7

พ่อคนเจ้าระเบียบ

พ่อคนเจ้าระเบียบ

 

มาถึงโรงพยาบาล พรรณวษาก็เข้าติดต่อนายแพทย์จักรชัย กุมารแพทย์ที่อัมพิกาหามาให้ เดือนธันวาไม่ได้มีปัญหาอะไรและเข้าไปพบหมอเป็นเพื่อน ระหว่างทางมาน้องเสือได้นอนเต็มอิ่มแล้วจึงไม่ร้องไห้เมื่อต้องตื่น

หมอท่านนี้เป็นคนอัธยาศัยดี พูดคุยถูกคอกับพรรณวษา อธิบายวิธีการดูแลเด็กได้ดีกว่าเดือนธันวาในหลายๆ เรื่อง ชายหนุ่มแทบไม่พูดสักคำถ้าหมอไม่ถามเขา ส่วนใหญ่จะตั้งใจฟังเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่ยังไม่รู้

เรื่องการอุปการะเด็กหมอจำเป็นต้องทราบเพื่อจะให้คำแนะนำได้ถูก หญิงสาวไม่ได้เก็บเป็นความลับจึงได้คำแนะนำเพิ่มเติมที่ตรงกับความคิดไม่ใช่น้อย

“หมอเห็นด้วยนะครับที่คุณพ่อแท้ๆ ควรจะอยู่ข้างน้องก่อนจนน้องเริ่มสนิทกับคุณแม่คนใหม่แล้ว ระหว่างนี้พยายามทิ้งระยะห่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป มันจะดีต่อความรู้สึกของเด็กมากกว่าและง่ายกับคุณแม่เองด้วย”

“ใช่ค่ะหมอ วันแรกที่เพ้นท์รับเขามา เขาร้องงอแงหาพ่ออย่างเดียวเลยค่ะ ทำยังไงก็ไม่หยุดร้อง” พรรณวษารีบฟ้องพลางชายตามองคุณพ่อคนนิ่งข้างกาย

“แสดงว่าก่อนหน้านี้คุณพ่อต้องเลี้ยงน้องมาแบบสนิทมากใช่ไหมครับ”

คำถามของนายแพทย์ทำให้เดือนธันวาต้องคิดทบทวนตนเอง จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบ

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าสนิทจริงป่านนี้คงต้องร้องหาผมอยู่”

วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้ยินคำว่าพ่อหลุดออกมาจากปากเด็กน้อย สายใยนี้ดูท่าจะตัดขาดง่ายกว่าที่คิด

“ถ้าอย่างนั้นหมอว่าคงใช้เวลาไม่นานในการปรับตัว คุณเพ้นท์ต้องพยายามใกล้ชิดลูกให้มากๆ นะครับ”

“ค่ะ” พรรณวษารับคำ

 

พูดคุยอีกสองสามประโยคทั้งสองฝ่ายก็ล่ำลากัน เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้ ต้อยซึ่งรออยู่ด้านนอกอาสาเข็นรถให้เนื่องจากหญิงสาวต้องไปจัดการเรื่องค่าพยาบาลที่การเงินด้านนอกแผนก ไม่คิดว่าจะได้พบกับญาติฝั่งพ่อโดยบังเอิญ

“อ้าว คุณป้านี สวัสดีค่ะ คุณป้าเป็นอะไรมาคะเนี่ย”

เห็นเสาวนีย์ พี่สาวของศุกลนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีบุรุษพยาบาลช่วยเข็นมาให้ก็แปลกใจระคนตกใจ หญิงสูงวัยผู้นี้ไม่มีครอบครัว อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กกับแจ่ม สาวใช้ส่วนตัวซึ่งวันนี้ตามติดมาด้วย หล่อนเป็นคนรักสันโดษ ไม่ค่อยชอบพบปะผู้คนเท่าไร

