3

พ่อคนหน้าเงิน

พ่อคนหน้าเงิน

 

เมื่อน้องเสือดูดขวดนมและหลับไปเองบนโซฟา พรรณวษาจึงมานั่งพื้นข้างๆ เดือนธันวาก่อนจะค้นดูข้าวของในกล่องที่เขาแยกไว้ให้ มีทั้งแพมเพิร์ส นมผง เสื้อผ้า และของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับเด็ก ทว่าไม่มีของเล่นหรือหนังสือนิทานเลย

“ปกติคุณอุ้มน้องเสือไปไหนมาไหนอย่างเดียวเลยเหรอคะ ไม่มีรถเข็นเด็กเลยเหรอ”

“ของพวกนั้นอยู่ที่เชียงรายน่ะครับ ตอนที่ผมรู้จากณัชชาว่าคุณกำลังมองหาเด็กผู้ชายอยู่ เสือเขายังอยู่เชียงรายกับแม่ผมอยู่เลย ผมเพิ่งไปเอามาตอนที่คุณอยากดูตัว”

พรรณวษาพยักหน้าเข้าใจ ช่วงที่เธอมีแพลนจะรับอุปการะเด็กเธอคุยแค่กับผู้ช่วยคนสนิทเท่านั้น ไม่คิดว่าณัชชาจะเอาไปพูดต่อกับเดือนธันวาจนได้เด็กมาอย่างรวดเร็ว

ณัชชาเล่าให้เธอฟังว่าบังเอิญเจอชายหนุ่มที่ร้านกาแฟในห้างแห่งหนึ่งเลยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาเพื่อนเก่า คุยไปถึงเรื่องงานก็เมาท์เรื่องความปรารถนาของเจ้านายสาวให้เขาฟัง นั่นละคือจุดเริ่มต้น เดือนธันวาเสนอลูกชายของตนเองให้ณัชชาเอาไปเสนอพรรณวษาต่อ 

อาทิตย์ต่อมามีการนัดดูตัว ชายหนุ่มไม่อิดออดที่จะบอกว่าเด็กคนนี้มีราคาสามแสนบาท หญิงสาวไม่ติดขัดอะไรเรื่องเงินและพร้อมจ่ายเสมอ เธอถูกชะตากับเด็กคนนี้และอยากให้อัมพิกาได้พบในวันเกิดของหล่อน จึงให้ณัชชาจัดการขอข้อมูลกับใบรับรองแพทย์ของเด็กมา ก่อนจะนัดส่งตัวในเช้าวันสำคัญ

“แล้วแม่คุณเขาว่ายังไงกับเรื่องนี้คะ”

“ไม่สำคัญหรอกครับ เพราะผมมีสิทธิ์ตัดสินใจเต็มที่”

คนตอบไม่สบตาแม้ว่าพรรณวษาจะมองหน้าเขาตาไม่กะพริบ ถ้ามีเวทมนตร์อ่านใจคนได้คงดี เพราะเธออยากรู้เต็มแก่แล้วว่าข้างในใจของเขากำลังคิดและรู้สึกอย่างไร

และอยากรู้เหตุผลที่เขาให้เธอเป็นคนดูแลน้องเสือแทน

“คุณเดือนธันวา คุณ...อย่าเพิ่งทิ้งเพ้นท์ได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยขอร้องในสิ่งที่กำลังกังวลเป็นที่สุด อยู่กับเขาทุกอย่างดูเป็นเรื่องง่าย แต่พอกลับบ้านไปเธอจะต้องวุ่นวายอยู่คนเดียวเป็นแน่ 

คราวนี้อีกฝ่ายมองตอบอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

“คุณรู้จักน้องเสือดีกว่าใคร อยู่คอยช่วยเพ้นท์ คอยให้คำแนะนำเพ้นท์หน่อยนะคะ ไม่อยากแตะน้องเสือไม่เป็นไร เพ้นท์จะทำเองให้ได้ทุกอย่าง”

ความมุ่งมั่นในแววตาปรากฏ ทำให้เดือนธันวาเชื่อว่าเธอมีความตั้งใจจริง แต่ถ้ามุ่งมั่นขนาดนี้แล้ว การศึกษาหาความรู้เองคงไม่ยากเกินความสามารถ

“ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกต รอบคอบ ใฝ่รู้ ผมเชื่อว่าคุณคนเดียวก็ไหว”

