4

ตอนที่ 4


ตอน 4

เดือนสอง

ถังจื่อเจิงและน้องๆ เข้ามาศึกษาเล่าเรียนในวังหลวงอย่างเป็นทางการ สถานที่ก็คือตำหนักอวี้เสียน ในตอนแรกเขาตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง ฟังฉู่เหวยสอนสั่งเรื่องต่างๆ แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่าเนื้อหาลึกซึ้งเกินไป หรือฉู่เหวยบรรยายวิชาไม่สนุกเท่าใดนัก ทำเอาหนังตาของเขาค่อยๆ หนักขึ้น ศีรษะก็เช่นเดียวกัน

ลิ่นเส้าเยวียนทุ่มสมาธิอยู่กับการฟังบทเรียน จนกระทั่งฉู่เหวยเอ่ยถึงเนื้อหาในตอนหนึ่ง จู่ๆ อีกฝ่ายก็แค่นเสียงออกมา “หึ ไม้ผุมิอาจสลักได้จริงๆ”

ฮ่องเต้พระองค์น้อยหันไปมองคนข้างตัว ก่อนจะเห็นว่าอีกสี่คนที่เหลือเข้าภวังค์หลับใหลไปเสียแล้ว

“ไท่ฟู่ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนพวกเขานอนดึก วันนี้จึงไม่มีสมาธิสักเท่าไร” ลิ่นเส้าเยวียนรีบเอ่ยไกล่เกลี่ยทันที ด้วยเกรงว่าฉู่เหวยจะเกิดอคติกับคนเหล่านั้นหนักขึ้น

“ฝ่าบาท กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ ลูกบุญธรรมของเซ่อเจิ้งอ๋องจะดีสักเท่าไรเชียว” ฉู่เหวยถอนใจยาว ก่อนเอ่ยออกมาด้วยความหวังดีว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นแผนการของเซ่อเจิ้งอ๋องที่จะใช้ลูกบุญธรรมเพื่อเข้าถึงฝ่าบาท ภายนอกแสร้งว่าเป็นสหายทรงพระอักษร แต่แท้จริงแล้วต้องการสอดส่อง ฝ่าบาท ทรงอย่าชะล่าใจเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ไท่ฟู่ อันที่จริงพระปิตุลา...”

“ฝ่าบาท! การสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังเป็นปริศนามาถึงบัดนี้ ไฉนฝ่าบาทถึงได้ถูกเซ่อเจิ้งอ๋องหลอกล่อง่ายๆ เช่นนี้”

“ไท่ฟู่ เสด็จพ่อสวรรคตเพราะพระวรกายอ่อนแอจนประชวร” ลิ่นเส้าเยวียนนิ่วหน้า

แม้ว่าเขาจะเคยสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่หลังจากใคร่ครวญถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงแล้ว เขาก็คิดว่าพระปิตุลาไม่มีความจำเป็นใดเลยที่จะต้องเล่นงานเขาทางอ้อมเช่นนี้

เขาได้รับการสั่งสอนจากไท่ฟู่มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย หรือว่าไท่ฟู่จะตระหนักไม่ได้เหมือนเขาเชียวหรือ

“เป็นนั่นคำพูดของหมอหลวง แต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องทรงทราบว่าหมอหลวงในวังหลวง รวมทั้งคนรับใช้ในวังล้วนเป็นเขี้ยวเล็บของเซ่อเจิ้งอ๋องทั้งสิ้น เวลานี้สิ่งที่ฝ่าบาททรงต้องทำก็คือ หาวิธีชักจูงใจให้บรรดาขุนนางสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ แล้วรวบอำนาจการปกครองทั้งหมดไว้ในมือ ไม่เช่นนั้นสักวันก็ต้องทรงกลายเป็นหุ่นเชิด…”

“พูดพอแล้วหรือยัง”

น้ำเสียงที่แม้จะหัวเราะแต่กลับทำให้คนฟังสั่นสะท้านดังขึ้น ฉู่เหวยเบิกตากว้างโดยพลัน ก่อนจะหันหลังกลับช้าๆ จากนั้นก็เห็นลิ่นจ้งซวินยืนพิงอยู่ที่ขอบประตู

