๒
พ่อเดือนธันวา
ในคอนโดขนาดย่อม ห้องด้านในสุดชั้นที่สิบสองเป็นที่อยู่ของเดือนธันวายามเมื่อเข้ามากรุงเทพฯ มันเปรียบเสมือนเรือนหอที่สุรศักดิ์ ผู้เป็นบิดาซื้อไว้ให้เมื่อสองปีก่อน เขาเคยอยู่กับภรรยาที่นี่แค่วันเดียวเท่านั้น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับมัชฌิมา มารดาของตนที่เชียงราย
หลังมัชฌิมาหย่าขาดกับสามีเมื่อสิบปีก่อน ก็ได้แต่งงานใหม่กับชัยยุทธ์ เจ้าของไร่ชาขนาดใหญ่ โดยให้เดือนธันวาอยู่กับผู้เป็นพ่อที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนลูกชายขอพาภรรยาท้องอ่อนไปอยู่ที่ไร่ด้วย หล่อนจึงขออนุญาตชัยยุทธ์ ซึ่งเขายินดีต้อนรับทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง
เดือนธันวาเลยต้องทิ้งคอนโดแห่งนี้เอาไว้เนิ่นนาน เพิ่งจะมีโอกาสกลับมาก็เมื่อสามเดือนก่อน...หลังการตายของภรรยา
กลับมาถึงห้อง ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายข้างเพื่อหยิบหลักฐานการรับเงินสามแสนบาทมาดูอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเอาไว้และส่งให้มัชฌิมา
ไม่ถึงสามวินาทีก็มีสายเข้า ราวกับอีกฝั่งจ้องมองโทรศัพท์อยู่ตลอดว่าเขาจะติดต่อไปเมื่อไร
“ฮัลโหล”
“เดือน! เอาเจ้าเสือให้ครอบครัวใหม่ไปแล้วเหรอ”
“ใช่” น้ำเสียงที่ใช้ตอบกลับราบเรียบ เจ้าของเสียงไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ต่างจากปลายสายที่ร้อนรนจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“แล้วเดือนแน่ใจเหรอว่าเขาจะดูแลเจ้าเสือดี แม่บอกกี่รอบแล้วว่าแม่ดูแลได้ เดือนไม่รักก็เอามาให้แม่ดูแลเถอะ ทำแบบนี้คนอื่นเขาจะชี้หน้าว่าขายลูกกิน!”
“คนที่เอาไปเขาเป็นคนรวย ผมว่าเสือไม่ลำบากหรอก แต่ถ้าแหกปากให้มันน้อยๆ หน่อยเขาอาจจะรักก็ได้” เดือนธันวายังคงตอบอย่างไม่ยี่หระ แต่ถ้าหากมัชฌิมาอยู่ตรงหน้าตอนนี้คงจะเห็นว่านัยน์ตาคู่คมกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกมากมายที่ซุกซ่อนในใจ
เขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่คิดมาก หลับตาไล่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกไปให้พ้นเพื่อจะคุยโทรศัพท์ต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงอย่างคนไร้หัวใจเช่นเดิม
“เจ้าเสือร้องไห้หนักเลยใช่ไหม” คนเป็นแม่ถามอย่างรู้ดี ต้องพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่ต่างกัน
“เป็นธรรมดาของเด็กน่ะแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อ้อ เงินสามแสนโอนเข้าในบัญชีผมแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาอวด ไม่ได้อยากรู้!” มัชฌิมาตะคอกดังลั่น “พอได้แล้วใช่ไหม! กลับบ้านเราได้แล้วเดือน เรื่องเก่าๆ ให้มันจบแค่นี้เถอะ”
“ใช่แม่ มันจบแล้ว ไว้เสร็จธุระทั้งหมดผมจะกลับไป”
“ฟังคำแม่ไว้เลยนะ เรื่องนี้มันจะตามติดเดือนไปชั่วชีวิต!”