“หมายความจะไม่ช่วยกันเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงแข็งเมื่อเริ่มไม่พอใจ ก่อนจะตัดสินใจใช้เงินแก้ปัญหา เผื่อว่าเขาจะเห็นแก่เงินมากกว่าเธอและลูกชาย “เพ้นท์จ้างคุณเป็นเทรนเนอร์สอนเลี้ยงเด็กก็ได้ค่ะ อยากได้เท่าไรว่ามาเลย"

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องเธอนิ่ง ในวินาทีนั้นพรรณวษารู้สึกไม่ต่างจากถูกสาปให้อยู่กับที่ แค่จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้า ทำได้แค่ใช้สายตาประหม่าจ้องมองตอบ ภายนอกทำทีเป็นไม่กลัว แต่ใจลึกๆ กำลังสั่นไหว

เขาต้องโกรธเธอแน่ที่เอาเงินฟาดหัวเขาแบบนี้

“แทนที่คุณจะจ้างผม ทำไมคุณไม่ไปจ้างพี่เลี้ยงเด็กล่ะ”

“พ่อแม่ก็ด่าเพ้นท์สิคะ! หาว่าเพ้นท์ไม่มีความรับผิดชอบ แค่นี้ก็แทบจะไม่ให้เลี้ยงอยู่แล้วนะ ถ้าเพ้นท์เลี้ยงไม่ได้น้องเสือถูกส่งคืนคุณแน่”

พรรณวษาบ่นไปเรื่อยด้วยความอึดอัดใจ หารู้ไม่ว่าจี้ถูกจุดที่เขากลัวเข้าพอดี

“ก็ได้ครับ” เอ่ยเสียงเรียบสั้นๆ จุดประกายความหวังของเธอขึ้นมา “แต่ผมคิดค่าจ้างแพงขึ้นทุกวันนะ”

“ไม่เกี่ยงค่ะ เรียกได้ตามที่ต้องการเลย เพ้นท์จ่ายได้!”

ทีแรกเดือนธันวาคิดว่าการคิดค่าจ้างจะทำให้เธอไม่กล้าเข้ามายุ่งกับเขามากนัก ทว่าตอนนี้ชักไม่แน่ใจ เนื่องจากสังเกตได้ว่าแววตาของเธอเป็นประกายแม้จะรู้ว่าต้องเสียเงิน

ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่เริ่ม เธอคงไม่รู้ว่าเขาสามารถเรียกแพงๆ ได้จนเธอเข็ดหลาบ ไม่กล้าให้เขาเข้าไปยุ่งกับน้องเสืออีก

“คุณจ้างให้ผมทำอะไรบ้าง”

“ดูเพ้นท์อาบน้ำให้น้องเสือหน่อยค่ะ คอยแนะนำด้วย”

“ครั้งละหนึ่งพัน สอนซ้ำสองพัน ซ้ำอีกจะคิดเพิ่มครั้งละสองเท่า” เขาบอกเงื่อนไขหน้าตาย อีกฝ่ายอึ้งไปหน่อยก่อนจะยิ้มร่าแล้วดีดนิ้วเป๊าะ

“เยี่ยมเลยค่ะ มีให้โอกาสเรียนซ้ำด้วย”

นี่ได้คิดถึงเรื่องเงินบ้างหรือเปล่า...

“คุณบอกเลขบัญชีมาเลยค่ะ เดี๋ยวโอนให้หนึ่งพันก่อนแล้วกัน” เวลาที่ได้เปิดแอปพลิเคชันธนาคารพรรณวษาจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ เขาจึงทำลายความสุขของเธอเสีย

“เงินสดทุกครั้งครับ ไม่รับเงินโอน”

“อ้าว งั้นเดี๋ยวใกล้จะกลับค่อยเอาแล้วกันค่ะ เพ้นท์จะลงไปกดตังค์ให้ เตือนด้วยนะคะ” เธอเก็บโทรศัพท์อย่างเสียดาย แต่ก็ยังส่งยิ้มบางให้เขาที่ทำหน้าแปลกใจในความเป็นเธอไม่หาย “ขอบคุณนะคะคุณเดือนธันวา เพ้นท์เข้าใจว่าคุณอยากตัดน้องเสือให้ขาด แต่เพ้นท์คนเดียวไม่ไหวจริงๆ เพ้นท์จะพยายามรบกวนคุณไม่นานนะคะ”