“…คารวะท่านอ๋อง” ฉู่เหวยค้อมตัวคารวะ

สีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มของลิ่นจ้งซวินฉายแววเยาะหยัน เขาสืบเท้าเข้ามาในตำหนัก “ใต้เท้าฉู่ เจ้าช่างเก่งจริงๆ นะ แค่บรรยายวิชาก็ทำให้ลูกๆ ทั้งสี่ของเปิ่นหวางหลับได้ลึกถึงขนาดนี้” ว่ากันตามตรง เขาไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉู่เหวยเม้มปาก ก่อนจะแค่นเสียงเบาๆ “ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลา”

รอจนกระทั่งฉู่เหวยจากไป ลิ่นเส้าเยวียนก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระปิตุลา ไท่ฟู่เพียงแค่มีอคติกับพระปิตุลาเท่านั้น หากให้เวลาอีกระยะหนึ่ง เขาย่อมต้อง…”

“เปิ่นหวางไม่สนใจสักนิดว่าเขาจะมีอคติกับกระหม่อมหรือไม่” ลิ่นจ้งซวินแค่นเสียงหึ “ปลุกเจ้าเด็กพวกนี้ให้ตื่นขึ้นมาเสีย เดี๋ยวเปิ่นหวางจะสอนวิชาให้”

“พระปิตุลาจะสอนวิชาเจิ้น?” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าพระปิตุลาสอนวิชาได้ด้วย แต่ได้ยินฝูกงกงกล่าวว่า เมื่อครั้งที่พระปิตุลาขึ้นครองราชย์ อีกฝ่ายมีชันษาเพียงแค่หกปีเท่านั้น เด็กวัยหกปีก็สามารถประทับลงบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคง ยามที่ออกว่าราชการก็ควบคุมขุนนางน้อยใหญ่เอาไว้ให้หมด แสดงว่าย่อมมีความเก่งกาจในเรื่องราชกิจมิใช่น้อยทีเดียว

“เปิ่นหวางจะสอนพระองค์เรื่องระบบข้าราชการ...ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และขุนนาง”

จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษที่เขาคิดฝันอย่างสวยหรูเกินไปสักนิด ลืมไปว่าแผนการใดๆ ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แม้ว่าก่อนสละราชบัลลังก์ เขาจะล้างบางราชสำนักแห่งนี้ไปแล้ว ในใจก็คิดว่าขอเพียงฝูจื้อคอยถวายรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ การจะก่อร่างสร้างบ้านเมืองให้สงบสุขและรุ่งเรืองขึ้นมาคงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่กลับลืมไปว่าข้างกายฮ่องเต้พระองค์น้อยยังมีข้าเก่าเต่าเลี้ยงอยู่ด้วย ฉู่เหวยผู้นี้ลักลอบสมคบคิดกับขุนนางอื่นๆ เพื่อสร้างฝักฝ่ายของตนขึ้นภายในราชสำนัก หากเขาไม่สยบให้อยู่แล้วละก็ อนาคตของฮ่องเต้ย่อมเต็มไปด้วยอุปสรรคยากเข็ญอย่างแน่นอน ถ้าลิ่นเส้าเยวียนต้องกลายเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดจริงๆ มีหวังเขาได้ถูกพี่เสี่ยวถงบ่นจนหูชาแน่ หากไม่จับตามองทุกฝีก้าวเช่นนี้ก็คงไม่ได้

แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ฮ่องเต้พระองค์น้อยไม่อ่อนแอและขลาดกลัวเหมือนกับเสด็จพี่ของ

เขา คอยดูไปเถิดว่า เขาจะสลักเสลาฮ่องเต้พระองค์น้อยผู้นี้ให้ออกมาเป็นเช่นไรได้

 

