5

พ่อคนช่างสังเกต

พ่อคนช่างสังเกต

 

ศุกลและอัมพิกาเมื่อรู้ว่าเดือนธันวาอยู่ที่บ้านแล้วก็รีบเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็ว โรงงานเครื่องหนังแห่งนี้ไม่ใช่แค่ทั้งคู่ที่ช่วยกันดูแล แต่ได้ลูกสาวคนโตอย่างพราวพิรุณเข้ามาช่วยดูแลด้วย ส่วนพรรณวษารับผิดชอบแค่พื้นที่แบรนด์นาฬิกาหนังของตัวเอง 

“เดี๋ยวพราวกลับบ้านไปรับลูกๆ ไปทานข้าวเย็นที่บ้านคุณพ่อคุณแม่นะคะ อยากเห็นนายเดือนธันวาอะไรนั่นด้วย” พราวพิรุณว่าหลังจากเสร็จงาน คู่บิดามารดาพยักหน้ารับพร้อมกัน “จะว่าไปยายเพ้นท์ต้องอุ้มลูกมาทำงานด้วยไหมคะเนี่ย ทิ้งไว้บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ยอมให้ใครดูแล”

ที่บ้านของพราวพิรุณมีสาวใช้หนึ่งคนทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ เมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน เธอจึงสามารถมาทำงานได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล ทำให้นึกเป็นห่วงน้องสาวเรื่องนี้ขึ้นมา

“อาทิตย์หน้าแตนกับอ้อยก็ปิดเทอมแล้ว” ศุกลตอบ ทีแรกก็คิดเป็นห่วงเรื่องไม่มีคนช่วยลูกสาวเลี้ยงหลานคนเล็ก แต่พรรณวษาเป็นคนดวงดี หาทางเอาตัวรอดอย่างการดึงแตนกับอ้อยมาช่วยได้ ซ้ำยังเป็นช่วงที่ทั้งคู่จะปิดเทอม

“ดีแล้วค่ะ เดี๋ยววันนี้พราวไปเอาของไม่ใช้แล้วมาให้เพิ่มด้วย ถือเป็นการเคลียร์บ้านไปในตัว”

“ยังไม่ต้องเอามาเยอะนักหรอก รอเจอหน้านายเดือนธันวากันก่อนดีกว่า”

“ทำไมเหรอคะคุณ” อัมพิกาถามสามีทันทีด้วยความอยากรู้ ตื่นเต้นตามทุกครั้งเวลาเห็นศุกลทำหน้าตาเหมือนมีความคิดดีๆ อยู่ในหัว

“เผื่อคนเป็นพ่อจะยังรักและผูกพันกับลูกจนอยากได้คืน เราจะได้ไม่ต้องดูแลลูกใครก็ไม่รู้ต่อ บอกเลยว่าถ้าเขาอยากได้ผมก็จะคืนให้ ไม่ขอเงินที่ยายเพ้นท์ให้ไปคืนด้วย”

“อ้าว แล้วยายเพ้นท์ล่ะคะ จะไม่ร้องไห้เสียใจเหรอ”

“เลี้ยงเด็กแค่สองวัน จะไปผูกพันเท่าคนที่เลี้ยงมาหนึ่งปีได้ยังไง”

 

พรรณวษาแกะของเล่นที่ซื้อมาให้น้องเสือเล่นทีละอย่าง ทำให้เด็กน้อยร่าเริงขึ้นบ้างหลังจากเศร้าซึมมาทั้งวัน ข้างกายมีแตนกับอ้อยคอยสร้างบรรยากาศสนุกสนาน ทั้งห้องนั่งเล่นจึงมีแต่เสียงเด็กหัวเราะสลับกับเสียงของผู้หญิงสามคน

เดือนธันวาแยกตัวออกมาอยู่ในครัวกับติ๋มที่วุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ เนื่องจากอัมพิกาเพิ่งโทร. มาบอกว่าพราวพิรุณ แอรีน และอันนาจะมากินข้าวด้วย ต้อยที่เพิ่งกลับมาจากซื้อของเดินบ่นอากาศประเทศไทยเข้ามาในครัว เจอคนแปลกหน้าเข้าก็ชะงักกึก

“อุ๊ย ใครคะเนี่ย”

“คุณเดือนธันวา พ่อของน้องเสือ” ติ๋มตอบน้องสาว ได้ยินอย่างนั้นคนถามก็เอามือทาบอกประหลาดใจ

“ที่ขายลูกกินอะนะ!”

