ตอนที่ 6 เชื่อมั่น
สร้อยคำตั้งสติ แต่หัวใจเต้นโครมครามยิ่งกว่ากลองรบ
หมีใหญ่เหวี่ยงมือตะปบ เธอกระโดดหนีจนมือมันไปโดนโขดหิน ตั้งหลักได้ เธอก็กำหมัดแน่นแต่ดูเชิงแล้วคงสู้ไม่ไหว จึงพยายามนิ่งหวังให้มันสงบ
ด้วยความเป็นห่วง พันแสงกระโดดลงมาจากต้นไม้ เจอก้อนหินจึงหยิบขว้างไปยังกลางหลังเพื่อดึงดูดความสนใจ สัตว์ร้ายหันมา แล้วกระโจนเข้าหา เขากระโดดถีบเข้ากลางหน้าอกจนมันเซถลา โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแถมตะโกนขู่ดังลั่น
“โฮก!”
นกกาแตกกระเจิง พันแสงชักหวั่นใจ มีแค่มือเปล่าจะล้มหมียักษ์ตัวนี้ได้อย่างไร เหลือบมองไปยังย่ามที่มีดาบของตน แต่กลับพบว่ามันหายไป พร้อมกับนางเสือผี...
ตกใจ...แต่ก็ยังรีบตั้งสติสู้หมีก่อน นึกถึงคำที่พ่อเฒ่าจันทร์เคยพร่ำสอนว่า สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้ ได้เห็นแจ้งก็วันนี้แล...
หมีดำดวงตาแดงก่ำ มันตะกุยพื้นดิน จมูกดมกลิ่นฟุตฟิต รอจังหวะเหยื่อเผลอ ก็ยืนสองขาพุ่งเข้าหาอีกครั้ง
ชายหนุ่มตีลังกาหลบมาทางขวา พยายามหาอาวุธ เป็นกิ่งไม้สักอันก็ยังดี พลันก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่หลังพุ่มไม้
นางเสือผี…
สร้อยคำลุกขึ้นพร้อมกับดาบในมือ ก่อนจะตะโกนบอกเขา
“รับไว้!”
ต่างคนต่างเข้าใจ พันแสงกระโดดรับ ตีลังกาม้วนตัวลงพื้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหมีร้าย
“เข้ามาเลย ข้าจะฟันคอสู” พันแสงชักดาบออกมา มันเริ่มถอยฉากเพราะเห็นว่ามนุษย์ตัวน้อยมีอาวุธแล้ว
“ข้าบ่ได้มาบุกรุกถิ่นสู ต่างคนต่างอยู่ ไป๊!” เขาตะโกนก้อง จนยอดไม้สักสูงยังแกว่งไหว
หมียักษ์ก้มลงตัวลงเดินสี่ขา แววตาแข็งกร้าวหดหาย มันเดินวนไปมาสักพักก็หายเข้าไปในดง สร้อยคำมองภาพตรงหน้าและได้แต่ตะลึง
ป้อจายคนนี้ ไล่หมีด้วยมือเปล่า...
พันแสงทิ้งตัวลงนั่ง ปาดเหงื่อที่ผุดพราว แม้จะไม่มีการฆ่าฟัน แต่การไล่หมียักษ์ก็ใช้แรงไปเยอะเหมือนกัน
นางเสือโผล่ตัวออกมาจากพุ่มไม้
“ข้านึกว่าสูจะหนีไปเสียแล้ว สร้อยคำ”
นางไม่ตอบ แต่ยื่นถุงย่ามคืนให้ พันแสงรับมาและสำรวจดูด้านใน ทุกอย่างยังอยู่ครบ
สร้อยคำเดินไปที่ลำธาร ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ที่มีน้ำเย็นชื่น พันแสงมองอย่างแปลกใจ
“กินน้ำเหียก่อน” นางเสือยื่นให้และยิ้มหวาน จนคนมองต้องหลบตา
“น้ำมียาพิษก่อบ่ฮู้ คนอย่างสูข้าบ่ไว้ใจ”
สร้อยคำยิ้มกว้างกว่าเดิม ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้อันตราย เขาพร้อมจะปกป้องเธอจริงๆ
“ถ้าข้าหนี คงหนีตั้งแต่ได้ถือถุงดาบของท่านแล้ว กินน้ำเหียเต๊อะ” เธอยื่นมือค้างไว้ ชายหนุ่มเริ่มใจอ่อน รับมันมา แต่ก็ยังดมฟุตฟิต พิสูจน์กลิ่น
“ข้าจะไปเอายาพิษมาจากไหน” สร้อยคำเอ่ย
“ข้าจะไว้ใจสูได้จะได สูเคยจะฆ่าข้า” รอยเล็บที่เธอฝากไว้ ยังไม่หายดีด้วยซ้ำ แถมพอเข้ามาในป่าก็ทำตัวแปลกๆ
สร้อยคำถอนหายใจ “ข้าขอสูมาตวย ตอนเป็นเสือ ข้าบ่รู้ตัวแต้ๆ”
เห็นเธอเสียงเบา พันแสงจึงยกกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