ลิ่นจ้งซวินอธิบายหลักการควบคุมขุนนางโดยเปรียบเทียบกับวิธีการทำนา บรรยายอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น ลิ่นเส้าเยวียนได้รับความรู้มากมาย เขาฟังเรื่องราวต่างๆ อย่างออกรสออกชาติ แต่ที่น่าเสียดายก็คือสหายของเขาพากันไปเฝ้าโจวกงกันหมด ก่อนที่สุดท้ายจะถูกลิ่นจ้งซวินปลุกให้ตื่นขึ้นมา

หนึ่งครั้ง สองครั้ง ทุกครั้งก็เป็นเหมือนเดิม ลิ่นเส้าเยวียนอดคิดไม่ได้ว่า บางทีพวกเขาอาจไม่อยากเรียนหนังสือก็เป็นได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของเขาที่อยากจะมีสหายใกล้ชิดได้เล่าเรียนไปด้วยกัน กลับกลายเป็นว่าทำให้คนอื่นๆ ต้องพลอยลำบากไปด้วย

พอเห็นถังจื่อเจิงถูกปลุกขึ้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ลิ่นเส้าเยวียนก็อดสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉายามเห็นสองพ่อลูกต่อปากต่อคำกัน เขาหัวเราะออกมากับภาพนั้น จังหวะนั้นเองก็เหลือบเห็นฉู่เหวยเดินผ่านมาพอดี ริมฝีปากคลี่ยิ้มหยันราวกับดูแคลนว่าไม้ผุไม่อาจสลักได้ ลิ่นเส้าเยวียนก็พลันถอนใจออกมาเบาๆ

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ทว่าตั้งแต่ตนเองขึ้นครองราชย์ ไท่ฟู่ก็ยิ่งมีอคติกับพระปิตุลารุนแรงขึ้นกว่าเดิม ยิ่งเขาออกหน้าแทนมากเท่าไร ไท่ฟู่ก็ยิ่งเดือดดาลแค้นเคืองมากขึ้นเท่านั้น คิดว่าเขาตกหลุมพรางของพระปิตุลาไปเสียแล้ว

มีหลุมพรางที่ไหนกันเล่า เขาก็แค่มองเห็นความจริงเท่านั้นเอง

ฝูจื้อที่อยู่ด้านหลังลิ่นเส้าเยวียนปรายตามองไปที่ประตูตำหนัก จากนั้นก็เบนกลับมา ก่อนจะเคลื่อนกายไปหยุดอยู่ข้างลิ่นจ้งซวิน “ท่านอ๋อง เด็กๆ กำลังอยู่ในวัยซุกซน พอต้องมานั่งฟังบรรยายวิชาเข้าใจยากตลอดทั้งเดือนสองเดือนเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าภวังค์หลับตลอดเวลา ถ้าอย่างไรก็พาพวกเขาไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกบ้าง ถึงอย่างไรเสียสองสามวันมานี้อากาศก็อบอุ่นขึ้นมาพอดี”

ลิ่นจ้งซวินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “มีม้าตัวเล็กๆ หรือไม่”

“มีขอรับ มีม้าอายุหกเจ็ดเดือน แล้วก็ม้าหนึ่งขวบปี” ฝูจื้อรายงานอย่างละเอียด

“ถ้าเช่นนั้นก็…ไปสนามม้า”

“ท่านพ่อ ท่านจะสอนพวกเราขี่ม้า?” ทังหรงกอดลิ่นจ้งซวินแน่นด้วยท่าทางประจบสอพลอ

“ใช่” ลิ่นจ้งซวินลูบศีรษะอีกฝ่าย ก่อนจะบอกให้เด็กๆ เดินตามมา จากนั้นก็ก้าวออกจากประตูตำหนัก ทว่าพอเห็นลิ่นเส้าเยวียนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาก็อดถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทไม่อยากขี่ม้าหรือ”

“เจิ้นไปได้หรือ” ลิ่นเส้าเยวียนถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