“ระวังปากหน่อยนังต้อย”

เดือนธันวาไม่รู้สึกรู้สาใดๆ กับคำกล่าวหา เขารู้อยู่แก่ใจว่าจุดประสงค์ของการขอค่าเลี้ยงดูสามแสนบาทคืออะไร และไม่จำเป็นต้องพูดให้ใครรู้ทั้งนั้น

“เหอะ ความจริงแท้ๆ”

ถึงจะถูกปราม แต่ต้อยก็ไม่คิดจะระวังคำพูดของตนเอง หล่อนไม่หลงในรูปหน้าหล่อเหลาเพราะครั้งหนึ่งเคยหลงไปแล้วกับสามีเก่า อยู่กินกันไปกลับเห็นธาตุแท้เลวร้ายขัดกับหน้าตา สุดท้ายก็ต้องหอบลูกสองคนหนีมาทำงานกับติ๋มซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่ก่อน โชคดีที่ศุกลและอัมพิกาใจดีให้ทั้งสามอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้นคนหน้าตาดีไม่ได้หมายความว่าจะจิตใจดี ยิ่งเป็นคนที่ขายลูกกินแล้วหล่อนยิ่งอคติ ไหนจะสีหน้าไร้อารมณ์และความรู้สึก ถ้าไม่หยิ่งก็ต้องขี้เก๊กแน่นอน!

“เลิกพูดมากแล้วมาช่วยทำกับข้าว” ยามเมื่อติ๋มพูดกับน้องสาวหรือหลานๆ เสียงจะห้วนเป็นเชิงออกคำสั่ง สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นขึงขัง แตกต่างจากเมื่อพูดกับเจ้านายรวมถึงแขกของเจ้านาย ทว่าความดุทำให้หลานกลัวได้เท่านั้น ส่วนต้อยยังคงต่อปากต่อคำเป็นนิตย์

“ฉันช่วยอยู่แล้วน่า แต่สงสัยว่า ‘คุณพ่อเดือนธันวา’ มาอยู่ในนี้ทำไม” คนถามชะโงกหน้ามองสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่ เห็นว่ากำลังหั่นฟักทองก็ทำหน้าฉงน “นี่พี่ให้แขกทำขนาดนี้เลยเหรอ”

“คุณเดือนธันวาเขาขอช่วย ลูกๆ แกไปเล่นอยู่กับคุณเพ้นท์แล้วก็น้องเสือโน่น ฉันทำคนเดียวไม่ทันแน่”

“ก็ให้ลูกฉันมันมาช่วยพี่สิ ส่วนพ่อเด็กน่ะให้ไปเล่นกับเด็ก ไม่ใช่มาอยู่ในนี้ สลับหน้าที่กันทำไมก็ไม่รู้!” ต้อยเท้าเอวบ่นพลางจ้องคนตัวสูงไม่วางตา เขาจ้องกลับอย่างเท่าเทียม ทำให้หล่อนนึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“นังต้อย แกหุบปากแล้วมาช่วยฉันทำอาหารสักทีเถอะ ไม่ต้องไปยุ่งกับคุณเดือนธันวาเขา มัวแต่หาเรื่องแขกเจ้านายแบบนี้เมื่อไรจะเสร็จ”

“แล้วนี่พี่ทำอะไรบ้างล่ะ”

ติ๋มร่ายเมนูที่จะทำทั้งหมดและบอกว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ต้อยพยักหน้าส่งๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะเอาแต่สนใจคนที่เพิ่งหันกลับไปหั่นฟักทองต่อ เจ้าตัวไม่พูดอะไรสักคำ หั่นเป็นชิ้นเสร็จก็เอาใส่กะละมังใบเล็กให้แม่บ้านคนอาวุโสนำไปทำเมนูผัดฟักทองสำหรับเด็กๆ

“เดี๋ยวคุณเดือนธันวาช้อนฟองออกให้ป้าหน่อยนะคะ น้ำจะได้ใส”

