บทที่ ๑๐
แสงไฟหน้ารถที่สาดส่องเข้ามาในตัวบ้านส่งผลให้คนที่ลงมาอุ่นนมตอนดึกชะงักเท้ารอ แต่แล้วเดือนอ้ายก็อมยิ้มเมื่อเห็นว่าญาติผู้พี่มิได้เมากลับมา อีกทั้งคนที่มาส่งก็คือสิทธา
“ยายอ้าย ยังไม่นอนอีกเหรอ”
ดลฤดีมองน้องสาวที่สวมชุดนอนเนื้อบางกับคนรักของตนสลับกัน แต่ก็เห็นสิทธาเพียงรับไหว้ หูตามิได้แพรวพราวอย่างที่เธอหวั่นเกรง
“อ้ายลงมาอุ่นนมดื่มน่ะค่ะ คืนนี้พี่หนูดีกับคุณสิทธากลับไวจัง ดื่มกาแฟก่อนไหมคะ อ้ายไปชงให้”
“เดียวน่ะสิมีเรื่อง”
“คะ?”
หัวใจคนฟังตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอลืมตัวเดินตามพี่กับคนรักไปยังห้องอาหาร ทั้งที่ควรเป็นเวลาส่วนตัวของพวกเขาสองคน
“มีเรื่องอะไรหรือคะพี่หนูดี”
“แหม เดี๋ยวนี้สนใจเรื่องของเพื่อนพี่ตั้งแต่เมื่อไรยะ” ดลฤดีกระเซ้า
“อ้ายห่วงพี่หนูดีต่างหาก” เธอแก้ตัวอ้อมแอ้มพร้อมกับสำทับไปอีก “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบ...”
“พอๆ ปากร้ายใหญ่แล้วยายอ้าย” ผู้เป็นพี่ทำเสียงรับไม่ได้ ขณะที่สิทธาขบขันไปกับสองพี่น้อง “ถึงเดียวจะไม่ผิดทั้งหมด แต่ก็ใจร้อนวู่วามไปต่อยเขาจนจมูกหัก แถมคืนนี้ยังเป็นงานวันเกิดต้า คนที่มาก็เพื่อนต้าทั้งนั้น ถึงเขาจะไม่กล้าเอาผิดทางกฎหมายกับเดียวเพราะตัวเองก็ผิดที่เล่นยา แต่ก็คงนำเรื่องเดียวกับจี๊ซไปพูดถึงในทางไม่ดี ต่อไปพวกเพื่อนๆ ฝั่งนั้นคงไม่เข้าร้านอีก”
เดือนอ้ายทำหน้านิ่วครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจเช่นกัน ความห่วงใยถาโถมราวคลื่นลูกใหญ่พัดกระทบจิตใจของตน มันชะล้างความรู้สึกอื่นไปจนหมดสิ้น เธอตกอยู่ในภวังค์ความคิด จนกระทั่งพี่ไล่ไปนอน
“ไปนอนเถอะไป๊ มาเป็น ก.ข.ค. พี่อยู่ได้ เดี๋ยวพี่ดูแลคุณสิทธาเอง”
ก้างชิ้นโตยิ้มเจื่อน เธอยกมือไหว้ลาสิทธา ก่อนจะก้าวออกไปเร็วๆ เมื่อนึกได้ว่าโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้อง บางทีนภนต์อาจโทร. หาเธอเช่นทุกคืน
กลับเข้ามายังห้องนอนของตนแล้วเดือนอ้ายจึงรีบพุ่งไปหยิบโทรศัพท์บนเตียงมาเปิดหน้าจอทันที แต่ก็พบเพียงภาพพักหน้าจอว่างเปล่า ไม่มีสายเข้าหรือแม้แต่ข้อความจากคนที่รอ
เออหนอ ผิดมากไหมถ้าเธอจะโทร. หาเขาก่อนเป็นครั้งแรก แล้วคำตอบในใจว่าความห่วงใยไม่ใช่สิ่งผิดก็ทำให้หญิงสาวกล้าทำในสิ่งที่เคยไม่มั่นใจ เธอสูดหายใจลึกขณะสัญญาณรอสายดังอยู่นาน
“ดึกแล้วยังโทร. หาผู้ชาย กล้ามากนะ”
วาจาข่มขู่นั้นไม่ทำให้คนฟังกลัวสักนิด เดือนอ้ายยิ้ม แต่หัวตารื้นด้วยหยาดน้ำตาได้อย่างไรก็สุดรู้
“อ้าย...อ้ายเห็นคุณอ่านข้อความ แต่ไม่ได้โทร. มา”
“ยุ่งๆ ไม่รู้จะคุยอะไร เมื่อเย็นก็โทร. ไปแล้ว”
จากที่คิดว่าจะให้กำลังใจเขา คนใจกล้ากลับค่อยๆ หมดกำลังใจเสียเอง เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามถึงเรื่องที่รู้มาจากดลฤดี
“อ๋อ ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะคะ”
“เดี๋ยว อ้าย” เสียงห้าวเรียกไว้ก่อนเอ่ยต่อ “อะไรที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วไม่ใช่เรื่องของตนก็ไม่ต้องไปใส่ใจนักหรอก เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก ไม่ต้องคิดแทนผู้ใหญ่ เข้าใจไหม”
คนที่ถูกมองว่าเด็กอยู่เสมอน้ำตาตกใน เขาพูดเหมือนเธอสู่รู้ และอาจทำให้เขาวุ่นวายกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เธอ...