สร้อยคำชำเลืองมองแผลที่ต้นแขนของเขา “นั่นคือแผลที่ข้าทำกับท่านแม่นก่อ”
พันแสงพยักหน้า สร้อยคำลุกขึ้นและหายไปป่าชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับใบหญ้าจำนวนหนึ่ง เธอตำๆ โขลกๆ กับโขดหินและเดินมาหาพันแสงอีกครั้ง
“ขอข้าดูหน่อยเต๊อะ”
“อะหยัง”
“แผลของท่าน” สร้อยคำไม่รีรอ คว้าแขนแกร่งของเขามามองใกล้ๆ
“ต้องพอกหญ้าแมงวาย[1]” เธอบอก และพยายามจะแกะผ้าพันแผล พันแสงขัดขืน
“หญ้าแมงวายช่วยห้ามเลือด หื้อแผลหาย ในเมื่อข้าทำหื้อท่านเจ็บ ข้าก่อต้องรับผิดชอบ” คำเอ่ยของนางเสือผี ทำให้ชายหนุ่มกลับโอนอ่อน ปล่อยให้เธอแกะผ้านั้นออก
สร้อยคำตั้งใจพอกใบยาลงบนแผล แววตาคู่สวยดูมุ่งมั่น ไม่เหมือนสัตว์ร้ายเลยสักนิด ระยะห่างจากใบหน้ากับต้นแขนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แตะบนผิวหนังของชายหนุ่ม
จู่ๆ เขาก็ชาไปทั้งตัว รู้สึกอึดอัดเหมือนจมอยู่ในน้ำ หากแต่เป็นน้ำผึ้งรสหวาน
“ท่านเจ็บกา” หญิงสาวสังเกตถึงความผิดปกติ
“เอ่อ...คือ ข้าก็เจ็บนิดหน่อย” บอกปัด ทั้งๆ ที่ก็อธิบายความรู้สึกไม่ได้
“เรียบร้อยแล้ว” นางเสือส่งยิ้มฟันขาว
“ยินดีเน้อ” เขาขอบคุณ แล้วลุกขึ้นไปล้างหน้าที่ลำธาร เมื่อกลับมาที่เดิมก็เห็นว่า สร้อยคำยื่นเชือกเถาวัลย์ให้เขา “อะหยัง” หนุ่มหล่อขมวดคิ้ว
“ถ้าตะวันตกดิน สิ่งที่ท่านต้องทำคือ...มัดข้าไว้”
“มัดไว้” เขาทวนคำ
เธอพยักหน้า “แม่นแล้ว เพราะหากสิ้นแสงตะวันเมื่อใด ข้าจะกลายเป็นเสือ และเมื่อนั่น ท่านอาจจะได้รับอันตราย เพราะข้าเป็นเสือทุกคืน” สร้อยคำยื่นเชือกไว้เช่นนั้น ชายหนุ่มรับมาแต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยคำถาม
หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะแกะมวยผมออกมาสยายเพื่อรวบมัดเสียใหม่ให้เรียบร้อย
“อย่างที่ตุ๊เจ้าเปิ้นบอก ข้ามาจากเมืองที่ถูกสาป ชื่อว่าเมืองสาปเสือ”
“เมืองสาปเสือ”
“เจ้า ชาวเมืองจะกลายเป็นเสือเมื่อตะวันตกดิน”
พันแสงขยับตัวเพื่อตั้งใจฟัง
“สิ่งที่คุมจิตใจของหมู่เฮา คืออำนาจด้านมืดที่เจ้าเขี้ยวแก้วสาปมันขึ้นมา”
“เขาเป็นใคร” พันแสงถามต่อ
“เจ้าเขี้ยวแก้ว เป็นยักษ์ร้าย ครองเมืองงุ้มฟ้าในป่าสวรรค์ เมืองสาปเสือเป็นดั่งเมืองขึ้นของเมืองงุ้มฟ้ามาเมินนาน ทุกคืนเดือนดับ เจ้าเขี้ยวแก้วและเหล่าสมุนจะนั่งรถม้าเหาะมา เฮาต้องหาอาหารและเครื่องบรรณาการไว้หื้อ เจ้าเขี้ยวแก้วและเหล่ายักษ์นั้นแสนตะกละ เมืองสาปเสือต้องหาอาหารมาหื้อพอ ถ้าบ่อั้น หมู่มันก่อจับคนในเมืองมากินแทน” สร้อยคำมองไปยังยอดดอยที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
“เฮาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อหาของกิน แต่พอสัตว์ป่ารอบๆ ใกล้หมด หมู่ข้าจึงลองข้ามเขตบุกมายังนอกป่าสวรรค์ จนมาเจอบ้านดงหลวง” สร้อยคำเองเป็นคนต้นคิด ให้ลองหาเหยื่อจากหมู่บ้านไกลๆ นอกป่าสวรรค์
“แล้วแม่ญิง สูเขาเอาไปยะหยัง”
สร้อยคำเงียบ จนพันแสงหงุดหงิด
