บทที่ ๙
ชีวิตการเป็นนักศึกษาของนักศึกษาชั้นปีที่สี่ปิดฉากลงหลังการสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้น
กลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนฉลองให้แก่ช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสืออย่างหนักที่ผ่านพ้นไปด้วยการไปกินบุฟเฟต์ชาบูด้วยกัน
พวกเธอยกแก้วน้ำปั่นหลากสีชนกันเหนือหม้อน้ำซุป ก่อนจะพูดคุยถึงอนาคตหลังพ้นสภาพนักศึกษาของพวกตน
“ฉันว่าจะไปเที่ยวสักพักแล้วกลับมาเรียนต่อโท”
พิมพ์อักษรบอก
“เหมือนกันเลยแก แต่ฉันอาจจะต่อคณะอื่นว่ะ
รู้สึกไม่ใช่ทาง” จารุณีเอ่ย
“ว้าย อย่างนี้ฉันก็หนีไม่พ้นแกอีกแล้วน่ะสินังกิ๊บ”
พิมพ์อักษรทำท่าสะดิ้ง เรียกเสียงหัวเราะรอบวง
“ดีออก สะดิ้งได้เหมือนม้าดีดกะโหลกมากแก”
เดือนอ้ายหัวเราะจนสำลักน้ำผลไม้ เห็นอย่างนั้นก็มิได้ทำให้เพื่อนสงสารแต่อย่างใด
แล้วยังเบนความสนใจยิงคำถามมาที่เธอแทน
“แกไม่ต้องทำหัวเราะกลบเกลื่อนเลยยายอ้าย
จะเอาอย่างไรกับชีวิตคะ จะแต่งงานหรือทำงาน” จารุณีล้อเลียน
ว่าไปแล้วก็มีแต่เพื่อนสนิทอย่างจารุณีที่ยังคงหยิบยกเหตุการณ์ในคืนนั้นมาล้อเธอ
ส่วนเพื่อนนักศึกษาคนอื่นต่างเลิกสนใจตั้งแต่พ้นสัปดาห์แรกเสียด้วยซ้ำ เธอจึงยิ่งเข้าใจคำพูดของนภนต์เกี่ยวกับลมปากคน
“ทำงานสิ ถามได้”
“ตกลงอ้ายจะทำงานที่บริษัทคุณสิทธาหรือ”
โชติถาม
“ใช่จ้ะ อ้ายกะว่าอาทิตย์หน้าจะส่งอีเมลสมัคร
แล้วถ้าไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”
“ไม่ลองสมัครหลายๆ ที่ล่ะแก”
พิมพ์อักษรเสนอแนะ “ฉันเห็นนิตยสารเกี่ยวกับเด็กเปิดรับกองบรรณาธิการ
แกเคยสนใจไม่ใช่เหรอ”
“ก็อยากนะ แต่เกรงใจคุณสิทธาอ่า”
“เออๆ เอาที่แกสบายใจแหละ”
เพื่อนสนิทเอ่ยอย่างเข้าใจ
เดือนอ้ายยิ้มแห้งๆ บ่อยครั้งที่เธอนึกสมเพชตัวเองที่ไม่เคยมีไฟฝันอยากทำอะไรตามความต้องการของตน
เพราะเธอมิได้เติบโตมาอย่างเปี่ยมความมั่นใจ ไม่มีใครให้ความรักหรือความมั่นคงทางจิตใจ
เธอจึงพอใจแค่ได้ใช้ชีวิตตามความพอใจของผู้อื่นนั่นเอง
“แล้วโชติล่ะ บริษัทที่เรียกไปสัมภาษณ์ให้เริ่มงานเมื่อไร”
หญิงสาวเสถามเพื่อนชายคนเดียวในกลุ่ม
“ต้นเดือนหน้า” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ “กลางเดือนนี้เราเลยตั้งใจจะบวชก่อน”
“ได้งานคนแรกเลยนะมึง เลี้ยงพวกกูเหล่าชะนีผู้หิวโหยเลย