“อ้ายแค่เป็นห่วงคุณ”
ความรู้สึกอันอัดแน่นในอกระเบิดออกไปในที่สุด หารู้ไม่ว่าพลังของถ้อยคำนั้นกระทบใจที่เหนื่อยล้าให้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ อ้ายไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน”
“อ้าย” เสียงเรียกติดจะร้อนรน “อ้าย อยู่ไหม”
“ค่ะ”
“อีกครึ่งชั่วโมงจะไปหา ลงมารอในรั้วนะ”
เดือนอ้ายไม่ทันได้ปฏิเสธ นภนต์ก็ชิงวางสายก่อนเหมือนเคย ร่างอวบอิ่มก้าวไปเกาะขอบหน้าต่างก็เห็นว่ารถของสิทธาเพิ่งเคลื่อนออกไป คนงานเฝ้ายามคล้องกุญแจกับรั้วก่อนเดินกลับไปทางที่พักของเขา
ถ้าเพียงแต่เธอโทร. กลับไปปฏิเสธนภนต์ อย่างมากเขาก็คงโมโหและต่อว่า แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ฟังสมองสั่ง เธออยากเจอเขา อยากเห็นกับตาว่าเขาเป็นอย่างไร
เพราะคำสารภาพสัตย์ซื่อประโยคเดียวทำลายกำแพงในใจชายหนุ่มลง ทั้งที่เขาไม่ชอบให้ใครรับรู้ด้านที่ไม่มั่นคงของจิตใจ แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดอย่างดลฤดีก็ตาม ทว่าบัดนี้เขาหักเลี้ยวรถที่มุ่งหน้ากลับที่พักไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง
นภนต์ทบทวนความรู้สึกหลังเหตุทะเลาะวิวาท แล้วก็พบว่าเขายังคงรู้สึกเช่นเดิมคือไม่เสียใจเลย แม้ใครต่อใครจะบอกว่าเขาไม่น่าวู่วาม เขาเสียใจก็แต่ที่ตระการไม่เอาความ และทุกคนขอให้เรื่องจบตรงนี้เพื่อรักษามิตรภาพส่วนรวมไว้ มิเช่นนั้นจะได้รู้กันไปว่าความผิดของใครร้ายแรงกว่ากัน และจะได้เลิกพูดเหมือนเขาผิดเท่าๆ กันกับอีกฝ่ายเสียที
เขาไม่ได้ใจอ่อนเพราะคำขอร้องของใครอื่น แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าของผู้จัดการร้านและพนักงานทุกคน จึงได้ตัดสินใจไม่แจ้งความผู้ที่มียาเสพติดไว้ในครอบครอง เมื่อตัดขาดความเป็นเพื่อนตามที่ตระการประกาศกลางร้านแล้ว นภนต์ก็นักเลงพอที่จะตัดความโกรธแค้นของตนให้จบลงตรงนั้น อดีตมิตรจะเป็นตายร้ายดีที่ไหน อย่างไร กับใคร ก็ไม่สนใจอีกต่อไป
ความคิดของชายหนุ่มกลับมายังปัจจุบันอีกครั้งเมื่อได้เห็นเงาคนเดินไปมาหลังรั้วอัลลอยขนาดใหญ่ ไม่ทันบีบแตรเบาๆ ร่างอวบอิ่มในชุดนอนและเสื้อคลุมไหมพรมก็เปิดประตูเล็กออกมาอย่างน่าโมโห ช่างไม่ห่วงสวัสดิภาพของตัวเองเสียเลย
“ขึ้นรถ” เขาลดกระจกพลางบอก
เดือนอ้ายมีท่าทางเงอะๆ งะๆ สองจิตสองใจ แต่ก็ยอมเดินอ้อมไปขึ้นรถตามคำสั่ง
“ต่อไปอย่าเที่ยวเปิดรั้วออกมาทะเล่อทะล่า เกิดเป็นคนร้ายจะทำอย่างไร” เขาเปิดฉากตักเตือนเสียงดุ
หญิงสาวหน้าเสีย ไม่ใช่เพราะโดนเขาดุว่า เพราะเธอแทบไม่ได้ใส่ใจเลย แต่เป็นเพราะรอยฟกช้ำบนโหนกแก้มข้างซ้ายและมุมปากของเขา เธอเพิ่งรู้ว่านภนต์ถูกทำร้ายร่างกายเช่นกัน