ลิ่นจ้งซวินมองประเมินอีกฝ่ายอย่างขบขัน “ฝ่าบาท ในวังหลวงแห่งนี้มีที่ใดบ้างที่พระองค์จะเหยียบย่างไปไม่ได้ มีเรื่องใดบ้างที่พระองค์ทรงทำไม่ได้ ว่าแต่…พระองค์ทรงขี่ม้าเป็นหรือไม่”

“เป็น” ลิ่นเส้าเยวียนตอบรับทันที

แม้ว่าเมื่อครั้งที่อยู่เมืองซูอิ่ง เสด็จพ่อไม่ชอบให้เขาขี่ม้าก็ตาม แต่เพราะว่างจนรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที บางครั้งเขาก็จะขี่ม้าวนอยู่รอบๆ ตำหนัก ฝีมือขี่ม้าอาจยังไม่เรียกว่าเก่งกาจ แต่ถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันแล้ว เขาต้องเหนือกว่าอย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ฝูจื้อ เลือกม้าที่เหมาะให้ฝ่าบาทสักตัว ไม่เอาลูกม้า”

“ขอรับ”

จังหวะที่ลิ่นเส้าเยวียนเดินออกจากประตูตำหนัก ทันใดนั้นลิ่นจ้งซวินก็ยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเขาเบาๆ ก่อนจะเดินนำไปด้านหน้า

เขาชะงักไปครู่ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะตนเอง ในใจก็คิดว่า นานเท่าไรแล้วที่ไม่มีใครลูบศีรษะของตนแบบนี้ ทำเอาลิ่นเส้าเยวียนอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็ลิงโลดใจอย่างบอกไม่ถูก

“จื่อเจิง ไป” เขาจูงมือถังจื่อเจิงให้เดินไปพร้อมกัน “เดี๋ยวเจิ้นจะสอนเจ้าขี่ม้าเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าขี่ม้าเป็นแล้ว ไม่แน่ว่าครั้งหน้าถ้าไปล่าสัตว์ที่ภูเขาหูอิ่ง กระหม่อมก็อาจได้ขี่ม้าไปกับพี่หนึ่งตำลึงด้วย”

“ล่าสัตว์?”

“พี่หนึ่งตำลึงเก่งกาจมาก อาศัยแค่มีดเล่มเดียวก็จับหมูป่าได้ทั้งตัวแล้ว ซ้ำเขายังทำฉมวกแทงปลาได้ พี่หนึ่งตำลึงพาพวกเราไปจับปลาที่แม่น้ำชิงเจียง สอนพวกเราล่องแพด้วย”

ลิ่นเส้าเยวียนฟังจนเคลิบเคลิ้ม แทบอยากจะทิ้งราชกิจไว้เบื้องหลังและติดตามไปพร้อมๆ กับคนอื่น

ทว่าเขามีสถานะเป็นฮ่องเต้ มีสิ่งที่เขายังต้องเรียนรู้มีอีกมากมายนัก จะทิ้งทุกอย่างไปได้อย่างไรกันเล่า

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิชาที่ลิ่นเส้าเยวียนศึกษาเพิ่มก็คือ ศิลปะการขี่ม้า ทุกๆ สองสามวัน เขาจะออกจากตำหนักไปขี่ม้าในสนามสักรอบสองรอบ หลังจากฤดูร้อนมาเยือน ลิ่นจ้งซวินก็สอนวิทยายุทธ์ให้แก่เด็กๆ

“ย่อลงอีกนิด หากฝึกท่านั่งม้าไม่ถูกต้องแล้วละก็ ร่างกายช่วงล่างก็ย่อมไม่มั่นคง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝึกวรยุทธ์อะไรอีกแล้ว”

ณ สนามประลองยุทธ์ ลิ่นจ้งซวินเดินกลับไปกลับมาอยู่เบื้องหน้าเด็กๆ แม้แต่ลิ่นเสี่ยวเป่าที่อายุเพียงเจ็ดขวบก็ยังไม่ละเว้น เจ้าหนูน้อยถูกเรียกมาฝึกท่านั่งม้าด้วยเช่นกัน

