2

บทที่ 2


ตอน 2

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปตามที่ถังจื่อเจิงพูดไว้จริงๆ พิธีการยิบย่อยจุกจิกมากมายเต็มไปหมด เริ่มจากพิธีสักการะหอสักการะฟ้าทางทิศเหนือของพระราชวังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนกระทั่งกลับเข้าสู่พระอารามบรรพชนอีกครั้ง ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

ลิ่นเส้าเยวียนอดคิดไม่ได้ว่า ที่เสด็จพ่อเสด็จสวรรคตอาจมิใช่เพราะตระหนกเกินเหตุหรือทรงพระประชวร แต่น่าจะทรงเหนื่อยล้าจนสิ้นพระชนม์มากกว่า เดิมทีพระวรกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเขาเป็นพระโอรสเพียงแค่คนเดียวหรอก

จนกระทั่งลิ่นเส้าเยวียนเดินตามเสนาบดีกรมพิธีเข้าไปในตำหนักเจิ้นเทียนและปราดมองไปยังบัลลังก์มังกรในตำแหน่งอยู่สูงสุด รวมทั้งพระปิตุลาซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป ร่างกายของเขาก็สั่นเทาขึ้นมานิดๆ ทว่าเจ้าตัวก็นึกถึงคำพูดของถังจื่อเจิงขึ้นมาได้ เขาบังคับตนเองให้มองสบสายตาตรงพระปิตุลา ไม่หลบหน้าหลบตาอีก จนกระทั่งเหยียบย่างขึ้นสู่บันได พอห่างจากบัลลังก์ที่ประทับอีกเพียงแค่ก้าวเดียว เขาก็เห็นพระปิตุลาหัวเราะออกมา

ในรอยยิ้มจางๆ นั้นฉายแววชื่นชมอยู่ในที ทำให้รังสีอันน่าสะพรึงทั่วร่างสลายหายไปในพริบตา จากนั้นพระปิตุลาก็จูงมือของเขาแล้วนำไปนั่งที่บัลลังก์มังกร พระปิตุลายกมุมปากขึ้น

นิดๆ ก่อนที่เขาจะได้ยินบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ถวายความเคารพ

หลังจากนั้น สมองของเขาก็ว่างเปล่า ตนเองได้ทำพิธีอะไรไปบ้าง หรือเอ่ยวาจาใดออกไป หรือแม้แต่กลับมาเปลี่ยนฉลองพระองค์ที่ตำหนักก่วงฝูเมื่อใด เขาก็จำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

จู่ๆ ลิ่นเส้าเยวียนก็อยากบอกกับถังจื่อเจิงว่าทุกอย่างเป็นจริงดังเช่นคำกล่าวของเขา พระปิตุลาไม่ได้มองเขาเป็นอากาศธาตุที่ไร้ตัวตนอีกต่อไป แต่ถังจื่อเจิงกลับไม่อยู่ในห้องบรรทมเสียแล้ว

ใช่สิ ฝ่ายนั้นมาอยู่เป็นเพื่อนเขาเพียงคืนเดียวเท่านั้น

ลิ่นเส้าเยวียนมองห้องบรรทมอันกว้างใหญ่เดียวดาย ดวงตาของเขาหม่นแสงลงตอนล้มตัวลงบนที่นอน แม้ว่าแท่นบรรทมจะอุ่น แต่กลับเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป

เขาบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ถังจื่อเจิงเป็นลูกบุญธรรมของพระปิตุลา อีกไม่กี่วันก็ย่อมได้พบหน้ากันใหม่ ถึงตอนนั้นเขาจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายฟัง

 

ผ่านไปสามสี่วันก็เป็นดังที่ลิ่นเส้าเยวียนคาดเอาไว้ เขาได้พบกับถังจื่อเจิงอีกครั้ง รวมทั้งน้องๆ ของถังจื่อเจิงด้วย แน่นอนว่ายังมีพี่เสี่ยวถงที่เคยพูดถึงอีกคน

“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท” ตู้เสี่ยวถงย่อตัวถวายความเคารพ

ลิ่นเส้าเยวียนตะลึงงัน แทบไม่เชื่อว่าสตรีที่อ่อนช้อยงดงามถึงเพียงนี้จะกำราบพระปิตุลาเอาไว้ได้อยู่หมัด

“ฝ่าบาท” ฝูจื้อที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

ลิ่นเส้าเยวียนได้สติกลับมา ก่อนจะสบเข้ากับสายตาทะมึนที่เต็มไปด้วยคำเตือนของลิ่นจ้งซวิน ฮ่องเต้พระองค์น้อยชะงักไปนิด จากนั้นถึงได้เข้าใจว่าลิ่นจ้งซวินไม่ชอบให้ใครจ้องมองคนรักของตน เขาถึงได้เบนสายตาไปอีกทาง ก่อนจะเอ่ยว่า “พระปิตุลานีไม่ต้องมากพิธี”

วินาทีนั้นสายตาของฝูจื้อและลิ่นจ้งซวินก็สบกันกลางอากาศ ก่อนจะเข้าใจตรงกันโดยไร้คำพูด...ฮ่องเต้พระองค์น้อยทรงมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก ทั้งยังปากหวานอีกด้วย

พระปิตุลานี คำพูดนี้น่าฟังยิ่งนัก! เหมือนแทงเข้าเป้าที่อยู่กลางใจลิ่นจ้งซวิน สวรรค์รู้ดีว่าเขาอยากจะแต่งงานกับพี่เสี่ยวถงนานแล้ว ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็จิตใจตรงกัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบตกลง ทำเอาเขาจนปัญญาจะรับมือได้

