ตอน 5
ใครจะคาดคิดว่า พอมาเยือนถึงจวนของพระปิตุลา เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าพระปิตุลากับพระปิตุลานียังมิได้สมรสกันอย่างเป็นทางการ ดังนั้นลิ่นเส้าเยวียนจึงออกราชโองการพระราชทานงานสมรสให้แก่ทั้งคู่ ทั้งยังกำหนดวันมงคลให้เสร็จสรรพ
เวลานั้นหากใครมาเห็นสีหน้าของพระปิตุลาก็ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายเบิกบานใจแทบจะโบยบินขึ้นสู่สวรรค์
งานฉลองมงคลสมรสจัดขึ้นในคืนเจ็ดค่ำ ซึ่งตรงกับวันเสด็จสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อน งานมงคลจัดในคฤหาสน์ของลิ่นจ้งซวิน เดิมทีคิดจะหาโอกาสสนทนากับจื่อเจิงเป็นการส่วนตัว ใครจะคิดว่าพระปิตุลานีกลับมองออกว่าเหตุใดพักนี้พระปิตุลาถึงมีท่าทีเฉยชากับจื่อเจิง ดังนั้นนางจึงวางแผนการและขอความร่วมมือจากจื่อเจิง หลังจากพระปิตุลาเข้าห้องหอไปแล้ว เขาก็ออกตามหาจื่อเจิง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาท” ถังจื่อเจิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจ ขณะเดียวกันก็กอดเขาไว้แน่น
ลิ่นเส้าเยวียนชะงักไป น้อยครั้งนักที่เขาจะใกล้ชิดกับใครเช่นนี้ แต่พออีกฝ่ายเป็นถังจื่อเจิง เขากลับชอบความรู้สึกนั้นและโอบกอดอีกฝ่ายกลับแน่นๆ
“หาใช่ความชอบของข้าไม่ มิใช่แผนของพระปิตุลานีหรือไร” แม้เขาจะไม่รู้ว่าแผนการเป็นเช่นไร แต่เห็นจื่อเจิงมีความสุขแบบนี้ ก็หมายความว่าแผนการของพระปิตุลานีนั้นได้ผล
“แต่เพราะฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส กระหม่อมรู้ว่าพี่หนึ่งตำลึง…ไม่ใช่สิ ท่านพ่อ ท่านพ่ออยากจะแต่งงานกับท่านแม่มาตลอด แต่ท่านแม่ไม่ยอมตอบตกลง ที่ท่านพ่อเมินเฉยใส่กระหม่อมก็เพราะกระหม่อมไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกสักที ทำให้ท่านพ่อคิดว่ากระหม่อมไม่อยากให้เขาเป็นท่านพ่อของกระหม่อม และท่านแม่ก็ไม่ยอมตอบตกลงเพราะสาเหตุนี้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ลิ่นเส้าเยวียนหัวเราะ ก่อนจะรู้สึกว่าบริเวณไหล่เปียกชื้น เจ้าตัวก็ทั้งขันและเอ็นดูไปในคราวเดียวกัน “ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่เจ้าเปิดใจคุยเรื่องนี้กับพระปิตุลาอย่างนั้นหรือ”
“อืม ท่านพ่อบอกว่ามองกระหม่อมเหมือนบุตรแท้ๆ…ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นเด็กกำพร้ามานาน ในที่สุดวันนี้ก็มีท่านพ่อท่านแม่เป็นของตัวเองเสียที” พูดไปน้ำตาก็ไหลแหมะๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ลิ่นเส้าเยวียนตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “แบบนี้ก็ดีแล้ว…เจิ้นก็เป็นเด็กกำพร้า เจิ้นเข้าใจความรู้สึกของเจ้า”