ติ๋มยื่นถ้วยกับช้อนด้ามยาวให้ชายหนุ่มช้อนฟองออกจากน้ำซุปกระดูกหมูที่ต้มไฟอ่อนนานเป็นชั่วโมง เขาพยักหน้าก่อนจะทำตามคำสั่ง ไม่สนใจต้อยที่หัวเราะแปร่งๆ แล้วบ่นพึมพำคนเดียว

“คนประหลาด ลูกมีไม่เลี้ยง”

สายตาตวัดไปเห็นกล่องขนมจีบที่เหลืออยู่สองชิ้น ด้วยความหิวจึงเดินไปเปิดกล่องและหยิบเข้าปาก เข้าใจว่าเป็นของพี่สาวหรือลูกสาวกินทิ้งไว้เพราะปกติเจ้านายจะกินเป็นที่เป็นทาง ไม่วางของทิ้งไว้แบบนี้

“กินอะไรน่ะต้อย” ติ๋มทักเสียงเข้ม พอเห็นว่าเป็นขนมจีบก็เบิกตากว้าง “นังต้อย ของคุณเดือนธันวาเขา!”

“อ้าว!” ต้อยอ้าปากค้างจนเห็นขนมจีบที่เละอยู่ข้างใน จังหวะนั้นเดือนธันวาหันมามองพอดี “ฉันจะรู้ไหมเนี่ย มาทิ้งไว้ตรงนี้ทำไมล่ะ!”

“กินเถอะครับ ไม่เป็นไร” เจ้าของขนมจีบพูดเสียงเรียบแล้วกลับไปช้อนฟองออกจากน้ำซุปจนเสร็จ 

คนที่เผลอกินขนมจีบจึงต้องรีบเคี้ยวรีบกลืน จากนั้นก็ไม่คิดจะไปยุ่งด้วยหรือเฉียดเข้าใกล้เขาอีกเลย

 

ศุกลและอัมพิกากลับมาถึงบ้านตอนที่อาหารยังไม่เสร็จดี พรรณวษาอุ้มน้องเสือออกมารับพ่อกับแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ปรากฏความเครียดหรือรำคาญเด็กให้เห็นสักนิด ทำให้สองสามีภรรยาชักหวั่นใจว่าแผนการคืนลูกให้พ่ออาจจะไม่ราบรื่น ไหนจะการที่เด็กไม่ร้องโหวกเหวกโวยวายเมื่ออยู่กับคุณแม่คนใหม่เหมือนเมื่อวานอีก

“เพ้นท์ เอาน้องเสือมาให้แม่อุ้มหน่อยมา” อัมพิกายื่นมือรับเด็ก อีกฝ่ายจึงยกให้อุ้มอย่างยินดี

“น้องเสือไม่ดื้อไม่ซนเลยนะคะวันนี้ เล่นของเล่นกันเพลินเลย”

“ท่าจะเพลินจริง ดูสิ หน้าตาซีดเซียวหมดแล้ว ขึ้นห้องไปเติมเครื่องสำอางหน่อยไป” หล่อนแกล้งว่าจนลูกสาวหน้าตาตื่นพร้อมเอามือสองข้างทาบแก้ม

“ถึงขนาดต้องเติมเลยเหรอคะคุณแม่”

“อืม แล้วค่อยลงมากินข้าวกัน เดี๋ยวพราวกับลูกๆ จะมากินข้าวด้วย”

“ค่ะๆ เดี๋ยวเพ้นท์รีบมานะคะ”

พรรณวษารีบวิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านทันที ผ่านหน้าแตนกับอ้อยที่กำลังเดินออกมา เมื่อลูกสาวไม่อยู่แล้วอัมพิกาจึงอุ้มเด็กชายไปถามสองสาวใช้

“พ่อน้องเสืออยู่ไหน”

“ช่วยป้าติ๋มทำอาหารค่ะ”

“หือ?” คำตอบของแตนทำให้คนถามหลุดอุทานด้วยความงงงวย หันไปมองหน้าสามีก็พบว่าตกอยู่ในอาการเดียวกัน

“อ้อยว่าคุณเดือนธันวาหาวิธีหลบลูกตัวเองตลอดเลยค่ะ ไม่แตะ ไม่มอง ไม่มาเล่นด้วย ขนาดคุณเพ้นท์ให้นั่งอยู่เฉยๆ ยังไม่ยอมอยู่เลยนะคะ” อ้อยฟ้องยกใหญ่จากสิ่งที่เห็นมา 