แล้วพวกกูจะไปถือหมอนให้ จริงไหมนังกิ๊บ นังอ้าย” พิมพ์อักษรโวยวาย
โดยมีเหล่าชะนีผู้หิวโหยหัวเราะเกรียว
โทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นเตือนเรียกความสนใจจากเดือนอ้ายให้หันมาค้นหาต้นตอในกระเป๋าสะพาย
ครั้นเห็นชื่อผู้โทร. เข้าก็อดยิ้มไม่ได้ เธอรีบกดรับ แต่ก็ช้ากว่าสายตาสอดรู้สอดเห็นของจารุณี
“คุณพ่อโทร. ตามแล้วจ้า”
หญิงสาวหัวเราะขบขันเมื่อจินตนาการถึงสีหน้าของนภนต์ถ้าเขาได้ยินประโยคเมื่อกี้นี้เข้า
เสียงที่กรอกไปตามสายจึงเจือหัวเราะอย่างสุดจะกลั้นเก็บไว้
“อยู่กับเพื่อนสิท่า เสียงระรื่นอย่างนี้”
เขาว่าอย่างไม่จริงจัง
“ค่ะ อ้ายสอบเสร็จแล้วเลยมากินชาบูกับเพื่อน
แล้วเดี๋ยวจะไปดูหนังกัน” เธอกล้าพูดกับเขามากขึ้นหลังจากที่นภนต์ขยันโทร.
หาทุกคืน อีกทั้งเขาไม่ได้ดุเธอทุกคำเช่นกาลก่อนอีกแล้ว
“อืม อย่ากลับดึกล่ะ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาด้วย”
“ค่ะ”
เมื่อเขาวางสายเธอจึงลดโทรศัพท์ลง ก่อนจะหันไปเห็นว่าจารุณีถลึงตามองมาที่เธอราวกับพบเห็นมนุษย์ต่างดาว
“คุยกันแค่เนี้ย?”
“แค่นี้แหละ ทำไมเหรอ”
หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ
“แหม ไอ้เราก็นึกว่าจะได้แอบฟังนานๆ
แบบเขาถามไถ่แกว่าสอบเป็นอย่างไร...หรือพี่คิดถึงอ้ายใจจะขาด อะไรเทือกนี้น่ะสิ”
“น้ำเน่ามากนังกิ๊บ”
พิมพ์อักษรทำท่าขนลุกขนพอง แต่ก็ไม่อาจหยุดความจุ้นจ้านของจารุณีได้
“เออนี่อ้าย ถ้าคุณนภนต์คบกับแก
แล้วข่าวลือเรื่องที่มิลกี้คบกับเขาหรือข่าวลือว่าเขาเป็นมือที่สามระหว่างคู่ของพี่แกก็เป็นข่าวลวงสินะ
แล้วทำไมเขาไม่แก้ข่าวและเปิดตัวแกไปเลยวะ”
ข้อสังเกตนั้นไม่อาจสั่นคลอนหัวใจที่ตกอยู่ในห้วงรัก
ไม่ใช่เพราะเธอเข้าใจ ไว้ใจนภนต์ ตรงกันข้ามเธอกลับพอใจแค่ได้รับความห่วงใย ความใส่ใจเล็กๆ
น้อยๆ จากเขาอย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากใคร เดือนอ้ายบอกตัวเองว่าจะไม่โลภ ไม่หวังอะไรเกินตัวไปกว่านี้
เมื่อพร้อมจะรักก็ต้องพร้อมจะราเช่นกัน
“รีบกินเถอะ เดี๋ยวหมดเวลาบุฟเฟต์”
เดือนอ้ายยิ้มบางๆ
พลางคีบเนื้อหมูสไลด์ให้เพื่อน ไม่รู้เลยว่าหนามกุหลาบในจินตนาการกับความจริงนั้นต่างกัน
หากเป็นคนนอกติดต่อขอจัดงานในคืนสุดสัปดาห์ จี๊ซบาร์เป็นต้องปฏิเสธลูกค้าทุกรายไป
ทว่าเพื่อเห็นแก่มิตรภาพ นภนต์จึงยินยอมปิดร้านเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของตระการ
เพื่อนร่วมก๊วนเดียวกัน
ผู้รับหน้าที่แม่งานในครั้งนี้คือมนสิการ เจ้าหล่อนคอยกำกับพนักงานประดับลูกโป่งตกแต่งร้านตั้งแต่ช่วงบ่าย
ก่อนจะมีคนนำเค้กรูปรถสปอร์ตมาส่งให้ที่ร้าน ชายหนุ่มซึ้งใจในสิ่งที่มนสิการทำเพื่อเพื่อนจึงช่วยหล่อนทำนู่นทำนี่อีกแรง
อีกประการก็เพื่อให้พนักงานได้ไปกินข้าวเตรียมตัวก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น
“ไม่ชวนมาด้วยล่ะ”
คำพูดลอยๆ เรียกสายตาจากผู้ที่ปีนบันไดลิงเตี้ยๆ
ไปแขวนธงทิวตัวอักษรภาษาอังกฤษให้หลุบมอง
“หือ ชวนใคร”
“คนที่เดียวโทร. หาไง”
“เด็ก ไม่ต้องมาน่ะดีแล้ว”
นภนต์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะกระโดดลงมายกบันไดไปอีกมุม
แล้วก็ปีนกลับขึ้นไปใหม่
มนสิการมองท่าทางแคล่วคล่องแข็งแรงอย่างเผลอไผล
คนอย่างเธอมีผู้ชายมาให้เลือกคบหามากมาย แต่ไม่มีใครถูกใจเธอเท่ากับนภนต์ แม้เขาจะไม่ได้มีชาติตระกูลใหญ่เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่น
เธอรู้มาว่าเงินที่เขาใช้ลงทุนเปิดจี๊ซบาร์ก็เป็นเงินมรดกที่แม่ทิ้งไว้ให้ ส่วนพ่อของเขานั้นแทบจะตัดขาดจากกัน
แต่นภนต์มีรูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลือร้าย เมื่อรวมกับบุคลิกท่าทางที่ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็ขับเคลื่อนเสน่ห์แห่งบุรุษเพศออกมา
เธอจึงปักอกปักใจกับเขาเกินไถ่ถอน ต่อให้เขาควงผู้หญิงอีกสักกี่คนก็ตาม
“ดูเหงื่อสิ มีเสื้อมาเปลี่ยนหรือเปล่า”
มนสิการเอ่ยพลางดึงหลังเสื้อเชิ้ตชื้นเหงื่อของเพื่อนชาย
“มี ฝ้ายอยากขึ้นไปเติมหน้าก่อนหรือรอเราเปลี่ยนเสื้อล่ะ”
“เชิญคุณสุภาพบุรุษก่อนแล้วกัน”
สุภาพบุรุษยกมือตะเบ๊ะ ก่อนร่างสูงจะก้าวขึ้นบันไดวนไปยังห้องทำงานของตน
เขามักมีเสื้อผ้าสำรองติดห้องไว้เสมอ เผื่อว่าคืนไหนเมาหนักก็นอนค้างในห้องทำงานเสียเลย
นภนต์ล้างเนื้อล้างตัวแล้วสวมเสื้อโปโลสีเขียวเข้ม
แขนเสื้อยาวสามส่วน พอไปด้วยกันได้กับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีเทาเข้มตัวเดิม เขาประพรมน้ำหอมเล็กน้อย
แต่เมื่อลงบันไดเหล็กมาก็พบมนสิการยังคงสั่งการกับพนักงานหนุ่มคนหนึ่งอีกเช่นเคย
“งานจะเริ่มแล้ว ไปแต่งหน้าเถอะครับคุณแม่งาน”
เขาเย้าเพื่อนพลางโบกมือให้พนักงานชายร่างผอมกลับไปทำงานของตน “เลิกนอยด์ได้แล้วน่า ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ”