“บอกแล้วนะว่าอย่าหนี” เขากระชากแขนคนที่ทำท่าจะลงจากรถไว้ได้ทัน
“อ้ายไม่ได้หนี” เดือนอ้ายชักเสียงใส่อย่างเหลืออด “อ้ายจะไปเอายามาทำแผลให้คุณต่างหากเล่า”
ได้ยินเช่นนั้นอารมณ์ฉุนเฉียวก็คลายลง นภนต์มีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เขาย่นคิ้วมองอีกฝ่ายราวกับไม่เคยพบเจอมาก่อน
“เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เถียงนะ หัดดุฉันด้วย”
เขาเข้าเกียร์ทันทีที่ปล่อยมือจากเธอ ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหล่อนลงจากรถ แล้วคนหัดดุก็กลับมาขาดความมั่นใจอย่างเคย
“แล้ว...แล้วไม่ทำแผลหรือคะ”
“ฉันไม่ได้มาให้เธอทำแผล”
เดือนอ้ายชำเลืองมองผู้ที่พูดจาห้วนๆ ใส่ตนเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง ใบหน้าด้านข้างของเขาดุดัน ส่งผลให้รอยช้ำยิ่งน่ากลัวในสายตาคนมอง
“ฉันไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ก่อเรื่องแล้วโร่มาให้ผู้หญิงทำแผลให้ หรือเธอเคยเจอแต่คนแบบนั้น พวกสำออย”
ใช่ เธอเชื่อแล้วว่านภนต์ไม่ใช่คนสำออยอย่างที่เขาว่า เขาไม่ได้มาให้เธอทำแผลหรือเห็นใจ แต่มาเพื่อทำร้ายจิตใจเธอต่างหาก ถ้ามันเป็นเพราะความโกรธที่ตกค้างมา เดือนอ้ายก็จะคิดเสียว่าเธอกำลังเยียวยาแผลทางจิตใจให้เขาแล้วกัน
“ฉันถามทำไมไม่ตอบ”
“คะ?” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ พลางคิดทบทวนว่าประโยคไหนคือคำถาม “ถ้าคุณถามอ้ายว่าเคยเจอใครหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ อ้ายยังไม่เคยเจอหรอกค่ะ”
“จะบอกว่าฉันเป็นคนแรกละสิ” เขากระแทกเสียงใส่
เดือนอ้ายค้อนลมค้อนแล้ง นึกอยากต่อยคนหาเรื่องสักหมัดเหลือเกิน แต่ก็ต้องลอบถอนใจกับความไม่เอาไหนของตัวเอง สิ่งที่เธอทำได้มีแค่ยื่นมือออกไป กุมมือข้างที่วางบนตักของเขาไว้ เธอหลับตากลั้นใจว่านภนต์อาจสะบัดมือของเธอออก ก่อนจะลืมตาพลางผินมองเจ้าของมือที่บีบกระชับแผ่วเบา
“ใช่เล่นนะเราน่ะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง สายตายังคงมองตรงไปเบื้องหน้า
เดือนอ้ายอมยิ้มเล็กๆ กับตัวเอง เธอคงบ้าเต็มขั้นที่อยากให้คืนนี้ไม่สิ้นสุดลงและถนนทอดยาวออกไป
ชายหนุ่มขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสลับกับนึกถึงคนที่นั่งอยู่ข้างเขาในยามนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเลือกเปิดเผยด้านที่ไม่มั่นคงของตนกับคนที่ขาดความมั่นใจเสียยิ่งกว่า แต่มันก็เป็นไปแล้ว
รถเก๋งซีดานเคลื่อนมาจอดในลานจอดรถของสวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาอ้อมไปเปิดประตูให้คนที่เอาแต่นั่งนิ่งก้าวลงมา เดือนอ้ายจดๆ จ้องๆ ป้อมยามว่างเปล่าสลับกับนภนต์อย่างลังเล
