”

“ชีวิตคนเรา...ย่อมต้องกันไว้ดีกว่าแก้ เรียนรู้มากขึ้นก็ช่วยให้ตนเองแข็งแกร่ง ทั้งยังปกป้องตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ดีตรงไหนกันเล่า”

ซ่านเอ้อหลีดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหลุดปากออกมาว่า “ระยะนี้ราชเลขาธิการฉู่เคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง พยายามดึงเหล่าขุนนางเข้าพวกไม่หยุดไม่หย่อน ยามนี้เขาก็สร้างขุมกำลังให้แก่ตนเองได้แล้วด้วย”

“อืม ปล่อยให้เขาสนุกไป” เวลานี้เขาหาใช่ฮ่องเต้ไม่ ขอเพียงแค่ไม่เดือดร้อนมาถึงตนเอง เขาก็จะไม่สนใจ เขามีหน้าที่ดูแลพี่เสี่ยวถงของเขาให้ดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

จังหวะที่ซ่านเอ้อหลีทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมา หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เขาผุดลุกขึ้นแล้วตะโกนว่า “เข้าไปในศาลาเถอะ ฝูจื้อทูลเชิญฝ่าบาทเข้ามาเร็ว”

ฝูจื้อมีหรือจะรอให้อีกฝ่ายสั่งความ เขากำชับให้นางกำนัลนำตัวเด็กๆ ทั้งห้าเข้ามาในศาลาก่อนแล้ว ทั้งยังส่งชาร้อนๆ กับของว่างให้ทุกคน

“จื่อเจิง มาชิมนี่” ลิ่นเส้าเยวียนเดินเข้ามาในศาลา พอเห็นขนมเปี๊ยะหัวผักกาดที่วางเรียงรายอยู่บนถาดหยกก็รีบกวักมือเรียกถังจื่อเจิงทันที

ถังจื่อเจิงมองขนมเปี๊ยะบนถาด มันมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งฝ่ามือ เป็นอาหารที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“นี่คือขนมเปี๊ยะหัวผักกาด เห็นได้ทั่วไปในเมืองซูอิ่ง เจิ้นคิดถึงรสชาติที่บ้านเก่าขึ้นมา เพราะเหตุนี้ก็เลยสั่งให้กรมพระคลังหาหัวผักกาดแถบเมืองซูอิ่งส่งเข้ามาในวังหลวง จากนั้นก็ให้ห้องเครื่องทำเป็นขนมเปี๊ยะ แม้ว่ารสชาติจะไม่สู้ที่เมืองซูอิ่ง แต่เจิ้นชิมแล้วก็พอจะคลายคิดถึงบ้านเก่าไปได้มาก เจ้าลองชิมดูสิ” ลิ่นเส้าเยวียนหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาป้อนอีกฝ่าย

ถังจื่อเจิงอ้าปากกัดไปคำอย่างไม่เกรงใจ คิดไม่ถึงว่าไส้น้ำแกงด้านในจะร้อนลวกปากจนเขาร้องลั่นออกมา ก่อนจะรีบกลืนเข้าไปทันที

“อร่อยมาก!” แม้ว่าจะกัดเร็วไปหน่อย แล้วก็กลืนลงคอไวไปนิด แต่รสชาติหอมหวานที่ติดลิ้นก็ทำให้เขาอดใจไม่ไหว คิดอยากจะชิมอีกสักคำ

“ต้องอร่อยแน่อยู่แล้ว กัดคำเล็กๆ ระวังจะลวกปาก” ลิ่นเส้าเยวียนยังคงป้อนอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ถึงขั้นใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปากให้อีกฝ่าย

ท่าทางที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดากลับทำให้ลิ่นจ้งซวินเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เขานั่งเท้าคางมองพลางเอ่ยว่า “พี่ซาลาเปา เจ้าทำอะไรน่ะ ให้ฝ่าบาททรงป้อนเจ้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน อีกอย่าง...อย่าว่าแต่เป็นฝ่าบาทที่ทรงป้อนเลย ผู้ชายด้วยกันมาป้อนอาหารกันแบบนี้ไม่ใช่ภาพที่น่ามองเลยสักนิดเดียว น่าเกลียดแท้”