เดือนธันวาพยักหน้าส่งๆ นึกว่าคำขอของเธอจะมีแค่นั้น ทว่านั่นเป็นเพียงแค่เมนูเรียกน้ำย่อย

“พรุ่งนี้คุณว่างไหมคะ เพ้นท์จะชวนไปห้าง อยากให้คุณเลือกของให้เพ้นท์หน่อย ของใช้ของน้องเสือน่ะค่ะ”

“ชั่วโมงละสองพันครับ”

“อืม...น่าจะต้องจ่ายให้สักแปดพัน” หญิงสาวคำนวณในใจว่าต้องการเขากี่ชั่วโมง ไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าเหลอไปหน่อย ต้องรีบปรับให้เป็นปกติก่อนเธอจะหันมองมาไม่ถึงเสี้ยววินาที “เรตเวลาเดินห้างกับเดินที่อื่นเท่ากันไหมคะ หรือว่าเดินห้างคิดถูกกว่าเพราะเย็นสบาย ถ้าพาไปเดินวัดคุณน่าจะเรียกเพิ่ม”

“คุณจะพาผมไปเดินวัดทำไม”

“เปรียบเทียบเฉยๆ ค่ะ เผื่อมีเหตุต้องไปในสถานที่ที่ไม่สะดวกสบาย”

“ไว้ผมค่อยบอกคุณ ตอนนี้ผมคิดไม่ทันครับ” เดือนธันวายันตัวลุกขึ้นจากพื้น ตั้งใจจะหลบผู้หญิงประหลาดสักพักแต่เธอกลับคว้าข้อมือเขาเอาไว้แล้วชี้ไปทางน้องเสือที่กำลังกลิ้งไปมาบนโซฟา

“น้องเสือตื่นแล้วค่ะ เพ้นท์จะให้เขาอาบน้ำที่นี่เลย รบกวนด้วยนะคะ”

 

วิธีการสอนของเดือนธันวาคือพูด...พูดเพียงอย่างเดียวและให้พรรณวษาทำตาม กฎเหล็กของเขาคือจะไม่แตะตัวเด็กชายแม้แต่ปลายก้อย ซึ่งเธอคิดว่าการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำเป็นอะไรที่ดี

เธออาบน้ำขัดถูตัวให้ลูกจนสะอาด ระหว่างนั้นก็จดจำไปด้วยว่าของใช้ในห้องน้ำที่ต้องซื้อมีอะไรบ้าง ส่วนขั้นตอนการใส่แพมเพิร์สไม่ได้มีอะไรมาก แค่สวมเข้าไปเท่านั้น แต่เขาไม่ลืมที่จะบอกวิธีการเลือกซื้อให้เหมาะสมกับช่วงเวลา และที่สำคัญคือเหมาะกับเพศ

“ก่อนซื้อดูด้วยนะครับว่าสำหรับเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“อ้าว ใช้ด้วยกันไม่ได้เหรอคะ” เธอหันไปถามระหว่างสวมเสื้อให้น้องเสือ ความรู้ใหม่วันนี้คือผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบ่งแยกเพศด้วย

“ไม่ได้ครับ” เดือนธันวาส่ายหน้า ก่อนจะหยิบแพ็กเกจแพมเพิร์สมาให้เธอดูเป็นตัวอย่าง “ดูรูปเอาก็ได้ครับ อันนี้เด็กผู้ชาย แล้วก็มุมล่างจะบอกไซซ์กับน้ำหนักเด็ก ถ้าเสือเขาโตกว่านี้คุณก็ต้องเปลี่ยนไซซ์”

“โอเคค่ะ แต่ตอนนี้ไซซ์แอลใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“เรียบร้อยแล้ววว” เมื่อแต่งตัวให้ลูกเสร็จเธอก็ชูมือขึ้นสูง แทบจะล้มลงไปนอนกับพื้นเพื่อชาร์จพลังงาน 

การที่ไม่ได้จับตัวน้องเสือไว้ทำให้เด็กน้อยวิ่งเล่นเตาะแตะตามใจต้องการ เป้าหมายคือผู้เป็นพ่อที่เดินไปเก็บห่อแพมเพิร์สที่เหลือใส่กล่องเช่นเดิม

“ป้อ อู้มมม”

เสียงเล็กเรียกให้เดือนธันวาหันไปมอง ก่อนที่เขาจะเร่งฝีเท้าเดินหนีเข้าห้องนอนของตัวเองไป

ปัง!

