6

พ่อคนรอบคอบ

 

พ่อคนรอบคอบ

 

ในที่สุดมื้ออาหารอันดุเดือดก็ผ่านพ้นไปเพราะทุกคนยอมเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่เด็กๆ เดือนธันวาขออนุญาตแยกตัวออกไป ขณะที่แตนกับอ้อยช่วยกันเก็บจานบนโต๊ะ เนื่องจากบรรยากาศดีๆ ยังไม่ฟื้นคืนมาร้อยเปอร์เซ็นต์ พรรณวษาจึงกู้คืนความสนุกสนานโดยเริ่มต้นจากเด็ก

“แอรีนอยากให้น้าเพ้นท์ทำผมให้ไหมคะ”

“อยากค่า!”

“โอเคเลยค่ะ คุณแม่คะ เพ้นท์ฝากน้องเสือหน่อยนะ” เธอหันไปบอกมารดาที่วันนี้ไม่ค่อยพูดค่อยจา เชื่อว่าการมีน้องเสืออยู่ด้วยอาจจะทำให้อารมณ์ของอัมพิกาดีขึ้นตามลำดับ

แอรีนวิ่งนำออกไปก่อน พราวพิรุณกระซิบให้อันนาตามพี่สาวไปด้วย เพราะต้องการคุยเรื่องเครียดกับพ่อแม่ที่โต๊ะ หลังจากนั้นพรรณวษาก็ปลีกตัวตามเด็กทั้งคู่ออกไปติดๆ เมื่อพ้นสายตาผู้ใหญ่แล้วจึงชวนให้ทุกคนไปนั่งริมสระน้ำแทนที่จะเป็นห้องนั่งเล่นเพราะเธอเห็นแวบๆ ว่าเดือนธันวายืนอยู่ริมสระคนเดียว

เสียงพูดคุยของเด็กสองคนทำให้ร่างสูงหันมอง แอรีนเห็นเขายืนอยู่ก็วิ่งไปถามหน้าซื่อตาใส

“น้าเดือนธันวาเป็นพ่อของน้องเสือเหรอคะ”

“ไม่ใช่หรอกครับ”

พรรณวษาได้ยินคำตอบเข้าพอดี ขณะนี้เธอและคนอื่นๆ ต่างสงสัยเหมือนศุกลว่าเดือนธันวามีความผูกพันกับน้องเสือทางสายเลือดหรือเปล่า แต่เธอไม่อยากถามอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขา เพราะพอลองนึกว่าตัวเองเป็นเขาแล้วก็รู้สึกอึดอัดแทน ไว้ผลดีเอ็นเอออกเมื่อไรค่อยว่ากัน

“อ้าว...” เด็กหญิงหันไปมองน้าสาวที่เดินจูงมืออันนาเข้ามา “นึกว่าเป็นแฟนของน้าเพ้นท์ซะอีก เพราะว่าน้าเพ้นท์เป็นแม่ของน้องเสือ”

“น้าเพ้นท์ยังไม่มีแฟนค่ะแอรีน แอรีนหาที่นั่งเลยค่ะ เดี๋ยวน้าเพ้นท์จะถักเปียให้”

“ได้เลยค่า”

“คุณเดือนธันวาอยู่แถวนี้ด้วยกันก็ได้นะคะ” พรรณวษาบอกชายหนุ่มที่ถูกรบกวนความสงบ 

เดือนธันวาพยักหน้าน้อยๆ ในใจสงสัยความคิดของเธอที่มีต่อตน ตอนนี้คนบ้านนี้ต่างพากันไม่ชอบหน้าเขาไปหมด นอกจากเด็กแล้ว ก็เห็นจะมีแต่พรรณวษาที่ยังคงมองเขาด้วยสายตาแบบเดิม ยิ้มให้เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน

ถ้าได้เห็นฉากในครัวจะเป็นอย่างไรนะ...