“แค่นี้ก่อนนะ มีสายซ้อน” เดือนธันวาตัดบทอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอาเครื่องมือสื่อสารออกห่างจากใบหูเพื่อดูหน้าจอ ชื่อที่ปรากฏทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ตัดสายมารดาเพื่อรับสายแทรก “ครับ คุณพรรณวษา”
“เรียกเพ้นท์ก็ได้ค่ะคุณเดือนธันวา คือ...ตอนนี้เพ้นท์มีเรื่องเดือดร้อนมากๆ ทำยังไงน้องเสือก็ไม่หยุดร้องเลยค่ะ ให้กินนมก็แล้ว กล่อมก็แล้ว ช่วยเพ้นท์หน่อยสิ” พรรณวษาพูดรวดเดียวจบ แต่คนฟังใช้เวลาพักใหญ่ในการไตร่ตรองหาวิธีการตอบ
เสียงที่ดังลอดมาคือเสียงเด็กร้องไห้จริงๆ เดือนธันวาก้มมองนาฬิกาข้อมือ นับๆ ดูก็ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว
ทำไมยังร้องอยู่อีกนะ
“เปลี่ยนแพมเพิร์สหรือยังครับ”
“หือ จริงด้วย เอ่อ...แต่เพ้นท์ไม่ได้ซื้ออะไรไว้ให้น้องเสือเลย คุณเดือนธันวาพอจะมีให้ยืมไหมคะ”
ชายหนุ่มนิ่ง ตาคมมองไปยังตู้เก็บของซึ่งมีแพมเพิร์สไร้เจ้าของอยู่ในนั้น ใจคออยากจะถามเหลือเกินว่าก่อนจะรับไปเลี้ยงได้เตรียมตัวอะไรบ้าง แต่ในเมื่อไม่คิดจะสนใจตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็ไม่ควรจะมาเริ่มสนใจตอนนี้
เป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างสิ
“ผมว่าคุณไปหาซื้อใหม่จะเร็วกว่าให้ผมเอาไปให้นะครับ”
“กะ...ก็จริงค่ะ แล้วน้องเขาใส่ไซส์อะไรเหรอคะ เวลาเลือกแพมเพิร์สเลือกยังไงเหรอคะ”
เขาอยากจะถอนหายใจใส่ดังๆ แต่มีมารยาทพอที่จะไม่ทำอย่างนั้น
“เดี๋ยวผมถ่ายรูปตัวอย่างส่งไปให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณมีแพมเพิร์สที่เหลือกับของใช้จำเป็นอื่นๆ รบกวนรวบรวมให้หน่อยนะคะ เดี๋ยวเพ้นท์จะส่งเมสเซนเจอร์ไปรับเย็นนี้ เอาจริงๆ คือเพ้นท์งงไปหมดแล้วค่ะว่าต้องทำอะไรบ้าง เฮ้อ คิดว่าคนที่บ้านจะช่วยอย่างดิบดี แต่กลับพากันออกไปซื้อของ นี่ทุกคนทิ้งให้เพ้นท์ผู้ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กอ่อนอยู่คนเดียว ส่วนพี่สาวเพ้นท์ที่เขามีลูกก็พากันกลับบ้านไปหมดแล้วค่ะ ทุกคนใจร้ายกับเพ้นท์!”
เดือนธันวาจับใจความได้ถึงคำว่าเมสเซนเจอร์เท่านั้น หลังจากนั้นก็ฟังไม่ทันเพราะหญิงสาวบ่นเร็วมาก อีกทั้งเขากำลังกล่อมตัวเองว่าไม่ต้องไปใส่ใจ มันคือปัญหาของพรรณวษากับเด็กชาย ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
“ผมจะส่งของไปให้นะครับ เอาเบอร์ผมให้เมสเซนเจอร์ได้เลย”
“คุณเดือนธันวา น้องเสือเขาร้องหาแต่คุณอย่างเดียวเลย มีทริกอะไรให้น้องหยุดร้องไหมคะ”
“เปลี่ยนแพมเพิร์สก่อนครับ ไม่หยุดร้องค่อยว่ากัน”
“ถ้าร้องหาพ่อหมายความว่าต้องเปลี่ยนแพมเพิร์สเหรอคะ”
เขาอยากวางสาย...แต่หาวิธีตัดจบไม่ได้เพราะอีกฝ่ายใฝ่รู้เสียเหลือเกิน
“เอ่อ เอาอย่างนี้ดีไหมคะคุณเดือนธันวา เดี๋ยวเพ้นท์พาน้องเสือไปหาคุณนะ ให้คุณปลอบก่อน เผื่อว่า...”