เมื่อบ่ายพรรณวษาและสองสาวพี่น้องลงมาเจอน้องเสือกำลังกินข้าวพอดีจึงดูแลให้ ขณะที่พ่อตัวจริงยืนกินขนมจีบอยู่ห่างๆ กินเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็เชิญเขาให้ตามไปที่ห้องนั่งเล่น เขาไปนั่งด้วยแต่แทบไม่ชายตามองเด็ก ไม่นานนักก็ขอตัวไปดื่มน้ำในครัวและไม่กลับมาอีกเลย อ้อยไปดูถึงได้รู้ว่าช่วยติ๋มทำอาหารอยู่

เมื่อทนความอยากเห็นไม่ไหวหญิงวัยกลางคนจึงเดินนำทุกคนไปห้องครัว เจอต้อยถือโถข้าวออกมาพอดีจึงเอานิ้วชี้ทาบปากให้เงียบไว้ จากนั้นก็ย่องไปแอบดูข้างประตู ด้านหลังมีสามีและกลุ่มคนใช้สอดแนมอยู่ด้วย น้องเสือเหมือนรู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ควรส่งเสียงจึงไม่ร้องออกมาสักแอะ

สิ่งที่ทุกคนเห็นคือแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มซึ่งกำลังยืนฟังแม่บ้านอธิบายเทคนิคการทำอาหารให้ฟังอย่างตั้งใจ

“เวลาหั่นผักชีป้าจะใช้มีดเฉือนช่อมันแบบนี้ค่ะ จะเร็วกว่าเด็ดทีละใบๆ” ติ๋มใช้มีดสสไลซ์ปลายช่อผักชีให้ดู เพียงแค่สามวินาทีก็ได้ผักชีไว้โรยหน้าอาหารกองใหญ่

“ดูง่ายจังเลยนะครับ เดี๋ยวผมเอาไปล้างให้” เดือนธันวายกเขียงไปเทผักชีใส่กะละมังเพื่อล้างเตรียมไว้ ขณะนั้นติ๋มหยิบกีวีมาปอกเปลือกเตรียมเสิร์ฟเป็นของหวานหลังอาหาร เมื่อคนล้างผักหันไปเห็นก็เอ่ยทัก “ไม่ใช้ช้อนล่ะครับ เร็วดีเหมือนกันนะ”

“หือ ช้อนเหรอคะ”

ชายหนุ่มละมือจากผักชี เดินมาผ่ากีวีเป็นครึ่งแล้วหยิบช้อนมาคว้านเนื้อออกตามแนวเปลือก ครู่เดียวก็ได้เนื้อผลไม้ครึ่งซีกให้แม่บ้านอาวุโสดู

“ง่ายดีนะคะ ปกติป้าปอกเปลือกเอาตลอดเลย เดี๋ยวป้าลองทำแบบคุณบ้างดีกว่า”

“ครับ” เขาตอบรับแล้วกลับไปจัดการผักชีต่อ

“คุณพอทำอาหารเป็นอยู่บ้าง ชอบทำเหรอคะ”

“ไม่เท่าไรครับ แม่ชอบใช้ให้ช่วย”

บทสนทนาดำเนินไปเรื่อย อัมพิกาลอบฟังอยู่พักหนึ่ง กระทั่งรู้สึกตัวว่านานไปจึงหันไปหาต้อยแล้วกระซิบกระซาบสั่ง

“ไปหาทางเอาติ๋มออกมาหน่อย อย่าให้อีกคนรู้ตัวว่าเราแอบอยู่”

ถึงจะสงสัยแต่ต้อยก็พยักหน้าทำตามคำสั่ง ฝากโถข้าวไว้กับลูกสาวคนโตและเดินเฉิดฉายเข้าไปในครัวเหมือนไม่มีเรื่องใดพิเศษ

“พี่ติ๋ม ช่วยกันยกกับข้าวเถอะ คุณๆ เขามากันแล้ว ผลไม้ปอกทีหลังก็ได้”

ติ๋มพยักหน้าแล้วรีบยกจานอาหารใส่ถาดทีละอย่างโดยมีน้องสาวช่วยเหลือ เดือนธันวาหันมองแวบหนึ่ง ต้อยจึงเงยหน้าขึ้นบอกเสียงห้วน