ถังจื่อเจิงชะงัก กลัวว่าคำพูดไม่ทันระวังของตัวเองจะทำร้ายอีกฝ่ายเข้า เขาเลยรีบแก้ตัวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม...”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้เจิ้นมีพระปิตุลา มีเจ้า มีทังเสี่ยน ทังหรง และเสี่ยวเป่า พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หากเจ้ามีอะไรก็บอกเจิ้นได้ เจิ้นเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า” เขาโตกว่าจื่อเจิงหนึ่งปี ฉะนั้นเขาก็ต้องเป็นพี่ใหญ่
“แต่ว่า ท่านแม่บอกว่าไม่ให้กระหม่อมกับทังเสี่ยนและทังหรงเข้าสู่พระราชพงศาวลี เพราะนางต้องการให้พวกเราจำสกุลของตัวเอง ไม่ให้พวกเราลืมตัว ส่วนเสี่ยวเป่า พวกเราไม่รู้ว่าเขาแซ่อะไร เพราะแบบนี้เสี่ยวเป่าจึงต้องใช้แซ่ลิ่นและเข้าสู่พระราชพงศาวลี กระหม่อม…”
“มีอะไรแตกต่างกันเล่า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นลูกบุญธรรมของพระปิตุลาหรือไม่ ไม่ว่าชื่อของเจ้าจะอยู่ในพระราชพงศาวลีหรือไม่ สำหรับเจิ้นแล้ว เจ้าคือน้องชายของเจิ้น”
ถังจื่อเจิงหัวเราะเฝื่อน น้ำตาไหลรินอีกครั้ง “กระหม่อม…เป็นพี่ใหญ่มานาน ตอนนี้กระหม่อมมีพี่ใหญ่แล้ว” ใช่ว่าเขาไม่อยากทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่ แต่บางครั้งเขาก็หวังว่าตนเองจะมีใครให้พึ่งพาเหมือนกัน
หยดน้ำตาที่หลั่งรินลงมาจากดวงตากลมโตกระจ่างใสดูราวกับแสงจันทร์ผ่องอำไพ ทำให้ลิ่นเส้าเยวียนเกิดความรู้สึกว่าอยากจะจุมพิตดวงตาคู่นั้น ทว่าสิ่งที่เขาทำก็เพียงแค่โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นๆ เท่านั้นเอง
“หากมีสิ่งใดเจ้าบอกเจิ้นได้ทุกเรื่อง” เขาพึมพำเสียงแหบพร่า
น่าปวดใจนัก ความรู้สึกปวดใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดแผ่ลามไปทั่วทั้งช่องอกของเขา
เขาอยากให้อีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง เขาอยากจะบอกกับพระปิตุลา พระปิตุลามีลูกบุญธรรมถึงสี่คน แบ่งมาให้เขาสักคนเถอะ วังหลวงกว้างใหญ่เกินไป เขาไม่อยากมีเพียงเงาเป็นเพื่อนคู่กายเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ลิ่นจ้งซวินก็กลับมาปรากฏตัวในท้องพระโรงว่าราชการเช้าอีกครั้ง ทว่าลิ่นเส้าเยวียนยังไม่ทันได้เอ่ยเรื่องที่คิดกับลิ่นจ้งซวิน...
