๑
พ่อเสือน้อย
วันนี้เป็นวันเกิดปีที่ห้าสิบห้าของอัมพิกา หญิงวัยกลางคนผู้มีสามีที่ดีและลูกสาวแสนสวยอีกสามคน
กาลเวลาที่ผ่านพ้นอาจจะทำให้ริ้วรอยเพิ่มขึ้น แต่อัมพิกาเชื่อว่าตัวเองยังสวยไม่สร่าง ผิวของหล่อนยังคงเปล่งปลั่งสว่างสดใส เส้นผมมีสีขาวแซมเพียงเล็กน้อย หมั่นเข้าร้านทำผมเพื่อไปย้อมบ่อยๆ ก็กลับไปดำเช่นเดิม สิ่งสำคัญคือหล่อนยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับสามีและลูกสาวคนสุดท้องในบ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์น ส่วนคนโตและคนรองแต่งงานมีครอบครัวไปเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อถึงวันเกิดของหล่อนหรือสามี ลูกทุกคนจะพาคนในครอบครัวมาร่วมฉลองวันเกิดที่บ้าน ใช้เวลาแห่งความสุขด้วยกันจนย่ำเย็น แน่นอนว่าวันนี้ทั้งสองครอบครัวก็มาเช่นเคย
“วันนี้สวยกว่าทุกวันนะครับ”
ศุกล ชายผู้เป็นสามีเอ่ยชมภรรยาร่างบางซึ่งกำลังเดินลงบันไดมาในชุดสีม่วงอ่อน ถึงจะอายุมากและมีลูกถึงสามคน หุ่นของหล่อนก็ยังผอมเพรียวจากการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเครียดจนกระทบการพักผ่อนเพราะหล่อนเชื่อนักหนาว่าการดูแลตนเองนั้นสำคัญ
“แน่นอนค่ะคุณ ยิ่งแก่ฉันจะยิ่งสวยขึ้น” อัมพิกายิ้มหวาน แล้วยิ่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสวยเมื่อได้เจอลูกสาวสองคนยืนรออยู่หน้าบันได
“แฮปปีเบิร์ดเดย์ค่ะคุณแม่!”
พราวพิรุณ และพรรษมนประสานเสียงพร้อมกันหลังจากซักซ้อมกันมาดิบดี ก่อนจะรับกอดจากผู้เป็นแม่ที่เดินลงบันไดมาหาอย่างเร่งรีบด้วยความคิดถึงลูกๆ
“ขอบใจจ้ะ ยายพราว ยายพัด มากันตั้งแต่เมื่อไรน่ะ”
“ครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่ะ ถึงพร้อมกันเลย”
พราวพิรุณผู้เป็นลูกสาวคนโตตอบ ก่อนที่พรรษมน ลูกสาวคนกลางจะเอ่ยถาม
“แล้วยายเพ้นท์ล่ะคะ แต่งตัวนานกว่าคุณแม่อีกเหรอ”
“ยายเพ้นท์ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปเอาของขวัญมาให้แม่เขา” ศุกลตอบ มองหน้าภรรยาก็พบว่าหล่อนกำลังยิ้มปลื้มใจ สองสามีภรรยาคิดว่าของขวัญปีนี้ของพรรณวษาต้องยิ่งใหญ่อลังการ เพราะถ้าเป็นของทั่วไปเจ้าตัวก็น่าจะซื้อเตรียมไว้ก่อน ไม่ต้องขับรถไปเอาแต่เช้า
“ปีนี้ถอยรถให้คุณแม่แน่ๆ” พราวพิรุณเดาอย่างไม่จริงจัง พลันเสียงเล็กของลูกสาวคนโตของเธอก็ดังขึ้น
“สุขสันต์วันเกิดค่าคุณยายยย”