ลิ่นเส้าเยวียนมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก

ทว่าถังจื่อเจิงกลับเคี้ยวเต็มปากเต็มคำ นิ้วก็ชี้ไปที่ทังเสี่ยนกับทังหรงข้างๆ “เจ้าปาท่องโก๋ก็ป้อนเจ้าขนมเปี๊ยะแบบนี้เหมือนกันนี่ พวกเราก็ป้อนเจ้าเกี๊ยวเช่นนี้ด้วย”

พอหันไปมองก็เห็นว่าทังเสี่ยนกำลังป้อนอาหารให้ลิ่นเสี่ยวเป่าจริงๆ ส่วนทังหรงก็ป้อนทังเสี่ยนอีกที แบ่งกันกินคนละคำสองคำ ขณะที่ทังหรงซึ่งถูกพาดพิงกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ท่านพ่อ พวกเราป้อนกันแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทำไมถึงจะทำไม่ได้เล่า”

ลิ่นจ้งซวินขมวดคิ้ว ในใจก็คิดว่าตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน ตัวเขาเองก็ไม่สนิทสนมกับเสด็จพี่ บางทีพวกเด็กๆ ก็คงเป็นนี้กันหมดนั่นละ เขาคงจะคิดมากเกินไปเอง

“เดี๋ยวพวกเจ้าไปผลัดผ้าชื้นออกเสีย อย่าให้ป่วยได้” ลิ่นจ้งซวินกำชับ กลัวว่าถ้าเด็กๆ ต้องลมหนาวเข้า พี่เสี่ยวถงก็จะคิดบัญชีเอากับเขาได้

เด็กๆ รับคำ ทว่าลิ่นเส้าเยวียนกลับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด “พระปิตุลา”

“หืม?” ลิ่นจ้งซวินปรายตามอง

ลิ่นเส้าเยวียนเคยชินกับกิริยาวาจาที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของลิ่นจ้งซวินเสียแล้ว ทั้งยังไม่คิดจะแก้ไขอีกฝ่ายด้วย “พระปิตุลา เจิ้นมีเรื่องจะขอร้อง หวังว่าพระปิตุลาจะยอมให้จื่อเจิงไปอยู่ในวังหลวงเป็นเพื่อนเจิ้น” อันที่จริงเรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจเขามานานแล้ว แต่ก็หาโอกาสดีๆ เอ่ยออกมาไม่ได้เสียที

“พี่ซาลาเปา เจ้าว่าอย่างไร” เขารู้ว่าฮ่องเต้พระองค์น้อยนั้นโดดเดี่ยวเดียวดาย พระองค์หวังว่าจะมีใครอยู่เคียงข้างเสมอ และจื่อเจิงก็มีวัยใกล้เคียงกันที่สุด อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เด็กทั้งสองคนถูกชะตากันเป็นพิเศษ

ถังจื่อเจิงคิดไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะมีพระประสงค์เช่นนี้ และเขาเองก็ไม่อยากจะปฏิเสธด้วย

“หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากอยู่ในวังหลวง” เขามองเห็นความว้าเหว่ของฝ่าบาท ทว่าตนเองก็หาได้กล้าออกปากขอร้องท่านพ่อไม่

ลิ่นจ้งซวินหลับตาลง เดิมทีอยากจะให้ลิ่นเส้าเยวียนไปถามตู้เสี่ยวถงด้วยตนเอง ทว่าในใจก็คิดว่าจะให้ฮ่องเต้ออกนอกวังบ่อยๆ ก็คงไม่เข้าทีนัก เพราะหากเป็นเหตุให้ขุนนางในราชสำนักเพ่งเล็งคนในครอบครัวของเขาก็ย่อมไม่ดีเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าตัวจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระองค์ทรงประลองกับกระหม่อมดู หากทรงทำให้กระหม่อมขยับเท้าได้แม้เพียงแค่ก้าวเดียว กระหม่อมก็จะรับปากให้จื่อเจิงอยู่ในวังหลวง”