“สร้อยคำ เลือกที่จะเชื่อใจกันแล้ว ก่อบอกมาหื้อหมดเต๊อะ ข้าบ่เยียะอะหยังสูหรอก ข้าแค่อยากจะช่วยคนบ้านดงหลวง และช่วยคนเมืองสาปเสือของสูตวย”
สักพักสร้อยคำก็ยอมปริปาก “นอกจากหาอาหารหื้อ ชาวเมืองยังต้องจัดพิธีส่งนางทิพย์ นั่นคือการเอาแม่ญิงที่จับได้ ไปหื้อเจ้าเขี้ยวแก้วเลือก หากมันพอใจมันก่อจะเอาไปรับใช้ที่เมืองงุ้มฟ้า แต่หากมันบ่พอใจ มันก่อจะกินเลือดของสาวพรหมจรรย์”
พันแสงเม้มริมฝีปาก เจ้าเขี้ยวแก้วจะกลับมาในคืนเดือนดับ นั่นหมายความว่า เขามีเวลาแค่สิบห้าวันเพื่อช่วยชีวิตคนที่ถูกจับตัวไป
“เฮาต้องรีบตวยขบวนไปหื้อทัน”
“เฮาตวยบ่ทันหรอกอ้าย ขบวนล้อเกวียนที่ขนเสบียงและเชลย มีฤทธิ์เดชของเจ้าเขี้ยวแก้ว พวกมันล่นเวยกว่าพายุลมหลวง แค่วันเดียวก่อถึงเมืองสาปเสือแล้ว”
ชายหนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามดวงหน้างาม “แล้วยะหยังหมู่สูถึงบ่ลุกขึ้นสู้กับเจ้าเขี้ยวแก้ว”
นางเสือดูกังวล “บ่มีอะหยังฆ่ามันได้ ชาวบ้านตกแลงก่อต้องกลายเป็นเสือ ใครก่อตามที่คิดต่อต้าน ก่อจะโดนสมุนของมันฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม”
“ถ้าจะอั้น เฮาต้องทำหื้อคำสาปเสือนี้หายไปเหียก่อน”
“พวกข้าบ่มีทางเลือกอ้ายพันแสง” สร้อยคำเสียงสั่น “ที่พวกข้าต้องทำไป ก็เพื่อปกป้องทุกคนในหมู่บ้าน เพราะหากบ่มีอาหารและแม่ญิง ก่อต้องเอาคนในหมู่บ้านไปแทน”
“ข้าจะช่วยสูเน้อ สร้อยคำ เฮาจะไปหาแม่เฒ่าชาวลัวะตวยกัน”
“มันจะทันเวลาก่อ” หญิงสาวหวั่นไหว
พันแสงคว้าถุงย่ามออกมา และหยิบบางอย่างให้
“ข้าฮู้ว่าสูก่อพอมีเชิงมวย เชิงดาบ มีดน้อยนี้ สูเอาไว้ป้องกันตัวยามเป็นคน และถ้าคืนเดือนดับมาถึง แล้วเฮายังฆ่าเจ้าเขี้ยวแก้วบ่ได้ หื้อสูเอามีดนี้แทงข้าเสีย แล้วคาบเอาศพข้าไปเป็นอาหารของเจ้าเขี้ยวแก้ว คนในเมืองจะได้บ่โทษสู” คำพูดนั้นดั่งคำสัญญาของชายหนุ่ม
หญิงสาวซาบซึ้งใจ “ยินดีจ๊าดนักเน้อ อ้ายพันแสง”
ชายหนุ่มสะพายย่ามและชวนเธอออกเดินทางต่อ สร้อยคำคงไม่รู้ว่าระหว่างที่เดินตามหลัง ชายหนุ่มแอบยิ้มลำพัง
ใต้ร่มไม้ใหญ่ แดดส่องลอดกิ่งก้านจนเห็นแผ่นดินลาย ครรชิตเดินควบม้านำหน้าขบวน ตามมาด้วยผู้ใหญ่ทอง กลุ่มลูกหาบและเพื่อนชายของยุวดี ส่วนทหารหนุ่มสี่คนคอยระวังภัยให้ด้านหลัง
อากาศร้อนอับ แถมยังต้องเดินขึ้นเขาลงห้วย เมื่อเห็นว่าพอมีร่มเงา ครรชิตจึงสั่งให้ทุกคนหยุดพัก เพราะเห็นแต่ละคนเริ่มเหนื่อย
“เหนื่อยไหมครับนายอำเภอ” ทองเข้ามาประกบข้างเพื่อถามไถ่
“ยังได้อยู่ ตอนหนุ่มๆ ก็เคยเดินป่าแถบเมืองกาญฯ อยู่บ้าง “เออ นี่ทอง พรานนกนี่ไว้ใจได้แค่ไหน”
ครรชิตหมายถึงชายชราตัวเล็กรูปร่างผอม ผมเผ้ารุงรัง เขาควบม้าอีกตัวและไม่ได้อยู่ในขบวน เพราะต้องล่วงหน้าไปสำรวจพื้นที่ก่อน
“พรานนกเป็นผู้รู้เรื่องป่าที่สุดในหมู่บ้านดงหลวงแล้วครับ อายุอานามก็เกือบจะเจ็ดสิบแล้ว คนบ้านดงหลวงหากอยากรู้อะไรเกี่ยวกับป่า ต้องถามแกทุกครั้ง” มันจึงเป็นเหตุผลที่การเดินทางขาดชายชราคนนี้ไม่ได้