“น้าเพ้นท์ทำให้อันนาบ้างฉิคะ” คนเป็นน้องเมื่อรู้ตัวว่าจะถูกทอดทิ้งจึงขอบ้าง ซ้ำยังส่งสายตาวิงวอนจนพรรณวษาต้องลูบผมปลอบโยน

“ได้ค่ะ แต่ต้องต่อคิวพี่สาวนะ”

“พี่แอรีนให้อันนาทำก่อนได้ไหม”

“ไม่!” คนพี่ตอบเสียงแข็ง “พี่แอรีนขอก่อน พี่แอรีนต้องได้ก่อน อันนามาทีหลังต้องรอตามคิว คุณแม่สอนให้เข้าคิว”

“ใจเย็นๆ ค่ะเด็กๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน จริงอย่างที่พี่แอรีนว่า น้องอันนาต้องต่อคิวนะ” หญิงสาวพูดกับเด็กตัวเล็กกว่าที่ทำหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะหยิบยางมัดผมเส้นเล็กออกจากกระเป๋ากางเกงมาเตรียมไว้

“คิกๆ” แอรีนหัวเราะอย่างผู้กุมชัย จากนั้นก็วิ่งไปนั่งริมสระแล้วหย่อนขาลงแช่น้ำรอ พรรณวษาจึงต้องเดินจากอันนาไปนั่งลงข้างหลังแอรีน

เดือนธันวามองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับลูกสาวของพราวพิรุณที่วางท่าเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาอย่างไม่ปิดบัง แต่ความน้อยใจในแววตาของเด็กหญิงอีกคน ประกอบกับความใฝ่รู้ของตัวเองทำให้ร่างสูงเป็นฝ่ายเข้าไปหา

“ทำให้เอาไหม”

“น้าเดือนธันวาทำผมเป็นเหยอคะ” ไม่ใช่แค่อันนาที่สงสัย ทั้งพรรณวษาและแอรีนยังหันขวับไปสนใจ

เดือนธันวาส่ายหน้า ก่อนจะสบตากับคนที่มองมา

“เดี๋ยวทำตามน้าเพ้นท์เอา”

“ขอบคุมค่ะ” อันนาไหว้ขอบคุณเขาตามมารยาทที่มารดาสอนมา จากนั้นก็วิ่งแจ้นไปนั่งหย่อนเท้าลงน้ำข้างๆ พี่สาวที่เบะปากหมั่นไส้ใส่ ร่างสูงตามไปนั่งด้านหลัง เคียงข้างหญิงสาวที่ยังมองเขาตาไม่กะพริบ

“คุณจะถักเปียให้อันนา?” พรรณวษาถามด้วยความแปลกใจ 

เขาพยักหน้า “สอนด้วยนะครับ แล้วจะไม่คิดค่าล่วงเวลา”

“อุ๊ย สองทุ่มแล้ว” เธอพึมพำหลังจากมองนาฬิกาข้อมือ “ถ้าอย่างนั้นเรารีบทำกันดีกว่าค่ะ ก่อนอื่นคุณต้องจับผมครึ่งหัว แล้วแบ่งเป็นสามช่อเท่าๆ กัน”

คนไม่มีประสบการณ์ทำตามคนชำนาญทุกขั้นตอน สายตาจ้องมองทั้งเธอ ผมของแอรีนที่เธอทำ และผมของอันนาที่ตัวเองต้องเป็นคนทำ ทุกคำพูดของหญิงสาวถูกเก็บไว้ในสมองเหมือนที่เธอฟังเขาสอนอย่างตั้งใจทุกครั้ง ถึงผลลัพธ์ของเขาจะไม่สวยเท่า แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้และลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

“เก่งมากเลยค่ะคุณเดือนธันวา” พรรณวษาชื่นชมฝีมือของเขา แม้ว่าเปียจะบิดเบี้ยวผิดรูปไปบ้าง ที่สำคัญเลยคือเธอภูมิใจในตนเองที่สอนเขาทำอะไรแบบนี้ได้

แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับอีกหนึ่งคอมเมนต์จากคณะกรรมการ...