“ตกบันไดน่ะ บังเอิญจังเลยนะ” อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะปรายตามองคนที่มากับหลานสาวด้วย ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร เพราะรู้เรื่องจากน้องชายแล้วว่าสองวันนี้ที่บ้านเกิดอะไรขึ้น “นั่นน้องเสือ ลูกชายของเพ้นท์ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะคุณป้า เพ้นท์พาน้องมาหาหมอประจำตัวน่ะค่ะ นี่ก็คุณเดือนธันวา คุณพ่อของน้องเสือเขา” เธอแนะนำร่างสูงให้ผู้เป็นป้ารู้จัก 

เสาวนีย์รับไหว้จากคนอายุน้อยกว่า มองลึกเข้าไปในแววตาแล้วรู้สึกเห็นตัวเองสะท้อนออกมา

ไม่พูดมาก วางตัวสงบ ชอบคิดอะไรคนเดียว...

“นี่คุณป้าเสาวนีย์ค่ะ ป้าแท้ๆ ของเพ้นท์เอง” เธอบอกกับเขาแล้วหันไปหาผู้อาวุโสอีกครั้งอย่างเป็นห่วง “ว่าแต่คุณป้าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ ตกมาหลายขั้นไหม”

“ไม่หรอก ข้อเท้าพลิกนิดหน่อย หมอบอกว่าเดี๋ยวก็หาย”

“แล้วมากันยังไงคะ”

“แท็กซี่น่ะ แจ่มมันมาส่ง อ้าว ถึงคิวฉันแล้วแจ่ม ไปจ่ายค่าหมอไป” หล่อนหันไปสั่งสาวใช้ตัวผอมเมื่อถึงคิว

“เดี๋ยวเพ้นท์ไปส่งที่บ้านนะคะ” พรรณวษาเสนอก่อนถามต่อ “นี่คุณพ่อรู้เรื่องหรือเปล่าคะ”

“ยังไม่ได้บอก เป็นนิดเดียวเอง ขอบใจนะ ไหน เอาเด็กมาให้ดูใกล้ๆ หน่อย”

สิ้นคำสั่ง ต้อยเข็นพาน้องเสือมาเคียงข้างรถเข็นของเสาวนีย์ทันที ไม่บ่อยนักที่พรรณวษาจะเห็นคนเป็นป้ายิ้มกว้าง เธอพอรู้ว่าหล่อนเป็นคนเอ็นดูเด็กเหมือนกัน แต่ไม่อยากมีครอบครัว ไม่คิดจะอุปการะเด็กที่ไหนด้วย

“ศุกลบอกว่าไม่ให้ใครช่วยเพ้นท์ดูแลเด็ก จะได้เข็ดหลาบไม่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอีก แล้วแบบนี้เหนื่อยไหม”

“โอ๊ย คุณแม่เริ่มใจอ่อนแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง...” หญิงสาวชะงักไปหน่อยเมื่อนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้คือหายนะ “เอ่อ...อันที่จริง เพ้นท์ก็หนักใจอยู่เหมือนกันค่ะ อาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์มีผลิตสินค้าล็อตใหม่ เพ้นท์ต้องไปโรงงาน อ้อยกับแตนต้องไปโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยู่ กำลังคิดอยู่ว่าน้าต้อยกับป้าติ๋มจะดูให้ได้ไหม ถ้าคุณพ่อไม่ให้คงต้องไปฝากไว้บ้านพี่พราว ไม่ก็พี่พัด เฮ้อ บอกตามตรงคือเพ้นท์ไม่อยากให้น้องเสือเป็นภาระใครเลยค่ะ”

เดือนธันวาที่ได้ยินทุกคำเผลอขมวดคิ้วมองคนพูด ซึ่งปฏิกิริยาของเขาอยู่ในสายตาของเสาวนีย์ ทำให้หญิงสูงวัยเริ่มสงสัย เท่าที่ศุกลเล่าให้ฟังเมื่อคืน ผู้ชายคนนี้ไม่สนใจไยดีลูกสักนิด แล้วเหตุใดถึงได้ตอบสนองต่อคำพูดของพรรณวษาไวขนาดนี้ ไหนจะมาพบหมอเด็กด้วยกันอีก