“ไม่ได้ใช้คุณ อยากทำอะไรก็ทำต่อไปค่ะ”

ชายหนุ่มหันกลับไปสนใจผักชีต่อ เมื่อติ๋มตามต้อยออกไปจากครัวแล้วจึงเห็นว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนแอบอยู่ ทุกคนพร้อมใจกันเอานิ้วชี้ทาบปากให้เบาเสียง สองพี่น้องแม่บ้านจึงไปวางอาหารที่โต๊ะก่อนเพื่อจะตามมาสมทบให้เร็วที่สุด

“เอาละนะน้องเสือ ไปหาพ่อเลยลูก” อัมพิกากระซิบบอกเด็กชายพลางย่อตัวลง ก่อนจะปล่อยร่างเล็กให้เข้าไปในครัว น้องเสือวิ่งเข้าไปทันทีพร้อมส่งเสียงร้องร่าเริง

“ป้อ!”

เดือนธันวาสะดุ้งเฮือก เหลียวมองเด็กน้อยด้วยความแปลกใจว่าเข้ามาได้อย่างไร แล้วใครปล่อยให้เข้ามา นัยน์ตาคมตวัดมองนอกห้องครัว ไม่มีสิ่งผิดปกติใด...นอกจากเงาลางๆ ที่ขยับอยู่บนพื้น

ชายหนุ่มกลับมาสนใจเด็กตัวเล็กที่เดินเตาะแตะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะหมุนตัวไปหยิบถ้วยเล็กมาใบหนึ่งและใส่กีวีไร้เปลือกลงไปด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็วางลงบนพื้นตรงหน้าเด็กชาย ผลไม้ในถ้วยทำให้น้องเสือชะงัก มองด้วยความสนใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย่อตัวหยิบถ้วยมาดู

“อะไรของเขากัน! มีอย่างที่ไหน วางอาหารไว้ที่พื้นให้ลูกกินเป็นหมาเลย” อัมพิกาที่แอบชะโงกมองหันไปบ่นกับศุกลหน้าเครียด เมื่อได้ยินเสียงจากข้างในก็แอบดูอีก

“เอาออกไปกินข้างนอก” น้ำเสียงของเดือนธันวาฟังดูห่างเหิน สายตาที่มองเด็กชายเย็นชาเหลือแสน ไม่มีความรักใคร่ผูกพันให้เห็นแม้จะอยู่กันตามลำพัง

“ยะ ย่า หาย่า...ย่าป้อน”

“ไม่มีย่าแล้ว ดูแลตัวเองไป”

“หาอุมผ้า”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าไปพูดคำนั้นให้ใครเขาได้ยิน!”

เหล่าคนที่แอบฟังต่างเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าจะได้เห็นคนท่าทางสงบเยือกเย็น ไม่แยแสต่อสิ่งใดขึ้นเสียงดุเด็กแบบนี้ เขายังคงยืนตัวตรง ไม่ย่อตัวคุยกับเด็กที่นั่งยองบนพื้นราวกับต้องการรักษาระยะห่างให้มากที่สุด

“อึก...” น้องเสือเบะปาก แต่แล้วก็ถูกสั่งอีก

“เงียบ! ไม่ต้องร้อง เอากีวีออกไปกินข้างนอก”

พูดจบชายหนุ่มก็เมินหนีไม่สนใจ น้องเสือลุกขึ้นยืนนิ่งชั่วครู่ ภาพนั้นทำให้อัมพิกาเจ็บปวดใจ หล่อนเอ็นดูเด็กและไม่อยากให้ต้องมาพบพานกับคนแบบนี้

เด็กน้อยหมุนตัวจะเดินออกจากครัวพร้อมถ้วยกีวีตามคำสั่ง ทว่ากลับสะดุดขาตนเองจนล้มคะมำ

เคร้ง!

เดือนธันวาหันกลับมามองอีกครั้งด้วยความตกใจ ทว่าสองขายาวก้าวช้ากว่าอีกคนที่วิ่งออกมาจากที่ซ่อน ประคองน้องเสือขึ้นด้วยแขนสองข้างของตนเอง

“หลานยาย เจ็บไหมลูก”

“ฮือออ”

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคนเก่ง โอ๋ๆ” อัมพิกากอดปลอบเด็กน้อยแน่น ก่อนจะมองคนที่เพิ่งรู้จักครั้งแรกด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “นี่คุณเป็นพ่อเขาจริงๆ หรือเปล่า พูดจาก็ไม่ดี ลูกล้มยังไม่เข้ามาหา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้าขายลูกตัวเองให้คนอื่นไปเลี้ยง!”