เสียงปิดประตูอย่างแรงทำให้คนที่มองเหตุการณ์อยู่สะดุ้งเฮือก น้องเสือชะงักค้างอยู่หน้าประตู ก่อนจะสะอึกสะอื้นและร้องไห้ออกมา

พรรณวษาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอคลานไปหาเด็กชายตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็คว้ามากอดไว้กับตัว

“โอ๋ๆ ไม่ร้องน้า แม่เพ้นท์อยู่นี่แล้วค่ะ”

 

สุดท้ายเดือนธันวาก็ลงมาส่งเธอที่รถพร้อมลังบรรจุข้าวของของน้องเสือ ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ทั้งสองคนพูดกันชนิดนับคำได้ บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วนหลังจากที่เขาแสดงท่าทีไม่ไยดีลูกชายของเธออย่างชัดเจน 

หญิงสาวไม่ลืมกดเงินให้เขาหนึ่งพันบาท ไม่เสียดายสักนิดเพราะเขาสอนดี อธิบายละเอียดและตอบชัดเจนทุกคำถามจนไม่เหลือข้อสงสัย เธอว่าเขาเป็นพ่อที่ดีได้...แต่เขาไม่เป็น

ตอนที่พรรณวษามาถึงบ้าน อัมพิกายังไม่เข้านอนเพราะจะรอซักไซ้ว่าเธอไปทำอะไรมาบ้าง ทันทีที่เห็นมารดายืนจ้องอยู่หน้าประตู หญิงสาวก็รีบส่งเสียงเรียกให้มาช่วยขนของลงจากรถหน่อยเพราะตนเองต้องอุ้มลูก อัมพิกากระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยเนื่องจากไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นจึงต้องเป็นคนไปช่วยลูกสาวยกลังออกมาจากท้ายรถ

“เพ้นท์ไปเจอคุณเดือนธันวา อดีตพ่อของน้องเสือมาค่ะ ให้เขาสอนนั่นนี่นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เอาของมาจากเขา” แน่นอนว่าพรรณวษาเลี่ยงไม่เอ่ยถึงค่าจ้างแพงลิบลิ่ว เพราะแค่นี้แม่ของเธอก็จ้องตาเขียวปั้ดแล้ว

“เขาไม่แสดงอาการอาลัยอาวรณ์ลูกของเขาเลยหรือไง”

“ไม่เลยนะคะ แต่ถ้าเขาทำแบบนั้นเพ้นท์คงไม่สบายใจ เขาไม่ทำก็ดีแล้วละค่ะ อ๊ะๆ คุณแม่ ช่วยยกขึ้นบันไดเลยไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวท้วงเมื่อมารดาวางลังลงที่หน้าประตูบ้าน 

อีกฝ่ายกลอกตาไปมาก่อนจะยื่นแขนสองข้างไปหา “ส่งเด็กมาให้แม่ แม่จะอุ้มเอง ส่วนเพ้นท์ยกลังไป”

“คุณแม่รักลูกของเพ้นท์แล้ว” เธอยิ้มจนตาหยีพลางส่งน้องเสือให้ ขณะนี้เด็กน้อยไม่ร้องไห้แล้ว เห็นทีว่าจะเริ่มคุ้นชินกับเธอและทำใจที่พ่อไม่อยู่ด้วยได้

“ย่า~”

“อะไรนะ เรียกว่าอะไรนะลูก” อัมพิกาทำหน้าฉงนเมื่อได้ยินคำสั้นๆ หลุดออกจากปากเด็กชาย

“ยะ ยะ ย่า”

“เรียกว่าย่าเหรอลูก!” คราวนี้คนอุ้มถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นจนกระทั่งลูกสาวสะกิดไหล่

“เอ่อ คุณแม่คะ คุณแม่ต้องเป็นยายสิคะ”

“จริงด้วย แต่มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ”

เห็นมารดายิ้มแล้วพรรณวษาก็ยิ้มตาม วินาทีนี้ให้อัมพิกาอารมณ์ดีไปก่อน เรื่องแก้ไขคำผิดค่อยว่ากันทีหลัง

“ร้องหาย่าแบบนี้ แสดงว่านอกจากพ่อแล้วคงได้ย่าดูแล”