ลิ่นเส้าเยวียนชะงักไป ในใจก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้ายอมแพ้โดยไม่ทันได้ลองละก็ เขาจะหาเหตุผลอะไรมาแก้ตัวกับตนเองได้เล่า

“ท่านพ่อ ข้าก็ต้องการเช่นกัน!” ทังหรงรีบกระโดดมาขวางหน้าลิ่นจ้งซวินในทันที

“รอให้เจ้าสูงเท่าอกข้าแล้วค่อยว่ากันอีกที” เตี้ยเกินไป เขาต้องย่อตัวลงไปสู้ด้วยซ้ำ แบบนั้นก็เหนื่อยแย่ “โอ๊ะ! ฝ่าบาท ประลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ได้”

“เชิญ” เขาอยากจะทดสอบดูเหมือนกันว่าเด็กคนนี้โตขึ้นแค่ไหนแล้ว

จังหวะที่ลิ่นเส้าเยวียนกำลังจะก้าวออกจากศาลา ถังจื่อเจิงก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูสองสามคำ เขาฟังแล้วก็ถามขึ้นอย่างคลางแคลงว่า “ได้ผลแน่หรือ”

“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนเดินไปหยุดอยู่ตรงสนามประลองยุทธ์อย่างไม่เชิงแน่ใจเท่าไรนัก หลังจากรับกระบี่มา เขาก็เป็นฝ่ายคารวะลิ่นจ้งซวิน จากนั้นก็เอ่ยว่า “พระปิตุลา ให้คำแนะนำด้วย”

“เข้ามา” ลิ่นจ้งซวินยืนรอด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ในใจก็คิดว่าจะต้องหยามเกียรติอีกฝ่ายถึงขั้นไหนจึงจะกระชากหน้ากากอันงดงามและเปี่ยมไปด้วยความสุภาพนี้ให้บิดเบ้ด้วยความโกรธขึ้งได้

ลิ่นเส้าเยวียนคิดแผนการตอบโต้เอาไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็เข้าจู่โจมลิ่นจ้งซวินในทันที แต่ไม่คาดคิดว่าวินาทีลิ่นจ้งซวินตวัดกระบี่ของเขาออก อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนจากรับเป็นรุก ก่อนฟันกระบี่เข้าใส่เบื้องหน้าเขา ลิ่นเส้าเยวียนตวัดกระบี่เข้าขวาง แต่พละกำลังอันน่ากริ่งเกรงนั้นทำให้สองแขนของเขาชาดิกไปทั้งคู่ ทว่าไม่มีเวลาให้เขาได้ใคร่ครวญนานนัก ลิ่นเส้าเยวียนถอยฉากออกไปสองก้าว ผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นก็จู่โจมเต็มกำลังอีกครั้ง

ลิ่นจ้งซวินทั้งตั้งรับและโจมตีอย่างง่ายดาย เขารู้สึกว่าหลานชายคนนี้หาได้อ่อนแอและขลาดกลัวเหมือนในครั้งแรกที่พบหน้าอีกแล้ว อีกฝ่ายถึงขั้นแผ่รังสีสังหารออกมาและตรงเข้าโจมตีใส่เขาเพื่อหวังให้เขาขยับเท้าหนีสักก้าวหนึ่ง

ทั้งกล้าหาญทั้งเต็มไปด้วยแผนการ เทียบกับเสด็จพี่ของเขาแล้ว ก็เหนือชั้นกว่าไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด แต่ว่าหิมะตกลงมาแล้ว ขืนยังสนุกแบบนี้ต่อไป สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพระองค์จะต้องลมหนาวจนประชวรหรือไม่ ได้เวลายุติเรื่องสนุกลงเสียที