“สวัสดีครับ” เดือนธันวาไหว้สวัสดีผู้อาวุโสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่อัมพิกา แต่รวมถึงศุกลที่ตามมาด้วย เขาไม่ยี่หระต่อสายตาใครที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อ หากมีพรรณวษาด้วยคงดีกว่านี้

“ไม่ต้องมาไหว้! คุณคะ ฉันว่าเราเลี้ยงน้องเสือเองดีกว่า อย่าคืนเลย” หญิงวัยกลางคนบอกสามีก่อนจะอุ้มน้องเสือออกไปจากครัวอย่างไม่พอใจ 

ศุกลลอบมองเขาในเชิงตำหนิแวบหนึ่งแล้วเดินออกไปบ้าง ตามติดด้วยสามแม่ลูก ต้อย แตน และอ้อย

คนสุดท้ายที่อยู่คือติ๋ม สายตาที่มองเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“ไม่คิดเลยนะคะว่าพอลับหลังคนอื่น คุณเดือนธันวาจะทำกับน้องเสือขนาดนี้ ไม่อยากแตะตัว ไม่อยากอุ้ม ป้าเข้าใจ แต่ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงใส่แบบนั้นเลย เด็กไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด”

เพราะเขารู้ต่างหากว่ามีคนแอบมอง ถึงได้ทำขนาดนี้...

อัมพิกาคิดว่าตนเองส่งน้องเสือมาพิสูจน์ใจเขาจนรู้ธาตุแท้ แต่ความจริงเป็นเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายพิสูจน์ใจอัมพิกา จนตอนนี้มั่นใจระดับหนึ่งแล้วว่าอดีตลูกชายอยู่ในที่ที่มีคนรัก

 

พรรณวษาไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าบรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวนั้นมาคุแปลกๆ หลังจากที่แนะนำเดือนธันวาให้บิดามารดารู้จักกลับไม่มีใครอยากมองหน้าเขาสักคน อัมพิกาให้น้องเสือนั่งอยู่ข้างๆ คอยกล่อมจนหยุดร้อง พอหญิงสาวถามถึงสาเหตุก็ได้รับคำตอบแค่ว่า ‘หกล้ม แต่ไม่เป็นอะไรมาก’

เมื่อพราวพิรุณพาลูกๆ มาถึง บรรยากาศกระอักกระอ่วนก็เลือนหายเพราะคนบ้านนั้นพูดจ้อกันทุกคน ทำให้คนรักความเฮฮาปาร์ตีอย่างพรรณวษาสบายใจขึ้นเป็นกอง

“พี่พราวคะ นี่คุณเดือนธันวาค่ะ คุณเดือนธันวาคะ นี่คือพี่พราวพิรุณ พี่สาวคนโตของเพ้นท์เอง แล้วนี่ก็น้องแอรีนและน้องอันนาค่ะ” หญิงสาวแนะนำกลุ่มผู้มาใหม่ให้รู้จักกับเดือนธันวา 

ชายหนุ่มไหว้สวัสดีตามมารยาท พราวพิรุณเพียงแค่รับไหว้เพราะกำลังประเมินลักษณะภายนอกของเขาอยู่ ขณะที่เด็กๆ ค้อมตัวไหว้เขาโดยพร้อมเพรียง

“สวัสดีค่า”

“เรียกว่าน้าเดือนธันวานะคะ”

พรรณวษาสอนหลานสาวด้วย ทั้งสองพยักหน้ารับ และแล้วคนเล็กก็โชว์สกิลภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจแม้จะยังออกเสียงไม่ค่อยชัด

“เดือนธันวา คือดีเชมเบอร์! อันนาจำได้ ดีเชมเบอร์ ฟูลมูนไชน์ ลอยกาทง ลอยกาทง~”

“เอ่อ โนเวมเบอร์หรือเปล่าคะ ลอยกระทงน่ะ” พราวพิรุณสะกิดลูกให้รู้ตัวว่าปล่อยไก่ไปแล้ว อันนาถึงกับสะอึก ก่อนจะหลบหลังแม่ด้วยความเขิน