“แต่เพ้นท์ไม่เจอแม่ของคุณเดือนธันวาเลยนะคะ เขาอยู่คอนโดคนเดียว” หญิงสาวว่าขณะยกลังขึ้นแล้วเดินไปทางบันไดพร้อมกับหญิงวัยกลางคนที่อุ้มเด็ก

“เพ้นท์เข้าไปถึงในห้องเขาเลยเหรอ วันหลังอย่าทำแบบนั้นนะ แม่ไม่ชอบ” อัมพิกาขมวดคิ้วจริงจัง หล่อนยังถือคติว่าเป็นสาวเป็นนางไม่ควรเข้า-ออกห้องผู้ชายเป็นว่าเล่น

“เพ้นท์ต้องให้เขาสอนทำนั่นทำนี่นี่คะ อ้อ เพ้นท์ชงนมเป็นแล้วนะคะคุณแม่ เลือกแพมเพิร์สก็เป็น พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ว่าจะออกไปซื้อของสักหน่อย”

“ให้แตนไปเป็นเพื่อนไหมล่ะ พรุ่งนี้แม่ต้องเข้าไปที่โรงงานกับพ่อ คงไม่ว่าง” เพราะวันเกิดของอัมพิกาตรงกับวันศุกร์ โรงงานเครื่องหนังของครอบครัวกวินทร์เทวาจึงปิดหนึ่งวันและเปิดวันพรุ่งนี้แทน พนักงานไม่จำเป็นต้องมา แต่ถ้ามาจะได้ค่าแรงเป็นโอที

“คุณแม่ทำงานเถอะค่ะ แค่วันนี้คุณแม่ใจดีกับน้องเสือก็พอแล้ว เดี๋ยวเพ้นท์ชวนแตนไปด้วยก็ได้ แตนจะได้อุ้มลูกให้เพ้นท์”

“ไม่ต้องคิดจะเอาเด็กไปเลยนะ ให้อยู่บ้านกับอ้อยไป หรือไม่ก็ให้แตนอยู่แล้วให้อ้อยไปกับเพ้นท์”

“ถ้าอย่างนั้นฝากทั้งอ้อยทั้งแตนดูแลแล้วกันค่ะ เพ้นท์นัดคุณเดือนธันวาไว้แล้ว เดี๋ยวให้เขาช่วยเลือกซื้อของให้”

“นัดแล้วด้วย” อัมพิกาหัวเราะเหอะๆ ไม่ทักท้วงอะไรเพราะสามีลั่นวาจาไว้แล้วว่ายอมให้พ่อแท้ๆ ของเด็กช่วยให้คำแนะนำ ถึงหล่อนจะไม่ค่อยไว้วางใจให้ลูกสาวไปข้องเกี่ยวกับพ่อที่ขายลูกกินก็ตาม

แล้วสายตาของหล่อนก็หลุบไปสนใจเด็กเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มในอ้อมแขนอีกครั้ง

เจอกันครั้งแรกหล่อนตกใจจึงไม่ได้สนใจไยดีเด็ก แต่เมื่อสงบจิตสงบใจได้ก็เริ่มเข้าใจว่าลูกสาวรักหล่อนถึงได้หาหลานชายมาให้ อีกทั้งพรรณวษาไม่ได้มองเด็กเป็นสิ่งของที่ซื้อมาทิ้งให้คนอื่นเลี้ยง แต่ดูจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงจริงๆ เพื่อพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าตัวเป็นแม่ที่ดีได้

“นี่ แม่ถามอะไรหน่อย เพ้นท์ตั้งใจจะดูแลน้องเสือเองตั้งแต่แรกเลยเหรอ”

“เพ้นท์ว่าจะดูเองแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะเพราะมีงานต้องทำ ส่วนอีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้คนที่บ้านช่วย” หญิงสาวตอบตามตรงขณะวางลังลงพื้นเพื่อจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน “แต่ตอนนี้น่าจะต้องดูเองเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เพราะทุกคนหันหลังให้เพ้นท์ เหลือแค่แตนกับอ้อยที่ประสบการณ์ไม่มาก”

“แล้วเมื่อก่อนบอกแม่ซะดิบดีว่าชาตินี้จะไม่มีลูกมีผัว”