“ระยะเวลาไว้อาลัยสิ้นสุดลงแล้ว กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทควรเตรียมพระองค์สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส” ฉู่เหวยเอ่ยขึ้นในฐานะตัวแทนของขุนนางทั้งหลาย
ตอนนี้เองที่ลิ่นเส้าเยวียนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเคยหมั้นหมายเอาไว้กับบุตรีของสกุลหนึ่ง จังหวะที่กำลังจะเอ่ยก็ได้ยินฉู่เหวยกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “กระหม่อมคิดว่า การคัดเลือกฮองเฮาควรต้องรอบคอบให้มาก เฟ้นหาผู้ที่สามารถเป็นมารดาของแผ่นดินและดูแลวังหลังได้”
“ไท่ฟู่ แต่เจิ้น...”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมรายชื่อไว้แล้ว ขอพระองค์ทรงเลือกจากรายชื่อเหล่านี้” ฉู่เหวยตัดบทฉับ ก่อนจะยื่นรายชื่อที่ว่าให้แก่ฝูจื้อ
ลิ่นเส้าเยวียนกลับไม่ได้ยื่นมือไปรับ “หรือว่าไท่ฟู่ลืมไปแล้ว เมื่อครั้งที่อยู่เมืองซูอิ่ง เจิ้นได้หมั้นหมายไว้กับบุตรีสกุลซุน บัดนี้หากเจิ้นต้องราชาภิเษกสมรส คนที่เจิ้นจะแต่งด้วยก็ต้องเป็นบุตรีสกุลซุน” การหมั้นหมายในครั้งนั้นไท่ฟู่ก็เป็นคนจัดการแทนเขา อีกฝ่ายเป็นบุตรของผู้บัญชาการซุน ผู้บัญชาการทหารเมืองกุ่นโจว ไฉนไท่ฟู่ถึงให้เขาเลือกหญิงอื่นอีก
สกุลซุน? เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นในท้องพระโรงทันที ทุกคนพากันคาดเดาไปว่าสกุลซุนที่ฝ่าบาทตรัสถึงนั้นคือสกุลซุนใดกันแน่
“ฝ่าบาท” ฉู่เหวยสีหน้าทะมึนลง ไม่อยากจะเชื่อว่าฝ่าบาทจะทรงคัดค้านออกมาต่อหน้าขุนนางมากมายเช่นนี้
“ไท่ฟู่ การตัดสินใจของเจิ้นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง เก็บรายชื่อพวกนี้ไปเถิด” จะละทิ้งการหมั้นหมายที่เคยตกลงเอาไว้ในครานั้นเพียงเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้น
บุตรีสกุลซุนจะทำเช่นไรกันเล่า
ฉู่เหวยปั้นหน้าขรึมและไม่เอ่ยคำใดออกอีก ลิ่นจ้งซวินกลับเป็นฝ่ายที่มองประเมินฮ่องเต้พระองค์น้อยด้วยท่าทางสนใจยิ่งนัก
หลังออกว่าราชการเช้า ฉู่เหวยก็ขอเข้าเฝ้าลิ่นเส้าเยวียนเพื่อแจกแจงรายละเอียดของบรรดาสตรีที่เข้ารับคัดเลือกเป็นองค์ฮองเฮาและพระสนมทั้งสี่อย่างละเอียดลออ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าลิ่นจ้งซวินจะชิงตัดหน้าด้วยการเดินทางมายังห้องทรงพระอักษรเสียก่อน
“พระปิตุลามาได้อย่างไร” ทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งก็ได้ยินขันทีรายงานว่าลิ่นจ้งซวินมาขอเข้าพบ ลิ่นเส้าเยวียนคลี่ยิ้มกว้าง เขากำลังอยากจะสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกับพระปิตุลาอยู่พอดี
ลิ่นจ้งซวินเองก็ไม่พูดพร่ำให้มากความ เขาเอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “ฝ่าบาท ไม่ทอดพระเนตรรายชื่อสตรีวัยเดียวกันคนอื่นๆ สักหน่อยเล่า” หากเขาดูไม่ผิดละก็ รายชื่อนั้นน่าจะยังอยู่ในมืออาฝู
ลิ่นเส้าเยวียนมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ หลังจากนิ่งไปครู่ก็หยั่งเชิงถามว่า “พระปิตุลาคิดว่าเจิ้นควรทำเช่นนั้นหรือ”