หญิงสาวมองรอบกายก่อนพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน
มนสิการคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขอตัวไปแต่งหน้าทำผมใหม่ที่ห้องทำงานของนภนต์
ลับร่างบางแล้วชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เขาไล่หาหมายเลขของเดือนอ้ายอย่างติดเป็นนิสัย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายพร้อมกับความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามา
ไว้พรุ่งนี้เขาค่อยเซอร์ไพรส์คนสอบเสร็จ พานั่งรถเที่ยวไกลๆ คงดี
แขกซึ่งเป็นเพื่อนของตระการเสียส่วนมากทยอยมาร่วมงานตั้งแต่หัวค่ำ มีทั้งเพื่อนสมัยเรียนไปจนถึงคนในแวดวงบันเทิง
หลายคนเป็นคนที่นภนต์คุ้นหน้าคุ้นตาประสาหนุ่มสังคมจัดคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นสนิทสนมคุ้นเคยกัน
คืนนี้ดลฤดีควงมากับสิทธา หญิงสาวอยู่ในเดรสรัดรูปสีขาวซึ่งเว้าช่วงเอวสองข้างให้เห็นทรวดทรงอรชรของผู้สวมใส่
แต่หนุ่มใหญ่ข้างๆ คงไม่อยากให้ใครเห็นนัก มือหนาจึงโอบเอวว่าที่เจ้าสาวเสียเกือบมิดทีเดียว
“สวัสดีครับคุณสิทธา”
นภนต์ทักทายพลางค้อมศีรษะเล็กน้อย
“สวัสดีครับ”
“หนุ่มๆ นี่ ไม่ต้องพูดจาอย่างเป็นทางการกันนักได้ไหมคะ
ควรจะรีบสนิทกันได้แล้วนะ คุณเพื่อนกับคุณว่าที่สามี”
บุรุษสองคนพร้อมใจกันโคลงศีรษะยิ้มๆ ก่อนเจ้าของสถานที่จะผายมือเชิญแขกที่เพิ่งมาถึงให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน
“เดี๋ยวหนูดีขอไปทักทายเพื่อนทางนั้นก่อนนะคะคุณสิทธา”
“ครับ”
สิทธาปลดกระดุมเสื้อสูทพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามนภนต์
โต๊ะที่พวกเขานั่งค่อนข้างอยู่มุมอับและมีสองที่นั่ง เสมือนนภนต์มาดูแลความเรียบร้อยมากกว่าเฮฮาปาร์ตีเต็มเหนี่ยว
“ร้านน่านั่งดีนะครับ”
นักธุรกิจบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่เอ่ยชม “เหมือนจะปรับปรุงจากครั้งแรกที่ผมเคยมา”
ชายหนุ่มยิ้มขัน จำได้ว่าอีกฝ่ายเคยมาที่ร้านครั้งแรกและครั้งเดียวตั้งแต่เริ่มคบหาดูใจกับดลฤดี
“ครับ แต่จะน่านั่งกว่านี้ถ้าเปลี่ยนจากดีเจเปิดแผ่นเป็นนักดนตรีแสดงสด”
นภนต์บอกพลางบุ้ยใบ้ไปทางกลางร้านที่นำโต๊ะออกไปส่วนหนึ่ง แทนที่ด้วยเครื่องเล่นแผ่นชุดใหญ่
สิทธาเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เขาไม่นิยมเสียงดังอึกทึก