“ที่เพ้นท์บอกว่าไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเพราะเข็ดผู้ชายเจ้าชู้ค่ะ ดวงเพ้นท์เจอแต่ผู้ชายที่มองว่าเพ้นท์รวยแต่โง่ ถ้าแต่งงานมีลูกด้วยกันไปแล้วเขาแอบไปมีคนอื่น คนเจ็บไม่ใช่แค่เพ้นท์ แต่เป็นลูกของเพ้นท์ด้วย”

ดวงเธอมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แฟนสี่คนก่อนหน้าที่เลิกรากันไปส่วนใหญ่เพราะปัญหาคบซ้อน ถ้าไม่คบซ้อนก็เป็นพวกเจ้าชู้ที่หวังแต่เรื่องใต้สะดือ บอกตามตรงว่าเพลีย!

“พอลองคิดทบทวนอีกครั้ง เพ้นท์ว่าเพ้นท์น่าจะไม่อยากมีสามีมากกว่า ส่วนลูกน่ะมีได้ และเพ้นท์อยากมีให้คุณแม่”

“แล้วทำไมไม่ท้องเองล่ะ เดี๋ยวนี้การแพทย์ก้าวไกลแล้วนะ พวกเด็กหลอดแก้วอะไรแบบนี้”

“แบบนั้นเพ้นท์ก็ต้องมีสามีอยู่ดีนะคะถึงจะทำได้” เจ้าของห้องเดินนำเข้าไปก่อน แล้วต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเปลเด็กตั้งอยู่ในห้อง “ใครเอามาคะเนี่ย”

“ยายพราวขับรถเอามาให้ตอนที่เพ้นท์ออกไปน่ะสิ บอกว่าเวทนาเด็กมัน เพ้นท์ไม่เตรียมอะไรไว้ให้สักอย่าง”

“หูย พี่พราวนี่น่ารักที่สุด! จะว่าไปวันนี้เพ้นท์ไม่ได้เล่นกับแอรีนกับอันนาเลย ไม่รู้งอนเพ้นท์กันหรือเปล่า” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ใส่ใจหลานคนไหนเลยเพราะมัวแต่เครียดอยู่กับลูกตัวเองก็รู้สึกผิด ดูสิ พี่สาวยังอุตส่าห์ใส่ใจลูกของเธอ หอบเปลมาให้ถึงบ้าน

“โทร. ไปขอบคุณพี่เขาด้วยล่ะ เขาจะได้เมตตาเอามาอีกให้เยอะๆ”

“ค่า”

“คืนนี้แม่อยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน”

“คะ?” ม่านตาของพรรณวษาขยายด้วยความตื่นเต้นจนอีกคนไม่อยากจะปรายตามอง

“ไม่ได้จะช่วยเลี้ยง แต่กลัวน้องเสือเป็นอะไรไปถ้าปล่อยให้อยู่กับเพ้นท์สองคน ไปๆ ไปอาบน้ำสักที ลูกหาวแล้วเนี่ย!”

 

พรรณวษาไม่อยากเชื่อว่าจะผ่านพ้นวันแรกมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย สุดท้ายน้ำใจของผู้เป็นแม่ก็ช่วยเหลือเธอไว้ พิสูจน์ให้เห็นว่าแม่ย่อมไม่ทิ้งลูก น้องเสือร้องงอแงบ้างตอนกลางคืน แต่ก็แค่รอบเดียว นับเป็นโชคดีอย่างใหญ่หลวง เพราะเธอเคยได้ยินพรรษมนเล่าให้ฟังว่าสมัยเลี้ยงน้องแพทตอนเป็นทารก ต้องตื่นทั้งคืนเนื่องจากหนูน้อยยังนอนไม่เป็นเวลา นี่คือเหตุผลที่หญิงสาวพอใจจะเลี้ยงเด็กหนึ่งขวบมากกว่าเลี้ยงเด็กทารกแรกเกิด 

เช้านี้ทั้งแตนและอ้อยต้องเข้ามาเล่นกับน้องเสือเพื่อสร้างความคุ้นเคย พรรณวษาสอนวิธีชงนมที่เรียนมาเมื่อคืนให้ทั้งสองรับรู้ เวลาเธอไม่ว่างทำจะได้ทำแทนได้ ทว่าน้องเสือในวันนี้ดูเศร้าซึม ไม่อยากอาหาร เอาแต่กวาดตามองไปรอบห้องอย่างหวาดหวั่น ไม่สนใจอ้อยที่เล่นจ๊ะเอ๋จนเมื่อยหน้า

