9

บทที่ ๘



 

บทที่ ๘

 

เสียงเพลงอึกทึกดังก้องห้องชุดภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจต่อเพื่อนร่วมห้องข้างเคียง ทว่าไม่มีใครกล้าแจ้งความเพราะเห็นว่าเจ้าของห้องเป็นลูกชายอดีตนายตำรวจใหญ่ ทั้งยังมีธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ตที่ดำเนินกิจการมานาน

ทว่าเสียงเพลงที่ดังออกไปภายนอกกลับแทบไม่ผ่านเข้าไปในโสตประสาทของคนข้างใน บนโซฟาตัวยาวมีหนุ่มสาวสี่คนนั่งเบียดกันอยู่ พวกเขาก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้าซึ่งมีหลอดแก้วลักษณะเหมือนตะเกียง มีหลอดพลาสติกต่อยาวออกมาด้านบน

มณิศรเอนหลังพิงโซฟาอย่างเป็นสุขหลังดูดเอาควันในหลอดแก้วเข้าไปเฮือกใหญ่ ตระการหัวเราะนักดูดมือใหม่ ก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้นเต้นด้วยกัน มณิศรดึงสติมาเงี่ยหูฟังเสียงเพลงแล้วจึงวาดลีลาตามจังหวะที่ปลุกเร้าเลือดในกายดีเหลือเกิน

เพื่อนสนิทของนางเอกวัยรุ่นลุกขึ้นเต้นอีกคน ขณะที่ญาติห่างๆ ของตระการก็วาดลวดลายก้อร่อก้อติกไม่ห่าง ตระการจุดไฟแช็กลนบ้องแก้วพลางดูดควันเข้าปอดอีกครั้ง แต่เมื่อมณิศรยักย้ายส่ายสะโพกอยู่ข้างๆ จึงมอบรางวัลให้ด้วยการประคองหลอดดูดให้เจ้าหล่อนอัดควันเข้าไป

เธอกรีดร้องชอบใจเมื่ออ้อมแขนล่ำสันตวัดโอบเอวของตนพลางผลักดันไปที่ประตูห้องนอน ตลอดเวลานั้นชายหนุ่มมิได้ถอนใบหน้าจากลำคอเด็กสาว เขาฟัดเจ้าหล่อนแรงให้เท่ากับความแรงถึงใจของเธอ

สองร่างซึ่งโรมรันพันตูล้มไปบนที่นอน ต่างฝ่ายต่างขาดสติเสียจนไม่ทันสังเกตว่าได้ปิดประตูห้องนอนหรือไม่ มณิศรรู้เพียงว่าเธอหยุดเสียงร้องชอบใจไม่ได้เลย ยิ่งเขาเร่าร้อนรุนแรงกับเธอ ไม่เย็นชาดังเช่นนภนต์ เธอก็รู้สึกถึงอกถึงใจและปรนเปรอคืนกลับให้เขาเช่นกัน

กว่าสงครามบนเตียงจะสงบ เหงื่อกาฬก็โซมกายหนุ่มสาว ตระการนอนแผ่อย่างคนเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนัก ส่วนคู่ต่อสู้กลับลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าพอมิให้อุจาดตา ก่อนจะเดินโหย่งๆ ออกไปหยิบบ้องแก้วและไฟแช็กกลับเข้ามาในห้องนอน

“สองคนข้างนอกล่ะ” ชายหนุ่มพลิกกายถาม

“ได้ยินเสียงอยู่ในห้องน้ำ”

ตระการหัวเราะดัง ก่อนจะยืดตัวไปยื้อแย่งอุปกรณ์ให้ความสุขจากเด็กสาวมาดูดควันบ้าง

“พี่ซื้อมาจากไหน แนะนำมิลกี้บ้างสิ”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก จะดีเร้อ” เขาแกล้งเล่นตัว

“แหม ดูถูก ใครกันแน่ที่อ่อน”

ดวงตาที่เปล่งประกายยั่วเย้าพลันเจิดจ้าร้อนแรงเมื่อถูกเด็กเมื่อวานซืนดูถูกเอาได้...ทำไมผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนที่เขาตีท้ายครัวรับช่วงต่อจากนภนต์ถึงได้ร้อนแรงแต่ปากเสียไม่ต่างกันเลยวะ เขาสู้นภนต์ไม่ได้ตรงไหน