“พรานนกเคยเดินป่า ว่ากันว่าเคยเข้าไปถึงเขตป่าสวรรค์ เจอทั้งช้างน้ำ กินรี ผีป่า เก่งทั้งดาบ ทั้งมวย เขาจะช่วยให้เราตามหาคุณยุวดีและบัวชุมได้”
นายอำเภอแลตามองพรานเฒ่าที่หยุดรอพวกเขาที่เนินดิน แม้จะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ทองพูดมาเท่าไหร่ แต่เวลานี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่าเราจะนำเราไปทางไหน”
“เมืองที่หลวงปู่บอก เมืองสาปเสือครับ”
นายอำเภอชะงัก
“มันอยู่ที่ไหน เขตพม่า หรือไทย” มีเสียงแทรกกลางจากผู้หมวดหนุ่มไฟแรง
“เห็นพรานนกบอกว่า มันอยู่ในป่าสวรรค์ หมวดเคยได้ยินหรือเปล่า” ทองถามกลับ
ผู้หมวดหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด “ไม่เคยครับ แต่ถ้าให้ผมเดา มันน่าจะอยู่ในป่าลึกแนวๆ ตะเข็บชายแดน” เขาตอบ
เมื่อต่างคนต่างไม่รู้พิกัด นายอำเภอจึงให้ผู้หมวดกางแผนที่และเรียกพรานนกให้มาอธิบาย
“ข้าบอกบ่ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน ป่าแถบนี้มันพรางตาไว้ เฮาต้องเจอถ้ำและเดินเข้าไป ป่าสวรรค์มันหาทางเข้ายาก ออกมาซ้ำยากกว่า” ชายชราบอก
หนุ่มในเครื่องแบบแลตามองอย่างไม่พอใจ “ป่าสวรรค์บ้าบออะไร ที่แถบนี้มันก็อยู่แถบบ้านดงหลวง เลยไปก็เข้าเขตพม่าแล้ว”
พรานนกยังสีหน้าเรียบเฉย “สูบ่ได้ใหญ่มากับป่า บ่ฮู้หรอกว่าบ้านดงหลวง ใกล้ป่าสวรรค์ เสือผีหมู่นั้นมันเข้ามาได้ เพราะอาคมที่บังหมู่บ้านไว้เริ่มเสื่อม”
ภาคภูมิถอนหายใจ “แล้วเสือมันจะพาผู้หญิงกลับไปทำไมละครับลุงพราน อย่าบอกนะว่าเอาไปทำเมีย”
“พอแล้วน่าหมวดภูมิ ผมขอให้คุณแค่ช่วยคุ้มครองเราเท่านั้น” คำสั่งจากนายอำเภอทำให้นายทหารไม่มีทางเลือกจึงเดินเลี่ยงไปยังกลุ่มลูกน้อง
“กูว่าไปกันใหญ่ ตอนนี้นายอำเภอเชื่อแต่ไอ้พรานเฒ่า บอกว่าจะไปเมืองเสือเหี้ยอะไรไม่รู้”
“ใจเย็นๆ น่าหมวด ก็ถือว่าเราได้มาผจญภัยแบบในหนังอินเดียน่าโจนส์ไง วันดีคืนดีเกิดมีเมืองนั้นจริง เราไปเจอถ้ำสมบัตินี่รวยเลยนะ”
คำพูดของนายสิบสมชายทำให้ภาคภูมิหัวเราะดัง จนสองหนุ่มเมืองกรุงที่นั่งดื่มน้ำอยู่ต้องหันไปมอง
“กูว่าไอ้พวกทหารนี่กวนตีนนะ ตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้านละที่มองเราแปลกๆ คงคิดว่าเราคงเดินป่าไม่ได้” ‘พงษ์ธาดา’ เอ่ย ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อที่ผุดพราว
“ก็คงตามประสาทหาร ไอ้พงษ์ถ้าไม่ไหวก็กลับไปก่อนก็ได้นะ” นิรุตเกรงใจเพื่อนอยู่ครามครันที่ต้องตกกระไดพลอยโจรมาตามหาแฟนตัวเองถึงในป่า
“เฮ้ย! กูก็บ่นไปเรื่องเปื่อย” พงษ์ธาดารีบยกมือห้าม “ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะปล่อยให้มึงไปคนเดียวได้ไงวะ”
“ขอบใจเว้ย” นิรุตตบบ่าเพื่อน นึกเสียใจเหมือนกัน ที่ปล่อยให้ยุวดีต้องโกรธ เรื่องมันเลยบานปลาย
สามเดือนก่อน เขาและยุวดี นัดหมายกันมั่นเหมาะว่าจะเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่พร้อมกับเพื่อนสนิท ทุกอย่างเตรียมพร้อม ทว่าเมื่อใกล้วันเดินทาง นิรุตดันติดภารกิจ เพราะมารดาวัยชราเกิดอุบัติเหตุตกบันไดบ้านจนขาหัก เขาในฐานะลูกคนเล็กต้องคอยดูแล