“ลงมาสิ”
เออนะ นี่คนหรือตุ๊กตา จะขึ้นรถหรือลงรถต้องให้บอก ชายหนุ่มคิดอย่างอ่อนใจพลางคว้ามือของหญิงสาวในชุดนอนที่ยอมลงจากรถอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ต่อไปอย่าใส่ชุดนอนออกจากบ้านอีก ถึงใส่เสื้อคลุมก็เถอะ ผู้หญิงอะไรไม่รู้จักระวังตัวบ้างเลย” เขาบ่นเสียงแข็ง ส่วนหญิงสาวก็บ่นกระปอดกระแปด
“ก็อ้ายไม่รู้ว่าคุณจะพาออกมาข้างนอกนี่”
“ออกจากห้องนอนก็ไม่ได้”
เมื่อเขาชักเสียงดัง เดือนอ้ายจึงได้แต่สวดเขาในใจพร้อมกับก้าวไปตามแรงจับจูงของชายหนุ่ม ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวจะดึงความสนใจของเธอ
สวนสาธารณะยามค่ำคืนมิได้เปลี่ยวอย่างที่คิด บริเวณลานกิจกรรมติดแม่น้ำเจ้าพระยามีแสงไฟสว่างไสว คลื่นน้ำลูกน้อยๆ กระทบตลิ่งอย่างต่อเนื่อง เธอโน้มตัวมองระดับน้ำผ่านราวกั้น ขณะที่นภนต์ปีนขึ้นไปนั่งบนราวเหล็กนั้นอย่างน่าหวาดเสียว เดือนอ้ายรีบกำชายเสื้อของเขาไว้ ด้วยหวาดกลัวว่าชายหนุ่มจะหงายตกลงไป
แววตาตื่นกลัวสบกับแววตาลึกล้ำเข้าพอดี นภนต์อิ่มเอิบในหัวใจเมื่อได้รู้ว่าเจ้าหล่อนมิได้ห่วงใยเขาแต่เพียงคำพูด แต่เป็นทุกจังหวะชีวิตที่ตัวเขาไม่คิดระวังเสียด้วยซ้ำ
เด็กโง่เอ๊ย จะทำตัวน่ารักไปถึงไหน
“เราน่ะเป็นเด็กดีมาก รู้ตัวไหม” ชายหนุ่มเอ่ยพลางกุมมือเด็กดีไว้ “โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ดื้อกับฉัน น่ารักที่สุด”
เดือนอ้ายไม่กล้าเงยหน้าสบตาคู่คมอีกแล้ว เวลาที่เขาพึงพอใจ นัยน์ตาของนภนต์ทอประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดาวดวงใด ดึงดูดให้ใครที่ได้มองจมดิ่งไปกับเสน่ห์ของเขาได้อย่างง่ายดาย เธอกลัวเหลือเกินว่าตนอาจถลำลึกลงไปเกินกว่าจะหวนกลับมาหายใจได้ด้วยตัวเอง
“สอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
คำถามที่นักศึกษาสาวรอคอย เมื่อได้ยินในเวลาที่ไม่คาดคิดก็ทำเอาหัวใจพองโตกว่าเดิม
“ก็...น่าจะทำได้มั้งคะ”
“เหรอ แล้วเมื่อเย็นดูหนังเรื่องอะไร”
หญิงสาวตอบชื่อหนังแนวโรแมนติกคอเมดีออกไปแล้วก็ต้องอมยิ้มกับบทสนทนา มันเหมือนกับที่เธอได้ยินคู่รักคู่อื่นๆ เขาคุยกันอย่างไรอย่างนั้น
“อมยิ้มอีกแล้ว หวงนักหรือรอยยิ้มน่ะ กับฉันเป็นต้องซ่อนมันไว้ทุกครั้ง”
เดือนอ้ายรีบยิ้มเอาใจคนดุ ก่อนจะถูกเขารั้งตัวเข้าไปใกล้อีก กว่าจะรู้ว่าหลวมตัวเสียแล้วก็เมื่อมืออุ่นจัดทั้งสองข้างประคองดวงหน้ากลมของเธอ เดือนอ้ายกำเสื้อเขาไว้มั่นพร้อมกับหลับตาลงอย่างรอคอย
“เฮ้ย! เข้ามาได้ไงน่ะ”