“ไม่เห็นสวยตรงไหนเลย” แอรีนเบ้ปากใส่อันนา ใจจริงอยากแกล้งแค่น้อง แต่ดันกระทบคนทำโดยไม่รู้ตัว 

เดือนธันวาตวัดสายตามองเด็กคนพี่ก่อน แล้วพูดกับเด็กคนน้องที่เริ่มจับผมตัวเองอย่างไม่มั่นใจ “เดี๋ยวทำให้ใหม่นะ หันหลังแล้วนั่งที่เดิม”

พรรณวษาทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อเห็นว่าเขาเอาจริงเอาจังกับการแก้เปียให้อันนา ครั้งที่สองเขาตั้งใจพอกันกับครั้งแรก ใช้สมาธิสูงยิ่งกว่าทำข้อสอบจนได้เปียก้างปลาที่ไม่เบี้ยว ดูดีพอกันกับของแอรีน เห็นอย่างนั้นเธอถึงกับปรบมือรัว

“ยอดเยี่ยมเลยค่ะ เก่งจริงๆ”

“ฉวยเท่าของพี่แอรีนแล้วใช่ไหมคะ” อันนาหันมาถาม หญิงสาวพยักหน้าทันที 

“สวยเหมือนกันเลยค่ะ ไม่มีใครน้อยหน้าใคร กลับไปอวดคุณแม่ได้เลย”

“ค่า!” เด็กสองคนรับคำแล้ววิ่งแข่งกันเข้าไปในบ้าน จึงเหลือเพียงสองผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างกันริมสระ

“เดี๋ยวเพ้นท์ไปส่งที่คอนโดนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ดึกแล้ว คุณอยู่ดูแลเสือเถอะ”

“คุณเป็นห่วงน้องเสือจังเลยนะคะ” พรรณวษาพูดในสิ่งที่คิดออกมา เป็นเหตุให้อีกฝ่ายเงียบไป “ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแท้ๆ หรือพ่อไม่แท้ เพ้นท์เชื่อว่าคุณต้องผูกพันกับน้องเสือมากพอสมควร ไม่ต้องห่วงนะคะ เพ้นท์จะดูแลเขาให้ดีที่สุด”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน” เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เธอจึงลุกตาม

“พรุ่งนี้สิบโมง เพ้นท์จะพาน้องเสือไปรับคุณที่คอนโดนะคะ ส่วนค่าเสียเวลาวันนี้สะดวกเป็นเงินโอนไหมคะ เพ้นท์ไม่ได้พกเงินติดตัวเป็นหมื่น”

“จดไว้ก่อนก็ได้ครับ ยังไม่เอา”

“ทำไมไม่รับเงินโอนล่ะคะ”

“จดแล้วให้ทีเดียวครับ แบบนั้นดีกว่า”

ขณะที่เธอยืนครุ่นคิดว่าดีกว่าตรงไหนเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ร่างบางเร่งฝีเท้าตามไป จังหวะนั้นอัมพิกาอุ้มน้องเสือสวนมาพอดี ขนาบข้างด้วยศุกลและพราวพิรุณ ส่วนสองเด็กน้อยตามหลังแม่ตนเองมา

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เดือนธันวาไหว้ลาทุกคน 

“อย่าลืมเรื่องตรวจดีเอ็นเอพรุ่งนี้นะ” ศุกลเตือน

“เพ้นท์นัดคุณเดือนธันวาเรียบร้อยแล้วค่ะ” พรรณวษาตอบแทน 

บิดาทำเพียงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพาภรรยาที่จ้องมองเดือนธันวาอย่างไม่เป็นมิตรไปที่ห้องนั่งเล่น

พราวพิรุณมองผมของอันนาที่เจ้าตัวเล่าว่าเดือนธันวาเป็นคนทำให้แล้วเอ่ยขอบคุณพอเป็นพิธี จากทีแรกไม่ชอบหน้าอยู่แล้ว ตอนนี้ชักไม่ชอบหนักกว่าเดิมหลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในครัวจากปากของมารดา

“ขอบคุณนะคะที่เล่นกับลูกสาวของฉัน ยายเพ้นท์ วันหลังถักสองหัวไม่ได้ก็ถักหัวเดียวพอ” ประโยคหลังเธอสั่งน้องสาว เป็นการบอกทางอ้อมว่าไม่ต้องการให้คนนอกมายุ่มย่ามกับลูกสาวตนเอง “พี่กลับก่อนนะ”

“แอรีนไปแล้วนะคะน้าเพ้นท์ คราวหน้าจะพาเจ้าคิตเชนมาด้วย” เด็กหญิงว่าเสียงแจ้ว เลือกบอกลาแค่น้าสาวคนเดียวและทำเป็นไม่เห็นเดือนธันวาอยู่ในสายตา 

ชายหนุ่มปรายตามองก่อนจะถามอย่างนึกสนใจ “เจ้าคิตเชนเป็นตัวอะไรเหรอครับ”

“คิตเชนก็คือแมวไงคะ น้าเดือนธันวาไม่เก่งภาษาอังกฤษเหมือนอันนาเลย ดีเซมเบอร์ ฟูลมูนไชน์มีที่ไหน” ประโยคหลังไม่วายตอกย้ำความผิดพลาดของน้องสาว ทำให้อันนาอายหนักกว่าเดิมจนแทบจะซุกกระโปรงแม่

ถึงแม้จะถูกเด็กว่า เดือนธันวากลับยิ้มอ่อน “ขอโทษทีครับ เข้าใจมาตลอดว่า คิตเชนแปลว่าห้องครัว”

“คิตเชนแปลว่าห้องครัวก็ได้!”

“ไม่ใช่ค่ะแอรีน” พราวพิรุณรีบเบรกลูกสาวคนโตที่เพิ่งเถียงกลับด้วยความมั่นใจ “คิตเชน คือห้องครัว ส่วนลูกแมวคือ คิตเทนค่ะ ออกเสียงต่างกันนิดหน่อย”

แอรีนหน้าซีดเป็นไก่ต้มสุก ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินจากไปโดยที่พรรณวษาไม่ทันได้บอกลา เสียงที่ส่งตามหลังไปจึงมีแค่เสียงหัวเราะของอันนาเท่านั้น

 

วันต่อมา

เวลาสิบนาฬิกาตรง เดือนธันวาลงมาใต้คอนโดและเจอรถของพรรณวษาจอดคอยอยู่ หญิงสาวลดกระจกรถลงและโบกมือทักทาย ทำให้เขาเห็นต้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ในอ้อมแขนของแม่บ้านคือน้องเสือที่เล่นลูกบอลในมือโดยไม่สนใจอะไร

เท่าที่สังเกตเมื่อวาน ดูเหมือนระยะห่างระหว่างเขากับเด็กชายจะมีมากขึ้นแล้ว ตอนอยู่ในครัวแค่ร้องหา แต่ไม่ได้ร้องจะให้อุ้ม ถ้าลดการแตะเนื้อต้องตัวได้เขาคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

“นั่งข้างหลังเลยค่ะคุณเดือนธันวา วันนี้เพ้นท์พาน้าต้อยมาช่วยดูแลน้องเสือด้วย” เจ้าของรถบอกขณะเปิดประตูลงมา “คือเพ้นท์อยากเข้าห้องน้ำสักหน่อยค่ะ ข้างล่างมีห้องน้ำไหมคะ”

“มีครับ เดินเลยลิฟต์เข้าไปจะเจอป้ายบอกทางไปห้องน้ำ”

“ขอบคุณค่ะ นั่งรอในรถอยู่กับน้าต้อยก่อนนะคะ เดี๋ยวเพ้นท์รีบมา”