‘โธ่ ยุวดี เข้าใจผมหน่อยสิครับ ผมต้องไปส่งคุณแม่ไปโรงพยาบาลวันนั้นพอดี แล้วผมจะตามไปอีกวันนะ’ หญิงสาวหน้าตึง แววตาแข็งกร้าว ‘ถ้าอย่างงั้นก็อย่าไปเลยค่ะรุต เดี๋ยวฉันกับเพื่อนเที่ยวกันเองก็ได้ โดยไม่ต้องมีคุณ’ เธอย้ำประโยคหลังช้าๆ ให้รู้ว่าไม่พอใจ
‘อย่าทำให้ผมลำบากใจสิที่รัก ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ นี่เคราะห์ยังดีนะที่แม่ผมไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ต้องให้หมอตรวจดูอาการเสียหน่อย’
‘ก็ฉันบอกแล้วนี่คะว่าตามใจคุณ เชิญดูแลแม่ไปเถอะ ฉันกับยายหน่อยและยายแจง ไปกันเองก็ได้’ ยุวดีเสียงห้วนและเชิดหน้า
แฟนสาวไม่พอใจ...แต่จะเอาน้ำน้อยไปดับไฟแรงก็คงไม่เป็นผล ชายหนุ่มจึงปล่อยให้ยุวดีและเพื่อน เดินทางมาเชียงใหม่ พร้อมฝากให้พงษ์ธาดาเพื่อนเก่าซึ่งเป็นเจ้าถิ่นให้ไปช่วยดูแลสาวๆ
สะสางธุระเสร็จ นิรุตก็รีบตามมา แต่ก็พบกับข่าวที่ไม่สู้ดี ยุวดีหายตัวไปโดยไม่มีใครรู้ นิดหน่อยบอกกับเขาว่าแฟนสาวหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืด
‘แล้วพวกคุณลองไปตามหาที่ไหนแล้วบ้าง’ พงษ์ธาดาถาม
‘เจ้าหน้าที่ของโรงแรมบอกว่า เธอออกไปแต่เช้า แต่ไม่รู้ว่าไปไหน แต่ฉันว่าคงเรียกร้องความสนใจเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ’
นิรุตเข้าใจว่าบางทีแฟนสาวคงงอนและอยากให้เขาตามง้อเหมือนอย่างที่เคยทำบ่อยๆ ยุวดีเคยบอกว่าเธอมีพ่อแท้ๆ อยู่ที่อำเภอแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ บางทีเธออาจจะไปที่นั่น
ชายหนุ่มจึงชวนพงษ์ธาดาให้เดินทางมาเป็นเพื่อน โดยขอยืมรถกระบะคันเก่าจากญาติที่อยู่ในเมือง มุ่งหน้าสู่อำเภอเป้าหมาย เมื่อมาถึงก็พบว่า ยุวดีและบิดาเดินทางไปบ้านดงหลวงซึ่งอยู่ไกลไปอีก
‘ก็คงงอนมึงแหละ คงอยากให้ตามไปง้อ กูก็ไม่เข้าใจพวกผู้หญิงนักว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่’ พงษ์ธาดาส่ายหัว
‘กูต้องตามเธอไปว่ะ มึงจะรอที่นี่หรือจะกลับไปก่อนก็ได้นะ’
‘จะทิ้งกันได้ไงวะ’
เมื่อเพื่อนรักยืนยัน นิรุตซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนเก่า ทั้งสองจึงบุกป่าฝ่าดงมาด้วยกัน แม้ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม
นายอำเภอครรชิตหยิบบุหรี่ฝรั่งออกมาสูบ พร้อมกับยื่นซองให้ผู้ใหญ่บ้านและพรานนกที่เดินเข้ามารายงานความคืบหน้า พวกเขารับมันมาอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคยลองของแพง
“เจออะไรบ้างนายพราน” ถามพร้อมกับมองดูควันจากปาก ลอยขึ้นไปเหนือหัว
“เจอรอยเท้าเสือจำนวนนัก มุ่งตรงไปที่ถ้ำ บางทีพวกมันอาจจะพาชาวบ้านไปอยู่ที่นั่น”
ทองขมวดคิ้ว “เฮาเดินทางได้บ่ถึงผากเข้าตอน จะเจอหมู่มันแล้วกา”
“ข้าแค่บอกว่าอาจจะ ถ้ำนั้นเป็นถ้ำบ่ลึก บ่แม่นทางเข้าถ้ำป่าสวรรค์”
ผู้ใหญ่พยักหน้าก่อนจะถามต่อ “พรานนกแล้วสูเคยไปเมืองสาปเสือก่อ”