ครู่ต่อมา หล่อนก็กลับไปสนใจคู่สนทนาอีกครั้ง “ฝากป้าก็ได้ อยู่ว่างๆ กับแจ่มไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”

หล่อนเคยทำงานราชการ หลังเกษียณแล้วก็พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ได้ทำอะไรอีก มีแค่เงินบำนาญกับทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก็พออยู่ได้ทั้งชีวิต

“จริงเหรอคะคุณป้า!” หญิงสาวตาวาวเมื่อพบที่พึ่งคนใหม่ “ขอบคุณจริงๆ นะคะ เพ้นท์รบกวนแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นค่ะ อาทิตย์ต่อไปงานเพ้นท์เบาลง อ้อยกับแตนก็อยู่บ้านแล้วด้วย”

“อื้ม ป้าน่ะมีเวลาว่างเหลือเฟือ แต่ไม่มีความรู้เรื่องเลี้ยงเด็กหรอกนะ”

“น้องเสือเลี้ยงไม่ยากเลยค่ะ ใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับคนใหม่ๆ ได้”

“ดีแล้ว แต่คงต้องให้แจ่มดูเป็นหลัก ป้าเพิ่งตกบันไดมายังเดินไม่ค่อยคล่อง” เสาวนีย์ส่งยิ้มอ่อนให้เดือนธันวาที่ยืนอยู่ข้างหลังกับต้อย “สงสัยจะต้องให้คุณช่วยให้คำแนะนำนะคะ”

พรรณวษาค่อนข้างเกรงใจเนื่องจากวันนี้ยังไม่ได้คุยกับเขาเรื่องค่าเสียเวลา แต่เขากลับถูกชักชวนทำนู่นทำนี่เยอะแยะไปหมด อีกทั้งยังทำให้การตีตัวออกหากน้องเสือไม่ค่อยราบรื่น เธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขาเรื่องนี้เช่นกัน

ทว่าเมื่อจะออกปากอาสาสอนแจ่มดูแลเด็กด้วยตนเอง ชายหนุ่มก็เอ่ยตอบเสาวนีย์ก่อน

“วันพรุ่งนี้ผมไปพบที่บ้านก็ได้ครับ”

 

ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ พรรณวษาพาน้องเสือไปเล่นที่บ้านขนาดย่อมของเสาวนีย์เพื่อให้คุ้นชินกันเอาไว้ก่อน ส่วนเดือนธันวาขอแยกตัวตั้งแต่ที่โรงพยาบาลเพราะเกรงว่ารถจะแน่นไป เธอและต้อยสอนแจ่มเรื่องการดูแลเด็กเบื้องต้น โชคดีที่แจ่มเป็นคนหัวไวและรักเด็กเป็นทุนเดิมจึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร

วันนี้หญิงสาวอยู่กินข้าวกับผู้เป็นป้าโดยที่แจ่มกับต้อยช่วยกันเตรียมอาหาร กินเสร็จก็พูดคุยอีกเล็กน้อยก่อนกลับ

“คุณป้าคะ เพ้นท์ว่าคงไม่ต้องรบกวนคุณเดือนธันวาแล้วมั้งคะ แจ่มกับน้องเสือก็ดูไม่น่ามีปัญหาอะไร” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเกรงใจอดีตคุณพ่อที่ต้องพัวพันกับลูกชายไม่จบไม่สิ้น หากเสาวนีย์ยังยืนยันความต้องการเดิม

“นัดไว้แล้วก็ให้เขามาเถอะ พรุ่งนี้สักเที่ยงแล้วกัน บอกเขาว่าป้าจะให้แจ่มเตรียมมื้อกลางวันไว้ให้ ป้ามีเรื่องต้องคุยกับเขาหน่อย”

“หือ เรื่องอะไรเหรอคะ” คนถามทำหน้าอยากรู้ ต้อยที่ช่วยแจ่มเก็บจานบนโต๊ะแอบเงี่ยหูฟังเช่นกัน ทว่าเจ้าของบ้านรู้ทันจึงปรายตามองเงียบๆ รอจนอีกฝ่ายรู้ตัวและเดินห่างออกไปก่อนจะพูดคุยกับหลานสาวต่อ

