12

บทที่ ๑๑


บทที่ ๑๑

 

กว่าจะกลับจากนั่งรถเล่นเมื่อคืนนี้ก็ปาเข้าไปตีสองกว่า ทว่าคนที่ตกอยู่ในห้วงรักมิอาจข่มตานอนได้ เธอยังเฝ้าแต่คิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขา หัวใจสาวล่องลอยด้วยมวลความสุขราวลูกโป่งซึ่งสูบลมเต็มที่ จวบจนรุ่งสางหญิงสาวจึงได้ผล็อยหลับไป

เพราะเหตุนี้เช้าวันต่อมาเดือนอ้ายจึงตื่นสาย ไม่สิ ตื่นบ่ายเลยต่างหาก ร่างอวบรีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนก้าวลงบันไดมาเร็วๆ เธอเพิ่งนึกได้ว่าตนมีนัดไปชอปปิงเป็นเพื่อนพี่วันนี้ แล้วคนตื่นสายก็พลอยหน้าจ๋อยสนิทเมื่อลงมาไม่พบใคร มิหนำซ้ำรถสปอร์ตคันเล็กของดลฤดีก็หายไปจากโรงรถเช่นกัน

“วันนี้คุณอ้ายตื่นสาย สงสัยหิมะจะตก”

หญิงสาวหันมองหาคนแซ็วก็เห็นแม่บ้านผิวคล้ำถือไม้ถูพื้นออกมาจากห้องนั่งเล่น เธอยิ้มแห้งๆ รับคำล้อเลียนแต่โดยดี

“พี่หนูดีไปชอปปิงแล้วหรือคะ เธอโกรธอ้ายไหม”

“เอ...ไม่นี่คะ ก่อนออกไปเธอยังฝากพี่แมวบอกคุณอ้ายว่าพ่อเลี้ยงโทร. มาค่ะ”

เดือนอ้ายพยักหน้าและขอบคุณอีกฝ่าย เธอถึงบางอ้อแล้วว่าทำไมดลฤดีจึงไม่ให้ใครไปปลุกตนและออกไปข้างนอกลำพัง เพราะสิ่งที่แม่ของเธอทำไว้สร้างบาดแผลให้ทุกคน คนเป็นลูกได้แต่กลืนก้อนขมลงคออย่างอดสู จะมองหน้าใครเขาก็ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจจนมองได้เต็มตา

หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนอนของตน เมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จแบตเตอรี่ดูจึงเห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับสามสาย สองสายแรกเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของแม่ และอีกสายมาจากพ่อเลี้ยงโอภาส พ่อของดลฤดีที่มีศักดิ์เป็นทั้งลุงและพ่อเลี้ยงของเธอ

เธอเอ็ดตัวเองที่ลืมเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้จนไม่รู้ตัวเมื่อมีสายเรียกเข้า เป็นเหตุให้พ่อเลี้ยงต้องโทร. หาดลฤดีเพื่อถามถึงเธอ เดือนอ้ายโกรธตัวเองและพาลโกรธไปถึงแม่ เมื่อท่านรับสายที่เธอโทร. กลับ น้ำเสียงที่ลูกพูดกับแม่จึงแห้งแล้งดั่งมะนาวไม่มีน้ำ

“แม่โทร. หาอ้ายทำไมคะ”

“แม่จำได้ว่าอ้ายสอบเสร็จเมื่อวาน แม่คิดถึง อ้ายขึ้นมาหาแม่นะ” เสียงหวานของแม่อ้อนวอนอย่างเศร้าสร้อย สั่นคลอนใจแข็งๆ ของลูก

“แต่...อ้ายไม่สะดวก อ้ายกำลังจะหางานทำ แล้วก็ต้องดูแลพี่หนูดี”

“ถ้าอย่างนั้นแม่ลงไปหาอ้ายก็ได้ แม่คุยกับพี่โอ๋ไว้เหมือนกัน พี่โอ๋ก็คิดถึงหนูดีกับอ้าย”

“ไม่นะคะ” ผู้เป็นลูกรีบห้าม

แค่เพียงแต่ญาติผู้พี่รับสายจากพ่อ ดลฤดียังทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน แล้วถ้าขืนแม่ของเธอมาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกับพ่อเลี้ยง ไม่เป็นการหยามความรู้สึกของพี่เกินไปหรอกหรือ เดือนอ้ายรับไม่ได้หากพี่สาวที่เธอรักที่สุดจะเย็นชากับเธออีกคน