“ไม่ครับ” เขายืนยันเสียงหนักจนพรรณวษาชะงัก ก่อนต่ออีกประโยคที่แสดงความต้องการของตนเอง “ผมจะไม่ยุ่งกับ ‘ลูกชายของคุณ’ อีก”
“ทะ...ทำไมล่ะคะ กลัวทำใจไม่ได้เหรอ”
“ผมทำใจได้ คุณไม่ต้องห่วง แต่ยิ่งคุณพาเด็กมาหาผม เด็กจะยิ่งตัดผมไม่ขาด ทั้งคุณและผมไม่ต้องการแบบนั้นแน่นอน”
“อืม ใจเด็ดดีจริงๆ”
เสียงพึมพำของเธอไม่รอดพ้นหูดีๆ ของเดือนธันวา เขากลอกตาก่อนจะพูดต่อ “รีบออกไปซื้อของใช้จำเป็นเพิ่มเถอะครับ”
“ขอลิสต์หน่อยได้ไหมคะ เห็นใจคุณแม่มือใหม่ไร้ที่พึ่งเถอะ นี่ถ้าออกไปน่าจะต้องอุ้มน้องไปด้วยเพราะไม่มีใครยอมดูให้สักคน ทุกคนอิกนอร์น้องเสือไปแล้ว”
“อะไรนะครับ” คนถามเผลอทำเสียงหลงโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่เต้นคงจังหวะมาตลอดวูบดิ่ง ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน
เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ...เย็นชากับข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้รับฟัง
“คุณแม่ของเพ้นท์ที่ควรจะดีใจที่ได้หลานชายคนแรก ไม่สนใจน้องเสือเลยค่ะ ท่านว่าถ้าน้องเสือเรียกเพ้นท์ว่าแม่ได้แล้วค่อยว่ากัน”
“เดี๋ยวคุณก็ทำได้ ถึงเขาจะไม่ใช่คนว่านอนสอนง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกิน แค่นี้ก่อนนะครับ ผมกำลังขับรถ”
“อ้าว แล้วลิสต์...”
ชายหนุ่มตัดสายก่อนที่พรรณวษาจะพูดจบ จากนั้นก็กดปิดเครื่องและทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างตัว ด้วยความเหนื่อยอ่อนจึงเอนหลังพิงพนักโซฟา ในวินาทีที่ดวงตาปิดลง...ภาพเด็กชายก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว
หมดเวรหมดกรรมต่อกันสักทีเถอะพยัคฆ์ จากนี้ขอให้เราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
เดือนธันวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีตอนฟ้ากำลังมืด ด้วยความสงสัยว่ากี่โมงจึงหยิบโทรศัพท์มาดู ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าปิดเครื่องไว้เพราะหน้าจอมืดสนิท ทันทีที่เปิดเครื่องก็เจอสายที่ไม่ได้รับสี่สาย มาจากพรรณวษาสามสาย มาจากณัชชาหนึ่งสาย แล้วก็มีอีกหนึ่งข้อความเข้ามา
ขอโลเกชันหน่อยได้ไหมคะ จะส่งเมสเซนเจอร์ไปหา
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ข้อความถูกส่งมาเมื่อสองชั่วโมงก่อน ไม่รู้ถ้าตอบกลับป่านนี้จะยังมีเมสเซนเจอร์มาหรือเปล่า
ขอโทษทีครับ โทรศัพท์แบตหมด
เขาตอบพร้อมส่งโลเกชันไปให้ทางข้อความ อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที
เตรียมของไว้เลยค่ะ กำลังไป
ชายหนุ่มตอบรับสั้นๆ ก่อนจะลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาจัดของของเด็กชายใส่ลังกระดาษ เขารีบใส่ทุกอย่างลงไปให้เร็วที่สุด ไม่เสียเวลาอาลัยอาวรณ์ของชิ้นไหนเป็นพิเศษ เนื่องจากเพิ่งพาน้องเสือมาอยู่ที่นี่ไม่นานนักจึงมีของไม่มาก เก็บเพียงสิบนาทีก็เสร็จ
