ตอน 3
หลังอาหาร ทั้งหมดก็มุ่งไปยังอุทยานหลวง
ฝูจื้อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา พอหันกลับไปมองก็เห็นฉู่เหวยผู้ควบตำแหน่งราชเลขาธิการนำขุนนางจำนวนหนึ่งมาเข้าเฝ้า เขาคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะถอยเลี่ยงไปยืนอยู่ข้างๆ
“ฝ่าบาท” ฉู่เหวยส่งเสียงขึ้นทันทีตั้งแต่ตัวยังมาไม่ถึง
ลิ่นเส้าเยวียนหันกลับมาทักด้วยรอยยิ้ม ‘ฉู่ไท่ฟู่’ จากนั้นก็ปรายตามองขุนนางที่ตามมาด้านหลัง มีสองสามคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ที่เหลือดูจะไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไฉนหมูหมากาไก่พวกนี้จึงเข้าวังมาได้” ฉู่เหวยมองลิ่นจ้งซวินที่ยังหันหลังให้เขาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ไม่รู้จักธรรมเนียมเลยแม้แต่นิด”
ลิ่นเส้าเยวียนขมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ ยังไม่ทันได้ปริปาก ฝูจื้อก็ก้าวเข้ามาแล้วชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “พูดถึงธรรมเนียม ใต้เท้าฉู่ก็นำคนบุกมาอยู่หน้าพระพักตร์โดยไร้ขันทีนำทาง ทั้งยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากฝ่าบาทเสียก่อน ขุนนางไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมขุนนาง ไฉนยังจะอ้างธรรมเนียมได้อีกเล่า”
“เจ้า…เจ้าบ่าวสามหาว! ข้าคือไท่ฟู่ผู้ดูแลฝ่าบาทมาแต่ยังทรงเยาว์วัย ธุระระหว่างข้ากับฝ่าบาทจำเป็นต้องให้บ่าวอย่างเจ้าสอดเข้ามาด้วยหรือไรกัน!” ฉู่เหวยที่ถูกตอกกลับเช่นนั้นก็หน้าเขียวคล้ำสลับขาวซีด ก่อนจะตวาดลั่นเพื่อเรียกบารมีของตนเองกลับคืนมา
“หัวหน้าขันทีสอดไม่ได้ แต่ เปิ่นหวาง (เชิงอรรถ 3) สอดได้กระมัง” เดิมทีไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก แต่อีกฝ่ายกลับเป็นพวกรนหาที่ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว “คนแซ่ฉู่ เปิ่นหวางเป็นพระปิตุลาของฮ่องเต้ พาพระชายาและลูกๆ เข้าวังมาเพื่อสนทนาประสาญาติมิตร แล้วไหนเล่าหมูหมากาไก่ที่ว่า”
(เชิงอรรถ 3 คำเรียกแทนตัวเชื้อพระวงศ์ชั้นอ๋อง)
ยามที่ต้องเผชิญกับสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มของลิ่นจ้งซวิน ฉู่เหวยก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นซึ่งทำให้เขาแทบจะต้องทรุดตัวคุกเข่าลง ทว่าเบื้องหลังของเขาคือขุนนางที่ตนเองเพิ่งจะดึงมาเป็นพรรคพวกด้วย เช่นนี้แล้วจะให้เขาเผยความอ่อนแอออกมาได้เช่นไรกันเล่า
“ท่านอ๋องโปรดอภัย ผู้น้อยเพียงแต่เห็นว่าเด็กเหล่านี้ชาติกำเนิดต่ำต้อย หาคิดไม่ว่าพวกเขาคือบุตรชายของท่านอ๋อง”