เสียงตะโกนกระชากหนุ่มสาวกลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้า หญิงสาวหน้าเผือดสีลงทันตา ขณะที่นภนต์กระโดดจากราวเหล็กแล้วคว้ามือเจ้าหล่อนวิ่งกลับไปที่รถด้วยกัน
“เร็วอ้าย” เขาเร่งกระหืดกระหอบปนหัวเราะ
ทันทีที่มาถึงลานจอดรถ ต่างฝ่ายต่างก็ขึ้นนั่งประจำที่ของตนอย่างรู้งาน เดือนอ้ายเอี้ยวตัวมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่วิ่งตามมาพร้อมกับที่ชายหนุ่มเร่งเครื่องออกไปทันท่วงที
นภนต์ปรายตามองคนที่หอบหายใจอยู่ข้างๆ แก้มกลมแดงปลั่งราวกับมะเขือเทศสุก แล้วก็ต้องหัวเราะอย่างขบขันระคนเอ็นดู
“แค่นี้ก็ทำท่าจะขาดใจ จะไปทำอะไรได้ฮึ” เขากระเซ้า สื่อไปทางสัปดน
ทว่าเดือนอ้ายไม่ทันจับความนัยจึงอ้อมแอ้มโต้เถียง “อ้ายก็ไม่คิดจะทำผิดกฎอยู่แล้ว”
“หึ ฉันขี้เกียจเถียงกับเด็กดีอย่างเธอ อย่าดีแตกล่ะ” เขาว่าพลางยิ้มเยาะมุมปาก “ว่าแต่สอบเสร็จแล้ว อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า”
“อ้ายไปได้หรือคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ อยากไปไหนล่ะ ดาวอังคารหรือไง”
คนอะไรปากร้ายแต่ใจดี หญิงสาวทั้งขันทั้งฉุนเขาในคราวเดียวกัน
“อ้ายไม่ได้คิดไว้เลยค่ะ ไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษ”
“ถ้าอย่างนั้นไปทะเล เสาร์-อาทิตย์ที่ร้านคงยุ่งๆ ไปวันจันทร์แล้วกัน”
เดือนอ้ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอเบิกตามองชายหนุ่มอย่างซาบซึ้งระคนตื่นเต้นยินดีจนลืมคำนึงถึงเรื่องอื่นใด ลืมว่าเธอยอมออกมาพบเขาเพราะความห่วงใย ลืมว่าหญิงชายไม่ควรไปเที่ยวกันตามลำพัง โดยเฉพาะผู้ชายเจนจัดอย่างเขากับผู้หญิงต่างพื้นเพและนิสัยใจคอต่างกันเช่นเธอ
“เปลี่ยนจากมองฉันอย่างซาบซึ้งมาหอมแก้มหน่อยเร็ว”
วาจายั่วเย้าทำเอาหญิงสาวชักสายตากลับมาแทบไม่ทัน กระทั่งนภนต์เร่งเร้ามาอีก หัวใจสาวจึงเต้นระรัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ จะตอบแทนตามที่เขาเรียกร้อง
“อยากทำแผลให้ฉันไม่ใช่หรือไง เร็วเข้า” เขาท้าเสียงแข็ง
รถยนต์จอดหน้าประตูอัลลอยบานใหญ่ ขณะที่เดือนอ้ายปลดเข็มขัดนิรภัยด้วยมือสั่นน้อยๆ เมื่อหันไปหาเขาอีกครั้งก็เห็นชายหนุ่มนั่งพาดแขนสองข้างกับพวงมาลัย แสงไฟจากภายนอกสาดส่องจับเสี้ยวหน้าซึ่งปรากฏแผลฟกช้ำ แม้คนเจ็บจะไม่โอดครวญ แต่เธอพอคาดเดาได้ว่ามันคงสร้างความเจ็บปวดและรำคาญให้เขาไม่น้อยเลย
ร่างอวบอิ่มขยับกายนั่งหมิ่นเหม่ เธอยืดตัวไปหาผู้ที่ยังคงนั่งค้อมตัวไปข้างหน้า เดือนอ้ายต้องจับไหล่หนาเพื่อโน้มดึงเขามาหา เธอเป่าลมหายใจบนโหนกแก้มบวมช้ำ ก่อนจะประทับจุมพิตแผ่วเบา
“อ้าย...เข้าบ้านก่อนนะคะ”