แอรีน เด็กหญิงวัยหกขวบวิ่งเข้ามาหาพร้อมของขวัญ ด้านหลังมีอันนา เด็กหญิงวัยห้าขวบตามมาติดๆ
“สุขสันต์วันเกิดค่า ขอให้คุณยายสุขภาพแข็งแยง”
อันนาเกาะกระโปรงของผู้เป็นยาย ส่วนแอรีนยื่นกล่องของขวัญให้
“ของขวัญของแอรีนกับอันนาค่ะ”
“โถ หลานรักของยาย” อัมพิกาลูบหัวเด็กหญิงทั้งสองอย่างรักใคร่แล้วรับกล่องของขวัญมาถือไว้ เมื่อเลื่อนสายตามองด้านหลังก็พบกับปัถย์ ชายหนุ่มวัยสามสิบปีผู้เป็นลูกเขยจูงมือเด็กหญิงอายุสามขวบเดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณแม่ น้องแพทไหว้คุณยายก่อนค่ะ”
“ชาหวัดดีค่ะ” น้องแพทก้มหัวไหว้อย่างมีมารยาท หนูน้อยค่อนข้างเขินคนหมู่มากจึงเอาแต่หลบหลังพ่อ ไม่เข้าไปหาใคร
“สวัสดีจ้ะปัถย์ สวัสดีจ้ะหนูแพท” อัมพิกาปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอหลานทั้งสามพร้อมหน้าพร้อมตา เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม หลานๆ จึงสามารถมาหาได้
แอรีนและอันนาเป็นลูกสาวของพราวพิรุณและคุณหมออนาวินซึ่งวันนี้ยังไม่ได้เห็นหน้าเห็นตา ส่วนน้องแพทเป็นลูกสาวของพรรษมนและปัถย์ ชายหนุ่มซึ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนตอนนี้ ปัถย์เป็นเจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ บุคลิกอบอุ่น เหมาะสมกับสาวเรียบร้อยอย่างพรรษมนเป็นที่สุด
“วันนี้พี่หมอติดเข้าเวร ไม่ได้มานะคะคุณแม่ แต่ฝากพราวมาแฮปปีเบิร์ดเดย์คุณแม่ด้วยค่ะ” พราวพิรุณบอกมารดา สามีของเธอเป็นหมอกระดูกและข้อในโรงพยาบาลเอกชนแถวหน้าของประเทศไทย นับวันยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีคนไข้จำนวนไม่น้อยต้องการรักษากับเขา สามีเธอจึงกลายเป็นคุณหมอคิวทองที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างไปไหนมาไหนเท่าไร
“ฝากขอบใจหมอวินด้วยนะ ยายพราวกับยายพัดพาลูกๆ ไปรอที่โต๊ะกันก่อนไป” อัมพิกาบอกทุกคนด้วยใบหน้าชื่นมื่น เมื่อลูกสาวพาเด็กๆ เข้าไปที่โต๊ะกินข้าวแล้วหล่อนจึงเดินไปหาปัถย์
“นี่ปัถย์ จะมีหนูแพทคนเดียวเหรอ ไม่มีหลานชายให้แม่สักคนล่ะ”
“ผมกับพัดตกลงกันดีแล้วครับคุณแม่ว่าจะมีแค่คนเดียว” ชายหนุ่มตอบมารดาของภรรยาพร้อมแสดงความเสียใจผ่านสายตา แต่เขากับพรรษมนไม่คิดเปลี่ยนใจ “พี่พราวไม่อยากมีแล้วเหรอครับ”
“โอ๊ย หมอวินเขางานยุ่งขึ้นทุกวัน ขืนมีอีกคนยายพราวแย่แน่ แค่แอรีนกับอันนาก็เหนื่อยพอแล้ว” หญิงวัยกลางคนรู้ดีว่าลูกสาวคนโตทำหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นส่วนใหญ่เพราะสามีไม่ค่อยมีเวลา แต่ถึงอย่างนั้นอนาวินก็ไม่ได้ถึงขั้นละเลยครอบครัว