เดือนธันวามองตามหลังหญิงสาวจนสุดสายตาขณะชั่งใจว่าควรขึ้นรถเลยดีไหม เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างในเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่ญาติดีกับเขาเอามากๆ 

สุดท้ายก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง ยังไม่ทันได้อ้าปากทักทาย อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยกระแนะกระแหนก่อน

“น่าสงสารเด็กมันนะคะเนี่ย พ่อก็ไม่มีกับเขา แม่ก็เลี้ยงไม่ค่อยเก่ง นี่ถ้าตรวจดีเอ็นเอแล้วไม่ตรงกับคุณเดือนธันวาอีกคงกำพร้าของแท้”

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แต่ดังพอให้ต้อยได้ยิน แม่บ้านที่อุ้มเด็กอยู่จึงจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจ

“ทำไมวันนี้น้ามาเองล่ะครับ”

“แหม ลูกน้ามันก็ต้องอ่านหนังสือสอบ คงไม่ว่างเลี้ยงเด็กทุกวันหรอก”

“แต่คุณพรรณวษาเคยเล่าให้ฟังว่านอกจากแตนกับอ้อยแล้ว คุณศุกลไม่ให้ใครช่วยดูแลเด็กนี่ครับ”

“คุณอัมพิกาสั่งให้น้ามาค่ะ เธอบอกว่าไม่ไว้ใจให้ลูกสาวและหลานชายไปไหนมาไหนกับคนอย่างคุณน่ะ”

เดือนธันวาไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับคำบอกเล่าของอีกฝ่าย กลับกัน...เขารู้สึกโล่งใจที่อัมพิกายอมให้มีคนช่วยพรรณวษาเลี้ยงน้องเสือมากกว่าสองคน หมายความว่าการปล่อยให้ล้มเมื่อวานเป็นผล เด็กชายเรียกคะแนนสงสารได้เยอะจนอาจจะกลายเป็นความรักใคร่ผูกพันเข้าสักวัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลดีๆ นะครับ”

“ไม่ต้องมาสั่งค่ะ คุณไม่ใช่เจ้านายของน้า” ต้อยเชิดหน้าไปอีกทาง จากนั้นเดือนธันวาก็ไม่พูดอะไรต่อ รอจนกระทั่งพรรณวษากลับมาที่รถ เสียงใสของเธอทำลายบรรยากาศเงียบสงัดชวนอึดอัดลงในพริบตา

“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณเดือนธันวามีโรงพยาบาลแนะนำไหมคะ”

“ไปแล็บตรวจดีกว่าครับ เสร็จแล้วผมแนะนำให้คุณไปโรงพยาบาลใกล้บ้านจะได้ตรวจร่างกายลูกของคุณ แล้วก็ติดต่อหาหมอประจำตัวเลย”

“ใช่! หมอประจำตัว” พรรณวษาเบิกตากว้างเพราะเพิ่งนึกออกว่าน้องเสือต้องมีหมอประจำตัว “แล้วคนเก่าอยู่โรงพยาบาลไหนคะ”

“อยู่เชียงรายครับ หาใหม่เถอะ”

“โอเคค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

“คุณเพ้นท์ น้าว่าเอาโรงพยาบาลหรูๆ ที่มีหมอเก่งๆ ดีกว่าไหม” ต้อยเสนอความคิดเห็นของตนเอง เจ้านายสาวพยักหน้าหงึกหงัก

“เพ้นท์ก็อยากพาไปโรงพยาบาลดีๆ นะคะ”

“แต่เวลาเด็กเจ็บป่วยกะทันหันจำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน และน่าจะดีกว่าถ้าหมอประจำตัวอยู่ที่นั่น ผมว่าเดี๋ยวนี้หมอทุกคนมีความชำนาญไม่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเลือกโรงพยาบาลหรูนักหรอกครับ”

“อืม จริงค่ะ”