“ถ้าพ่อเลี้ยงคิดถึงพี่หนูดีท่านก็มาหาได้ ส่วนอ้าย...จะขึ้นไปเยี่ยมแม่เอง” เธอตัดสินใจ

“จริงนะลูก แม่จะรออ้าย อ้ายมาอยู่กับแม่สักเดือนนะลูก”

ได้ฟังถ้อยคำละล่ำละลักด้วยความดีใจของแม่แล้ว เดือนอ้ายต้องหลับตาลงและยอมรับว่าเธอก็คิดถึงท่านไม่ต่างกัน

“แค่อาทิตย์เดียวได้ไหมคะ อ้ายเป็นห่วงพี่หนูดี”

“ก็ได้ลูก แม่จะส่งตั๋วไปให้อ้ายเอง แล้วก็จะทำความสะอาดบ้านไว้รอ เย็นนี้แม่จะโทร. หาอ้ายนะจ๊ะ”

“ค่ะ”

เดือนอ้ายวางสายพร้อมกับผ่อนลมหายใจยาวซึ่งอัดอั้นมาตลอดบทสนทนา เธอรักแม่...คิดถึงท่าน แต่ก็ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้ ไม่มีแล้ว...ความรักบริสุทธิ์เต็มหัวใจอย่างเด็กๆ ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าแม่ได้ทำลายครอบครัวของพี่สาวตัวเอง หัวใจลูกเจ็บแปลบ สูญสิ้นศรัทธาต่อท่าน กลายเป็นความสงสัยว่าท่านรักเธอจริงหรือไม่ จึงได้ยอมให้ความใคร่ทำลายภาพนางฟ้าในใจลูกลง

ความคิดคำนึงถึงเรื่องในอดีตทำให้เดือนอ้ายลืมนัดในอนาคตไปเสียสนิท กระทั่งบ่ายแก่วันเดียวกันนั้นพ่อเลี้ยงเป็นผู้โทรศัพท์หาเธอพร้อมกับส่งตั๋วเครื่องบินระบุเที่ยวบินของวันพรุ่งนี้มาให้ หญิงสาวจึงไพล่นึกถึงคนที่บอกว่าจะพาเธอไปทะเลแล้วก็พลอยกลัวใจเขาขึ้นมา

ไม่หรอก เขาคงไม่ว่าอะไรเธอกระมัง อาจจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่ไม่ต้องพาเด็กอย่างเธอไปเที่ยว เผลอๆ จะทะเลาะกันตลอดทาง เดือนอ้ายขบขันกับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าพายุลูกใหญ่รออยู่ข้างหน้า

 

ทว่าจนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ติดต่อนภนต์ไม่ได้ เขายังไม่ได้อ่านข้อความที่ส่งผ่านแอปพลิเคชันสนทนา แล้วเธอก็เกิดลังเลว่าควรจะโทร. หาเขาด้วยเรื่องแค่นี้หรือไม่ ก่อนจะปัดความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็ว หากเขาว่างคืนนี้ก็คงจะโทร. หาเธอตามปกติกระมัง

นอกจากชายหนุ่มแล้ว ดลฤดีก็เป็นอีกคนที่ไม่ได้ตอบข้อความของเธอ แม้พี่จะอ่านมันแล้วก็ตาม เดือนอ้ายเกลียดความรู้สึกว้าเหว่ในยามนี้ เธอไม่ปรารถนาจะคุ้นชินกับการเป็นได้แค่ผู้ตามหรือผู้รอ แต่ก็ถูกใครต่อใครปฏิบัติอย่างนั้นเสมอมา

หญิงสาวลงมากินข้าวร่วมกับคนงาน ฟังพวกเขาเล่าเรื่องต่างๆ พอหายเบื่อไปได้บ้าง ก่อนจะขึ้นไปจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่จนป่านนี้เธอก็ยังไม่ได้บอกพี่ไว้เลย

เดือนอ้ายรอจนสี่ทุ่ม ก่อนที่ความน้อยใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใย เธอตัดสินใจโทร. หาดลฤดีในที่สุด แม้จะกลัวพี่ต่อว่าถึงความเจ้ากี้เจ้าการก็ตาม

หารู้ไม่ว่าตอนนี้ดลฤดีเมาหลับพับอยู่ที่คอนโดมิเนียมของนภนต์

 