“น้องเพ้นท์ล่ะครับ”
“รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เลิกกับแฟนคนล่าสุดก็ตั้งปณิธานจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต ปัถย์เห็นใจแม่หน่อยสิ แม่มีแต่ลูกสาว แถมยังมีแต่หลานสาว แม่อยากได้หลานชาย” อัมพิกาทำหน้าเศร้า สมัยมีลูกหล่อนอยากได้ลูกชายสักคน ทว่ากลับมีแต่ลูกสาว พอมาถึงรุ่นหลานก็เจอแต่หลานสาว เห็นทีโครโมโซมเอ็กซ์ของคนบ้านนี้จะแรง ไม่มีวายหลุดรอดมาสักคน
“ผมเกรงว่าถ้ามีให้คุณแม่อีกคนจะเป็นลูกสาวอีกน่ะสิครับ”
“ปัถย์คำนวณเวลาดีๆ เดี๋ยวแม่ช่วย”
“มีแพทคนเดียวก็พอแล้วครับ” ปัถย์ยืนยันคำเดิม และก่อนที่อัมพิกาจะได้โน้มน้าวอะไรต่อศุกลก็รีบตัดบทให้
“พ่อว่าเราไปที่โต๊ะกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวยายเพ้นท์ก็คงกลับมาแล้ว ลืมเรื่องหลานชายไปเถอะคุณ” ประโยคหลังเขาบอกภรรยาที่ทำหน้ามุ่ย
“ครับ อ้อ ผมยังไม่ได้อวยพรคุณแม่เลย สุขสันต์วันเกิดนะครับ วันเกิดปีนี้ขอให้คุณแม่สมความปรารถนาทุกอย่าง” ปัถย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าเจ้าของวันเกิดไม่คิดจะยิ้มตาม
“ก็เพิ่งไม่สมปรารถนาอยู่เนี่ย”
“เอาน่าๆ ไปได้แล้ว” ศุกลดันหลังอัมพิกาให้เดินนำหน้าไปก่อน แล้วพยักหน้าให้ลูกเขยเดินตามมา
ที่โต๊ะกินข้าวนอกจากจะมีสองสาวและเด็กหญิงสามคนแล้ว ยังมีแม่บ้านสองคนนามว่าติ๋มและต้อยซึ่งเป็นพี่น้องกันยืนคอยอยู่ ติ๋มเป็นโสด ส่วนต้อยมีลูกสาวสองคนชื่อว่าแตนกับอ้อย ทั้งคู่อยู่ในวัยมัธยม
บ้านนี้มีผู้ชายเป็นส่วนน้อยจริงๆ อัมพิกาถึงได้โหยหาหลานชายนัก
โต๊ะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยสนุกสนานจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เว้นก็แต่น้องแพทที่เป็นเด็กพูดน้อย แตกต่างจากแอรีนและอันนาที่พูดจ้อ เพราะว่าพราวพิรุณแม่ของเด็กทั้งสองเป็นคนพูดเก่งเช่นเดียวกับอนาวิน เด็กที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแม่จึงได้นิสัยแบบเดียวกันมา
“คุณเพ้นท์กลับมาแล้วค่ะ” ต้อยเอ่ยขึ้นเมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นรถสีเขียวมินต์ของพรรณวษาแล่นเข้ามา ทุกคนหันมองตาม
แอรีนตะโกนลั่น “น้าเพ้นท์มาแล้ว แอรีนจะให้น้าเพ้นท์แต่งหน้าให้!”