“เรื่องนี้ฝ่าบาทไม่ควรถามกระหม่อม แต่ควรถามพระองค์เองว่าคิดจะทำเช่นไร อีกอย่าง...ฝ่าบาทก็ทรงไว้ทุกข์ให้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นเวลาหนึ่งปีเท่านั้น ฝ่าบาทจะทรงตรองดูอีกสักนิดก็ได้” โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่อยู่ในราชสกุลจะไว้ทุกข์เป็นระยะเวลายี่สิบเจ็ดเดือน แต่ขอเพียงไว้ทุกข์ครบหนึ่งปี หากจะทรงแต่งตั้งฮองเฮาและพระสนมก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอันใด ไม่น่าแปลกใจที่ฉู่เหวยจะรีบร้อนใช้ตำแหน่งในวังหลังนี้เพื่อดึงบรรดาขุนนางทั้งหลายมาเป็นพวก
เฮอะ! ไม่คิดบ้างว่าปีนี้ฝ่าบาทเพิ่งจะมีพระชนมพรรษาเพียงสิบสี่พรรษาเท่านั้น ร้อนใจอะไรปานนี้ ตะกรุมตะกรามในผลประโยชน์เสียเหลือเกิน
“เจิ้นคิดว่าเรื่องการแต่งงานที่ตกลงไว้ในครานั้นก็ย่อมต้องปฏิบัติตามคำสัตย์สัญญา ไม่เช่นนั้นหากยกเลิกการแต่งงาน บุตรีของสกุลซุนจะทำเช่นไรเล่า” จารีตในยุคนี้เคร่งครัดกับอิสตรียิ่งนัก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด หากถูกถอนหมั้นแล้วไซร้ ก็เท่ากับว่าแปดเปื้อนมลทิน หากคิดจะแต่งงานใหม่อีกครั้งก็หาใช่เรื่องง่ายไม่ “อีกอย่าง...หากทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าเจิ้นคงต้องถูกตราหน้าว่าอกตัญญูและไร้คุณธรรมได้”
ลิ่นจ้งซวินพยักหน้านิดๆ เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย “หากฝ่าบาททรงยืนยันว่าจะแต่งกับบุตรีของผู้บัญชาการซุนจริง ถ้าเช่นนั้นก็ส่งคนไปพิทักษ์นางลับๆ เถอะพ่ะย่ะค่ะ หรือไม่ก็รับตัวนางมาเมืองหลวงให้เร็วขึ้น หากกระหม่อมจำไม่ผิดละก็ คนในสกุลฝั่งมารดานางเป็นขุนนางในวังหลายคน แม้ว่าจะเป็นแค่ตำแหน่งกระจ้อยร่อยเท่าเม็ดงาเม็ดถั่วก็เถอะ”
ลิ่นเส้าเยวียนออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่พระปิตุลาทราบประวัติเบื้องหลังของขุนนางในราชสำนักอย่างละเอียดยิบถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าแปลกมากที่สุดก็คือ “เพราะเหตุใดถึงต้องส่งคนไปพิทักษ์นางลับๆ ด้วย”
“เพราะเหตุใด?” ลิ่นจ้งซวินหัวเราะ มองฝูจื้อที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “ฝ่าบาทลองตรองดูเถิด กระหม่อมทูลลาก่อน”
ลิ่นเส้าเยวียนมองแผ่นหลังที่ลับไปของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็เหมือนจะตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาราวกับไม่อาจเชื่อได้
นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ไฉนตั้งแต่ที่เขาประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรก็รู้สึกว่าสิ่งที่มองเห็น
และเรื่องราวที่เคยได้ยินในอดีตนั้นแตกต่างไปจากในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ไท่ฟู่ของเขาไฉนจึงได้ฉกฉวยอำนาจจากวังหลังเพื่อทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้?