สายเรียกเข้าพร้อมกับรูปที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเพื่อนทำให้นภนต์ประหวัดถึงวันแรกที่ได้เห็นหน้าสาวน้อยน้องสาวของดลฤดี จากที่ ‘ถูกตา’ เจ้าหล่อนจนหมายมาดอยากทำความรู้จัก เมื่อรู้จักแล้วเดือนอ้ายก็ ‘ต้องใจ’ เขาอีกด้วย ดังนั้นยามได้ฟังดลฤดีพร่ำบ่นถึงปัญหาครอบครัวอีกครั้งในคืนนี้ เขาจึงเกิดเห็นใจสองพี่น้องขึ้นมา ใช่แต่ดลฤดีคนเดียว

‘หนูดีรู้ว่าพ่อรักแม่ยายอ้ายมาก่อน แต่โทร. มาต่อว่าหนูดี โทษว่าหนูดีทำน้องเสียคนจนไม่กลับบ้าน มันเกินไปหน่อยไหม หนูดีชักสงสัยว่ายายอ้ายเป็นลูกใครกันแน่ อาจจะเป็นลูกของพ่อกับแม่มันก็ได้’

‘แต่อ้ายก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ’

‘ไม่ผิดหรอก แต่จะให้ความสำคัญเทียบกับหนูดี หนูดีก็จะเลิกรักยายอ้ายบ้างละ ทำไมต้องไปเมตตาคนที่ได้รับความรักจากครอบครัวมากกว่าตัวเองล่ะ จริงไหม’

เมื่อเพื่อนน้ำตารื้น นภนต์จึงโอบไหล่บางอย่างปลอบประโลมพร้อมกับชักชวนดื่มเบียร์ นั่นคงเป็นวิธีเดียวที่คนอย่างเขาทำได้ กระทั่งดลฤดีเมาหลับไป ตอนนั้นเองที่มีสายจากเดือนอ้ายเข้ามา

ยิ่งรู้ว่าดลฤดีรักเดือนอ้าย...และน้องก็รักพี่ มีแต่ความรักที่ไม่พอดี ปราศจากความเข้าใจของผู้ใหญ่ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องต้องสะบั้นลง ชายหนุ่มจึงตั้งใจจะพูดกับเดือนอ้าย บอกให้เจ้าหล่อนเห็นแก่ดลฤดีที่น่าสงสารที่สุด สำหรับเขาแล้วคนที่เดือนอ้ายสมควรจะรักและเชื่อฟังกว่าใครก็คือญาติผู้พี่ที่เมตตาเธอเสมอมา

เขาไม่ได้รับสายแต่ปลุกเพื่อนเพื่อพาไปส่งบ้าน ทว่าคนเมากลับเกร็งตัวไม่ยอมให้เขาฉุดขึ้นมาดีๆ นภนต์จึงหาหมวกแก๊ปปีกยาวมาสวมให้เพื่อน ก่อนแบกดลฤดีขึ้นหลังแล้วลงลิฟต์ไปยังชั้นจอดรถ กว่าจะพาร่างบางมานั่งในรถยนต์ของตนได้ก็เหงื่อโซมทีเดียว

“ยายหนูดีเอ๊ย” นภนต์บ่นพลางปัดผมที่ปิดหน้าปิดตาให้เพื่อน แล้วจึงอ้อมไปติดเครื่องยนต์

ทันทีที่ออกมาพ้นอาคารคอนโดมิเนียมก็เจอพายุฝนโหมกระหน่ำ ชายหนุ่มต้องเพ่งสมาธิบนท้องถนนมากกว่าปกติ เขาจึงไม่ได้สนใจสายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของดลฤดี หรือถึงรู้ว่าผู้ที่โทร. มาคือคนรักของเพื่อน เขาก็คงเลือกเก็บความลับความอ่อนแอของเพื่อนไว้กับตัวอยู่ดี

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ น่าขัน เมื่อคืนเขาเพิ่งรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาดเมื่อมาส่งเดือนอ้าย แต่คืนนี้กลับหนักใจอย่างไรชอบกล

“พี่หนูดี”

นภนต์มองหญิงสาวในชุดเสื้อยืดลำลองกับกางเกงขาสั้นวิ่งพรวดพราดออกมา ก่อนเจ้าหล่อนจะหยุดชะงัก หน้าซีดเผือดมองเขากับญาติผู้พี่สลับกัน

“ไม่ต้องลงมา ฝนตกน้ำเจิ่งไม่เห็นหรือไง” เขาสั่งห้ามเมื่อร่างอวบทำท่าจะมาช่วย

เดือนอ้ายหยุดกึกอีกครั้ง กลายเป็นพี่แมวแม่บ้านที่มาหยิบกระเป๋าของเจ้านายพลางก้าวตามนภนต์ขึ้นไปข้างบน เธอยืนเหม่อมองรถของชายหนุ่มเสมือนถูกค้อนปอนด์ทุบศีรษะ เมื่อคิดว่าสาเหตุที่คนทั้งสองไม่สนใจข้อความของเธอก็เพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันนั่นเอง