ถ้าเรื่องชาติตระกูล เขามั่นใจเกินมั่นใจว่าตนเหนือกว่า ก็เหลือแต่เรื่องหน้าตากับเรื่องบนเตียงกระมัง ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมเรื่องนี้กัน เช่นเดียวกับที่เขาไม่มีวันยอมรับ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย

“ไปถามไอ้เดียวสิ” เขาโบ้ย

“พี่เดียวน่ะหรือ มีอะไรดีๆ ไม่เคยบอกหรอก คุยก็ไม่ค่อยคุย น่าเบื่อจะแย่”

“นี่ๆ อย่ามาทำน้อยอกน้อยใจมันต่อหน้าพี่นะ”

“พี่ต้านั่นแหละ อ่อนมาก มัวแต่อิจฉาเพื่อนแบบนี้ แทนที่จะทำให้มิลกี้ลืมพี่เดียว”

ขาดคำนั้นร่างบางก็ถูกกระชากมากลิ้งเกลือกบนเตียงนอนอีกครั้ง มณิศรหัวเราะคิกชอบใจ เธออาจยังไม่ชนะใจนภนต์ในตอนนี้ แต่คนอย่างเธอไม่เคยแพ้ผู้ชายคนไหนก็แล้วกัน

 

เสียงหัวเราะจากคนที่ดื่มน้ำผลไม้ไปพลาง จับจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปพลาง เรียกความสนใจจากเดือนอ้ายให้ลอบมองญาติผู้พี่ เห็นพี่อารมณ์ดีอย่างนั้นเธอก็พลอยยิ้มตามและอดสงสัยไม่ได้จริงๆ

“มีอะไรดีๆ หรือคะพี่หนูดี”

“ตลกเดียวน่ะสิ อาหารเป็นพิษ ส่งข้อความมาโอดครวญใหญ่”

ดลฤดีมัวแต่พิมพ์ตอบข้อความจึงไม่ทันสังเกตว่าคนฟังมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย เดือนอ้ายกะพริบตาเรียกสติขณะฟังพี่สาวเล่าต่อ

“พี่ทั้งไล่ให้ไปโรงพยาบาลแล้วก็ไล่กลับบ้านไปให้แม่นมโอ๋ซะให้เข็ด แต่เชื่อสิ คนอย่างเดียวน่ะไม่ไปหรอก”

“ทำไมหรือคะ”

อดีตนางเอกวางโทรศัพท์มือถือลง เธอถือมีดหั่นสเต๊กอกไก่พลางกินไปเล่าไปเรื่อยเปื่อย แต่กระทบใจน้องสาวเข้าเต็มๆ

“เดียวไม่ค่อยถูกกับพ่อ ก็เหมือนพี่นั่นแหละ ถึงแม้จะต่างสาเหตุกันก็ตาม เราสองคนถึงสนิทกันและเข้าใจกันมากกว่าใคร”

เดือนอ้ายพลอยรู้สึกผิดและละอายใจในการกระทำของแม่ขึ้นมาอีกครั้ง ท่านมีส่วนทำให้ครอบครัวของพี่สาวเธอและพี่สาวท่านต้องแตกแยก แล้วเธอจะมีสิทธิ์น้อยใจในความสัมพันธ์ระหว่างนภนต์กับดลฤดีได้อย่างไร ในเมื่อแม่ของตนเป็นผู้ผลักให้ปัจจุบันของลูกหลานต้องเป็นเช่นนี้

ดลฤดีปรายตามองคนหน้าบูด เธอสังเกตหลายทีแล้วว่าเดือนอ้ายมักชักสีหน้ายามเธอเอ่ยถึงนภนต์ ตรงข้ามกับเวลาได้ยินได้ฟังเรื่องของสิทธา น้องสาวตัวดีมักยิ้มแป้นและตั้งอกตั้งใจฟังเสียเหลือเกิน

ความคิดนั้นพลอยให้หญิงสาวร้อนรุ่มใจราวกับในอกในใจสุมด้วยกองไฟที่มองไม่เห็น ความหวาดระแวงเปรียบดั่งของร้อน ทำให้เธอต้องหาทางผลักมันออกไปจากตัวเองให้ไกลที่สุด

“อ้อ อิ่มแล้วอ้ายทำข้าวต้มไปฝากเดียวหน่อยสิ วันนั้นพี่เห็นเดียวกินหมดชาม เดียวบอกว่าชอบ”