เหตุผลของเขาพรรณวษาก็เห็นด้วย ส่วนต้อยขบฟันแน่น ไม่เถียงอะไรเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แต่แล้วก็ต้องตวัดสายตามองคนด้านหลังอีกรอบเมื่อเขาเอ่ยแนะนำเพิ่มเติม

“คุณหาซื้อคาร์ซีตไว้ด้วยก็ดีนะครับ ปลอดภัยดี จะได้ไม่ต้องมีคนคอยอุ้มตอนอยู่ในรถ”

 

วันนี้หญิงสาวไม่ลืมจะนำรถเข็นเด็กคันใหม่มาใช้ด้วย มาถึงแล็บตรวจก็ให้ต้อยอุ้มน้องเสือไปนั่ง จากนั้นเธอก็รับหน้าที่เข็นแต่เพียงผู้เดียว มีฝากต้อยบ้างตอนที่ไปติดต่อเจ้าหน้าที่พร้อมกับเดือนธันวา

กระบวนการตรวจดีเอ็นเอไม่ซับซ้อนมากเพราะเอกสารทุกอย่างมีครบ รอผลเพียงแค่เจ็ดวันทำการเท่านั้น เธอโทร. ไปรายงานอัมพิกาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ว่าจะหาข้าวกลางวันกินก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาลต่อ 

“เดี๋ยวแม่หาหมอดีๆ ที่โรงพยาบาลนั้นให้แล้วกัน ถ้าวันนี้เขาไม่เข้าเวรก็ไปวันอื่นเอา ไม่ต้องดันทุรังจะทำวันนี้ให้เสร็จ พาน้องเสือกลับมานอนกลางวันที่บ้านดีกว่า”

คนถือสายเหลือบมองเด็กชายที่หลับปุ๋ยคารถเข็นไปแล้วก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ตอบผู้เป็นแม่ “น้องเสือสลบไปแล้วค่ะ ข้าวกลางวันยังไม่ได้ให้กินเลย”

“อะไรของลูกเนี่ยเพ้นท์ เคยให้เด็กมันกินเป็นเวลาบ้างไหม นึกแต่จะเอาธุระให้เสร็จก่อนอย่างเดียว แล้วต้อยไม่ทักไม่ท้วงบ้างหรือไง”

“โถ่ คุณแม่ น้องเสือไม่ได้อดอยากปากแห้งสักหน่อย กินนมตลอด”

“กินแต่นม แม่ละเครียด!”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความเศร้าใจที่ถูกดุ อีกทั้งยังสงสารชะตากรรมของน้องเสือขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าลูกชายมีความสุขดีแล้ว เป็นแม่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

หลังวางสายเธอจึงหันไปบอกกับสองคนด้านหลัง “เราไปหาข้าวกลางวันกินกันเถอะค่ะ เดี๋ยวเพ้นท์เลี้ยง”

เดือนธันวากับต้อยพากันเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร คนชวนจึงสรุปเอาเองว่าทั้งคู่ตกลง

ใกล้ๆ กับแล็บตรวจมีร้านอาหารแนวรักสุขภาพอยู่ร้านหนึ่ง แต่อยู่ฝั่งตรงข้าม ต้องขับรถยูเทิร์นไปจอดหน้าร้าน น้องเสือร้องงอแงตลอดทางเพราะถูกกวนเวลานอน ขณะที่พรรณวษากับต้อยพยายามโอ๋แทบตายอีกคนบนรถกลับนั่งเงียบเหมือนไม่ได้ยิน

เด็กชายเริ่มเงียบเมื่อเข้าไปในร้าน เนื่องจากคนเป็นแม่อยากทำหน้าที่ดูแลลูกจึงจับนั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกัน ชายหนุ่มกับแม่บ้านจึงต้องนั่งข้างกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สั่งได้เต็มที่เลยนะคะ”

“คุณเพ้นท์สั่งให้น้าเลยค่ะ น้ากินอะไรก็ได้”