เด็กน้อยสนิทกับน้าสาวคนนี้ค่อนข้างมากเพราะชอบแต่งตัวเหมือนกัน มาหาทีไรก็จะขอให้แต่งหน้าทำผมให้ตลอด ส่วนอันนาชอบให้พรรณวษาเล่นเกมเศรษฐีเป็นเพื่อน หลังทานข้าวเสร็จว่าจะออดอ้อนให้เล่นด้วยกันสักหกเจ็ดตา
ไม่นานนักหญิงสาวรูปร่างดีก็ปรากฏตัวที่โต๊ะกินข้าวซึ่งพร้อมไปด้วยอาหารมากมายเต็มโต๊ะ เธอกล่าวทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส สวมกอดพี่สาวทั้งสองด้วยความคิดถึง ก่อนจะโบกมือทักทายเด็กๆ ทั้งสามคน
“แกหายไปไหนมาเพ้นท์ แล้วไหนของขวัญ เห็นคุณพ่อบอกว่าแกไปเอาอะไรสักอย่าง” พราวพิรุณถามน้องสาวคนเล็ก
“แหม ทีแรกว่าจะอุบไว้ก่อน แต่เห็นแก่ที่พี่พราวอยากรู้...” พรรณวษาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ทุกคน ก่อนจะดีดนิ้วเป๊าะและร้องเรียกผู้ช่วยสาว “คุณณัชชา เปิดตัวน้องเสือหน่อยค่า”
สิ้นเสียงตะโกนของพรรณวษา คนทั้งบ้านพร้อมใจกันหันไปมองตามเสียงเด็กร้องที่แว่วมาแต่ไกล และเริ่มจะใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น...กระทั่งชัดเจนว่าเป็นเสียงร้องไห้โฮ แล้วทุกคนก็ได้เห็นต้นกำเนิดเสียงซึ่งกำลังถูกณัชชาอุ้มเข้ามา
เด็กหญิงสามคนปิดหูพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเพราะทนเสียงร้องของเด็กชายไม่ไหว
“เอ่อ ณัชชาพาเด็กที่ไหนมาน่ะ” อัมพิกาถามหลังจากที่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงงอยู่พักใหญ่ มองตั้งแต่หัวจดเท้าก็ยังไม่เห็นว่าผู้ช่วยของลูกสาวจะเอาของขวัญอะไรมาให้
ซึ่งคนตอบไม่ใช่ณัชชา แต่เป็นลูกสาวคนเล็กที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่คนเดียว เธอผายมือไปทางเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหน้าดำหน้าแดงเพราะเพิ่งถูกพรากจากพ่อมาเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน
“เพ้นท์ขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘น้องเสือ’ หรือ ‘เด็กชายพยัคฆ์ กวินทร์เทวา’ เป็นหลานชายของคุณแม่ ลูกชายของเพ้นท์ค่ะ”
“หา!!?” ผู้ใหญ่ทุกคนพร้อมใจกันอุทานเสียงดัง ส่วนเด็กสามคนถลึงตามองเด็กชายแม้จะไม่เข้าใจเรื่องราวนัก เห็นพ่อแม่ตนเองตกใจก็เลยทำตาม
“ลูกชายอะไร แกมีผัวด้วยเหรอ” พราวพิรุณย่นคิ้วมองเด็กหน้าใหม่สลับกับน้องสาวจอมเพี้ยน ทีแรกคิดว่าเพี้ยนไม่มาก ตอนนี้อีกฝ่ายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเพี้ยนจนใกล้บ้าเต็มที
“ไม่มีค่ะ ไปขอเขามาเลี้ยง” คนน้องตอบหน้าตาเฉย ไม่แคร์คนอื่นที่เบิกตาโตไปพร้อมๆ กัน
“ขอเขามา!?” อัมพิกาลุกขึ้นยืนทันที เดินเข้าไปชี้เด็กในอ้อมแขนของณัชชาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เพ้นท์รับเด็กนี่มาอุปการะเหรอ”
“ใช่ค่ะ ทีแรกเพ้นท์อยากอยู่ตัวคนเดียว แต่เห็นคุณแม่โหยหาหลานชายจนแทบใจจะขาด เพ้นท์ก็เลยตัดสินใจรับอุปการะเด็ก สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณแม่ นี่คือของขวัญของคุณแม่ค่ะ”
พรรณวษาฉีกยิ้มกว้าง หวังให้อัมพิกาทำหน้าดีใจบ้าง แต่ก็ไม่ หญิงวัยกลางคนยังคงอ้าปากหวอ ทำท่าเหมือนจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
“ทำไมไม่ปรึกษาแม่ก่อน!”