“ป้าแค่อยากรู้จักเขาน่ะ เพราะดูเหมือนศุกลกับอัมพิกาจะทำไม่สำเร็จ”

“หมายความว่ายังไงคะ” พรรณวษาขมวดคิ้วไม่เข้าใจกว่าเดิม 

“ศุกลเขาบอกป้าว่าพ่อคนนี้พูดน้อย ชอบทำหน้าเฉยเมยไม่รู้สึกอะไรกับใคร แต่พออยู่กับเด็กสองต่อสองก็กลายเป็นคนโหดร้ายดุเด็กขึ้นมา”

“หา? โหดร้ายดุเด็ก! ตอนไหนคะ”

เท่าที่จำได้ยังไม่เห็นมีตอนไหนที่เดือนธันวาทำแบบนั้น เรื่องนี้ถ้าบิดาของเธอไม่เว่อร์เกินไป ป้าของเธอคงต้องเป็นฝ่ายที่ตีความบางอย่างผิดแน่ๆ

“อ้อ ลืมไป ศุกลบอกว่าตอนนั้นเพ้นท์ไม่อยู่” เสาวนีย์หัวเราะนิดหน่อยเมื่อนึกขึ้นได้ “ลองกลับไปถามพ่อกับแม่ดูสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ป้าจะพิสูจน์ให้ว่าเขาร้ายจริงหรือเปล่า”

“เขาเมินน้องเสือเพราะต้องตัดใจค่ะคุณป้า แต่ดุ...” หญิงสาวลองนึกภาพเดือนธันวาเวอร์ชันโหดร้าย แต่ก็นึกไม่ออก “ไม่น่าจะดุนะคะ เพ้นท์ว่าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะ ถ้าทุกคนในบ้านของเพ้นท์พูดแบบเดียวกัน เริ่มถามจากต้อยเลยก็ได้” คนเป็นป้าพยักเพยิดไปทางแม่บ้านที่เดินกลับมาเก็บแก้วน้ำพอดี ทว่าพรรณวษาไม่ได้ทำตามในทันทีเพราะยังครุ่นคิดหาความเป็นไปได้อยู่ “ถ้าผลดีเอ็นเอออกมาว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน มันก็ไม่แปลกเลยนะที่ผู้ชายคนนั้นจะกล้ายกเด็กให้เพ้นท์”

 

ช้าวันต่อมาพรรณวษามาส่งน้องเสือที่บ้านของเสาวนีย์ก่อนไปทำงาน เศร้าใจเล็กน้อยที่ลูกชายไม่ร้องโหยหาแม่สักนิด ให้อยู่กับใครก็อยู่ เหมือนปลงแล้วที่ตัวเองมีคนดูแลไม่ซ้ำหน้า

เมื่อคืนเธอส่งโลเกชันบ้านเสาวนีย์ให้เดือนธันวาทางข้อความ และโทร. คุยกับเขาแล้วเรียบร้อยเรื่องเวลานัดหมาย ไม่ลืมที่จะถามเรื่องค่าเสียเวลาด้วยความเกรงใจ เขาบอกว่าขอคิดก่อน หมายความว่าเรียกแน่ แต่ยังคำนวณไม่ได้ว่าจะเรียกเท่าไรดี คุยแค่นั้นก็ต้องวางสายเพราะน้องเสือร้องลั่นให้เปลี่ยนแพมเพิร์ส

“ฉันน่าจะมารับตอนหกโมงนะแจ่ม ฝากน้องด้วยนะ”

“ได้เลยค่ะคุณเพ้นท์” แจ่มยิ้มตาหยีก่อนจะจับมืออวบของน้องเสือให้โบกไปมา “บ๊ายบายคุณแม่หน่อยค่ะ บ๊ายบายยย”