คนถูกไหว้วานใจเต้นโครมครามขึ้นมาทันที ห่วงเขาอยู่หรอก แต่ไม่เท่าห่วงว่าตัวเองจะหลุดพ้นบ่วงเสน่ห์ของเขาได้หรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากคืนงานบายเนียร์ นภนต์พูดจาดีกับเธอมากขึ้นเสียจนเธอรู้สึกเหมือนตนเป็นลูกโป่งที่ล่องลอยด้วยลมปากของเขา

“แต่ว่า...อ้ายนัดไปอ่านหนังสือกับเพื่อนบ่ายนี้สิคะ”

“ตายแล้ว ยายอ้าย ใจดำแบบนี้อย่าบอกใครว่าเป็นน้องของพี่เชียวนะ” ดลฤดีลากเสียงอย่างรับไม่ได้ “แค่เอาข้าวต้มไปให้แล้วจะไปอ่านหนังสือต่อก็ไป แค่นี้เอง นี่ถ้าไม่ติดว่าเย็นนี้พี่มีงานโชว์ตัวก็ไปเองแล้ว”

เมื่อคิดตามคำของพี่แล้วก็ละอายแก่ใจนัก ใบหน้าสาวม้านชา เดือนอ้ายก้มหน้ารับคำ

“ก็ได้ค่ะ”

“ขอบใจย่ะ ก่อนไปมาบอกด้วยล่ะ พี่จะเอาคีย์การ์ดห้องเดียวให้”

ได้ยินเช่นนั้นคนก้มหน้ายิ่งคอตกลงอีก หัวใจซึ่งเต้นแรงราวกลองศึกเมื่อกี้นี้ค่อยๆ แผ่วลง ไหนบอกว่าจะไม่อิจฉา ไม่น้อยใจในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสองคนนี้อย่างไรล่ะ เดือนอ้ายเอ๋ย ไม่ทันไรก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้เสียแล้ว

 

หญิงสาวขึ้นรถไฟฟ้ามาลงสถานีใกล้คอนโดมิเนียมของนภนต์ มือประคองกระติกสุญญากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ใส่ซุป ซึ่งบัดนี้มีข้าวต้มไก่ร้อนๆ ฝีมือเธออยู่ข้างใน

ร่างอวบอิ่มเดินผ่านโถงกลางโอ่อ่า ทว่าคราวนี้เธอสามารถทาบคีย์การ์ดเข้ากับลิฟต์ก่อนกดหมายเลขชั้นที่จำได้ขึ้นใจ

เดือนอ้ายมองสำรวจเงาสะท้อนของตนผ่านกระจกเงาในลิฟต์ด้วยความตื่นเต้น มือไม้พลอยเย็นเฉียบ เขาจะรู้หรือไม่นะว่าเธอเลือกสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นพิมพ์ลายดอกเล็กๆ กับกระโปรงผ้าลูกฟูกทรงเอสีชมพู แทนที่จะสวมเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีน เพียงเพราะไม่อยากเป็นเด็กกะโปโลในสายตาเขา

เสียงเตือนของลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมายทำเอาหญิงสาวสะดุ้งตกใจ เธอโคลงศีรษะขบขันตัวเองขณะก้าวออกไปตามทางที่คุ้นเคย กระทั่งมาหยุดยืนหน้าห้องของนภนต์ แม้จะมีคีย์การ์ดติดตัวมา แต่เธอเลือกกดกริ่งเรียกเจ้าของห้องตามมารยาทอยู่ดี

“อ้าย”

ทั้งที่ตั้งใจจะนำข้าวต้มมาให้แล้วกลับ แต่ครั้นได้เห็นหน้าคนป่วย เดือนอ้ายก็ใจอ่อนก้าวเข้าไปในห้องเสียอย่างนั้น ทันทีที่เธอวางกระติกบนเคาน์เตอร์ครัว ร่างอวบอิ่มก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง...ตามติดด้วยจุมพิตที่พร่างพรมบนแก้ม ขมับ และลำคอ เธอต้องหดคอหนีด้วยความจั๊กจี้และหลุดหัวเราะออกมา

“ไหน ขอดูหน้าคนบ้าจี้ซิ”

นภนต์หมุนตัวคนบ้าจี้มาเผชิญหน้าแล้วก็ต้องย่นคิ้วแปลกใจ เขาเพิ่งสังเกตว่าวันนี้เดือนอ้ายทาลิปกลอสบางๆ ส่งผลให้ปากอิ่มแลดูชุ่มชื่นน่าลิ้มลองไปอีกแบบ และเขาก็ไม่รอช้าที่จะลิ้มชิมรสชาติผลไม้ จวบจนมันกลายเป็นความหวานตามธรรมชาติอย่างที่เขาชอบที่สุด เขาจึงยอมปล่อยเธอเป็นอิสระพลางระบายลมหายใจด้วยความอิ่มเอม