“พอได้แล้ว คนแซ่ฉู่ เจ้าเองก็หาได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์อันใดไม่ ก็แค่คนสถานะต่ำต้อยจากเมืองซ่งรื่อ ครั้งนั้นเพราะเปิ่นหวางไม่ต้องการใช้คนอย่างเจ้า บัณฑิตระดับสามเช่นเจ้าถึงได้มีโอกาสฝากตัวอยู่ในตำหนักชิ่งอ๋อง ใครจะคิดว่าชิ่งอ๋องกลับให้ความสำคัญเจ้าถึงเพียงนี้ ช่วยให้สหายทรงพระอักษรที่ไร้ยศไร้ศักดิ์อย่างเจ้ากลายมาเป็นขุนนางในกรมยุติธรรม…น่าเสียดาย ครานั้นเปิ่นหวางยังไม่รู้เช่นเห็นชาติ มิเช่นนั้นคนอย่างเจ้ามีหรือจะได้รั้งตำแหน่งระดับนั้น”
ฉู่เหวยได้ยินเช่นนี้ก็หนาวยะเยือกไปทั้งกาย คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้ทรราชพระองค์นี้จะจดจำเขาได้…ครานั้นลิ่นจ้งซวินไม่เคยออกว่าราชการในตอนเช้า แม้แต่การสอบขุนนางราชสำนักที่สามปีจึงจะจัดหนึ่งครั้งก็ไม่เคยเข้าร่วมเป็นประธาน แต่เขากลับจำตนเองได้ แม้แต่สถานะของเขาก็ยังจำได้อย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่างในราชสำนักก็อยู่ในกำมือของคนผู้นี้อย่างนั้นหรือ เช่นนี้เรียกได้ว่าความสามารถระดับใดกัน?
“อีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเชื้อพระวงศ์ในราชสกุลเหลือน้อยเต็มที เพราะเหตุนี้เปิ่นหวางจะรับตำแหน่งจงเจิ้ง (เชิงอรรถ 4) และรับผิดชอบดูแลภารกิจของเชื้อพระวงศ์เอง เปิ่นหวางจะให้เด็กๆ พวกนี้เข้าสู่พระราชพงศาวลี (เชิงอรรถ 5) จำเอาไว้ให้ดี พวกเขาคือลูกบุญธรรมของเปิ่นหวาง หาใช่ผู้ที่เจ้าจะทำตัวกำเริบเสิบสานได้ และก่อนที่เจ้าจะเอ่ยเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติกับหัวหน้าขันที เจ้าก็ควรจะสำเหนียกสถานะของตนและทำความเคารพเปิ่นหวางก่อนมิใช่หรือไร”
(เชิงอรรถ 4 เจ้าพนักงานกำกับดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์)
(เชิงอรรถ 5 เข้าสู่ผังลำดับเครือญาติราชนิกุลและสืบเชื้อสายราชวงศ์)
เพราะคำพูดเสียดสีของอีกฝ่ายกระทบถึงภรรยาและลูกๆ ของเขา หากเขาไม่ระบายความขุ่นขึ้งออกไปบ้าง คืนนี้จะนอนหลับได้อย่างไรกัน
“…คารวะท่านอ๋อง” ใบหน้าของฉู่เหวยแดงก่ำสลับดำทะมึน ทว่าก็จำต้องโค้งตัวคารวะอีกฝ่าย
ลิ่นจ้งซวินเหลือบมองฉู่เหวยด้วยสายตาเย็นชา แววตานั้นดูเหมือนจะสงบนิ่งแต่กลับชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกาย ลิ่นเส้าเยวียนที่อยู่ข้างๆ แม้ว่าอยากจะขอร้องแทนฉู่เหวยก็ยังเอ่ยปากไม่ออก
เมื่อลิ่นจ้งซวินไม่ออกปาก ฉู่เหวยก็ยืดตัวตรงไม่ได้ บรรยากาศระหว่างกันดูจะแข็งค้างยาวนาน จนกระทั่งตู้เสี่ยวถงกระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ ถึงทำให้เจ้าตัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก “ไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว พยายามอย่าเสนอหน้ามาให้เปิ่นหวางเห็น”