“แต่ท่านพ่อ พวกเราฝึกท่านั่งม้ามาหลายวันแล้วนะ” ทังหรงนิ่วหน้า ไม่เข้าใจว่าแค่ฝึกท่านั่งม้า ไฉนจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วย ยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนแบบนี้ เพียงแค่สิบห้านาทีก็เหงื่อโซมกายไปหมดแล้ว

“ใครเป็นคนบอกว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์กับข้า” ลิ่นจ้งซวินปรายตาเย็นยะเยือก

ทังหรงหุบปากฉับทันที ขี่ม้าน่าสนุกก็จริง แต่ปัญหาคือพื้นที่ที่ให้ขี่ม้าได้นั้นไม่กว้างขวางเท่าไรนัก ห้อตะบึงได้ไม่หนำใจ เพราะเหตุนี้เจ้าตัวถึงอยากจะเรียนอย่างอื่นบ้าง ขอแค่ไม่ต้องนั่งเรียนอยู่ที่โต๊ะหนังสือเป็นพอ เพราะแบบนี้เขาถึงได้เสนอให้เรียนวิทยายุทธ์อย่างไรเล่า

“แต่ท่านอ๋อง ฝ่าบาท...” ฝูจื้อที่อยู่ข้างๆ แทบทนไม่ไหวยามเห็นลิ่นเส้าเยวียนยังคงดึงดันฝึกท่านั่งม้าทั้งๆ ที่ใบหน้าขาวซีด หากว่าฉู่เหวยมาเห็นเข้าละก็ ไม่รู้ว่ารายนั้นจะเอาเรื่องเอาราวให้เป็นเหตุใหญ่โตขนาดไหนอีก

สายตาของลิ่นจ้งซวินคมปลาบประหนึ่งใบมีด ทำเอาฝูจื้อรีบถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวทันที

“เท่าที่ข้าดู ฝ่าบาทเหมือนจะทรงมีพื้นฐานมาก่อน”

“…เมื่อครั้งอยู่เมืองซูอิ่ง ครูฝึกยุทธ์เคยถ่ายทอดความรู้ให้เจิ้นอยู่พักหนึ่ง” ลิ่นเส้าเยวียนเอ่ยตอบทั้งๆ ที่ลมหายใจติดขัดไปหมด แม้ว่ายามนี้แข้งขาจะแข็งเกร็งไปหมดแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด เพราะในบรรดาเด็กๆ ทั้งหมด เขาโตกว่าใครเพื่อน เขาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้

ทุกคนเห็นจึงจะถูก

“พระองค์ฝึกได้ไม่เลวนี่ วันหลังกระหม่อมจะเริ่มสอนเพลงกระบี่ให้พระองค์”

“ขอบคุณพระปิตุลา” ลิ่นเส้าเยวียนเอ่ยกลั้วหัวเราะ คำชมของลิ่นจ้งซวินส่งผลต่อเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาอยากทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด

“อ้อ ถ้าอย่างไรท่านอ๋องก็ประลองกับแม่ทัพซ่านสักครั้ง ให้ฝ่าบาทได้เปิดพระเนตรพระกรรณหน่อยเป็นเช่นไร” ฝูจื้อเหลือบตามองไปยังซ่านเอ้อหลี แม่ทัพพิทักษ์แคว้นที่ยืนอยู่ข้างสนาม

ลิ่นจ้งซวินนิ่งคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะปรายตามองคนที่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก “อาฝู หยิบกระบี่เปิ่นหวางมา”

ฝูจื้อส่งให้คนไปนำกระบี่มาด้วยท่าทีกระตือรือร้น แค่พริบตาเดียว ลิ่นจ้งซวินกับซ่านเอ้อหลีก็ยืนอยู่กลางสนามประลอง ก่อนจะเห็นลิ่นจ้งซวินกวัดแกว่งกระบี่จื่อซาที่หนักร่วมยี่สิบชั่งด้วยมือเดียว พลานุภาพของกระบี่ปานประหนึ่งสายอสนีบาตที่พุ่งเข้าใส่หน้าซ่านเอ้อหลี