สมัยที่ยังอยู่ในตำหนักชิ่งอ๋อง เสด็จพ่อของเขาก็รับพระชายารองและอนุเข้าจวน หลังจากเสด็จแม่เสียไปแล้ว บรรดาพระชายารองและอนุเหล่านั้นก็เริ่มใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวช่วยเหลือคนในสกุลให้ได้รับตำแหน่งขุนนาง จนเป็นเหตุให้ตำหนักชิ่งอ๋องเสื่อมลง สุดท้ายเป็นไท่ฟู่ที่ต้องออกหน้าจัดการเอง ทั้งยังว่ากล่าวตักเตือนเสด็จพ่อยกใหญ่
ไท่ฟู่ที่เคยเปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้นั้นเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ
“…ฝูกงกง” หลังจากนิ่งงันไปพักใหญ่ ลิ่นเส้าเยวียนถึงได้เอ่ยเสียงแหบพร่า
“กระหม่อมอยู่นี่” จากมุมที่ยืนอยู่ ฝูจื้อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็เบิกบานใจขึ้นมาจนเกือบจะรับคำแทบไม่ทัน
“เจิ้นขอดูรายชื่อที่ฉู่ไท่ฟู่นำมา”
ฝูจื้อรีบหยิบรายชื่อออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะกางลงบนโต๊ะทรงพระอักษร
ลิ่นเส้าเยวียนกวาดตามอง สตรีที่อยู่ในรายชื่อนี้ล้วนแต่มีสถานะและชาติตระกูลสูงส่ง แม้แต่หลานสาวของฉู่ไท่ฟู่ก็ยังปรากฏอยู่ในรายชื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเป็นยิ่งนัก
ต่อให้เขาจะไร้สามารถเพียงใด แต่ก็ย่อมรู้ว่าตำแหน่งในวังหลังย่อมเกี่ยวพันไปถึงความเป็นไปภายในราชสำนัก ในเมื่อไท่ฟู่มีไพ่สำคัญอยู่ในมือแล้วแท้ๆ เหตุไฉนยังจะต้องปูทางเพิ่มให้ตนเองอีกเล่า เพิ่งจะเข้าวังหลวงมาได้ไม่เท่าไร ความละโมบก็เกาะกุมหัวใจเสียแล้วหรือ
“ถ้าเจิ้นต้องการไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดเดือนก็น่าจะได้กระมัง”
“ย่อมได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเป็นแบบอย่างที่ดีของปวงชน ประชาราษฎร์ย่อมยึดหลักปฏิบัติตาม ใครเล่าจะบอกว่าไม่ได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็แจ้งกับกรมพิธี…”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าฉู่ขอเข้าเฝ้า” เสียงรายงานของขันทีที่อยู่นอกตำหนักขัดจังหวะของเขาขึ้นมา
ลิ่นเส้าเยวียนหลุบตาลงพลางใคร่ครวญ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ให้เขาเข้ามา”
ไม่นาน ฉู่เหวยก็ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วขอประทานอภัยโทษ “ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก ขอฝ่าบาทประทานอภัย”
ลิ่นเส้าเยวียนเห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่ายก็รีบเข้าไปประคองขึ้นมา “ไท่ฟู่ผิดด้วยเรื่องใดกัน รีบลุกขึ้นเถอะ” ฉู่เหวยเปรียบเสมือนครูบาอาจารย์และพี่ชายคนโตของเขา ใกล้ชิดกันประหนึ่งคนในครอบครัว เป็นฉู่เหวยผู้นี้ที่สอนให้เขาอ่านเขียนคัดอักษรทีละขีดๆ อบรมสั่งสอนให้ความรู้ คำพูดทุกคำเขายังคงจดจำได้เป็นอย่างดี เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าเพียงแค่สถานะของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ความคิดก็จะแปรเปลี่ยนตามไปด้วย
“ฝ่าบาท เป็นเพราะกระหม่อมร้อนใจเกินไป ไม่ควรหยิบยกเรื่องพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสมาพูดในท้องพระโรงโดยที่ยังไม่ได้หารือกับฝ่าบาทเสียก่อน” ฉู่เหวยเอ่ยด้วยสีหน้าเสียอกเสียใจ
ลิ่นเส้าเยวียนลอบผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นก็ดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “ไท่ฟู่ร้อนใจเรื่องใด”
“ฝ่าบาทหาได้ทรงรู้เรื่องราวอันใดไม่ ฝ่าบาทยังพระเยาว์นัก ยากที่จะสร้างพระบารมีและความน่าเชื่อถือขึ้นมาได้ แต่พระองค์สามารถสานสัมพันธ์กับบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ได้ด้วยการ
อภิเษกสมรส กระหม่อมร้อนใจถึงได้ทำการบุ่มบ่าม ขอฝ่าบาทประทานอภัย” ฉู่เหวยขอพระราชทานอภัยโทษด้วยสีหน้าโศกสลด ก่อนทำท่าจะทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง
ฝูจื้อปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มหยันผุดขึ้นในใจ ถือเสียว่าดูละครน้ำเน่าไปก็แล้วกัน ก่อนจะมองไปยังลิ่นเส้าเยวียนอีกครั้ง แล้วอดถอนใจยาวออกมาไม่ได้ เฮ้อ! ถึงอย่างไรก็ยังเด็กนัก จะหวังอะไรได้มากมายกันเล่า ไม่เอาแต่หลบอยู่ในซอกมุมตำหนักด้วยความหวาดระแวงก็นับว่าดีมากแล้ว
“ไท่ฟู่เพียงแค่ร้อนใจไปก็เท่านั้น เจิ้นหาได้นำมาใส่ใจไม่” ลิ่นเส้าเยวียนเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่มุมปาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ฉู่เหวยแสร้งถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่...เรื่องพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของฝ่าบาทเล่า...”