 

นภนต์กลับลงมาจากชั้นบนหลังอุ้มเพื่อนรักไปส่งถึงห้องและกำชับให้แม่บ้านดูแลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนเมา ครั้นกลับลงมาพบเดือนอ้ายยังยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านก็พลอยหงุดหงิด ไม่พอใจที่เจ้าหล่อนยืนให้ฝนสาดอยู่ได้

“มาคุยกันหน่อย”

ไม่พูดเปล่า มือไวฉวยข้อมือสาวเจ้าจะลากเข้ามาข้างใน ทว่าเดือนอ้ายกลับสะบัดมือออกเสียก่อน

“อ้าย” ชายหนุ่มกดเสียงดุพร้อมกับชี้เตือน

เดือนอ้ายกลัวใบหน้าถมึงทึงของเขาเสียจนได้แต่ก้มหน้า เธอยอมก้าวตามแรงบีบมือแน่นอย่างน้อยใจเหลือเกิน เธอหลงคิดว่าเขาจะมองเธออย่างมนุษย์คนหนึ่งเท่าๆ กันกับเขา แต่เปล่าเลย ลงว่าเธอขัดใจเมื่อไร เขาก็พร้อมจะกลับไปเป็นผู้ชายใจร้ายคนเดิม

นภนต์กึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวเข้ามาในห้องนั่งเล่น เขาปล่อยมือเธอเพื่อปิดประตู เปิดโอกาสให้ร่างอวบอิ่มถอยห่างไปยืนหลังโซฟา

“เป็นอะไรฮึอ้าย” เขาชักเสียงใส่อย่างเจียนจะหมดความอดทน “จู่ๆ มาทำสะดีดสะดิ้งออกฤทธิ์อะไรอีก”

สะดีดสะดิ้งหรือ...เจ็บลึกถึงทรวงดีไหมล่ะเดือนอ้าย เธอโกรธเกลียดตัวเองที่ทำให้เขาใช้คำนั้นมาต่อว่าตนได้ เพราะที่ผ่านมาเธอยอมโอนอ่อนไปกับเขาเอง

“อ้าย...อ้ายส่งข้อความไป”

“แล้วไง”

เธอข่มกลั้นความน้อยเนื้อต่ำใจเพื่อเอ่ยธุระให้เสร็จสิ้น

“วันจันทร์...อ้ายไปไม่ได้แล้วค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินธุระของอีกฝ่าย นภนต์ก็ทำหน้านิ่วพลางเท้าเอวทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนปฏิเสธสิ่งที่เขาตั้งใจทำให้ และเขาไม่มีวันยอม!

“อย่ามาเล่นแง่กับฉันนะอ้าย” ชายหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน

“อ้ายเปล่า” เธอโต้เสียงเครือ ทุกคำที่เขากล่าวหาเธอเหมือนดั่งมีดกรีดหัวใจ “อ้ายต้องกลับบ้าน”

“ไม่ต้องกลับ!” เขาตะคอก

เสียงตวาดก้องราวกับลมพายุพัดปะทะกายเธอ เดือนอ้ายยืนสั่นสะท้าน หยดน้ำตาร่วงเผาะอย่างหวาดกลัวและไม่เข้าใจ

“ดี พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน เธอเห็นพี่สาวที่เมาอยู่นั่นไหม รู้ไหมว่าทำไมหนูดีถึงไปหาฉันที่ห้อง”

หญิงสาวส่ายศีรษะอย่างไม่อยากรับรู้ แค่รู้ว่าพี่สาวไปหานภนต์ถึงห้อง มิใช่กินดื่มกันที่ร้านซึ่งอยู่ในสายตาผู้คน เธอก็ไม่ต้องการรับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว แต่เขาก็ยังเอ่ยเสียงกร้าวกรอกหูเธอ

“เพราะเขามีน้องอย่างนี้น่ะสิ ไม่ได้เรื่อง! ทำตัวอ่อนแอเรียกร้องความสนใจ หนูดีต้องถูกพ่อต่อว่าว่าทำให้เธอเสียคน แต่เท่าที่ฉันเห็น...เธอต่างหากที่เป็นผู้เป็นคนได้เพราะหนูดี”