พริบตานั้นประกายไฟแลบเปรี๊ยะปร๊ะ ลมกระโชกจนฝุ่นผงตีตลบ อย่าว่าแต่ลิ่นเส้าเยวียนที่เบิกตาค้าง แม้แต่ลูกๆ ของเขาก็ยังจ้องมองจนหุบปากไม่ลง สายตามองมายังบุรุษทั้งสองที่ประลองกำลังกันอยู่ในสนาม

“ข้าจะฝึกท่านั่งม้าต่อ!” ทังหรงคำรามลั่น ก่อนจะตั้งท่าฝึกฝนต่อไป

ลิ่นเส้าเยวียนเองก็ปฏิบัติด้วยเช่นกัน เพราะการฝึกวรยุทธ์ไม่เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงมีพละกำลัง แต่ยังเสริมสร้างพลังอำนาจในตนเองได้อีกด้วย สิ่งที่เขาต้องการคือราศีเฉกเช่นจักรพรรดิที่มีมาแต่กำเนิดดังเช่นพระปิตุลา ทว่าถังจื่อเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากลับมองไปในสนามประลองด้วยอาการเหม่อลอย สีหน้านั้นดูหดหู่และเซื่องซึมนิดๆ ลิ่นเส้าเยวียนอดเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป”

เขาสังเกตว่าหมู่นี้ถังจื่อเจิงไม่ค่อยร่าเริงสักเท่าไร

“…พี่หนึ่งตำลึงดูเหมือนจะเกลียดกระหม่อม” อีกฝ่ายเอ่ยเศร้าๆ

“จะเป็นไปได้อย่างไร” พระปิตุลาออกจะดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี สำหรับเขาเองก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้พี่หนึ่งตำลึงเอะอะก็ดุกระหม่อม…” พูดไป น้ำเสียงก็แปร่งปร่า ซ้ำหน่วยตายังแดงระเรื่อ

ลิ่นเส้าเยวียนเห็นอาการนั้นก็รีบปลอบใจทันที “เจ้าอย่าคิดเลอะเทอะ ตามที่เจิ้นเห็น หากเป็นคนที่พระปิตุลาไม่ใส่ใจ เกรงว่าเขาคงไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำไป หากเขายังดุเจ้า แสดงว่าอย่างน้อยเขาก็ยังใส่ใจเจ้าอยู่”

“อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ลิ่นเส้าเยวียนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “คำพูดเหล่านี้เจ้าเป็นคนบอกกับเจิ้นเองไม่ใช่หรือไร”

“ก็จริง แต่หมู่นี้พี่หนึ่งตำลึงดุมากจริงๆ ตวาดกระหม่อมเป็นประจำ” พูดแล้วก็ให้น้อยเนื้อต่ำใจนัก เสียงของเด็กหนุ่มสะอึกสะอื้น เขาพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา

“จื่อเจิง…” พอมองอีกฝ่ายสะกดกลั้นความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ลิ่นเส้าเยวียนก็รู้สึกฝืดเฝื่อนไปทั้งหัวใจ อยากปลอบโยนก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เขาไม่รู้ถึงปมปัญหาด้วยซ้ำไป เพราะเหตุนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะต้องแก้ไขเช่นไร

ลิ่นเส้าเยวียนหลุบตาลงแล้วครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ จื่อเจิงล่วงเกินอะไรพระปิตุลา พานคิดไปจน

ใจลอย แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลัง ก่อนตามมาด้วยเสียงฮือฮา เขาหันตามต้นเสียงนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ที่มารวมตัวกันอยู่ในศาลาด้านนอกสนามประลองยุทธ์ ยามนี้พากันเผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง ขณะที่กระบี่จื่อซาเล่มนั้นก็พุ่งเข้าไปปักอยู่ตรงขั้นบันไดศาลาเสียแล้ว