นภนต์พยักหน้าเหมือนตกต้องอยู่ใต้มนตร์สะกด เป็นความรู้สึกกึ่งหลับฝันกึ่งตื่น เขาต้องกะพริบตาเรียกสติของตนกลับมาพลางทอดมองตามหลังคนที่ลงจากรถ แล้วความอ่อนหวานที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากผู้หญิงคนไหนก็แทรกซึมลงสู่ใจ
เขารักหล่อนหรือ คำถามดังก้องในใจ แต่ชายหนุ่มก็ตอบได้ทันทีว่าไม่ ถ้าคำว่ารักหมายถึงการแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกันตามที่ใครหลายคนคิดว่าสมควรแก่เวลา เขาก็คงเพียงแต่พึงพอใจเดือนอ้ายเท่านั้น เป็นความหลงใหลอันสดใหม่ซึ่งสักพักคงจืดจางลงตามกาลเวลา เขาไม่เห็นว่าเด็กอย่างนั้นจะมีอะไรเหมาะสมคู่ควรกับตน ไม่ว่าความคิด วิถีชีวิต หรือความสนใจในเรื่องเดียวกัน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะอ่อนใจกับตัวเอง แค่เพ้อพกคิดมาถึงตรงนี้เขายังก่นด่าตัวเองในใจ ก่อนจะเคลื่อนรถจากบ้านหลังใหญ่ไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์
แทนที่จะกลับห้องพักของตน นภนต์กลับมาที่ร้านอีกครั้งในเวลาเกือบตีสาม เขาแค่อยากมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีหมาตัวไหนลอบกัด แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบพนักงานหนุ่มคนหนึ่งยังอยู่ในร้านที่ปิดไฟมืด
คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นทันที เขาจำได้ว่าตอนที่ตนกลับออกไป พนักงานต่างเก็บกวาดทำความสะอาดร้านจวนเสร็จสิ้นแล้ว แล้วทำไมจึงเหลือนายบอย...หนุ่มร่างผอมอยู่ที่ร้านในเวลานี้
“คุณเดียว” พนักงานหนุ่มเอ่ยพลางคลำหาสวิตช์ไฟ
“มาทำอะไรดึกดื่น” เขาถามเสียงห้วน
แสงไฟสีฟ้าตรงเคาน์เตอร์เครื่องดื่มสว่างขึ้น นภนต์สังเกตเห็นท่าทางตื่นตกใจของอีกฝ่าย แต่ก็ยากจะบอกได้ว่าเป็นพิรุธหรือไม่ เพราะรู้ดีว่าลูกน้องคนนี้ติดจะซื่อๆ เซ่อๆ เป็นปกติวิสัย
“ถามว่ามาทำอะไร” เขาลากเสียงดุ
“ไม่...ไม่ได้มาทำอะไรครับ ผู้จัดการอยากให้มีคนเฝ้าร้าน ผม...ผมก็เลยอาสา”
เจ้าของร้านกวาดตามองคนอาสาหัวจดเท้า อดคิดไม่ได้ว่าหากมีคนคิดร้ายทำลายร้านของเขาขึ้นมาจริงๆ นายบอยจะมีปัญญาขัดขวางหรือทำอะไรได้ แต่เมื่อนึกถึงความขยันขันแข็งและความมีน้ำใจของอีกฝ่าย เขาก็ถอนฉุน
“เออ ขอบใจ ดีเหมือนกัน ฉันจะได้กลับไปนอน”
นภนต์ตบไหล่ผอมบางพลางใส่ธนบัตรใบละห้าร้อยบาทลงในกระเป๋าเสื้อลูกน้อง นายบอยไหว้ปลกๆ ราวกับไหว้เจ้าอย่างไรอย่างนั้น เขาหัวเราะขันท่าทางไม่เต็มเต็งอย่างไม่ถือสา ก่อนจะกลับออกมาขึ้นรถ
บางทีเขาควรเลิกหวาดระแวงเกินไป ถ้าตระการกล้านำชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาแลกกับคนอย่างเขาก็โง่เต็มที
ความคิดเห็น |
---|