ท้องร้องหาของกินพอดี เขาจึงลงไปใต้คอนโดเพื่อสั่งอาหาร ระหว่างนั้นก็คอยมองโทรศัพท์อยู่ตลอดว่าเมสเซนเจอร์จะโทร. มาเมื่อไร ทว่าคนที่โทร. มากลับเป็นพรรณวษา
“สวัสดีครับ”
“คุณเดือนธันวาคะ ตอนนี้เพ้นท์มาถึงคอนโดของคุณแล้วนะ”
“หา?” เดือนธันวาหลุดอุทาน รีบจ่ายเงินและคว้ากล่องข้าวไข่เจียวออกมาทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของหญิงสาวผ่านป้อมยามเข้ามา เขาจำรถสีเขียวมินต์ได้จึงหยุดอยู่กับที่ มองเธอลดกระจกรถโผล่หน้ามาทักทาย
“คุณเดือนธันวารออยู่ตรงนั้นก่อนนะคะ เดี๋ยวเพ้นท์จอดรถเสร็จแล้วจะอุ้มน้องเสือออกไปหา”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เพียงแค่แสดงสีหน้าไม่ชอบใจออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เธอแสร้งไม่รับรู้ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปจอดชั้นใต้ดินตามคำบอกของยามเมื่อสักครู่
น้องเสือถูกจับรัดเข็มขัดนิรภัยนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ ในมือมีขวดนมของน้องแพทที่พรรณวษาเนียนไม่คืน เมื่อจอดรถเสร็จสรรพเธอก็ปลดเข็มขัดทั้งของตัวเองและเด็กน้อยออก ก่อนจะอุ้มเด็กชายที่ยังคงมีท่าทีขัดขืนให้ลงมาจากรถ
บ่ายวันนี้น้องเสือร้องไห้จนหมดแรงและหลับไป ปล่อยให้พรรณวษาได้พักหูบ้าง แต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ร้องต่อจนเธอทำอะไรไม่ถูก ถ้าวันนี้ไม่ได้มาหาเดือนธันวาชีวิตของเธอคงไม่สงบแน่
“สวัสดีค่ะคุณเดือนธันวา” หญิงสาวทักคนที่นั่งรออย่างสงบอยู่บนโซฟารับรองหน้าลิฟต์ ก่อนที่น้องเสือจะดิ้นแรงขึ้นอีกเพราะอยากไปหาเขา
“ป้อๆๆๆ”
“โอ๋ๆ ใจเย็นลูก คุณเดือนธันวาอุ้มลูกหน่อยไหมคะ”
“ไม่ครับ” เดือนธันวาตอบทันที หากใครผ่านมาได้ยินทั้งคู่คุยกันคงชี้หน้าด่าว่าเขาเป็นพ่อที่เย็นชามาก ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดจากความจริงสักเท่าไร
“โห แต่เพ้นท์เริ่มไม่ไหวแล้วนะคะ น้องดิ้นเอาๆ”
“ไม่ไหวก็ปล่อยลงพื้นเลยครับ”
“หือ? ได้เหรอคะ”
พรรณวษามองพื้นที่ไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไร มีรอยเท้าคนเต็มไปหมด ส่วนอีกคนลอบถอนหายใจก่อนจะถามเสียงเรียบ
“คุณพาเขามาทำไม”
“คืออย่างนี้ค่ะ...” เพราะเรื่องมันยาวมากเธอจึงต้องนั่งเล่าตรงข้ามเขา สองแขนรัดตัวน้องเสือให้นั่งอยู่บนตักตัวเองไม่ไปไหน “พ่อของเพ้นท์เขายื่นคำขาดว่าอนุญาตให้เพ้นท์ขอความช่วยเหลือเรื่องวิธีเลี้ยงลูกจากคุณได้คนเดียว ส่วนคนอื่นที่อยู่ในบ้านตอนนั้นห้ามช่วยเพ้นท์เด็ดขาด ขนาดจะฝากลูกไว้กับใครยังไม่ได้เลยนะคะ แต่เผอิญเพ้นท์เป็นคนฉลาด พอลูกแม่บ้านกลับมาจากโรงเรียนเพ้นท์ก็ใช้ให้ออกไปซื้อแพมเพิร์สเลยค่ะ เพราะว่าลูกแม่บ้านไม่ได้อยู่ในบ้านตอนที่คุณพ่อลั่นวาจา ถือว่าช่วยเพ้นท์ได้”