พอหันกลับไปก็เห็นว่าในมือของพระปิตุลาว่างเปล่า ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ปราดมองคนในศาลานั้นทั้งเย็นชาและเจ้าเล่ห์

พระปิตุลาจงใจ…เพราะเหตุใดกัน

“เอาละ พักก่อน” ลิ่นจ้งซวินเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเบิกบาน เป็นความสำราญใจหลังจากได้ปั่นหัวผู้อื่น

“ท่านพ่อ ข้ายังอยากฝึกท่านั่งม้าต่อ รอให้ข้าใช้กระบวนท่าได้มั่นคงแล้ว ท่านต้องสอนเพลงกระบี่ข้านะ” ทังหรงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ

“เจ้าลูกคนนี้ ใจใหญ่นัก ทั้งขี่ม้าทั้งฝึกวรยุทธ์ ตอนนี้ก็ยังจะเรียนเพลงกระบี่อีก จะโลภเกินไปแล้วกระมัง” ลิ่นจ้งซวินออกแรงขยี้มือไปบนศีรษะอีกฝ่าย

“หาใช่เสียหน่อย ข้าจะค่อยๆ เรียนเป็นขั้นเป็นตอน เรียนทุกความสามารถของท่านพ่อ”

“โอ้อวดโดยไร้ซึ่งความละอาย”

“ท่านอ๋อง รูปร่างของทังหรงนั้นเหมาะกับการฝึกพลังยุทธ์ทีเดียว” ซ่านเอ้อหลีที่เดินตามมาข้างหลังแสดงความเห็นออกมา

“อย่างนั้นหรือ”

“ตามความเห็นข้า จื่อเจิงเองก็ไม่เลว”

“เช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงนั้นเย็นชา

ถังจื่อเจิงหลุบตาลง หน่วยตาเริ่มแดงระเรื่อ

ลิ่นเส้าเยวียนมองเห็นเหตุการณ์นั้น แม้ว่าจะร้อนใจแทน ทว่าก็จนปัญญาจะทำเช่นไรได้

พอหมดเวลาฝึก หลังจากลิ่นจ้งซวินและบุตรชายจากไปแล้ว ลิ่นเส้าเยวียนก็ยังอยู่ภายในตำหนักอวี้เสียนที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง เรื่องที่นึกถึงในตอนนี้ก็มีแต่ภาพของถังจื่อเจิงที่ดวงตาแดงก่ำ ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนไม่มีแก่ใจจะฟังวิชาจากฉู่เหวย

ลิ่นเส้าเยวียนเดินกลับไปกลับมาอยู่ในตำหนักอันกว้างใหญ่ มีเพียงเสียงสะท้อนจากตัวเองเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขา

“ฝ่าบาท ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ดึกขนาดนั้นแล้วหรือ” ลิ่นเส้าเยวียนอุทานอย่างตกใจ

ฝูจื้อเห็นฮ่องเต้พระองค์น้อยมีเรื่องกลัดกลุ้มพระทัยก็อดถามไม่ได้ “ฝ่าบาทมีเรื่องใดกังวลพระทัยหรือ”

“เจิ้น…” เขายั้งปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว จะบอกว่ากังวลเรื่องของจื่อเจิงก็คงไม่ได้กระมัง พอใคร่ครวญอยู่ครู่ ลิ่นเส้าเยวียนก็เอ่ยออกมาอย่างเกรงๆ ว่า “ฝูจื้อ ถ้าเจิ้นอยากไปจวนพระปิตุลาได้หรือไม่”

เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องของจื่อเจิง อีกประการ...เขาไม่อยากกินอาหารค่ำในวังหลวงเพียงลำพังด้วย เขารู้สึกเดียวดายมากจริงๆ

“เหตุใดจะไม่ได้เล่า กระหม่อมจะให้คนเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้พระองค์น้อยที่ทรงปฏิบัติตนอยู่ในกรอบในเกณฑ์อยู่เสมอดูเหมือนจะมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว แต่ไม่ว่าจะทรง

ทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่

ลิ่นเส้าเยวียนพอใจเป็นยิ่งนัก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น