พรานนกอัดบุหรี่ของแพงเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นออกมาเป็นสาย “เคยไป”
“แน่ใจนะ” นายอำเภอหันมามองหน้าอย่างไม่เชื่อไหร่
“ตอนละอ่อน ข้าหลงทางไปกับป้อ จำได้ว่ามันต้องทะลุถ้ำ ข้าหันช้างน้ำ นาคเขียว กระทั่งเจอชาวป่า พวกเขาบอกว่า เดินไปแหมซักหน่อยจะเจอเมืองที่คนกลายเป็นเสือตอนกลางคืน พอได้ฟังตุ๊ปู่เล่า ข้ามั่นใจว่าเสือทั้งหมดมาจากเมืองนั้น”
ฟังอย่างนี้คนที่ลูกสาวหายก็แสนร้อนใจ
“ถ้างั้น ฉันว่ารีบเดินทางต่อเถอะ จะคนหรือผี เข้ามา กูจะยิงมันให้แหลกกันไปข้าง” นายอำเภอสั่งการ
หนทางเข้าดงดอยสุดแสนลำบาก แต่น่าแปลกที่ขบวนม้าก็ยังไปได้อย่างรวดเร็ว บางช่วงผ่านแม่น้ำลึกเกือบหน้าอก เกวียนม้าก็ลอยเหมือนเรือ แต่บางช่วงมีแต่โขดหินมันก็ไต่ขึ้นเนินได้อย่างอัศจรรย์
ยุวดีนั่งตัวสั่น ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยรอยน้ำตา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง คนเหล่านี้เป็นใคร และกำลังจะพาเธอไปที่ไหน ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม มองหน้าหญิงสาวคนอื่นๆ ก็มีไม่ต่างกัน
“คุณยุวดี เป็นอะหยังก่อ” บัวชุมถามเมื่อเห็นสาวกรุงเงียบ และลูกสาวผู้ใหญ่บ้านน่าจะเป็นคนเดียวที่ยังคุมสติได้ดี
“ฉันกลัว...” เสียงเบาแหบพร่า เนื่องจากเกรงว่าคนด้านนอกจะได้ยิน “พวกมันจะพาเราไปที่ไหน ฉันอยากกลับ...” พูดต่อไม่ได้ เพราะความกลัวจุกเข้าที่อก น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลมาอาบแก้มอีกครั้ง หมดท่าสาวบางกอกผู้จองหอง
บ้าที่สุด ทำไมเธอต้องมาเจออะไรแบบนี้ เพราะอยากประชดนิรุตแท้ๆ ใครจะรู้ว่าบนผืนแผ่นดินไทยที่ว่าเจริญแล้ว ยังมีเรื่องประหลาด เธอหิวน้ำ เธอเพลีย และเธอก็อยากจะกลับไปนอนที่นอนนุ่มๆ ที่โรงแรม ป่านนี้ยายนิดหน่อยและจุ๊บแจงคงเดินถ่ายรูปว่อนแถวริมน้ำปิงเป็นแน่
“กรี๊ด!” ที่สุดยุวดีก็สติแตกอีกครั้ง เสียงกรีดร้องทำให้คนคุมขบวนต้องสั่งขบวนทั้งหมดให้หยุด
“คุณยุวดี ใจดีๆ ไว้” บัวชุมเขย่าร่างให้เธอหยุดส่งเสียง
“ฮือๆ” สาวกรุงร่ำไห้ตัวสั่น
“แม่ญิงคนนี้แหมแล้ว มึงจะหุยยะหยังล้ำเหลือ ฆ่าขว้างเหียดีก้า” นักรบหนุ่มสีหน้าขึงขังไม่สบอารมณ์ที่ขบวนเดินทางต้องหยุดชะงัก
“คือ...หมู่เฮาหิวน้ำ และก่อคะเยี่ยวตวย” บัวชุมรีบแก้สถานการณ์
“อยากกินน้ำ ก่อกินเยี่ยวตั๋วเก่าฮั้นก่า” ชายหนุ่มตะคอก
“หยุดขบวนก่อนก็ได้หล้าวงศ์” สตรีที่ควบม้าเข้ามาหาเอ่ยแทรก
“เฮาหยุด ขบวนก่อช้า จะถึงเมืองก่อค่ำ เฮากลายเป็นเสือมันจะลำบาก” นักรบหน้าดุแย้ง
“ข้าว่ายังทัน เกวียนม้าของเฮาวิ่งเวยบ่รู้กี่เท่า” ปิ่นฟ้าให้เหตุผล
หล้าวงศ์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปสั่งขบวนให้หยุดพัก หาน้ำให้เชลยและคุมตัวมันไปทำธุระส่วนตัวในป่า
“อย่าตุกติกเน้อมึง” เขาชี้หน้าบัวชุมที่กำลังประคองยุวดีลงจากเกวียน
“อย่างใดเสีย เฮาก่อถึงเมืองสาปเสือตอนแลงนี้อยู่ดี” ปิ่นฟ้าย้ำ
“หรือว่าแต้ๆ สูกำลังถ่วงเวลา เพื่อรอสร้อยคำ” ชายหนุ่มเอ่ยตรงและควบม้าไปทางอื่นเสีย