เธอไม่เคยรู้ ไม่รู้ และไม่อยากเชื่อทุกสิ่งที่เขากล่าวมา เธอรู้ว่าชายผู้นี้มีความสามารถในการพูดจาให้คนอื่นต่ำต้อย แต่เดือนอ้ายไม่เคยรู้สึกด้อยค่าในสายตาใครเท่านี้มาก่อนเลย ทุกครั้งที่เขาเปล่งเสียงเอ่ยเรียกเธอเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ ต่างจากน้ำเสียงยามเอ่ยชื่อเพื่อนรัก มันเปี่ยมไปด้วยความรักและการปกป้องทุกถ้อยคำ

พอแล้ว เธอไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปว่าเขามีใจให้เธอ เมื่อเขาเหยียดหยามแม้กระทั่งตัวตนของเธอ แล้วมันจะเป็นความรักได้อย่างไร

เดือนอ้ายปาดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะหมดความอดกลั้นอีกต่อไปเมื่อเขาฉวยข้อมือเธอไปบีบอย่างแรงพร้อมกับดูถูกไปถึงบุพการี

“ได้ยินไหม คนที่เธอต้องแคร์คือหนูดี ไม่ใช่แม่ที่แย่งพ่อของคนอื่นไป สำนึกไว้บ้างเดือนอ้าย”

หญิงสาวกรีดร้องในลำคอพลางออกแรงสุดกำลังเพื่อจะได้เป็นอิสระจากเขา เธออยากเป็นอิสระจากนภนต์ทั้งตัวและหัวใจ ไม่อยากเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงที่เขาเลี้ยงไว้เชือดอีกแล้ว

“ปล่อย” เธอร่ำร้องปิ่มว่าจะขาดใจ “อ้ายเกลียดคุณ ปล่อย ได้ยินไหม อ้ายเกลียดคุณ!”

“หยุด! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!” นภนต์ตะคอกพร้อมกับเขย่าร่างนุ่มนิ่มที่เอาแต่ดิ้นหนี

“รู้...รู้ด้วยว่าคุณไม่เคยมองอ้ายในแง่ดีเลย คุณไม่เคยเห็นอ้ายเป็นคนเท่าๆ กับพี่หนูดีด้วยซ้ำ”

อย่าว่าแต่ความรักที่เธอหลงคิดเข้าข้างตัวเองอย่างโง่เขลาเลย แม้แต่ความสนใจหรือความสำคัญ เดือนอ้ายมั่นใจว่าเธอคงอยู่รั้งท้ายในลำดับความคิดของเขา หญิงสาวจำต้องกล้ำกลืนคำตัดพ้อเหล่านั้นกลับลงไปมิให้สมเพชตัวเองไปกว่านี้

“พิสูจน์สิ” นภนต์ท้า “พิสูจน์ว่าเธอรักหนูดี ทั้งเธอและแม่ของเธอเป็นหนี้ความสุขของหนูดี”

“ไม่ อ้ายไม่พิสูจน์ อ้ายรักพี่หนูดี แต่อ้ายเกลียดคุณ”

“รักแต่ปาก แล้วเกลียดแต่ปากด้วยไหมฮึ!”

ชายหนุ่มบีบแก้มอิ่มเต็มแรง คำว่าเกลียดที่เธอพร่ำตอกหน้าทำให้เขาขาดสติ หมดสิ้นความตั้งใจที่จะพูดคุยกันด้วยดี แล้วยังลืมวาจาที่เคยลั่นเอาไว้ว่าจะไม่รุนแรงกับเธออีก

“อย่านะ” เดือนอ้ายละล่ำละลักทั้งน้ำตา “คนผิดสัญญา คุณบอกว่าจะไม่ทำแบบนี้กับอ้าย ถ้าคุณทำเราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก”

“หยุดพูดจาอวดดีเสียที!” เขาตวาด แต่ก็ยอมปล่อยมือจากเธอราวแตะของร้อน

ร่างอวบอิ่มที่ได้รับอิสระรีบถอยหนี เธอพุ่งตรงไปที่ประตูห้องนั่งเล่น ก่อนเสียงเย็นจะดังขู่สำทับไล่หลัง

“ถ้าวันจันทร์เธอไม่ไปกับฉัน เธอก็จะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีกเหมือนกัน เดือนอ้าย”

นภนต์เดิมพันหมดหน้าตัก พอกันที คนอย่างเขาไม่เคยให้ค่าคนที่ไม่เห็นความสำคัญของตน แม้แต่กับพ่อแท้ๆ เขายังเลือกเดินออกมาจากชีวิตของท่าน แล้วยายเด็กเดือนอ้ายคนนี้ ทำไมเขาจะตัดหล่อนไม่ลง

เมื่ออยากลองดีกับเขานัก เขาก็จะรอดูว่าคนที่ด่าว่าเกลียดตนปาวๆ จะอวดดีไปได้สักกี่น้ำ เด็กที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่มีสังคมเพื่อนฝูง โลกแคบออกอย่างนั้น ใครเขาจะมาดูดำดูดีถ้าไม่ใช่เขากับดลฤดี ให้มันรู้กันไปสิวะ!