ตู้เสี่ยวถงได้ยินเช่นนั้น จะปฏิเสธว่าตนเองมิใช่ภรรยาของลิ่นจ้งซวินก็ดูจะเป็นการไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเกินไป สุดท้ายเลยได้แต่เออออรับคำไป ก่อนตัดสินใจว่าพอกลับบ้านไปแล้วจะต้องเค้นคอถามลิ่นจ้งซวินให้รู้เรื่อง

“พระปิตุลา นานๆ จะพาพระปิตุลานีและลูกบุญธรรมเข้าวังมาสักที อยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับเถิด” ลิ่นเส้าเยวียนเป็นฝ่ายขอร้องเสียเอง อยากจะซื้อเวลาอีกนิดและได้สนทนากับถังจื่อเจิงอีกสักสองสามประโยค

คำก็พระปิตุลานี สองคำก็พระปิตุลานี คำเรียกนี้ทำเอาลิ่นจ้งซวินเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ถึงได้รู้สึกว่าหลานชายคนนี้ของตนไม่ดูขวางหูขวางตาอีกต่อไป เจ้าตัวเลยรีบเอ่ยเสริมด้วยความเต็มใจว่า “พี่เสี่ยวถง ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”

ดวงตาที่เอ่ยวาจาได้คู่นั้นของตู้เสี่ยวถงฉายรอยยิ้มเยือก ก่อนจะรับคำด้วยท่าทีอ่อนหวาน ทว่าเจ้าเด็กน้อยที่เหลือต่างก็รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาตอบรับนั้นเป็นอย่างดี แต่ละคนก้มหน้าพลางกลั้นหัวเราะ รู้ดีว่ากลับถึงบ้านเมื่อใด พี่หนึ่งตำลึงของพวกเขาต้องโดนลงโทษแน่

ลิ่นเส้าเยวียนสั่งให้นางกำนัลเตรียมสำรับมื้อเย็น ระหว่างรับประทานอาหาร เขามองถังจื่อเจิงคีบอาหารให้น้องๆ วุ่นวายเสียจนตัวเองลืมกิน ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายลงมือตักกับข้าวสองสามอย่างให้ฝ่ายนั้นแทน

ท่าทางง่ายๆ เช่นนี้ตกอยู่ในสายตาของฝูจื้อและลิ่นจ้งซวิน ทั้งคู่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ทว่าก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาอย่างรู้ๆ กัน

ระหว่างมื้ออาหาร ลิ่นเส้าเยวียนอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “พระปิตุลา เจิ้นมีเรื่องจะขอร้อง”

“ว่ามา”

อีกฝ่ายตอบรับออกมาง่ายๆ ลิ่นเส้าเยวียนไม่ได้สนใจท่าทางไร้ธรรมเนียมมารยาทของลิ่นจ้งซวิน เขารีบเอ่ยความคิดของตนออกไปทันที “เจิ้นคิดว่าบุตรชายพระปิตุลาน่าจะถึงวัยเข้าสำนักศึกษาแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นก็ส่งพวกเขาเข้าวังดีหรือไม่ หนึ่ง จะได้เป็นเพื่อนเรียนหนังสือกับเจิ้น สอง ไท่ฟู่จะได้ให้คำแนะนำสั่งสอนพวกเขาด้วย รับรองว่าย่อมดีกว่าเล่าเรียนในสำนักศึกษาแน่นอน”

เมื่อครู่เห็นพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวตนเองเลยแม้แต่นิด แต่ละคนพากันยิ้มกว้างให้เขา ทำให้ลิ่นเส้าเยวียนเกิดความคิดนี้ขึ้นมา

เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตลอด ไม่ว่าจะตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นบุตรของชิ่งอ๋อง หรือว่ากระทั่งบัดนี้ก็ตาม สิ่งที่เขาต้องการหาใช่คนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติพัดวีไม่ เขาต้องการคนที่เปรียบเสมือนพี่น้อง

ลิ่นจ้งซวินเลิกคิ้วพลางใคร่ครวญ ก่อนจะเหลือบมองไปยังตู้เสี่ยวถงที่อยู่ข้างๆ

พอสังเกตท่าทางของทั้งคู่ ลิ่นเส้าเยวียนก็รู้ทันทีว่าใครที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ เขารีบเอ่ยปากอ้อนวอนตู้เสี่ยวถง “ไม่รู้ว่าพระปิตุลานีคิดอย่างไรกับข้อเสนอนี้ของเจิ้น?”

ตู้เสี่ยวถงลำบากใจไม่น้อย แต่ฝ่าบาทตรัสออกมาเช่นนี้แล้ว นางจะขัดราชโองการด้วยการปฏิเสธว่าไม่ได้หรือไร หญิงสาวจำต้องตอบไปว่า “ฝ่าบาท ข้อเสนอนี้เหมาะที่สุดแล้วเพคะ”

ลิ่นเส้าเยวียนได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ใครจะคิดว่าตู้เสี่ยวถงกลับเอ่ยขึ้นอีกว่า...

“แต่ว่า…จะต้องกลับบ้านก่อนเที่ยงวัน ห้ามเกินเที่ยงนะเพคะ” นางใคร่ครวญดีแล้ว ถึงอย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นช่วงเว้นว่างจากการทำนา เด็กๆ ไม่อยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร อีกประการ...หากพวกเขาเข้าวังมาก็จะได้ช่วยกันจับตามองบุรุษข้างกายนางไม่ให้นิสัยเก่าๆ กำเริบขึ้นมาและก่อความวุ่นวายในราชสำนักเอาได้

“ได้ ตกลงตามนี้” วันๆ หนึ่งเขาต้องเรียนรู้หลายสิ่ง เกรงว่าจะเจียดเวลาได้แค่เพียงช่วงเช้าเช่นกัน กำหนดการเช่นนี้ก็นับว่าเหมาะสมดีทีเดียว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น