“เดี๋ยวมันไม่เซอร์ไพรส์”
“แต่นี่มันเรื่องใหญ่นะยายเพ้นท์! พ่อแม่เด็กเป็นใคร ทำไมเขายอมให้ลูกเขามาง่ายๆ” อัมพิกาตะโกนแข่งกับเสียงน้องเสือที่ยังร้องไม่หยุด แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าใจเสียแค่ไหนที่ต้องจากครอบครัวมา ซ้ำยังถูกรายล้อมด้วยคนแปลกหน้าอีก
“จริงๆ ก็ไม่ได้ให้หรอกค่ะ เพ้นท์จ่ายค่าดูแลให้พ่อเด็กไปสามแสน ส่วนแม่เด็กตายไปแล้ว เพ้นท์ว่าพ่อเขาคงไม่พร้อมเลี้ยงก็เลยยอมให้มาง่ายๆ อ้อ พ่อเด็กเขาเป็นเพื่อนกับคุณณัชชาด้วยค่ะ” เธอหันไปพยักหน้ากับณัชชาที่ยิ้มแหย ในมือมีทิชชูคอยเช็ดน้ำตาเด็กอยู่ตลอด
“โอ๊ย ฉันจะเป็นลม” อัมพิกาอุทาน เอามือนวดขมับ
พรรษมนเข้ามาหาน้องสาวบ้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน “เพ้นท์ แล้วตัวเพ้นท์เองน่ะพร้อมหรือเปล่า ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษาพวกพี่ก่อนล่ะ เพ้นท์เลี้ยงเด็กเป็นเหรอ”
“เอาจริงๆ เพ้นท์ก็เลี้ยงไม่เป็นหรอก แต่เพ้นท์ไม่ห่วง เพราะว่าเพ้นท์มีพี่ๆ เป็นติวเตอร์ ไหนจะป้าติ๋ม น้าต้อย พอแตนกับอ้อยเลิกเรียนก็จะกลับมามาช่วยอีกแรง... ที่สำคัญเลยคือคุณแม่นะคะ” พรรณวษาเข้าไปกอดมารดาที่ยังช็อกไม่หาย “คุณแม่ต้องรักน้องเสือมากแน่ๆ เพราะน้องเสือคือหลานชายที่คุณแม่รอคอย”
“แม่อยากได้หลานแท้ๆ ไม่ใช่ซื้อเขามาเลี้ยง!” อัมพิกาแว้ดกลับทันควันพลางเลื่อนสายตาไปหาเด็กอายุขวบเดียวที่ถูกยัดเยียดให้เป็นหลานของหล่อน “คนเป็นพ่อนี่ก็นะ จิตใจทำด้วยอะไรถึงขายลูกตัวเองได้ลงคอ ไม่รู้เด็กมีโรคอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณแม่ เพ้นท์ได้ทั้งสำเนาสูติบัตรและผลการตรวจสุขภาพมาเรียบร้อยแล้ว เด็กแข็งแรงสมบูรณ์ดีค่ะ อีกอย่างเพ้นท์ไม่อยากใช้คำว่าซื้อกับเด็ก มันฟังดูไม่ดี เราใช้คำว่าจ่ายค่าเลี้ยงดูให้พ่อเขาดีกว่าค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงใส แต่ดูเหมือนเธอจะมองโลกเป็นสีชมพูอยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นเพลียจิตไปตามๆ กัน
“เอาไปคืนเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ แม่ไม่อยากได้หลานนอกไส้มาเลี้ยง” คนเป็นแม่เอ่ยเสียงเด็ดขาด
พรรณวษาหุบยิ้มทันทีพลางส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ค่ะ เพ้นท์ตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นลูก น่าสงสารเด็กออกค่ะ พ่อเขาก็ไม่มีปัญญาจะเลี้ยง ทำไมคุณแม่ไม่เอ็นดูลูกของเพ้นท์เลยล่ะคะ”
“เด็กนี่ไม่ใช่ลูกของเพ้นท์!”