 

ทันทีที่ขึ้นมาบนห้องนอน เดือนอ้ายรีบล็อกประตูก่อนจะทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้น ไม่ไยดีต่อเสียงเรียกอย่างตกอกตกใจของพี่แมวที่เห็นใบหน้าอาบน้ำตาของเธอ ก่อนเสียงเรียกนั้นจะเงียบลง แทนที่ด้วยเสียงยางรถบดถนนของรถยนต์ที่แล่นออกไปด้วยความเร็ว

หญิงสาวปล่อยตัวเองให้จมน้ำตา จมจ่อมกับความจริงที่ว่าเขาไม่รักเธอเลย ไม่มีสักเศษเสี้ยวใจ ทุกการกระทำ คำพูด และความคิดของนภนต์มีแต่พี่ของเธอเท่านั้น เธอไม่เคยอิจฉาพี่ แต่ตอนนี้...ตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่าเธอเกลียดเขาหรืออิจฉาพี่มากกว่ากัน เดือนอ้ายใคร่รู้เหลือเกินว่าชั่วชีวิตนี้เธอจะได้รับความรักและการปกป้องแบบนี้จากใครหรือไม่ เธอไม่เคยได้รับทั้งจากครอบครัวและเพื่อน ไม่เคย...

เดือนอ้ายไม่อยากขึ้นไปหาแม่แล้ว และเธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้นภนต์เย้ยเยาะว่าเธอพ่ายแพ้ ทว่าเธอไม่มีที่ไป เพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันต่างก็เตรียมตัวไปเที่ยว แม้แต่โชติที่อยู่กับย่าสองคนก็กำลังจะบวช เธอไม่อยากนำพาความทุกข์ใจไปให้พวกเขา เดือนอ้ายตระหนักว่าชีวิตของตนนั้นช่างเดียวดาย เธอไม่อยากยอมรับตามคำที่นภนต์หยามเหยียดไว้ว่าเธอเป็นผู้เป็นคนก็เพราะดลฤดี ต่อให้มันเป็นความจริงเธอก็ไม่อยากฟังคำของเขา ผู้ชายใจร้ายที่ไม่รู้จักและไม่เคยพยายามรู้จักเธอเลย

จริงสิ เธอไม่ควรยอมให้คำพูดร้ายกาจของนภนต์มาบั่นทอนความรักที่มีต่อพี่ เธอจะรอฟังดลฤดีบอกว่าโกรธหรือเกลียดเธอเท่านั้น เธอจึงจะเชื่อว่าความผิดของคนรุ่นแม่ไม่อาจชดใช้ได้ด้วยความรักภักดีของเธอ หญิงสาวลุกยืน บางสิ่งบางอย่างดลใจให้เธอก้าวออกจากห้องไปหาพี่ แม้จะรู้ดีว่าตนไม่อาจได้คำตอบที่ต้องการในเวลานี้ก็ตาม

ภายในห้องนอนใหญ่ค่อนข้างอุ่นจัดแม้เปิดเครื่องปรับอากาศ เดือนอ้ายกดรีโมตลดอุณหภูมิลงเมื่อรู้ว่าเจ้าของห้องชอบความเย็น ก่อนจะเดินไปหยิบผ้านวมผืนใหญ่ที่กองอยู่ที่ปลายขาของดลฤดีมาห่มให้ดีๆ เธอทรุดนั่งกับพื้นข้างเตียงนอนหลังใหญ่ ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าหมดจดงดงามของพี่ได้เลย ต่อให้ความรู้สึกขณะมองพี่จะผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม

“ทำไมพี่หนูดีไม่บอกอ้าย รู้สึกอย่างไรทำไมไม่บอกอ้ายตรงๆ”

คำถามนั้นกลั่นออกมาจากใจ แต่เธอไม่เคยกล้าเอื้อนเอ่ยออกไป เดือนอ้ายได้แต่ซบศีรษะกับขอบเตียงของญาติผู้พี่ เธอตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เธอจะกลับบ้านไปแก้ไขความเข้าใจของผู้ใหญ่ตามความจริงว่าดลฤดีคือผู้ที่ดีต่อเธออย่างที่สุด