เจ้าคนเขลา ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ ทระนงตนว่าเป็นคนใกล้ชิดของฝ่าบาทก็ริจะเทียบบารมีเขาหรืออย่างไร อย่าโง่ไปหน่อยเลย ไม่ดูบ้างว่าก่อนที่เขาจะสละราชบัลลังก์ได้ถอนรากถอนโคนกลุ่มก้อนต่างๆ ไปแล้วเท่าไรต่อเท่าไร มาวันนี้ยังริจะลักลอบสมคบคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย นอกจากจะต้องสบโอกาสสวรรค์ที่ประทานให้แล้ว ก็ยังต้องรอให้เขาอนุญาตด้วย
ฉู่เหวยก้มหน้าต่ำพลางจากไปพร้อมกับขุนนางที่เหลือ ลิ่นเส้าเยวียนเองก็พลอยหลุบตาลงไปด้วย เป็นเพราะอำนาจอันน่ากริ่งเกรงที่แผ่ซ่านออกมาจากกายลิ่นจ้งซวินราวกับขุมพลังหนักหน่วงที่มองไม่เห็น ทำเอาเขาอดก้มศีรษะไปด้วยไม่ได้
แล้วทันใดนั้นเอง เสียงเพียะก็ดังขึ้น เขาได้ยินลิ่นจ้งซวินสูดปากซี้ด จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงต่อว่าต่อขาน
“วางอำนาจบาตรใหญ่เสียจริง ท่านอ๋องเป็นกันแบบนี้งั้นหรือ”
“พี่เสี่ยวถง พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก เจ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่เขา…”
“ยังจะต่อปากต่อคำ!”
“…ที่นี่คือวังหลวง ดีๆ ชั่วๆ เจ้าก็ควรไว้หน้าข้าบ้าง”
เขาได้ยินคำตอบโต้ของพระปิตุลาที่เอ่ยลอดไรฟันออกมา ตอนที่เหลือบตามองด้วยความแปลกใจก็เห็นลิ่นจ้งซวินลากตัวตู้เสี่ยวถงไปยังด้านในอุทยานเสียแล้ว
“ฝูกงกง จะเป็นอะไรหรือไม่ ถ้าหากพระปิตุลาลงไม้ลงมือกับพระปิตุลานี...” หญิงสาวที่อ้อนแอ้นเช่นนั้นมีหรือจะทานทนกับพละกำลังของพระปิตุลาได้?
ฝูจื้อยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ถังจื่อเจิงก็หลุดหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ พี่หนึ่งตำลึงกับพี่เสี่ยวถงเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” ลิ่นเส้าเยวียนแปลกใจ
“ปกติแล้วท่านแม่ก็เป็นฝ่ายตีท่านพ่อประจำ ท่านพ่อไม่เคยตอบโต้เลยด้วย” ทังหรงทำสีหน้าอย่างคนที่เห็นจนชินตา
“อย่างนั้นหรือ” หญิงอ่อนหวานเฉกเช่นพระปิตุลานีน่ะหรือจะลงไม้ลงมือกับบุรุษ
“ถูกต้อง ท่านพ่อลากท่านแม่ไปก็เพราะอยากให้ท่านแม่ไว้หน้าเขาสักนิด” ทังเสี่ยนเอ่ยขึ้นขณะอุ้มลิ่นเสี่ยวเป่าที่กำลังหลับสนิทเอาไว้
“บ้านเราก็เป็นแบบนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย”
พอมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของถังจื่อเจิงและได้ยินเขาเอ่ยคำว่า ‘บ้านเรา’ ก็ชวนให้รู้สึกอิจฉาขึ้นมา แต่ว่า...