“ตอนนี้ไม่ใช่ แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะใช่แน่นอนค่ะ! ก่อนจดทะเบียนรับรองบุตรบุญธรรมเพ้นท์ต้องทดลองเลี้ยงเด็กให้ครบหกเดือนตามกฎหมายก่อน เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้วเพ้นท์จะกลายเป็นคุณแม่ของน้องเสือ แม่พรรณวษากับลูกพยัคฆ์ ชื่อเข้ากันมากเลยนะคะ”
“เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้วเพ้นท์” ศุกลที่ฟังอยู่นานเอ่ยเสียงเครียด หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม “พ่อเห็นด้วยกับพัดเขานะ เพ้นท์ไม่พร้อมเลี้ยงลูกหรอก ตัวเองยังคิดอะไรเป็นเด็กๆ อยู่เลย”
“เด็กอะไรกันคะ เพ้นท์มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ พร้อมยิ่งกว่าพร้อม คนให้คำแนะนำก็มีเยอะแยะ”
ขณะนี้พรรณวษาเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกาข้อมือ AMPIKA เธอตั้งใจเอาชื่อมารดามาตั้งเป็นชื่อแบรนด์เพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังได้การสนับสนุนจากครอบครัวซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานเครื่องหนังในการผลิต ทำให้ต้นทุนลดลง กำไรมากขึ้น ดีไซน์แปลกใหม่ไม่เหมือนใครส่งผลให้มีลูกค้าหลายกลุ่มสนใจ ภายในสามปีนาฬิกาข้อมือแบรนด์ AMPIKA ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สร้างรายได้ให้แก่เจ้าของแบรนด์จนใช้เงินไม่หวาดไม่ไหว
“ยายเพ้นท์ แกมันบ้า” พราวพิรุณพูดได้แค่นี้เพราะเริ่มจะปวดหัวกับเสียงเด็กร้อง เมื่อครู่ลูกสาวคนโตของเธอแอบกระซิบถามด้วยว่าเมื่อไรน้องเขาจะหยุดร้องสักที ปวดหูไปหมดแล้ว
“พี่กลัวว่าเพ้นท์จะผลักภาระให้คนอื่นน่ะสิ มีลูกแล้วแม่ก็ต้องเลี้ยงเองรู้ไหม ไม่ใช่เอะอะก็จะให้คนอื่นช่วยทำ ป้าติ๋มน้าต้อยเขาก็มีงานของเขา มาดูแลเด็กอีกมันเหนื่อยนะ” พรรษมนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปสบตาสองแม่บ้านก็เห็นว่าทั้งคู่กำลังลังเลว่าควรตอบกลับเช่นไร
“เพ้นท์ดูแลได้ คอยดูได้เลยทุกคน” พรรณวษาว่าอย่างมั่นใจ ก่อนจะกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อทุกสายตาจ้องมองเธอราวกับบอกว่า แล้วจะคอยดู
“เพ้นท์เริ่มจากทำให้เด็กหยุดร้องก่อนดีไหม เขาน่าจะคิดถึงพ่อของเขานะ” ศุกลพยักเพยิดไปทางเด็กน้อยที่กอดคอณัชชาแน่น มองกี่ครั้งก็สงสาร สงสัยไม่ต่างจากภรรยาว่าเหตุใดคนเป็นพ่อถึงใจแข็งยกลูกให้คนอื่น ขนาดบางคนที่ยากจนข้นแค้นมากๆ ยังสู้ตาย ยอมกัดก้อนเกลือเลี้ยงลูกด้วยตนเอง
“ได้เลยค่ะ มาค่ะคุณณัชชา เพ้นท์อุ้มเอง” พรรณวษาโชว์ออฟด้วยการรับเด็กมาอุ้ม ทันใดนั้นก็ถูกกำปั้นเล็กชกหน้าเข้าอย่างจัง “โอ๊ย!”
“ฮือออ”
“คุณณัชชา ช่วยเพ้นท์ด้วยค่ะ”
“ไม่ต้องเลยณัชชา” อัมพิกาหยุดผู้ช่วยที่กำลังจะรับเด็กคืน ให้ลูกสาวตัวดีอุ้มลูกบุญธรรมไว้อย่างนั้น “ถ้าทำให้เด็กหยุดร้องไม่ได้ก็เอาไปคืนเขา แม่ไม่ใจดีกับเพ้นท์เรื่องนี้นะ”
“คุณแม่ควรจะดีใจที่เพ้นท์หาหลานชายมาให้คุณแม่สิคะ!”