เธอจะไม่ยอมเป็นเช่นที่นภนต์กล่าวหาว่าใช้ความอ่อนแอเรียกร้องความสนใจ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเลือกที่จะไม่กลับบ้านตลอดสี่ปีมานี้ก็เพื่อถนอมความรู้สึกของพี่ต่างหาก แต่คนที่รักเพื่อนอย่างเขาคงมองไม่เห็นมุมอื่นของเธอ

 

คนเมาค้างรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาจนไม่อาจนอนอย่างเป็นสุข แต่เมื่อขยับพลิกตัว ดลฤดีก็ต้องทำหน้านิ่วแปลกใจที่เห็นญาติผู้น้องนั่งหลับอยู่ข้างเตียง

“อ้าย” เธอลองเรียกแผ่วเบา

หญิงสาวขี้เซาไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวตื่น แล้วความประหลาดใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูที่มีต่อน้อง เธอลืมความเจ็บปวดที่ผู้ใหญ่ร่วมกันสร้างรอยแผลไว้ให้ ทุกครั้งที่ได้สัมผัสความรักอันบริสุทธิ์ สัตย์ซื่อ ที่เดือนอ้ายมีต่อตน

นึกถึงความอ่อนแอของตนเมื่อวานแล้วก็อ่อนใจนัก เธอน้อยใจพ่อเหมือนเด็กๆ แล้วก็ระบายกับนภนต์ซึ่งเป็นคนเดียวที่เธอกล้าเปิดเผยแง่มุมไม่สวยงามในชีวิตให้รับรู้ เพราะเธอไม่เคยมั่นใจว่าหากเล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาจะฉวยโอกาสจากความอ่อนไหวของเธอหรือไม่ แม้แต่กับสิทธา...บุรุษที่เธอรักมากที่สุด เธอกลัวเขาจะมองว่าตนทำตัวไร้ราคาที่คิดอิจฉาน้องของตัวเอง

อิจฉาหรือ ดลฤดีเพียรปฏิเสธความรู้สึกนั้นเสมอมาด้วยการยกว่าตัวเองเหนือกว่าเดือนอ้ายทุกประการ แต่เมื่อค้นลึกลงไปในใจแล้ว เธอรู้ว่าความอิจฉาเกิดจากการขาดในสิ่งที่น้องมี นั่นคือแม่...และความรักจากแม่ซึ่งเธอไม่เคยได้รับจากแม่แท้ๆ ของตน

น้าเสียอีกที่เคยให้ความรักแก่เธอทดแทนแม่ซึ่งคอยแต่สนใจพ่อ เธอเติบโตมาพร้อมกับความหึงหวง กราดเกรี้ยวที่แม่มีต่อพ่อ จวบจนวันหนึ่งจึงได้รู้ว่าผู้ที่มีส่วนสร้างรอยร้าวให้แก่บ้านของเธอก็คือน้า...ผู้ที่เธอรักยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เสียอีก

เพราะเธอทรยศต่อแม่ใช่ไหม เธอจึงถูกทรยศเช่นนี้ นั่นคือคำปลอบประโลมที่เธอบอกตัวเองเสมอมา เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่แม่ได้รับแล้ว ความผิดหวังเสียใจของเธอก็ดูจะเล็กน้อยเหลือเกิน

ยิ่งโตขึ้น ดลฤดีก็ยิ่งพยายามคิดหาสาเหตุว่าทำไมยายจึงพร่ำบอกว่ามันเป็นกรรมทุกครั้งที่ได้พบหน้าเธอ และก่อนจากไปศึกษาต่อต่างแดน เธอก็ได้คำตอบที่อยากรู้มานานจากปากท่าน

ท่านเล่าว่าเพราะพ่อเคยชอบน้าของเธอมาก่อน ขณะเดียวกันพ่อก็ใช้ความสนิทสนมกับแม่ของเธอที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นสะพานไปเพื่อทำความรู้จักน้องสาวของแม่ แต่แม่มารู้ความจริงเมื่อหลงรักพ่อเข้าแล้ว ท่านจึงขอร้องให้น้องยอมหลีกทาง ส่วนตาซึ่งเป็นข้าราชการใหญ่ในขณะนั้นก็กดดันให้พ่อต้องรักชอบลูกสาวคนโตของท่าน แลกกับเส้นสายและผลประโยชน์ทางธุรกิจของครอบครัวฝั่งพ่อนั่นเอง