จังหวะที่กำลังจะตวัดกระบี่ลิ่นเส้าเยวียนให้กระเด็นไปอีกทาง อีกฝ่ายกลับตั้งรับเอาไว้ได้ทัน วินาทีที่เบี่ยงตัววูบนั้น เจ้าตัวก็หันหน้าตะโกนไปทางขวามือของเขา “พระปิตุลานี ท่านมาได้อย่างไร”

“อ๊ะ!?” ลิ่นจ้งซวินหันกลับไปอย่างไม่นึกระแวง วินาทีถัดมาเขาก็ถูกผลักอย่างแรง ทำเอาต้องก้าวขาออกข้างหนึ่งเพื่อทรงตัวให้มั่น และที่น่าขุ่นเคืองยิ่งกว่านั้นก็คือ...

“ร้ายกาจนักนะ ฝ่าบาท ทรงโป้ปดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกระหม่อม ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่าชิงชัยมาได้ด้วยกลโกงหรือไร” พระปิตุลานีที่ไหนกันเล่า เจ้าเด็กบ้า กล้าปั่นหัวเขาอย่างนั้นหรือ! ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน!

พอเห็นรังสีเย็นยะเยือกอันชวนให้กริ่งเกรงของลิ่นจ้งซวิน ลิ่นเส้าเยวียนจำใจบากหน้าโต้กลับไปว่า “พระปิตุลา การศึกไม่หน่ายเล่ห์”

“การศึกไม่หน่ายเล่ห์?” ลิ่นจ้งซวินเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มมุมปากเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเกล็ดหิมะ “กระหม่อมปรามาสพระองค์เกินไปหน่อยจริงๆ ฝ่าบาท” ดูท่าแล้วเจ้าเด็กที่ประพฤติตนอยู่ในกฎเกณฑ์ผู้นี้ แท้จริงแล้วก็มีความคิดสกปรกพอตัวอยู่เหมือนกันสินะ…จะเล่นสกปรกใช่หรือไม่ เขาก็มีลูกไม้ตอบโต้กลับไปอย่างสาสมเช่นกัน!

“เจิ้น…”

“ท่านพ่อ ข้าเป็นคนแนะนำฝ่าบาทเอง ท่านอย่าตำหนิฝ่าบาทเลย” ถังจื่อเจิงเห็นสถานการณ์นั้นก็รีบออกหน้ารับผิดแทนทันที

“เจ้าเด็กกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ไม่ต้องกลับบ้านไปให้ข้าเห็นหน้าอีก!” ลิ่นจ้งซวินไม่เคยถูกผู้ใดปั่นหัวมาก่อน เขาเหวี่ยงกระบี่ทิ้งไปอีกทาง ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับลูกชายที่เหลือว่า “ทังเสี่ยน ทังหรง เสี่ยวเป่า กลับได้แล้ว!”

“ท่านพ่อ!” ถังจื่อเจิงวิ่งตามไปสองสามก้าว แต่พอเห็นทังเสี่ยนหันกลับมาส่งสัญญาณมือให้ตนเอง เขาก็หยุดฝีเท้าลง

“จื่อเจิง พระปิตุลาโกรธมากจริงๆ ใช่หรือไม่ ต่อไปเขาจะ…”

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ทังเสี่ยนบอกว่าท่านพ่อกำลังหัวเราะอยู่”

“จริงหรือ”

“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ทูนหัวทั้งสองของกระหม่อมรีบกลับเข้าไปในศาลาเถิด…ไม่ๆๆ เข้าไปแช่น้ำที่สระเฉิงเฟิงเลยก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” ฝูจื้อรีบเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ทันที เกรงว่าหากปล่อยให้คุยกันต่อไปคงไม่พ้นต้องลมหนาวจนเป็นไข้แน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น