อย่างมากก็นั่งฟังดนตรีแจซที่ซิการ์คลับเพื่อผ่อนคลาย
“ถ้านั่งรับลมและสูบซิการ์นอกร้านคงดีไม่น้อย”
หนุ่มใหญ่เปรย
“เอาสิครับ ผมออกไปดื่มเป็นเพื่อน”
นภนต์ลุกยืนทั้งที่ไม่วางแก้วทรงเตี้ย สิทธายิ้มบางๆ
พลางลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนหนุ่มสาวที่ก้าวเข้ามาในร้านเป็นคู่ล่าสุดจะเรียกสายตาของพวกเขาและความสนใจจากทุกคน
พลุกระดาษในมือเพื่อนๆ ถูกดึงใส่เจ้าของวันเกิด
ตระการหัวเราะดังพร้อมกับโอบไหล่เด็กสาวที่มาด้วยกันเข้าหาตัว แต่ภาพมณิศรในอ้อมแขนของชายอื่นไม่ทำให้นภนต์เสียหน้าสักนิด
ตรงกันข้ามเขากลับขบขัน...อยากหัวเราะให้อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เฮ้ย สุขสันต์วันเกิด”
ชายหนุ่มชกไหล่เพื่อนทีหนึ่งโดยไม่ปรายตาไปทางนางเอกวัยรุ่นอีกเลย
“ขอบใจมากเว้ยเดียว อุตส่าห์ปิดร้านวันศุกร์เพื่อกู”
ตระการเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนจะแลเลยไปเห็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใครๆ
ต่างชื่นชม “อ้าว สวัสดีครับคุณสิทธา ไม่คิดเลยว่าคุณสิทธาจะให้เกียรติมาร่วมงานด้วย”
“สุขสันต์วันเกิดนะยะคุณเพื่อน”
ดลฤดีบอกพลางคล้องแขนคนรัก
“ขอบใจค่ะคุณหนูดี ตามสบายนะครับคุณสิทธา”
หญิงสาวฝืนยิ้มชื่นกระทั่งเจ้าของวันเกิดและคู่ควงผละไปทักทายคนอื่นๆ
เธอจึงหรี่ตามองเพื่อนชายคนสนิทเพื่อสังเกตท่าที
“ไม่ต้องมามองอย่างนั้น เราจะออกไปนั่งกับคุณสิทธาข้างนอกนะ”
นภนต์ตอบสายตาจับผิดกลั้วหัวเราะ
“หนูดีสนุกกับเพื่อนเถอะ ผมจะออกไปสูบซิการ์ด้วย”
สิทธาเอ่ยสำทับ
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูดีตามออกไปนะ”
นภนต์กลอกตาอ่อนใจเมื่อเห็นเพื่อนขยับไปจุมพิตแก้มของว่าที่เจ้าบ่าว
เขาหันไปบอกพนักงานให้นำวิสกี้กับน้ำแข็งออกไปให้พวกตนข้างนอก ก่อนจะพยักหน้าพลางก้าวนำหนุ่มใหญ่ไปยังชุดโซฟาซึ่งเป็นเก้าอี้หวายบุนวมสีขาว
ตรงกลางมีโต๊ะตัวเตี้ยสีเดียวกัน
หนุ่มใหญ่ยื่นกล่องเหล็กบรรจุซิการ์มวนโตให้อีกฝ่าย
นภนต์ไม่ปฏิเสธน้ำใจนั้นและรับที่จุดไฟหัวกลมมาจุดยังปลายมวนซึ่งตัดไว้ เขาอมควันไว้
ซึมซับกลิ่นหอมไหม้อ่อนๆ อยู่อึดใจ แล้วค่อยผ่อนควันออกมา
“ให้ผมทาย จากเม็กซิโกหรือเปล่าครับ”
“ใกล้เคียงครับ คิวบา”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อ เขามองซิการ์ในมืออย่างพิจารณา