“ไท่ฟู่ เจิ้นตัดสินใจแล้วว่าจะไว้ทุกข์เป็นเวลายี่สิบเจ็ดเดือน รอให้เจิ้นออกจากไว้ทุกข์เมื่อใดก็ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ลิ่นเส้าเยวียนเห็นแววขุ่นขึ้งที่ผุดวาบขึ้นในสีหน้าของฉู่เหวยก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่มุมปากก็พลอยหุบลงด้วย
“ฝ่าบาททรงกตัญญูยิ่งนัก ควรเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่กระหม่อมคิดว่าหากเตรียมการไว้ก่อนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลานั้นจะได้คัดเลือกองค์ฮองเฮาและพระสนมทั้งสี่ได้อย่างทันท่วงที ถ้าเป็นเช่นนี้...”
“ไท่ฟู่ เจิ้นไม่เคยได้ยินว่ามีจักรพรรดิองค์ใดในประวัติศาสตร์ที่จะสถาปนาองค์ฮองเฮาและพระสนมทั้งสี่พร้อมกันในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส” ลิ่นเส้าเยวียนยังคงยิ้มอยู่เช่นนั้น ทว่าในใจกลับผิดหวังยิ่งนัก “ไท่ฟู่ หลังจากเจิ้นหมั้นหมายกับบุตรีสกุลซุนแล้ว เรื่องนี้ก็ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก ขอไท่ฟู่อย่าได้เกลี้ยกล่อมเจิ้นอีกเลย”
ฝูจื้อเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ นึกนับถือขึ้นในใจไม่น้อย เดิมทีคิดว่าฮ่องเต้พระองค์น้อยจะถูกคนสนิทที่อยู่ข้างพระวรกายมาตั้งแต่ยังเด็กจูงจมูกไปแล้วเสียอีก แต่นอกจากจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายยังแข็งขืนขึ้นมาเสียด้วย ช่างเป็นไม้ดี เป็นฮ่องเต้ที่มีปรีชาชาญแท้ๆ
ฉู่เหวยเผยรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ ทว่าก็จนใจอยู่ในทีออกมา “ไฉนฝ่าบาทถึงทรงคิดว่ากระหม่อมจะห้ามปรามเรื่องการราชาภิเษกสมรสระหว่างฝ่าบาทกับบุตรีสกุลซุนเล่า กระหม่อมเองก็หวังว่าเหตุการณ์จะสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี แต่ฝ่าบาทควรจะทรงทราบว่าวังหลังนั้นพัวพันมาถึงราชสำนัก ราชสำนักเองก็โยงใยไปถึงวังหลัง ตำแหน่งฮองเฮายกให้แก่บุตรีสกุลซุนได้ แต่พระสนมทั้งสี่ต้องคัดสรรอย่างละเอียดเหมาะสม เช่นนี้แล้วจึงจะรักษาสมดุลในราชสำนักได้ ครานั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเมตตาเพียงท่านหญิงหูผู้เดียว ทำให้ตำหนักอ๋องไม่เป็นสุขและเดือดร้อนกันไปหมด เรื่องนี้ฝ่าบาทคงจะทรงจำได้อย่างแม่นยำดี”
“เจิ้นยังจำได้ว่าไท่ฟู่ตำหนิเสด็จพ่อเพราะเรื่องนี้ และขอให้เสด็จพ่อยกเลิกตำแหน่งชายารองและสนมไปกว่าครึ่งค่อน” ลิ่นเส้าเยวียนยิ้ม ทว่าแววตานั้นกลับเย็นยะเยือก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วไฉนถึงยังต้องแสวงหาสนมนางในมาเพิ่มเพื่อสร้างเรื่องปวดหัววุ่นวายกันอีกเล่า