ต้อยไม่แตะเมนูแม้แต่นิด ส่วนเดือนธันวาไล่สายตาดูเมนูแต่ละหน้าอย่างละเอียด

“พี่คะ มีเมนูสำหรับเด็กแนะนำไหมคะ” พรรณวษาถามพนักงานที่ยืนรอรับออเดอร์

“มีข้าวอบธัญพืชกับพวกซุปครับ พอได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ เอาข้าวอบธัญพืชกับซุปครีมเห็ด แล้วก็ข้าวปลาย่างซีฟูด ของน้าต้อยเป็นข้าวผัดน้ำพริกแล้วกันค่ะ... คุณเดือนธันวาสั่งเลยนะคะ”

“ข้าวไก่ย่างสมุนไพรครับ” เดือนธันวาบอกพนักงานก่อนปิดเมนู

“ครับ น้ำรับเป็นอะไรดีครับ”

“น้ำเปล่าแล้วกันค่ะ” หญิงสาวตอบ 

เมื่อพนักงานเก็บเมนูแล้วจากไปเธอก็เริ่มบทสนทนากับผู้ร่วมโต๊ะ “คุณเดือนธันวาไปโรงพยาบาลด้วยกันนะคะ เพ้นท์อยากให้คุณรู้จักหมอประจำตัวน้องเสือ คุณแม่เพิ่งส่งข้อมูลมาให้เมื่อกี้ค่ะ เช็กแล้วด้วยว่าวันนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”

“ไม่จำเป็นหรอกครับ ทานเสร็จแล้วผมกลับเลยดีกว่า”

“ไปด้วยกันเถอะค่ะ จะได้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณต้องการ เสร็จแล้วเดี๋ยวเพ้นท์ไปส่งที่คอนโดก็ได้”

เดือนธันวาเงียบไปหน่อยก่อนจะพยักหน้า “ผมไปด้วยก็ได้ครับ ว่าแต่คุณหมอที่คุณอัมพิกาหามาให้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ผู้หญิงค่ะ”

“แต่ผมคิดว่าเสือควรมีหมอผู้ชายดูแลมากกว่า”

“อ้อ จริงด้วยค่ะ” พรรณวษาพยักหน้าคล้อยตามเหมือนโดนสะกดจิต ผิดกับแม่บ้านที่ไม่คิดจะคล้อยตามสักอย่าง คิดเพียงอย่างเดียวว่าชายหนุ่มพยายามเอาชนะอัมพิกา

หญิงสาวส่งข้อความกลับไปบอกมารดาว่าขอเป็นคุณหมอผู้ชาย อีกฝ่ายจึงรับปากและจะหาให้ใหม่ ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ น้องเสือลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้เพื่อจะตักซุปเห็ดด้วยตัวเองขณะที่คนเป็นแม่ยังก้มหน้าพิมพ์ข้อความอยู่

“คุณพรรณวษา ซุปร้อน”

เสียงเข้มติดจะดุของคนตรงหน้าทำให้เธอสะดุ้งเฮือก ตวัดสายตามองลูกชายก่อนคนทักด้วยซ้ำ

“อย่าเพิ่งค่ะน้องเสือ เดี๋ยวแม่เพ้นท์ป้อนนะคะ” เธอแย่งช้อนซุปมาจากมือเด็กชาย ตักซุปมาเล็กน้อยแล้วเป่าให้ จากนั้นก็ป้อนที่ปากโดยใช้ทิชชูรองกันหกด้วย และแล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มตรงหน้ากำลังชำแหละข้าวอบธัญพืชที่เธอสั่งให้น้องเสือจนเสียรูป 

ต้อยจ้องมองเพราะนึกว่าเขาจะเสียมารยาทชิม ในหัวคิดคำพูดแขวะเอาไว้แล้วเรียบร้อย ไม่คาดคิดว่าเขาจะตั้งใจแยกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกมาวางข้างจาน เนื่องจากเด็กหนึ่งขวบกว่ายังไม่สามารถกัดเคี้ยวของแข็งได้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น