แล้วจึงอมควันเข้าไปอีกครั้ง ละเลียดดื่มด่ำควบคู่ไปกับวิสกี้จากสกอตแลนด์
นอกจากพนักงานจะรีบนำเครื่องดื่มมาให้ผู้เป็นนายตามคำสั่งแล้ว
สเต๊กซี่โครงแกะกับหอยนางรมสดยังยกมาเสิร์ฟพร้อมกัน เขาบอกขอบใจลูกน้องและกำชับให้ดูแลแขกมิให้ขาดตกบกพร่อง
ก่อนจะเป็นฝ่ายรินวิสกี้ให้สิทธาด้วยตัวเอง
“ผมทราบจากแผนกกฎหมายว่าคุณเป็นผู้เช่าชั้นดาดฟ้าของตึกเอสทาวเวอร์คนใหม่”
“ครับ จริงตามนั้น เพราะแผนกกฎหมายของบริษัทคุณคงไม่ยื่นเรื่องสั่วๆ
ให้ผู้บริหารอยู่แล้ว”
ผู้บริหารใหญ่หัวเราะในลำคอ เขาอาจไม่สนิทหรือพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนของคนรักก็จริง
แต่ในกลุ่มเพื่อนทั้งหมดของดลฤดี ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่เขานึกนิยมจนถึงขั้นหวาดระแวงเลยทีเดียว
คงเพราะเสน่ห์แบบดิบๆ ทว่าจริงใจของนภนต์กระมัง
แต่พวกเขาเสมอกัน เป็นครั้งแรกที่นภนต์ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายเกินกว่าคำว่าตามมารยาท
เขาไม่แปลกใจเลยที่ดลฤดีหลงรักบุรุษผู้เพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติเช่นสิทธา
หนุ่มใหญ่สุขุมและโก้ไม่หยอก ผู้ชายสำเร็จรูปเช่นนี้คงเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวน้อยสาวใหญ่
รวมทั้งสาวน้อยอย่างเดือนอ้ายอีกคน
“หุ้นส่วนเก่าของคุณคงไม่ทราบเรื่องนี้”
สิทธาหมายถึงคนรักของตนที่เคยร่วมหุ้นเปิดจี๊ซบาร์
“ครับ ผมอยากดำเนินกิจการด้วยตัวเองทั้งหมด
แต่ถ้าจากนี้หนูดีรู้ ผมจะพุ่งเป้าไปที่คุณคนเดียว คุณสิทธา”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมก็ไม่อยากให้ว่าที่ภรรยาของผมต้องมาลงทุนลงแรงกับเพื่อนชายคนสนิทนัก”
เขาเอ่ยคำที่นักข่าวใช้เรียกนภนต์
เพื่อนชายคนสนิททั้งขันระคนขุ่นเคือง ก่อนจะหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกับยื่นแก้วไปตรงหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อนเพื่อชนแก้วกัน
สองหนุ่มต่างวิถีชีวิตกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส
ขณะที่ประตูร้านเปิดออกตามด้วยร่างเพรียวบางของสองสาวเดินมาหาพวกเขา ดลฤดีนั่งข้างชายคนรัก
ขณะที่นภนต์ขยับให้มนสิการนั่งฝั่งตน พวกเธอดูแลตัวเองด้วยการถือแก้วไวน์ออกมาพร้อมสรรพ
“คุยอะไรกันคะหนุ่มๆ เดียวหัวเราะร่วนเชียว”
ดลฤดีถามพลางมองเพื่อนกับคนรักสลับกัน