“ใครจะไปคิดจะอั้น ข้าก่ออยากจะกลับเมืองสาปเสือหื้อเวยๆ เหมือนกัน” เธอเถียง ดวงอินจึงเดินเข้ามาใกล้
“หล้าวงศ์คงกลัวว่าคนที่หมู่บ้านนั้น จะตวยมาทัน” คนแก่กว่าปลอบใจปิ่นฟ้า พวกเธอรู้ดีว่าชายอายุน้อยสุด มีนิสัยมุทะลุขี้โมโห
“ข้าเข้าใจ แต่เดินทางมาไกลขนาดนี้ ตวยบ่ทันแล้วล่ะ” ปิ่นฟ้าลงจากม้าเพื่อหาน้ำดื่ม สำรวจความเรียบร้อยของขบวน พอสร้อยคำไม่อยู่ พวกเธอที่เหลือก็ต้องช่วยกันคุมขบวน
นึกถึงตั้งแต่จำความได้ เธอและลูกพี่ลูกน้อง ตัดสินใจสมัครเป็นหน่วยล่าเสบียงให้กับเจ้าเขี้ยวแก้ว เพราะอยากปกป้องครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมืองสาปเสือ
ทุกๆ ปี เจ้าหลวงต้องคัดเลือกหนุ่มสาว เพื่อนำมาฝึกวิชาเป็นหน่วยล่าเสบียง หลายๆ คนอยากทำหน้าที่นี้ เพราะขึ้นชื่อว่าได้อยู่ในคุ้มชีวิตก็สบายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ต้องแลกกับความอดทนและความจงรักภัคดีต่อเจ้าเขี้ยวแก้ว
ในเขตรั้วคุ้มแสนสบาย ไม่ต้องกลายร่างเป็นเสือยามค่ำคืน ปิ่นฟ้าได้มาเจอกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้แก่สร้อยคำที่แก่ที่สุด ดวงอิน และหล้าวงศ์ ทั้งสี่ยอมทุ่มเทฝึกปรือฝีมือ จนได้เป็นหนึ่งในกองทัพล่าหาเสบียง บุกหาอาหารและเชลยมาแล้วหลายถิ่น เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า หากเจ้าเขี้ยวแก้วกินอิ่ม นอนหลับ ก็ไม่มีทางที่จะเอาคนในเมืองสาปเสือไปเป็นอาหาร
สัญชาตญาณของนักล่า ถ้าอิ่มก็ไม่ระรานใคร...
ปิ่นฟ้าหันไปมองเสบียงอาหารที่ขโมยมาได้ คงพอให้เจ้าเขี้ยวแก้วกินได้อีกเป็นเดือน รวมทั้งผู้หญิงที่จับมาก็ช่วยปรนเปรอกามมันได้สักระยะ หลังคืนเดือนดับ พวกเธอก็คงต้องเสี่ยงชีวิตบุกหมู่บ้านอื่นต่อ
“คนเฮาตายไปกี่คนนะ” เธอถามดวงอินอีกครั้ง
“ตายไปห้าคน เฮาเก็บศพหมู่เขาไว้ล้อเกวียนหลังสุด แต่ร่างสร้อยคำเฮาหาศพบ่เจอ ยังพอมีความหวังว่านางอาจจะยังบ่ตาย”
ปิ่นฟ้าเงียบ พูดอะไรไม่ออก การล่าเสบียงครั้งนี้น่าจะเป็นการสูญเสียที่มากที่สุด แต่ในเมื่อในป่าละแวกเมืองไม่มีสัตว์ให้ล่า ไม่มีผู้หญิงให้จับ ก็ต้องหาที่ใหม่ที่อันตรายขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งนี้ลองบุกไกลถึงนอกเขตป่าสวรรค์ กลับเจอหมู่บ้านที่พรางตัวซ่อนอยู่ พอตะวันลับ ก็แปลงร่างเป็นเสือบุกเข้าหมู่บ้าน ให้สัญชาตญาณไล่ล่าสิ่งที่ต้องการกลับมาเพื่อเจ้าเขี้ยวแก้ว
พวกเธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้วยจิตด้านมืด มันถูกคำสาปของเจ้าเขี้ยวแก้ว และเมื่อรุ่งสางทั้งหมดจึงพบว่าการเดินทางครั้งนี้มี พวกเขาสูญเสียมากมายกว่าที่คิด พี่สาวคนโตอย่างสร้อยคำที่มีความสุขุมรอบคอบ กลับหายตัวไป
“ทำไมคนบ้านดงหลวงถึงได้มีอาวุธร้ายแรง ข้าบ่เคยหัน” ปิ่นฟ้าเอ่ย เมืองนี้มีอาวุธร้ายแรง คนตายมีแผลเป็นรูทะลุร่าง
“ต่อไป เฮาต้องระวังหื้อนักกว่านี้” ดวงอินบอก
“มันบ่มีทางอื่นแล้วแม่นก่อ ที่เมืองเฮาจะอยู่กันอย่างมีความสุข โดยบ่มีเจ้าเขี้ยวแก้ว” จู่ๆ ปิ่นฟ้าก็พูดขึ้นจนพี่สาวต้องยกมือขึ้นมาจุปาก