“จื่อเจิง พวกเขาเปลี่ยนคำเรียกขานกันหมดแล้ว เหตุใดถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เปลี่ยนอีกเล่า”
“เอ่อ…” ถังจื่อเจิงหัวเราะเฝื่อน “เรียกจนชินแล้ว จะให้เปลี่ยนก็ยากนะพ่ะย่ะค่ะ”
อายุของเขาไม่ห่างจากพี่เสี่ยวถงมากนัก ต่อให้เขาโหยหาความเป็นครอบครัวขนาดไหน แต่จะให้เรียกว่าท่านแม่ก็หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะให้เปลี่ยนคำเรียกจากพี่หนึ่งตำลึงเป็นท่านพ่ออีกด้วย
“ได้อย่างไรเล่า พี่ใหญ่ก็ต้องการท่านพ่อท่านแม่เหมือนกันนี่” ทังหรงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ไว้หน้ากันว่า “เมื่อก่อนพี่ใหญ่ร้องไห้ตอนกลางคืนบ่อยๆ”
“ปาท่องโก๋!” ถังจื่อเจิงตำหนิด้วยความขัดเขิน
ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ทังหรงคือผู้ที่เขารับมือยากที่สุด หากจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่รู้ประสีประสา แต่คำพูดเหล่านั้นกลับตรงตามความจริงทุกประการ เพียงแต่วาจาของฝ่ายนั้นมักจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เขาลำบากใจออกมาเสมอ
“ก็ข้าพูดความจริงนี่นา” ทังหรงถอนใจออกมา “อีกอย่าง...ข้าชื่อทังหรง เลิกเรียกข้าว่าปาท่องโก๋ได้แล้ว เรียกเสียจนข้าจะกลายเป็นปาท่องโก๋อยู่แล้ว”
“ทังหรง!” ทังเสี่ยนที่อุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้สะกดเสียงต่ำๆ แม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ก็มีทีท่าสุขุมราวกับผู้ใหญ่
“เจ้า!”
ถังจื่อเจิงอยากจะอุดปากทังหรงเพราะความอับอาย แต่เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะของลิ่นเส้าเยวียนดังขึ้นมา พอหันกลับไปดูก็เห็นอีกฝ่ายมองมายังพวกเขาสองคนด้วยสีหน้าอิจฉา
“หากพวกเจ้าอยู่ในวังได้จะดีไหนแค่นะ” ลิ่นเส้าเยวียนเอ่ยออกมาจากใจจริง
วังหลวงนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ทว่ากลับไม่มีใครเลยที่อายุใกล้เคียงพอจะเป็นสหายกับเขาได้ ซ้ำเขายังมีสถานะเป็นฮ่องเต้ เขาต้องรักษาสง่าราศีอันน่าเกรงขามอย่างฮ่องเต้เอาไว้ ไม่อาจเล่นสนุกกับคนรับใช้ในวังได้ตามอำเภอใจ
พี่น้อง...เขาปรารถนาที่จะมีมากเหลือเกิน
“ฝ่าบาท แม้ว่าพวกเราจะไม่อาจอยู่ข้างพระวรกายได้ตลอดเวลา แต่หลังจากนี้พวกเราก็จะเข้าวังมาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนพระองค์ จะได้เจอกันทุกวันอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ถังจื่อเจิงถูปลายจมูกพลางเอ่ยขึ้น รู้สึกว่าพอได้เจอหน้ากันอีกครั้งในวันนี้ ฝ่าบาทก็ดูแจ่มใสขึ้นมาก รอยยิ้มฉายอยู่ในดวงตาราวกับดวงดาราคู่นั้น ดูแล้วงดงามน่ามองยิ่งนัก
“แต่ถ้ามาเรียน ผู้ที่สอนก็คือไท่ฟู่” พอนึกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ลิ่นเส้าเยวียนก็อดรู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาไม่ได้
“คนผู้นั้น?”