“เรื่องซิการ์ ผมบอกคุณเดียวว่ามันช่วยให้ผ่อนคลาย”
นภนต์ชี้ไปที่คนตอบคำถามอย่างชอบใจ เขากลั้นหัวเราะตาพราวพลางอัดควันสำทับคำตอบของสิทธา
“ไม่ต้องมาทำเป็นมีความลับนะเดียว
หนูดีรู้แล้วว่าทำไมเดียวถึงไม่อาลัยอาวรณ์น้องมิลกี้”
“ตลกน่า จะให้ร้องไห้หรือไง”
ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อย
“ฝ้ายบอกว่าเจออ้ายที่ห้องของเดียว
แต่จริงๆ หนูดีแค่ฝากอ้ายเอาข้าวต้มไปให้เองน้า”
เขาวางแก้วก่อนสบตากับเพื่อนรักอย่างต้องการค้นหาความรู้สึกของเจ้าหล่อน
ทว่าหญิงสาวขยิบตาเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกต เขาจึงนึกรู้ทันทีว่าเพื่อนคงหมายจะกันท่าสิทธา
นภนต์เล่นไปตามบทบาทที่เต็มใจรับ แม้ในใจจะขัดเคืองมนสิการที่นำเรื่องส่วนตัวของเขาไปบอกคนอื่นก็ตาม
“ได้ยินมาว่าอย่างไรก็ตามนั้นแหละ”
“แหม ถ้าเดียวคบกับอ้ายก็ดีสิ
หนูดีจะได้มีแต่คนที่รักอยู่รอบตัว”
นภนต์หลิ่วตาพลางยื่นแก้วไปทางเพื่อนรักและสิทธา
ท่าทางที่แสดงออกตอบรับคำพูดของดลฤดีได้ดีโดยไม่ต้องมีคำตอบผูกมัดตัวเองด้วยซ้ำไป
จากที่คิดว่าจะทำให้เพื่อนสาวผิดใจกับนภนต์หรือญาติผู้น้องได้
คนจุดไฟอย่างมนสิการกลับถูกไฟลามมาแผดเผาใจเสียเอง
“เอาเครื่องดื่มอะไรเพิ่มดีครับสุภาพสตรีทั้งสอง
เดี๋ยวเราเดินไปบอกพนักงานให้”
ดลฤดียกแก้วให้รู้ว่าต้องการไวน์เช่นเดิม ส่วนมนสิการก็พยักหน้าตาม
เจ้าของร้านจึงได้ลุกจากไป
ชายหนุ่มต้องปรับสายตาเมื่อเข้ามาในร้านที่ตอนนี้มีแสงไฟเลเซอร์หมุนคว้างไปทั่ว
หนุ่มสาวหลายคนยืนเต้นอยู่กลางร้านซึ่งนำโต๊ะออกไป โดยมีดีเจมิกซ์เพลงอย่างเมามัน
นภนต์กำลังมองหาพนักงาน เป็นเวลาเดียวกับที่เขาสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งสุมหัวกันอยู่ที่โซฟาชุด
ในจำนวนคนเหล่านั้นมีทั้งเจ้าของวันเกิดอย่างตระการ นักร้องชายชื่อดัง และนางเอกวัยเพียงสิบเจ็ดปี
พวกเขากำลังดูดยาเสพติดในหลอดแก้วโดยไม่สนใจใครและไม่มีใครสนใจ
แม้จะรู้ดีว่าตระการเสพยาและเขาเองก็เคยถูกอีกฝ่ายชักชวน
แต่นภนต์ไม่เคยนำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นตัวเลือกคบคน ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายล้ำเส้นเกินไป
คนพวกนี้จะไปเสพยาหรือขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน เขาไม่สนใจ ยกเว้นที่ร้านของเขาเท่านั้น!