“ไว้ฉันจะหาของเล่นมาให้นะ วันนี้จ่ายไม่อั้นแน่นอน” หญิงสาวบอกสองสาวน้อยลูกแม่บ้าน ก่อนจะตักข้าวไข่ตุ๋นที่แตนทำไว้ให้ไปจ่อที่ปากน้องเสือ “อีกคำนะค้าบ อ้ามม”

เด็กชายเมินหน้าหนีแล้วเริ่มลุกเดินเตาะแตะไปเกาะเตียงนอน คนป้อนเพียงแค่มอง ไม่ได้จับตัวเอาไว้เพราะอยากให้อิสระบ้าง

“เหมือนน้องเขาจะยังตัดพ่อไม่ขาดนะคะ” อ้อยว่าด้วยสีหน้าหนักใจ พอเข้าใจได้ว่าเด็กน้อยรู้สึกเช่นไร 

“แตนว่าช่วงนี้คุณเพ้นท์ให้พ่อเขามาอยู่ใกล้ๆ น้องก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยให้ห่างไปเรื่อยๆ วันละนิดๆ จนกลายเป็นคนไม่สำคัญอีกต่อไป”

“ฉันก็อยากทำแบบนั้นนะ แต่พ่อเด็กเขาอยากตัดแบบหักดิบไปเลย”

“เขาน่าจะมาเห็นนะคะว่าลูกเขาเป็นแบบนี้ ยิ่งกว่าคุณเพ้นท์ตอนโดนแฟนนอกใจอีก”

“อย่ามาวกเข้าเรื่องฉันน่า” หญิงสาวหันไปแว้ดแตนที่หัวเราะคิกคัก ก่อนจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน “ต่อไปนี้จะไม่มีผู้ชายคนไหนทำให้ฉันเศร้าซึมไม่กินข้าวกินน้ำได้อีก”

“แต่คนเป็นแม่เวลาเห็นลูกเศร้าก็ควรจะเศร้าตามนะคะ” อ้อยชี้น้องเสือที่กำลังจะปีนขึ้นเตียงด้วยตัวเอง

“อะๆ เว้นลูกฉันไว้หนึ่งคน เดี๋ยวแตนกับอ้อยช่วยดูหน่อยนะ ฉันนัดพ่อเด็กไว้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งที่ห้าง แต่ว่าจะไปเดินๆ ดูก่อน มีอะไรไลน์มาได้เลย ถ้าด่วนให้โทร. มา เดี๋ยวขากลับซื้อไก่ทอดมาฝาก”

“รับทราบค่า”

หลังจากที่สองสาวประสานเสียง พรรณวษาก็ลุกไปอุ้มน้องเสือไว้บนเตียงตัวเองและเอ่ยลาเสียงหวาน

“แม่เพ้นท์ไปทำธุระก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมา น้องเสืออยู่กับพี่อ้อยพี่แตนไปก่อน ไม่ดื้อไม่ซนนะคะ เดี๋ยวขากลับแม่เพ้นท์จะซื้อของเล่นมาฝากเยอะๆ เลย”

“หาย่า” น้องเสือทำแก้มป่อง ส่งสายตาวิงวอนจนคนมองใจอ่อนยวบ

“แม่เพ้นท์ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนค่ะ เดี๋ยวเย็นๆ คุณยายกลับมา เล่นกับคุณยายไปก่อนเนอะ”

“หาอุมผ้า”

“ผ้า? น้องเสือมีป้าด้วยเหรอคะ” พรรณวษาย่นคิ้ว เจอหน้าเดือนธันวาคงต้องถามสักหน่อยว่าครอบครัวเขามีใครบ้าง

“อุมผ้า! อือออ แงงง”

“อุมผ้าคืออะไรอะ คุณป้าเหรอ” ขณะที่เด็กน้อยร้องโวยวาย คนเป็นแม่ใหม่ก็เกาหัวแกรกๆ ด้วยความสงสัย 

อ้อยถึงกับงงว่าทำไมเธอไม่ปลอบเด็กให้หยุดร้องก่อน สุดท้ายก็ต้องเป็นคนเข้าไปโอ๋แทน ส่วนแตนได้แต่กุมขมับ

“แตนว่าคุณเพ้นท์รีบไปทำธุระเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเราดูให้เอง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น