“อันที่จริงไท่ฟู่เป็นคนดี เพียงแต่มีอคติต่อพระปิตุลานิดหน่อยเหมือนกับเจิ้นก็เท่านั้นเอง” ลิ่นเส้าเยวียนพยักหน้า นึกถึงเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ที่เมืองซูอิ่งก็ได้ยินไท่ฟู่บอกเล่าถึงความโหดเหี้ยมทารุณของพระปิตุลามาตลอด…บางทีเขาอาจเกิดอคติฝังรากลึกในใจมาตั้งแต่ครานั้นถึงได้รู้สึกหวาดหวั่นพระปิตุลามากมายถึงขั้นนี้
ทว่าเมื่อครู่ตอนที่เห็นพระปิตุลาปล่อยให้พระปิตุลานีทั้งทุบทั้งตี ไม่ว่าเรื่องใดก็ยอมตามใจนางไปเสียหมด เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายหาได้น่ากลัวถึงเพียงนั้นไม่
“เหตุใดพระปิตุลาถึงได้ดีกับพระปิตุลานีถึงเพียงนั้น” เขาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
พระปิตุลาน่ากริ่งเกรงถึงเพียงใดกัน ไฉนจึงยอมสยบอยู่ในเงื้อมมือของพระปิตุลานีได้
ความคิดของลิ่นเส้าเยวียนล่องลอยไปไกล แต่ถังจื่อเจิงกลับตามทัน “นั่นก็เพราะพวกเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างไรเล่า”
“ไม่ถูก เพราะท่านพ่อรักท่านแม่มาก หากไม่มีท่านแม่ก็อยู่ไม่ได้” ทังหรงเสนอความเห็นของตนอย่างตรงไปตรงมา
“ก็จริง” ถังจื่อเจิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“รัก?” รักใครสักคนนั้นมีรสชาติเช่นไรกันหนอ ลิ่นเส้าเยวียนจินตนาการไม่ออกเลยแม้แต่นิด ทั้งยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ว่า การยอมอดทนอดกลั้นเพื่อคนที่รักนั้นให้รสชาติความรู้สึกเช่นไร
“รัก ก็คืออยากอยู่กับใครสักคน ไม่ว่าทำอะไรก็จะคิดถึงเขา ก็เหมือนกับที่ข้ารักท่านพี่ของข้าอย่างไรเล่า” ทังหรงพูดพลางหันไปกอดทังเสี่ยนเอาไว้
ทังเสี่ยนปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าอยากรัดเสี่ยวเป่าให้ตายหรือไร” ลืมแล้วหรือว่าเสี่ยวเป่าหลับพิงไหล่เขาอยู่
ทังหรงยิ้มแยกเขี้ยว หลังจากคลายอ้อมแขนออกก็หันมาเอ่ยกับถังจื่อเจิงด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่ใหญ่ ข้าก็รักท่านเช่นกัน”
“…ขอบใจ” สีหน้าของถังจื่อเจิงแข็งทื่อ ก่อนจะถูแขนที่ขนลุกตั้งชันของตน เจ้าเด็กคนนี้พูดจาอะไรชวนให้ไปต่อไม่เป็นเสียจริง
พอเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของลิ่นเส้าเยวียน ทำให้เขาพลอยยิ้มมุมปากตามไปด้วย
แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง ต้องเปิดใจรับคนอื่นๆ เข้ามา หากเอาแต่หลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบแล้วมองผู้อื่นเป็นศัตรู แบบนั้นจะใช้ชีวิตอย่างไรกันเล่า
“ไปเถอะ พวกเราไปทางนั้นกัน อย่ารบกวนพระปิตุลาและพระปิตุลานีเลย” ลิ่นเส้าเยวียนหุบยิ้มไม่ลง ก่อนจะจูงมือถังจื่อเจิงเอาไว้
ดูเถิด นี่ละที่เรียกว่าพี่น้อง ครึกครื้นเสียจริง ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากมีพี่น้อง เขาไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงเพียงลำพัง
ความคิดเห็น |
---|