“บ๊ายบายค้าบ มาให้แม่เพ้นท์หอมหน่อย” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเข้าไปฝังจมูกที่แก้มนิ่มของลูกชายและโบกมือบ๊ายบายตอบ 

เสาวนีย์เห็นแล้วก็อมยิ้ม ด้วยความที่ยังเดินไม่คล่องจึงได้แต่เกาะขอบประตูมองดูหลานสาวขับรถจากไป

“ลูกๆ ของยายพราวยายพัดฉันไม่เคยได้เลี้ยงดูสักคน” เจ้าของบ้านพูดกับสาวใช้ที่เพิ่งอุ้มเด็กเข้ามาในบ้านพลางเดินกะเผลกๆ ไปนั่งบนโซฟา หวนคิดถึงเด็กหญิงสามคนที่อยู่แต่กับพ่อแม่ ไม่ค่อยจะมาเยี่ยมเท่าไร ป่านนี้โตแค่ไหนก็ไม่รู้ 

บางที...หล่อนปลีกวิเวกจนลืมไปแล้วว่าครอบครัวของน้องชายนั้นใหญ่โตเพียงใด กับอัมพิกาก็ไม่ค่อยสนิทด้วย เจอหน้ากันแทบไม่รู้จะคุยอะไรเพราะรสนิยมและความชอบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝั่งนั้นชอบเข้าสังคม มีเพื่อนเยอะ ตามทันโลกสมัยใหม่ ขณะที่หล่อนซ่อนตัวอยู่ในความสงบ ไร้เพื่อนมาเยี่ยมเยียน เวลาว่างใช้ไปกับการปลูกต้นไม้ดูแลสวนหรือไม่ก็ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะกับแจ่ม

“มีเด็กมาให้ดูแลก็ดีนะคะ เราจะได้มีอะไรใหม่ๆ ทำกันบ้าง” สาวใช้ว่า ทำให้เจ้านายหัวเราะในลำคอ

“เบื่อแล้วละสิที่ต้องอยู่กับฉัน วันๆ ไม่ได้ทำอะไรเท่าไร”

“ไม่ได้เบื่อค่า แต่มีงานทำเพิ่มก็สนุกดี”

“ถ้าอย่างนั้นเรารับอุปการะเด็กบ้างดีไหม”

“อุ๊ย อย่าเลยค่ะ เลี้ยงลูกคุณเพ้นท์เป็นจ๊อบเสริมดีกว่า” แจ่มยิ้มแห้งขณะวางเด็กชายลงบนฟูกนอนที่ปูไว้กลางบ้าน 

เสาวนีย์จ้องเด็กอยู่นานอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่พบเมื่อวานเพื่อเปรียบเทียบ

“แจ่มว่าไหม น้องเสือหน้าตาไม่เหมือนพ่อที่เราเจอเมื่อวานเลยนะ”

“เอ...ไม่แน่ใจนะคะ เดี๋ยววันนี้พอเขามาเราลองเปรียบเทียบกันดูไหมคะ”

“เสียเวลา ฉันถามเลยดีกว่า”

หญิงสูงวัยยิ้มมุมปาก จากนั้นก็นั่งมองแจ่มเล่นกับเด็กไปเพลินๆ จนถึงช่วงสิบโมงครึ่ง สาวใช้ประจำบ้านเข้าไปเตรียมอาหารกลางวันในครัว หล่อนจึงรับช่วงต่อด้วยการนำหนังสือภาพมาเปิดให้ดู

“ด๊อก!”

นิ้วเล็กจิ้มรูปสุนัขพร้อมแย้มยิ้มออกมา เสาวนีย์เบิกตาด้วยความทึ่ง

“เก่งภาษาอังกฤษซะด้วย แล้วตัวนี้อะไร” หล่อนจิ้มรูปแมวในหน้าถัดไป

“แคะ!”

“ใช่ แคตแมว ตัวนี้ล่ะ” ต่อด้วยช้างตัวใหญ่ คราวนี้น้องเสือนิ่งเงียบ หล่อนจึงสอนให้ “แอลเลอเฟ่น”

“...”