พรรณวษาหมายถึงแตนกับอ้อยที่ไม่ได้อยู่ในงานวันเกิดด้วย พอทั้งคู่กลับมาจากโรงเรียนเธอจึงบอกศุกลว่าถ้าจะใช้เด็กสาวทั้งสองให้ไปซื้อและเปลี่ยนแพมเพิร์สแทนไม่ถือว่าผิดกติกา บิดาของเธอขัดอะไรไม่ได้ แต่ไม่วายขู่ว่าแตนอายุแค่สิบเจ็ด ส่วนอ้อยอายุแค่สิบห้า อย่างไรเสียก็ไม่มีทางช่วยเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ทำให้เธอหวาดผวาจนต้องเป็นคนมาหาเดือนธันวาแทนเมสเซนเจอร์
“มีลูกแม่บ้านดูแลแล้วคุณมาหาผมทำไม” เดือนธันวายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองยังต้องพัวพันกับเด็กคนนี้อีก
“เพ้นท์มาเอาของด้วย แล้วก็อยากให้คุณสอนวิธีเลี้ยงลูกหน่อย บอกมาให้หมดเลยว่าพรุ่งนี้เพ้นท์ต้องไปซื้ออะไรบ้าง วันๆ หนึ่งต้องทำอะไร เพ้นท์คิดว่าโทร. คุยกับคุณคงไม่รู้เรื่อง มาคุยกันแบบเห็นหน้าดีกว่า”
“หาป้อ จาเอาป้อ”
น้องเสือพยายามใช้แขนเล็กๆ เอื้อมหาเดือนธันวาสุดแรงเกิด เห็นแล้วชายหนุ่มรู้สึกพลาดอย่างมากที่โอบอุ้มเด็กคนนี้ตั้งแต่เป็นทารก ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปจนตัดขาดยาก
“นี่คุณ อย่าใจแข็งนักเลยค่ะ” พรรณวษาเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกทางเมื่อเห็นว่าเขามองลูกชายของเธอไม่วางตา “อุ้มได้นะคะ เพ้นท์ไม่ถือ”
“แต่ผมถือ ผมยกเขาให้คุณไปแล้ว ต่อจากนี้จะไม่แตะเขาอีก แล้วผมก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้วด้วย”
ประโยคหลังทำเอาหญิงสาวนิ่งงัน มองเด็กบนตักสลับกับพ่อแท้ๆ ไปมา ฝ่ายหนึ่งร้องหา อีกฝ่ายมอบระยะห่างให้ ขนาดเธอไม่ใช่น้องเสือยังเจ็บแปลบแทนจนแอบโกรธเขาขึ้นมา บ้าจริง คนสุขนิยมอย่างเธอไม่ควรรู้สึกแบบนี้!
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่แตะไม่เป็นไร เพ้นท์ดูแลเอง แต่ถ้าถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าเพ้นท์ว่ามันเกินไปหน่อยนะคะ ลูกคุณแท้ๆ คุณน่าจะ...”
“เขาไม่ใช่ลูกผม!”
ประโยคนั้นฟังดูจริงจังจนเธอชะงัก ก่อนที่เขาจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ
“เขาเป็นลูกของคุณ”
“ค่ะ อ่า...เอาอย่างนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเพ้นท์ไปศึกษาหาความรู้ในอินเทอร์เน็ตเอาเอง วันนี้คุณแค่เอาของมาให้ก็พอ ถ้าจะกรุณากว่านี้ก็...ขอลิสต์ด้วยนะคะ”
“ครับ” ร่างสูงลุกขึ้นยืน กำลังจะเดินไปกดลิฟต์ แต่นึกอะไรขึ้นได้ก่อนจึงหันกลับมาถาม “คุณพรรณวษา คุณบอกว่าที่บ้านไม่มีอะไรเลย?”
“ทำนองนั้นค่ะ แต่มีแพมเพิร์สแล้วนะคะ”
“แล้วนมผงล่ะครับ”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา คนถามย่นคิ้วเล็กน้อย
“แล้วคุณเอาอะไรให้เขากิน”
“คือเมื่อกลางวันมีหลานมาที่บ้านค่ะ เพ้นท์เลยขอขวดนมหลานมาให้น้องเสือกิน พอหมดแล้วก็เติมนมกล่องเข้าไป”
“...”