“ถ้าเพ้นท์ปรึกษาแม่สักนิดมันก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่ในเมื่อรับมาแล้วก็แสดงให้แม่เห็นว่าตัวเองเป็นแม่ได้ เอ้า เร็วเข้า ถ้าภายในสามนาทีเด็กไม่หยุดร้อง แม่จะให้ณัชชาเอาไปคืน”
“ก็ได้ค่ะ” พรรณวษาแทบจะร้องไห้ตามน้องเสือ ก่อนจะตั้งใจพูดให้เด็กใจเย็นลง “น้องเสือคะ ไม่ร้องนะคะ แม่เพ้นท์อยู่นี่แล้ว แม่เพ้นท์เองค่ะ จ๊ะเอ๋!”
“แอ๊!”
“บอกว่าไม่ต้องร้องไงคะ ไม่กลัวเสียงแหบเหรอ แม่เพ้นท์ไม่กัดนะคะน้องเสือ บอกเลยว่าแม่เพ้นท์เลี้ยงดีมากๆ เรามาคุยกันดีๆ เถอะค่ะ”
“ป้อ! ฮือออ”
ร้องหาพ่ออีกแล้ว...
ตลอดทางที่ขับรถกลับบ้านกวินทร์เทวา สองสาวได้ยินเพียงแค่คำว่าพ่อสลับกับเสียงร้องไห้ออกมาจากปากเด็กน้อย แม้จะสอนให้เรียกว่าแม่ เด็กชายก็ไม่สนใจ อันที่จริงพรรณวษาก็เศร้าที่ต้องพรากพ่อพรากลูก แต่เธอไม่ผิด เพราะคนเป็นพ่อร่วมมือกับเธอด้วย
เธอใช้เวลาสามนาทีอย่างคุ้มค่า พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดที่เด็กฟังไม่รู้เรื่อง เอาขนมบนโต๊ะมาจ่อที่ปาก จวนจะหมดเวลาแล้วน้องเสือก็ยังคงร้องลั่นบ้าน
ในวินาทีที่เธอคิดอะไรไม่ออก จู่ๆ ก็ได้อัศวินหญิงตัวน้อยมาช่วยเหลือ
น้องแพทหยิบขวดนมของตนเองจากกระเช้าที่พรรษมนหิ้วมาด้วย ก่อนจะลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปยื่นให้พรรณวษาที่เริ่มปวดหัวตามอัมพิกา หญิงสาวรีบคว้าขวดนมมาเปิดฝาและยัดเข้าปากน้องเสือทันที เธอนี่นะ ลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กอาจจะหิวนม!
จากนั้นบ้านก็ปกคลุมด้วยความเงียบ เป็นอันว่าคุณแม่มือใหม่ทำสำเร็จ
อัมพิกาถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปบอกลูกสาวคนกลาง “ให้น้องเสือนี่ไปเป็นลูกชายของหนูแพทนะ มีอย่างที่ไหน เด็กสามขวบทำให้หยุดร้องได้ แต่ผู้หญิงอายุยี่สิบหกทำไม่ได้”
“เด็กด้วยกันก็ต้องเข้าใจกันสิคะ” พรรณวษาเถียงขาดใจ สายตายังคงจ้องมองเด็กน้อยที่ดูดนมจากขวดอย่างหิวกระหาย คงเสียพลังงานไปเยอะพอสมควร “ตอนนี้เพ้นท์รู้แล้วว่าต้องทำยังไง วอนทุกคนโปรดเห็นใจและให้เพ้นท์เลี้ยงด้วย”
“เพ้นท์รักเด็กคนนี้จริงๆ เหรอ” ศุกลถามอย่างไม่เชื่อ ลูกสาวพยักหน้าตอบทันที
“ค่ะ เพ้นท์รับเขามาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบเขา และรักเขาอย่างแม่คนหนึ่ง”
“เพ้นท์รักด้วยหน้าที่เหรอ”
พรรษมนถามน้องสาว ก่อนจะถูกอีกฝ่ายถามกลับ