“ยากไปสินะ ถ้าอย่างนั้นเรียกช้างได้ไหม ไหนพูดซิ ช้าง”

น้องเสือมองภาพช้างสลับกับหน้าคนสอนไปมาราวกับไม่เข้าใจ ขณะนั้นเองที่เสียงกดออดดัง แจ่มจึงรีบออกจากครัวไปเปิดรั้วรับแขก

“คุณพ่อมาแล้วแน่เลย” เสาวนีย์ส่งยิ้มให้เด็กน้อย ทันทีที่ได้ยินคำว่าพ่อ นัยน์ตากลมก็เบิกโตและทอประกายสดใส “พูดช้างก่อนแล้วจะได้เจอคุณพ่อ”

“จ๊างงง”

“หือ เก่งจังเลย” หล่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะเงยหน้ามองร่างสูงที่ตามสาวใช้ตัวผอมเข้ามาในบ้าน “สวัสดีค่ะคุณเดือนธันวา”

“สวัสดีครับคุณเสาวนีย์” ชายหนุ่มยิ้มน้อยหลังจากก้มไหว้ ปรายตามองเด็กที่ทำตาแป๋วทักทาย “ดูแลยากไหมครับ”

“ไม่ยากค่ะ แกหัวไวนะคะ เก่งภาษาอังกฤษด้วย ใครสอนแกเหรอคะ”

“แม่ของผมน่ะครับ”

เดือนธันวานั่งลงบนพื้นเพราะเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่พื้นกับเด็ก น้องเสือเปลี่ยนมาจ้องมองเขาอย่างลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหาดีหรือไม่ สุดท้ายก็นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมพลางสลับมองผู้ใหญ่สองคนไปมา

“ฉันเชิญคุณมาเพราะกลัวว่าน้องเสือจะตกใจเวลาอยู่กับคนแปลกหน้าน่ะค่ะ พ่อของยายเพ้นท์บอกว่าวันแรกที่เจอแกร้องระงมเลย แต่วันนี้แกไม่ร้องเลยนะคะ”

“เจอคนแปลกหน้าบ่อยจนชินมั้งครับ”

“แต่ไม่รู้ว่ามองพ่อเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วหรือยังนะคะ” คนพูดเลื่อนสายตามองเด็กเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คู่สนทนารู้สึกตัวว่ากำลังถูกจับผิด “ไม่เรียกหาสักคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าพ่อมานี่ตาวาวเชียว”

“เป็นคนแปลกหน้าก็ดีแล้วครับ” เขาตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนที่บทสนทนาจะถูกขัดโดยอีกบุคคล

“อาหารพร้อมแล้วนะคะ”

“เชิญไปทานข้าวดีกว่าค่ะ” เสาวนีย์บอกเขาก่อนจะบอกสาวใช้ “แจ่ม มาอุ้มน้องเสือไปที่โต๊ะหน่อย”

“ได้ค่ะ”

 ทั้งสองคนรู้จากต้อยแล้วว่าเดือนธันวาจะไม่แตะลูกชายเด็ดขาดจึงไม่เอ่ยขอให้เขาช่วย แจ่มเป็นคนเข้ามาอุ้มน้องเสือล่วงหน้าไปที่โต๊ะ เจ้าของบ้านจึงต้องลุกขึ้นด้วยตนเองทั้งที่ข้อเท้าไม่ค่อยดี ในจังหวะที่ซวนเซก็ได้ร่างสูงช่วยประคองไว้

“ขอบคุณค่ะ”

“ให้ช่วยพยุงไปที่โต๊ะไหมครับ”

“ไม่ต้องค่ะ ฉันไหวอยู่”

พอเสาวนีย์ว่าอย่างนั้นเดือนธันวาก็ถอยออกมา แต่ก้าวเดินไปพร้อมกับอีกฝ่ายที่เดินช้ากว่าปกติเพื่อคอยระมัดระวังให้ หล่อนนั่งลงตรงข้ามน้องเสือก่อนจะเอ่ยบอกแจ่ม