นั่นเป็นความลับที่เธออยากฝังกลบให้ลึกสุดใจ เธอไม่เคยบอกใครแม้แต่นภนต์ และยังเป็นเหตุผลที่ดลฤดีไม่กลับไปที่บ้านอีกนับจากสำเร็จการศึกษากลับจากเมืองนอกเมืองนา เธอไม่อาจทำใจกลับไปที่ที่คิดว่าตนไม่สมควรเกิดมา

หญิงสาวกรีดน้ำตาซึ่งรื้นคลอพลางบอกตัวเองว่าช่างเรื่องในอดีตปะไร เธอมีชีวิตที่ใครต่างอิจฉา และกำลังจะสร้างครอบครัวของตัวเองกับคนรัก อย่างไรเสียเดือนอ้ายก็จะไม่มีวันได้ดีเท่าเธอและต้องอยู่กับตราบาปของแม่ไปชั่วชีวิต อย่างนี้จะไม่ให้เธอเมตตา เวทนาได้อย่างไร

“อ้าย ตื่น มานอนอะไรตรงนี้” ผู้เป็นพี่เรียกพลางเขย่าแขนน้อง

“พี่หนูดี”

“พี่น่ะสิ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” เธอค่อนว่าพร้อมกับยกมือกุมขมับที่ปวดตุบ

ทว่าร่างบางเกือบเสียหลักหงายผลึ่งเมื่อถูกสวมกอดรอบเอวโดยไม่ทันตั้งตัว เธอหลุบตามองกลุ่มผมของน้องแล้วก็ต้องกะพริบตาปริบๆ ดลฤดีตามความรู้สึกของอีกฝ่ายและของตัวเองไม่ทัน มันเป็นความงุนงงซึ่งเจือปนด้วยความรัก ชวนให้สับสนว่าความรักบริสุทธิ์ที่ผุดขึ้นมาเหมือนน้ำบ่อน้อยในใจยามนี้เกิดจากเดือนอ้าย...หรือเกิดขึ้นจากความรู้สึกของเธอเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไร หญิงสาวก็วางมือบนศีรษะของน้อง แว่วเสียงสะอื้นตามมาขณะเธอลูบผมยาวประบ่าแผ่วเบา

“เป็นอะไรเนี่ย ยายอ้าย พี่งงไปหมดแล้ว”

“อ้ายรักพี่หนูดี”

ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินน้องบอกรักตนมาก่อน แต่การได้ยินได้ฟังอีกครั้งยามจิตใจไม่มั่นคงเช่นนี้กลับกระทบใจของเธอกว่าครั้งไหนๆ

“รู้น่า”

“พี่หนูดีล่ะคะ รักหรือว่าเกลียดอ้าย” เดือนอ้ายกลั้นใจถามออกไปรวดเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าและปล่อยให้คำพูดของคนอื่นทิ่มแทงใจตัวเอง

ทว่าความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้ผู้ถามขยับตัวถอนอ้อมกอด เธอเงยหน้ามองพี่ที่สบตาเธอวูบหนึ่ง ก่อนดลฤดีจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“อ้าย...อ้ายทำให้พี่หนูดีเดือดร้อนใช่ไหมคะ กี่ครั้งแล้ว ทำไมพี่หนูดีไม่บอกอ้าย”

“ไปหายาแก้แฮงก์มาให้พี่หน่อยไป” เธอบอกไล่อย่างอ่อนใจ

“อ้ายไม่ไป จนกว่าพี่หนูดีจะตอบ”

“เอ๊ะ! ยายอ้าย ดื้อด้านเป็นเด็กไปได้” ดลฤดีเอ็ด

เดือนอ้ายเม้มปากพลางกล้ำกลืนความจริงที่จุกอยู่ในลำคอ ไม่มีใครรักเธอจริงแท้ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มี...

ความเงียบจากพี่เจ็บเสียยิ่งกว่าวาจาดูถูกเหยียดหยามของนภนต์เสียอีก เจ็บจนชา ไม่มีน้ำตาจะไหลริน

“ค่ะ อ้ายจะลงไปเอายาให้ พี่หนูดีต้องการอะไรอีกหรือเปล่าคะ กาแฟ ชา หรือข้าวต้ม”

“แค่ยาก็พอ พี่จะนอนต่ออีกหน่อย” ผู้เป็นพี่บอกพลางเอนตัวลงนอนอีกครั้ง

แว่วเสียงประตูปิดลงไปแล้ว ดลฤดีจึงเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา ตีห้ายี่สิบนาที...จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจว่าเดือนอ้ายมานอนเฝ้าตนเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบนั้นหรือไร เธอไม่มีคำตอบให้ เพราะไม่อาจยอมรับต่อหน้าเดือนอ้ายถึงความอิจฉาที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของเธอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น