“เฮาเลือกจะเป็นคนล่าเสบียง ต้องจงรักภัคดีต่อเจ้าเขี้ยวแก้ว อย่างน้อยเปิ้นก่อทำหื้อเฮามีกิน มีความสุขสบาย บ้านเมืองร่มเย็น” ดวงอินแย้ง นักรบล่าเสบียงอย่างเธอเชื่อว่า แค่ทำตามที่เจ้าเขี้ยวแก้วต้องการ ก็จะได้รับความสุข
แต่สำหรับปิ่นฟ้า เธอคิดว่ามันคือความทรมานของทุกคน กลางวันเป็นคน หากแต่กลางคืนต้องเป็นเสือ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า แต่ก่อนนั้นเมืองสาปเสือนั้นมีชื่อ แต่ถูกเจ้าเขี้ยวแก้วล้างบางความจำไปเสียสิ้น แต่ยังใจดีให้คนในเมืองได้เป็นกษัตริย์ปกครองตัวเอง นั่นคือ ‘เจ้าบุญเย็น’ นั่นเอง
เจ้าบุญเย็นเป็นคนไม่ใช่ยักษ์ แต่ก็ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง คอยหาอาหารและเครื่องบรรณาการไปส่งให้เจ้าเขี้ยวแก้ว หากใครคิดจะจับดาบขึ้นมาต่อต้าน ก็จะถูกจับตัดหัวและเสียประจานที่ประตูเมือง จึงไม่มีใครกล้าลุกขึ้นสู้ หรือแม้แต่หาวิธีแก้คำสาปให้กับเมือง
ต้นยูงทองสูงตั้งตระหง่าน ยืนนิ่งปะทะแสงฉาน นกยูงผัวเมียบินร้องก้องไพร ก่อนจะชวนกันแวะพักบนยอดไม้ ยิ่งเข้าป่าลึก ก็ยิ่งแทบไม่พบมนุษย์หนคนใด มีเพียงความวังเวง
ดวงอาทิตย์ยามเย็นรอนแสง พันแสงหันไปบอกหญิงสาวว่าควรจะหาที่พักแรมได้แล้ว สร้อยคำจึงแนะนำว่า เหนือเนินดินข้างหน้าดูปลอดภัยที่สุด
“ข้าจะไปหาหลัวมาก่อไฟ สูไปอาบน้ำก่อนเต๊อะ” เขาสั่งพร้อมกับเดินขึ้นเนินไป อากาศแล้งหากิ่งไม้แห้งได้ไม่ยาก รวบรวมได้พอเหมาะก็หอบมากองใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มตั้งใจว่าคงต้องมัดสร้อยคำไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนเขาจะปีนขึ้นไปนอนข้างบน แต่ในใจหนึ่งก็นึกขัดๆ ที่จะปล่อยให้ผู้หญิงบอบบางอย่างสร้อยคำต้องนอนคนเดียวด้านล่าง
ไม่สิ...บอบบางตรงไหน ลืมไปแล้วหรือว่าสร้อยคำ เป็นนางเสือผี...
พันแสงหันไปมองด้านล่าง เห็นสร้อยคำนุ่งกระโจมอก เริงร่าอยู่กลางธารใส สอดตามองได้ไม่นานก็รีบหันหลังกลับโดนพลัน
“อาบน้ำเวยๆ หน่อย สร้อยคำ เดียวมันจะมืดไปเหียก่อน” ตะโกนบอกทั้งๆ ใจเต้นตึกตัก หน้าชาและเป็นสีแดงระเรื่อ
“เจ้า” สาวน้อยที่นุ่งกระโจมอกขานรับ ยังไม่รู้ตัวว่าผิวขาวนวลอมชมพูของเธอ ทำให้ชายหนุ่มไม่กล้ามอง
“บางทีข้าก่อสงสัย ว่าสูจะอาบน้ำทำไม กำเดียวก่อกลายเป็นเสือแหม” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ
สร้อยคำรีบขัดสีฉวีวรรณ ล้างเนื้อตัวให้สะอาด เสร็จกิจจึงจัดแจงแต่งตัว รวบผมเผ้าให้เรียบร้อย กระทั่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา
“อ้ายพันแสง ข้าเจ้าเสร็จแล้ว” ยังไม่ทันได้หันไปมอง เธอก็ถูกกระชากแขน สร้อยคำตกใจกำลังจะกรีดร้องทว่าก็มีอีกมืออุดปากไว้แน่น
“อย่าเสียงดังไป”
คนที่จับเธอเป็นหนุ่มร่างใหญ่ แต่ไม่ใช่พันแสง เขามีเนื้อตัวเหม็นสาบและโพกผ้าคลุมหัว
โจรป่า...
[1] ภาษากลางเรียกหญ้าสาปเสือ ใช้ใบสดคำพอกแผล สรรพคุณเพื่อห้ามเลือด รักษาและสมานแผล
ความคิดเห็น |
---|