“แจ่มนั่งกับน้องเสือนะ คอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้หน่อย คุณเดือนธันวาเชิญนั่งเลยค่ะ”

หล่อนผายมือที่เก้าอี้ตัวข้างๆ เมื่ออีกคนนั่งลงแล้วก็เริ่มชวนคุยด้วยการถาม

“ขออนุญาตถามได้ไหมคะว่าคิดยังไงถึงให้ยายเพ้นท์เลี้ยงน้องเสือ ทั้งที่คุณไม่เคยรู้จักยายเพ้นท์มาก่อนเลย”

“ผมไว้ใจ เพราะวันแรกที่คุณพรรณวษาเจอเสือ เธอดูจะชอบเขา”

“แต่ก็การันตีไม่ได้นี่คะว่าจะดูแลดีไหม คุณไม่เป็นห่วงน้องเสือเหรอ”

“เท่าที่เห็นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ คุณพรรณวษามีครอบครัวใหญ่ ฐานะดี มีความรักเผื่อแผ่ให้เขา...” ขณะนั้นนัยน์ตาของคนพูดอยู่ที่เด็กชายซึ่งถูกป้อนโจ๊กไก่สับให้ เมื่อมั่นใจว่าอาหารไม่ร้อนเกินไปจึงหันมาพูดกับเสาวนีย์ต่อ “เธอมีมากกว่าผมทุกอย่าง”

“จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปไหมคะ ถ้าฉันจะถามว่าคุณตั้งใจมีน้องเสือหรือเปล่า” หล่อนพยายามยิ้มให้เหมือนบทสนทนาไม่ใช่เรื่องเครียด อีกฝ่ายจึงใช้น้ำเสียงผ่อนคลายที่ฟังดูไม่เครียดเช่นกัน

“ไม่ได้ตั้งใจครับ”

แจ่มที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับทำหน้าไม่ถูก ไม่คิดว่าเดือนธันวาจะสารภาพออกมาตรงๆ อย่างนั้น ที่สำคัญคือเจ้านายของเธอไม่ได้อึ้งหรือแสดงความแปลกใจใดๆ ซ้ำยังพยักหน้าเข้าใจด้วย

“อื้ม แล้วพอรู้ว่ามี คุณทำยังไงคะ แต่งงานกับแม่ของแกเหรอ”

ขณะถามก็ตักต้มยำน้ำใสใส่ถ้วยเล็กให้แขกก่อน แล้วค่อยตักให้ตัวเอง ชายหนุ่มผงกหัวขอบคุณก่อนตอบสั้นๆ

“ผมแต่งก่อนรู้ครับ”

“แต่งนานแค่ไหนถึงรู้คะ”

“รู้วันแต่งครับ”

เคร้ง!

เสียงช้อนตกมาจากแจ่มที่มือไม้อ่อนกะทันหัน เธอรีบขอโทษขอโพยทั้งคู่ที่มองมาเป็นตาเดียวก่อนจะหยิบช้อนจากพื้นไปเปลี่ยนในครัว

“แล้วดีใจไหมคะ หรืออึ้งไปเพราะไม่คิดว่าของขวัญวันแต่งงานจะชิ้นใหญ่ขนาดนี้”

“ครับ อึ้ง...อึ้งมาก”

เดือนธันวาใช้ช้อนตัดหางกุ้งออก แต่ไม่ได้ตักเข้าปากในทันที เหตุเพราะจู่ๆ ก็รู้สึกพะอืดพะอม ไม่อยากอาหาร อยากจะวางช้อนส้อมลงแล้วนั่งอยู่เฉยๆ 

เสาวนีย์สังเกตว่าท่าทีของเขาเริ่มไม่ค่อยดีจึงเปลี่ยนเรื่องก่อน ไม่อย่างนั้นหล่อนอาจจะถูกเขาลอบด่าในใจจนเสียผู้ใหญ่เอาได้ 

“ปกติฉันอยู่บ้านกับแจ่มสองคน ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร คุณอยู่เป็นเพื่อนจนยายเพ้นท์มาเลยได้ไหมคะ ถ้าไม่ติดธุระอะไร”