“ไม่ได้เหรอคะ” เธอถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อคนถามเงียบ รู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่จากกายเขา
“นมกล่องไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ถ้าให้ดีควรเป็นนมผง”
“จะจำไว้ค่ะ”
“แล้วให้กินอะไรอีกครับ”
“น้ำเปล่าค่ะ”
“ครับ แล้ว...”
“แค่นั้นค่ะ”
“แล้ว...ข้าวล่ะครับ” คราวนี้เป็นเดือนธันวาที่ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำให้เขาช็อกค้างอยู่กับที่
“หือ? เด็กหนึ่งขวบกินข้าวได้แล้วเหรอคะ”
“คุณพรรณวษา!”
ข้าวไข่เจียวถูกวางลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมกรุ่นของมันชวนให้พรรณวษาท้องร้องจนอยากตักกินเสียเอง ทว่าหากทำอย่างนั้นอาจจะถูกเจ้าของห้องกินหัวเอาได้ เพราะหลังจากรู้ว่าเธอไม่ให้เด็กกินอะไรเลยเขาก็จ้องมองเธอเหมือนเป็นศัตรูที่ไม่น่าไว้ใจอีก
“ตักเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนเขาครับ ระวังเขาใช้มือหยิบด้วย”
แต่ก็ยังใจเย็นอธิบายให้เธอฟัง
ขณะนี้เธอนั่งอยู่ในห้องของเขา น้องเสือเริ่มสงบลงเมื่อเห็นว่ามีผู้เป็นพ่ออยู่ใกล้ๆ ดวงตาคู่เล็กจ้องมองอาหารก่อนจะยื่นมือไปหา แต่คุณแม่เร็วกว่า คว้ามือลูกไว้ทันด้วยมือเดียว จากนั้นก็ใช้ช้อนตักข้าวเป็นคำเล็กๆ ให้
“แม่เพ้นท์ป้อนนะค้า อ้ามมม ว้าย ลูกกิน!”
เห็นเจ้าตัวน้อยเคี้ยวหงุบหงับก็ดีใจ หารู้ไม่ว่าอีกคนถึงกับเครียดที่เด็กถูกปล่อยให้หิวโซขนาดนี้ สรุปว่าเขาเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ได้ไหม...เป็นคำถามที่ตอบยาก
นึกว่ามีเงินแล้วจะเสกสิ่งดีๆ ให้ลูกชายได้เสียอีก คิดผิดถนัด!
“เอาอีกคำค่ะ อ้ามมม โถ...ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ดีสิลูกแม่” หญิงสาวบ่นไปป้อนไป หัวเราะไปด้วยเพราะมีความสุข ไม่เห็นว่าเดือนธันวาเดินแยกออกไปปอกกล้วยกินรองท้องเพราะข้าวเย็นที่ซื้อมาได้ยกให้เด็กคนนั้นไปแล้ว
เขาคอยหันมองที่โต๊ะกินข้าวเป็นระยะๆ แต่ไม่เข้าไปรบกวนเวลาแม่ลูก เห็นพรรณวษาค่อยๆ ป้อนก็เบาใจว่าน้องเสือจะไม่สำลักอาหาร
อีกไม่นานคงคุ้นชินกันไปเอง
“น้องเสือ เรียกแม่หน่อยสิคะ แม่...พูดตามค่ะ แม่...” อีกหนึ่งความพยายามคือสอนลูกให้รีบเรียกแม่เร็วๆ แต่เจ้าเด็กกลับทำตาแป๋วใส่แล้วเบือนหน้าหนี ยื่นมือไปหาอาหารอย่างเดียวจนต้องคอยจับเอาไว้ตลอดเวลา
“ป้อ ง่ำๆ” น้องเสือร้องขึ้นมาอีกตอนที่เดือนธันวาเดินมาหาพร้อมขวดนมใส่น้ำเปล่า เขาวางมันไว้บนโต๊ะให้พรรณวษาเป็นคนเอาไปให้เด็กชายเอง
เมื่อจับขวดอุ่นๆ เธอก็ทัก “คุณต้มน้ำอุ่นเหรอคะ”
“ครับ”