ร่างสูงย่างสามขุมไปที่โต๊ะเจ้าของวันเกิด
เขาบีบไหล่ตระการแน่นพลางเอ่ยลอดไรฟัน
“อย่าทำแบบนี้”
“เฮ้ย ไม่เอาน่า นี่วันเกิดกูนะ
มาสนุกกัน” ตระการสวนกลับกลั้วหัวเราะ
“กูไม่สนุก”
นภนต์ปรายตามองเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาดูดควันจากหลอดแล้วก็ยิ่งคับแค้นใจ
โกรธจนตัวสั่น ต้องเลวขนาดไหนจึงล่อลวงเยาวชนคนหนึ่งให้ติดยาได้ นึกแล้วเขาก็ฉวยหลอดแก้วรูปทรงคล้ายตะเกียงมาทิ้งลงในถังน้ำแข็งข้างโต๊ะทันที
“เอ๊ะ พี่เดียว” มณิศรโวย
“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะ” ตระการผุดลุกอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน
ทว่าชายหนุ่มไม่อาจเห็นแก่ความเป็นเพื่อนหรือลูกค้าอีกต่อไป
เขาเอื้อมไปกวาดอุปกรณ์การเสพทั้งหมด ก่อนจะถูกขัดขวางด้วยการผลักไหล่อย่างแรง จุดชนวนโทสะของผู้ที่ข่มใจเย็นให้ระเบิด
“มึงนั่นแหละมากไป”
ขาดคำนั้น นภนต์เหวี่ยงหมัดใส่ตระการเพื่อหวังดึงสติอีกฝ่าย
เรียกเสียงกรีดร้องดังลั่นร้านตามด้วยใครหลายคนพยายามแยกพวกเขาออกจากกัน
“ไอ้เดียว มึง!”
คนเพลี่ยงพล้ำกลับมาลุกยืนได้อีกครั้ง ตระการโถมกายต่อยขณะที่มีคนจับนภนต์ไว้
ชายหนุ่มหน้าหันและปวดร้าวไปครึ่งหน้า เขาสะบัดตัวหลุดด้วยความโกรธแค้นขาดสติ ร่างสูงกระโจนใส่ผู้ที่ตนเคยเรียกว่าเพื่อนจนอีกฝ่ายหงายหลังกระแทกโต๊ะ
เขาปล่อยหมัดใส่ใบหน้าตระการไม่ยั้ง ก่อนจะถูกดลฤดีและสิทธาฉุดกระชากออกมา
“มึงจะไปทำระยำที่ไหนก็ไป แต่ต้องไม่ใช่ร้านกู”
เจ้าของร้านชี้หน้าอย่างเดือดดาล
“เดียว พอเถอะ ไป ไปกับหนูดี”
ดลฤดีกระตุกแขนเพื่อนและลากขึ้นไปบนห้องทำงานชั้นสองของร้าน
ปล่อยหน้าที่จัดการความวุ่นวายข้างล่างให้สิทธา เพราะรู้ดีว่าใครๆ
ต่างก็เกรงความเป็นผู้ใหญ่ของคนรักของตน
นภนต์เหวี่ยงแขนออกจากเพื่อนทันทีที่เข้าไปในห้องส่วนตัว
เขาเดินไปมาเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะทุบโต๊ะดังอย่างโมโหทั้งตัวเองและตัวต้นเหตุที่ทำให้เขานอตหลุด
แต่ถ้าจะให้ขอโทษอีกฝ่ายละก็ ไม่มีทาง!
“เดียว...”
“หนูดีลงไปเถอะ ฝากเรียกผู้จัดการขึ้นมาที”
เขาข่มใจเอ่ย
“แต่...”
“ไปสิ!”
คนถูกตวาดไล่เม้มปากแน่น เธอไม่เคยเห็นนภนต์ยามโมโหร้ายเช่นนี้
เพื่อนรักของเธอมักจะอารมณ์ดีและมีอารมณ์ขันเสมอ
“ไปก็ได้ ถ้ารู้ว่าเดียวเป็นแบบนี้
หนูดีจะไม่ยุ่งให้โดนด่าแล้ว”
ชายหนุ่มมองเพื่อนรักโกรธปึงปังออกไป ก่อนเขาจะสบถดังอย่างอัดอั้นเมื่ออยู่ลำพัง
“โว้ย!”
นภนต์ถีบเก้าอี้ทำงานจนล้มคว่ำ ทว่าเสียงเตือนข้อความเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดึงความสนใจจากคนอารมณ์ร้อนให้หลุบตามอง
เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความรายงานตัวจากเด็กดีที่ต่างจากเขาสุดขั้ว นภนต์จึงผ่อนลมหายใจยาวพร้อมกับหลับตาสงบสติอารมณ์
ความคิดเห็น |
---|