“พี่พัดก็รักน้องแพทด้วยหน้าที่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่ใช่ พี่รักน้องแพทด้วยความรู้สึก พี่อุ้มท้องน้องแพทมาเอง เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่...ความรักลูกทำให้พี่อยากทำหน้าที่แม่ ไม่ใช่หน้าที่แม่ที่ทำให้พี่รักลูก”
ได้ยินภรรยาโต้ตอบอย่างฉะฉานปัถย์ก็ยิ้มด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเธอ และคิดว่าน้องแพทกำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน ขณะที่พรรณวษาทำหน้าไม่เข้าใจอย่างแรง ไม่ทันไรพี่สาวคนโตก็เสริมอีก
“แล้วเด็กน่ะนะ จะทำให้หยุดร้องไม่ใช่แค่เอานมยัดปากนะจ๊ะ เกิดวันดีคืนดีเด็กมันคิดถึงพ่อมันก็จะร้องขึ้นมาอีก ถ้าแกกล่อมไม่ได้ก็อย่าหวังว่าคนบ้านนี้จะอยู่อย่างเป็นสุขเลย”
“แล้วพี่พราวจะให้เพ้นท์ทำยังไงล่ะคะ เพ้นท์ต้องเลี้ยงน้องเสือ”
“ถ้าใช้คำว่า ‘ต้อง’ หมายความว่าแกไม่ได้รักน้องเสือ”
“โอเค เพ้นท์อาจจะยังไม่ได้รัก แต่เพ้นท์เอ็นดูน้องเสือเหมือนที่เอ็นดูหลานๆ ลูกสาวของพี่พราวพี่พัดเลยนะ สงสารก็สงสาร อีกไม่นานเพ้นท์คงรักเข้าสักวันแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” พรรณวษาตอบปัด เริ่มเมื่อยแขนขึ้นมาเมื่อต้องอุ้มเด็กนานๆ และเมื่อกาลเวลาผ่านไปก็จะตัวหนักขึ้นอีก
“ถ้าอยากเลี้ยงก็เลี้ยงเอง แม่ไม่ให้ใครช่วย เพ้นท์ต้องทำให้ได้!” อัมพิกาสรุปเด็ดขาด ทำเอาลูกสาวคนเล็กอ้าปากหวอ
“ได้ยังไงล่ะคะ! คนเดียวไม่ไหวหรอก”
“พราวกับพัดยังเลี้ยงเองเลย”
“พี่ๆ เขามีสามีช่วยนี่คะ ไหนจะครอบครัวสามีที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาดูแลอีก คุณแม่ห้ามคนอื่นช่วยเพ้นท์แบบนี้มันไม่ยุติธรรมนะคะ” หญิงสาวคว่ำปากไม่พอใจแล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากบิดา “คุณพ่อ ช่วยเพ้นท์ด้วย เพ้นท์อุตส่าห์หาของขวัญวันเกิดมาให้คุณแม่ ดูคุณแม่ทำกับเพ้นท์สิ”
“ชีวิตคนไม่ใช่สิ่งของนะ และเพ้นท์ต้องรับผิดชอบการกระทำตัวเอง เพ้นท์ต้องเข้ากับน้องเสือให้ได้ ดูแลให้ได้ด้วยตัวเอง วันไหนน้องเสือเรียกเพ้นท์ว่าแม่ เรียกพ่อกับแม่ว่าตากับยายได้ พวกเราถึงจะยอม”
ศุกลไม่เข้าข้างลูกสาวเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ปิดทางออกจนหมด เขายังเสนอหนทางช่วยเหลือให้
“พ่ออนุญาตให้เพ้นท์ขอความช่วยเหลือได้แค่คนเดียวคือพ่อแท้ๆ ของเด็ก ส่วนคนอื่นที่อยู่ตรงนี้ห้ามให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำอะไรเพ้นท์เด็ดขาด”
เพราะชายวัยกลางคนก็อยากรู้ว่าพ่อเด็กเป็นคนอย่างไร
ความคิดเห็น |
---|