“โห เพ้นท์ไม่รู้เลยว่าต้องต้มด้วย” หญิงสาวหน้าเสียขณะยื่นขวดน้ำอุ่นให้น้องเสือ เมื่อบ่ายเธอให้แค่น้ำเปล่าจากขวดในอุณหภูมิห้อง ไม่ทันได้คิดถึงสุขอนามัยอะไรเลย
“ผมต้มเพราะกลัวไม่สะอาด แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าน้ำดื่มสะอาดก็ไม่ต้องต้ม”
“ต้มดีกว่าค่ะ”
“ปล่อยให้อุ่นด้วยนะครับ” เดือนธันวากลัวเพียงอย่างเดียวว่าเธอจะต้มน้ำแล้วให้น้องเสือดื่มเลยโดยไม่รอให้อุ่นก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ไม่ต้มจะดีกว่า
“แหม เพ้นท์ไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรกลับ ปล่อยให้เธอนั่งคิดทบทวนอีกทีว่าที่พูดมาเมื่อครู่แน่ใจดีแล้วหรือยัง
หลังจากลูกอิ่มหนำสำราญดีแล้วพรรณวษาก็กินข้าวไข่เจียวที่เหลือจนหมดเพราะหิวจัด จากนั้นจึงอุ้มลูกไปนอนบนโซฟาเพื่อจะเก็บจานบนโต๊ะ
“ขอบคุณมากนะคะคุณเดือนธันวา” เธอว่าหลังจากที่วางจานลงไปในอ่าง เมื่อเห็นกล่องนมผงก็เกิดอยากทดลองชงขึ้นมา “สอนเพ้นท์ชงนมหน่อยสิคะ”
คนที่กำลังรินน้ำใส่แก้วชะงักไปหน่อย ก่อนจะรินน้ำต่อและส่งให้เธอดื่ม “ครับ จะสอนให้ แต่ความจริงของแบบนี้คุณหาความรู้เอาเองก็ได้นะ ผมคงช่วยคุณไม่ได้ทุกเรื่อง”
“ค่ะ” เธอไม่ค่อยกล้าสบตาเขาเท่าไร เพราะรู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับคุณครูห้องปกครองที่พร้อมหักคะแนนความประพฤติทุกเมื่อหากเธอทำผิด หลังจากดื่มน้ำหมดเธอก็วางแก้วลงในอ่างข้างๆ จานเปล่า
“ผมว่าคุณไปเอาลูกของคุณมาอุ้มด้วยดีกว่า ไปวางเขาไว้บนโซฟาแบบนั้นเดี๋ยวก็ตก”
“ค่า” ร่างบางรีบไปเอาตัวน้องเสือมาอุ้มไว้ ทันเวลาก่อนที่เด็กน้อยจะปีนลงมาจากโซฟาพอดี เดือนธันวาคาดไม่ผิดเลยจริงๆ
เมื่อกลับมาที่ครัวเขาก็เริ่มสาธิตให้ดูทีละขั้นตอน เริ่มตั้งแต่วิธีการทำความสะอาดขวดนม การเช็กอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม ตวงน้ำ ผสมนมผง แม้แต่วิธีการเขย่ายังมีรายละเอียดอย่างการหมุนวนไม่ให้เกิดฟอง ถ้าเธอทำเองคงเขย่าขวดเป็นชานมไปแล้ว
“ถ้าคุณเขย่าจนเกิดฟองมากๆ อาจจะทำให้เด็กท้องอืดได้ ทีนี้ส่งมือมาหน่อยครับ”
พรรณวษาแบมือข้างที่ว่างให้อย่างว่าง่าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเหยาะนมใส่ฝ่ามือของเธอสามหยด
“มือใหม่อย่างคุณ ถ้าไม่มั่นใจ ผมแนะนำว่าก่อนให้นมลูกลองเช็กดูอีกทีว่าร้อนไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มละสายตาเพียงครู่เดียวเพื่อจะหาทิชชูมาเช็ดให้ หันกลับมาอีกทีกลับพบว่าเธอใช้ลิ้นแตะชิมนมบนฝ่ามือของตัวเองเสียแล้ว
“ไม่ร้อนไปค่ะ อร่อยด้วย”
ความคิดเห็น |
---|