“เหตุผลก็เพื่อมิให้ผู้ใดได้รับการโปรดปรานแต่เพียงคนเดียว หากทรงมีพระเมตตาอย่างถ้วนทั่ว เช่นนั้นแล้วจึงจะเรียกว่าความผาสุก” ฉู่เหวยพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างหวังดี
“เจิ้นเข้าใจแล้ว รอให้เจิ้นทำพิธีราชาภิเษกสมรสกับฮองเฮาเสียก่อนค่อยเลือกวันคัดเลือกนางสนมก็แล้วกัน” ลิ่นเส้าเยวียนนิ่งไปครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ฝ่าบาทเข้าใจในหัวอกของกระหม่อม ต่อให้กระหม่อมต้องกลายเป็นเป้าให้ผู้อื่นโจมตี
กระหม่อมก็ยินยอม”
หลังจากนั้นก็สนทนากันอีกสองสามประโยค ฉู่เหวยก็ทูลลา ลิ่นเส้าเยวียนยังประทับอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร ไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ฝูจื้อลอบมองลิ่นเส้าเยวียน พยายามคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย สักพักถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท ใกล้เวลาแล้ว หลังเสวยพระกระยาหาร พระองค์ยังต้องฝึกวรยุทธ์กับลูกบุญธรรมของท่านอ๋อง วันนี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องตั้งใจว่าจะให้พระองค์ประลองกระบี่กับเจ้าซาลาเปานะพ่ะย่ะค่ะ”
พอคิดถึงถังจื่อเจิง ลิ่นเส้าเยวียนก็รู้สึกว่าความอึดอัดคับข้องที่ปกคลุมหัวใจบรรเทาเบาบางลงไปไม่น้อย เขาหันกลับไปยิ้มให้ฝูจื้อ “อาฝู ไฉนเจ้าถึงเรียกจื่อเจิงว่า ‘ซาลาเปา’ เล่า”
ฝูจื้อลูบปลายจมูกตนเอง “เมื่อครั้งที่ท่านอ๋องตามขอความรักพระชายา กระหม่อมเองก็ได้มีส่วนช่วยเหลือเล็กน้อย เพราะเหตุนี้จึงพอจะสนิทสนมกับเด็กๆ เหล่านั้นอยู่บ้าง ได้ยินท่านอ๋องเรียกเขาว่าซาลาเปา กระหม่อมก็เลยเรียกตามบ้าง เพราะความรู้สึกสนิทสนมเท่านั้น หาได้เจตนาที่จะไม่เคารพเลยแม้แต่นิด”
“ซาลาเปาอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของจื่อเจิงยังมีกลิ่นอายอย่างเด็กน้อย แก้มนุ่มๆ นั้นก็ชวนให้อยากขบกัดสักคำจริงๆ นั่นละ ทว่าสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดเห็นจะเห็นดวงตากลมโตวาววับคู่นั้น นัยน์ตาขาวกับลูกตาดำ กระจ่างใสไม่มีสิ่งใดเจือปน
แค่ได้อยู่ใกล้อีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนกับปัดเป่าความหวาดหวั่นและกระสับกระส่ายที่อยู่ในใจออกไปได้
ถ้าหากเขาไม่ต้องเป็นฮ่องเต้ละก็ ไม่รู้ว่าจะดีแค่ไหนหนอ
ความคิดเห็น |
---|