“คุณพรรณวษามากี่โมงเหรอครับ”

“ก็คงเย็นๆ น่ะค่ะ”

“คุณเพ้นท์บอกว่าหกโมงโดยประมาณค่ะ” แจ่มตอบหลังจากกลับมาพร้อมช้อนคันใหม่ เธอนั่งลงที่เดิมและป้อนโจ๊กให้เด็กชายต่อ

“ได้ครับ” เขาตอบก่อนจะเริ่มกินข้าว ไม่ตักกับข้าวมากเท่าไรเพราะอยากให้ข้าวหมดจานไวๆ 

หลังมื้ออาหาร แจ่มอุ้มเด็กชายไปนั่งเล่นที่ฟูกเหมือนเดิม ทิ้งหนังสือนิทานเอาไว้ให้เปิดเล่นแล้วไปล้างจานในครัว เสาวนีย์เข้าไปคุยกับแจ่มอยู่พักใหญ่ จงใจทิ้งเดือนธันวาไว้กับน้องเสือสองคนก่อนที่ทั้งคู่จะแอบดูจากประตูครัว

และพบว่าหนังสือนิทานถูกกองรวมกันบนโต๊ะ ส่วนของที่เด็กน้อยเล่นอยู่คือกระดานวาดภาพแม่เหล็ก

“บ้านเรามีของแบบนั้นด้วยเหรอ” เสาวนีย์ถาม 

แจ่มส่ายหน้าพลางเหล่มองไปทางชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ไม่เข้าไปเล่นกับน้องเสือ ข้างกายมีกระเป๋าสะพายของเขาวางอยู่

“คุณเดือนธันวาคงเอามาน่ะค่ะ แจ่มว่าเขารักและเป็นห่วงน้องเสือนะคะ ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่บ้านคนแปลกหน้าอย่างพวกเรานาน”

“ถ้าสมมุติว่าเขาไม่ใช่พ่อเด็ก หมายความว่าเขาถูกผู้หญิงหลอกให้แต่งงานเพื่อจะรับเป็นพ่อเด็ก?” เสาวนีย์สันนิษฐานจากคำตอบของเขาที่โต๊ะกินข้าว พอลองจินตนาการถึงความรู้สึกของเขาแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าเป็นอย่างนั้นนี่น่าสงสารมากเลยนะ”

“นั่นสินะคะ คงเจ็บใจน่าดูถึงได้ยกให้คนอื่นเขาไปเลี้ยง”

“แต่สุดท้ายก็ตัดไม่ขาด...”

เสียงขาดหายเมื่อเห็นว่าร่างสูงลุกจากโซฟาและไปนั่งข้างๆ เด็กซนซึ่งเอาแต่เล่นกระดานวาดรูปไม่หยุด ดวงตานิ่งงันจ้องค้างอยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม

“ไม่ง่วงหรือไง ได้เวลานอนกลางวันแล้วนะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างกว่าปกติ แต่ก็ไม่ถึงกับกระโชกโฮกฮาก

“ฮื้อ” น้องเสือสะบัดหน้าหนีไม่ฟัง มือเล็กจับกระดานวาดรูปแน่นไม่ปล่อย และยิ่งแน่นขึ้นอีกเมื่อถูกอีกฝ่ายดึงไป

“เอามา”

“อื้อ เย่นๆ”

“ไม่ให้เล่น นอนได้แล้ว” ครั้งนี้เขาใช้เสียงหนักกว่าเดิมให้เด็กเล็กเชื่อฟัง แต่กลับถูกตะเบ็งเสียงใส่

“อื้อออ!”

มือหนาปล่อยกระดานวาดรูปก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยอ่อน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะหมั่นไส้เด็กที่หยุดร้องในทันใดเมื่อได้เล่นของเล่นต่อ 

“ดื้อแบบนี้ใครเขาจะไปรัก หัดว่านอนสอนง่ายหน่อยได้ไหม”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น