“น้าเพ้นท์ขา วันนี้ทำผมให้แอรีนนะคะ นะๆๆ”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวน้าเพ้นท์ถักเปียให้ แต่เรากินข้าวกันก่อนนะ”

เธอพาเด็กๆ ไปนั่งที่เก้าอี้กันก่อน เมื่อเหลือเพียงแค่พราวพิรุณที่เผชิญหน้ากับเดือนธันวา คุณแม่ลูกสองจึงเอ่ยทักเขาบ้าง

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณเดือนธันวา เป็นยังไงบ้างคะ ใจหายไหมที่ต้องให้ลูกคนอื่นไป” เธอทำเป็นชวนคุยไปเรื่อย แต่คอยดูท่าทีของเขาว่าอยากได้ลูกคืนไหม ซึ่งอีกฝ่ายไม่แสดงความต้องการหรืออาลัยอาวรณ์ออกมาเลย

“ไม่ครับ ผมยินดีมากที่จะให้เขาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะรักเขา”

พราวพิรุณขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มบางจากคนตรงหน้า ยินดีจริงอย่างนั้นหรือ...

“พราว” อัมพิกาเรียกลูกคนโต ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องเสียเวลาคุยแล้ว พราวพิรุณจึงเอ่ยขอตัวและไปนั่งกับลูกๆ ว่าจะหาโอกาสพูดคุยกับมารดาให้ได้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่

เดือนธันวายืนนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งถูกมือบางแตะแขนเบาๆ

“นั่งกับเพ้นท์นะคะ”

โต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมยาว ตำแหน่งหัวโต๊ะเป็นของศุกล ทางฝั่งซ้ายจากหัวโต๊ะเป็นที่นั่งของแอรีน พราวพิรุณ และอันนาตามลำดับ คนเป็นแม่นั่งคั่นกลางเพื่อจะได้ดูแลลูกสาวทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม ส่วนฝั่งขวาคืออัมพิกา น้องเสือ พรรณวษา และเดือนธันวาที่หย่อนตัวลงนั่งเป็นคนสุดท้าย

“เป็นยังไงบ้างเพ้นท์ ลูกแกเลี้ยงยากไหม” พราวพิรุณเปิดประเด็นเรื่องน้องเสือก่อนใคร 

ก่อนตอบพรรณวษาเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายเล็กน้อย เขาเหล่มองเธอตอบก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางอื่น

“ไม่ยากค่ะ น้องเสือน่ารักจะตาย เนอะลูก” เธอเอามือยีหัวเด็กน้อยแล้วเริ่มป้อนข้าวให้ เห็นว่าน้องเสืออ้าปากรับและเคี้ยวหงุบหงับก็อยากจะบิดแก้มให้หายมันเขี้ยวสักที

“พราวได้ยินจากยายเพ้นท์ว่าภรรยาของคุณเดือนธันวาเสียชีวิตไปแล้ว คุณเอาลูกมาให้คนอื่นเลี้ยงแบบนี้เธอจะตายตาหลับเหรอคะ”

สิ้นคำถามของพราวพิรุณ ทั้งโต๊ะเงียบกริบ มีเพียงแค่เสียงช้อนกระทบจานของเด็กๆ ที่กินต่ออย่างไม่รู้เรื่อง ต้อยที่ยืนฟังอยู่ถึงกับทำตาโต อยากจะปรบมือให้คนถามเพราะถามได้ถูกใจมาก

เดือนธันวาที่เพิ่งเอามือจับช้อนส้อมค้างอยู่ท่านั้น สายตามองตรงไปยังคนที่ส่งคำถามเจ็บปวดใจมาให้ แม้ภายนอกนิ่งงัน แต่ถ้าหากความคิดของเขาถูกฉายออกมาเป็นวิดีโอได้ ทุกคนจะได้เห็นภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แทรกด้วยเสียงทะเลาะเบาะแว้ง เสียงร้องไห้ คำโกหก เสียงเด็กร้องระงม ก่อนจะมาจบที่...งานศพ

ความหลังหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ ถึงเก็บซ่อนไว้ลึกแค่ไหนก็จะตามติดไปตลอดชีวิต ตนเองตอนนี้กับเมื่อสองปีก่อนแตกต่างราวกับเป็นคนละคน ในเวลานั้นเขาคือพายุลูกใหญ่ที่เก่งเรื่องทำร้ายจิตใจคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง ไม่มีความสงบเยือกเย็นอย่างที่ใครต่อใครเห็นในตอนนี้

ใช่...ขายลูกให้คนอื่นไป คนเป็นแม่คงตายอย่างไม่สงบ

แต่สำหรับรังสิมา ภรรยาของเขาคงไม่คิดเช่นนั้น การให้ลูกไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่สามีตัวเองอาจจะเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

มือบางแตะมือเขาเพื่อเรียกให้กลับมายังปัจจุบัน มือนั้นเป็นของพรรณวษาที่ส่งสายตาเป็นห่วงความรู้สึกมาให้ ใบหน้าเธอดูย่ำแย่เหมือนเป็นคนที่ต้องตอบคำถามนั้นเสียเอง เขาจึงแสดงให้เห็นว่าตนเองเข้มแข็งกว่าที่เธอคิด

“สำคัญด้วยเหรอครับว่าจะตายตาหลับหรือไม่หลับ สุดท้ายก็ถูกเผาจนเหลือแค่กระดูกอยู่ดี”

ผู้ใหญ่ทุกคนที่โต๊ะอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบ เหล่าคนใช้ก็ไม่ต่าง ตีความแล้วก็พากันสงสัยว่าชายหนุ่มรักภรรยาของตนบ้างหรือเปล่า 

“แล้วญาติฝั่งแม่เด็กเขาไม่ว่าเอาเหรอคะ” พราวพิรุณเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาย้อนถามได้แม้จะยังหลงเหลือความพิศวงอยู่บนใบหน้า

“แม่เด็กไม่มีญาติที่ไหนครับ”

“คุณรักลูกของคุณบ้างหรือเปล่า”

“ลูกของผม ผมรักอยู่แล้วครับ”

“แล้วทำไมถึงให้ยายเพ้นท์ง่ายๆ ล่ะคะ หรือว่าขัดสนเรื่องเงินมาก ถ้าอย่างนั้นไม่เรียกไปสักสามล้านล่ะคะ สามแสนจะไปพอยาไส้อะไร”

“พอได้แล้วค่ะพี่พราว!” พรรณวษาตะโกนแทรกอย่างทนไม่ไหว เธอเกลียดบรรยากาศที่ร้อนเป็นไฟแบบนี้ การกินข้าวกับครอบครัวที่มีเด็กๆ ถึงสามคนควรจะมีแต่ความสนุกสนาน ทุกคนควรพูดคุยกันแต่เรื่องดีๆ ไม่ใช่มาพูดจาในเชิงทะเลาะกันให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง เธอเกลียดพลังลบ!

ตอนนี้แอรีนกับอันนามองทั้งแม่ตัวเองและน้าสาวอึ้งๆ เพราะไม่เคยเห็นทั้งสองขัดแย้งกันขนาดนี้มาก่อน เมื่อรู้ตัวพราวพิรุณจึงผ่อนลมหายใจสงบสติอารมณ์ของตนเอง

“ขอโทษทีค่ะ กินต่อเถอะ”

ทุกคนก้มหน้ากินข้าวต่อ มีเพียงศุกลคนเดียวที่ยังจ้องมองชายหนุ่มเพราะยังตงิดใจในคำพูดของเขาซึ่งขัดกับการกระทำที่แสดงออก

“คุณเดือนธันวา”

เจ้าของชื่อหันมองคนเรียกพร้อมกับคนที่เหลือ ราวกับมีชื่อเดียวกันหมด

“น้องเสือเป็นลูกของคุณหรือเปล่า”

เขาบอกว่าลูกของเขา เขารักอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่...ก็ไม่รักอย่างนั้นหรือ

“เขาเป็นลูกชายของผมที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

คำตอบของเดือนธันวาซ่อนความจริงอย่างจงใจ ศุกลจึงต้องการหลักฐานประกอบเรื่องนี้

“ผมขอดูผลดีเอ็นเอของคุณกับน้องเสือ เพ้นท์จะพาคุณไปตรวจวันพรุ่งนี้”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง แววตาฉายประกายบางอย่างที่สร้างความแปลกใจให้คนมองไม่รู้จบ

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น