“พี่หนูดีบอกว่าคุณไม่สบาย ไปหาหมอหรือยังคะ” เธอถามอย่างกริ่งเกรง แต่เมื่อชายหนุ่มไม่ได้ดุว่าที่เธอยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว หญิงสาวจึงกล้าเงยหน้าสบตาเขา

“ยัง ฉันกินเกลือแร่ไป ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว”

“กินข้าวต้มเลยไหมคะ อ้ายใส่ชามให้”

คนป่วยพยักหน้าพลางนั่งบนเก้าอี้สตูล เขามองเธอหยิบจับทำสิ่งต่างๆ เพื่อเขาแล้วก็พลอยรู้สึกรื่นรมย์ ชักอิจฉาเพื่อนสาวคนสนิทขึ้นมาที่มีเดือนอ้ายคอยเอาใจใส่ดูแล

หลังจากเลื่อนชามข้าวต้มซึ่งส่งกลิ่นหอมฉุยมาให้ หญิงสาวก็เทน้ำดื่มใส่แก้วให้เขา ทั้งยังทำท่าจะเปิดก๊อกล้างกระติกจนนภนต์ต้องห้ามปราม เขาตบลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ให้รู้ว่านี่ต่างหากคือหน้าที่ของเธอ

“อร่อย” เขาบอกพลางฉวยมือนุ่มมากุม

จากที่เคยเขินอายจนแทบจะกลั้นใจตาย บัดนี้เดือนอ้ายกลับยิ้มน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม กลายเป็นคนได้รับรอยยิ้มเสียอีกที่หัวใจโลดแรง เกิดจะตบะแตกอยากกินเด็กขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น หากไม่ติดที่เจ้าหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนรักแล้วละก็ เขาจะไม่รอช้าและคิดหนักเช่นนี้เลย

คิดหรือ...คนอย่างเขารู้จักคิดอะไรนอกเหนือจากความต้องการของตนตั้งแต่เมื่อไร นภนต์หัวเราะในลำคออย่างเหลือเชื่อกับตัวเอง

“อ้ายบอกว่าจะไปอ่านหนังสือไม่ใช่หรือ”

เพราะเธอบอกไว้ตอนเขาโทร. หาเมื่อคืน ครั้นตื่นมาไม่สบายเขาจึงได้แต่โอดครวญกับดลฤดี ไม่คิดเลยว่าเพื่อนจะรู้ใจส่งพยาบาลจำเป็นมาหาถึงที่

“ค่ะ เดี๋ยวอ้ายก็ไปแล้ว”

“อ้าว ได้ไงล่ะ” ชายหนุ่มตั้งท่าจะโวย

อารมณ์ดีก่อนหน้านี้พลันขุ่นมัว เธออุตส่าห์มาหาเขาทั้งทีก็จะรีบกลับนี่นะ เหมือนกับทำไปตามมารยาทอย่างไรอย่างนั้นแหละ

“เออ ช่างเถอะ ฉันไม่อยากขัดขวางความสำเร็จของว่าที่บัณฑิต”

นภนต์ตัดใจปล่อยมือจากเจ้าหล่อนและก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มให้หมดๆ ไป แต่เมื่อเดือนอ้ายจะหยิบชามไปล้าง เขาก็รีบถือทั้งชามและกระติกเก็บความร้อนไปล้างเอง

พอเขาปึ่งงอน ไม่ห้ามไม่ว่าอะไรสักคำเช่นนี้ หญิงสาวก็ใจอ่อน...อ่อนใจเหลือจะกล่าว เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผู้ชายตัวโตหน้าดุงอนให้ก็วันนี้เอง

“แล้วเย็นนี้มีของกินหรือยังคะ”

“ยัง ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว” เขาตอบติดประชด

เดือนอ้ายใช้ผ้าสะอาดเช็ดกระติกก่อนหมุนปิดฝาดังเดิม เห็นจากหางตาว่าคนป่วยย้ายไปให้ความสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานติดหน้าต่าง เธอพิมพ์ข้อความหากลุ่มเพื่อนที่นัดอ่านหนังสือด้วยกัน เสร็จแล้วจึงหยิบกระดาษซึ่งหนีบรวมกันด้วยตัวหนีบสีดำอันใหญ่ไปนั่งอ่านบนโซฟา

“อ้าย!” นภนต์หันมาเรียกอย่างเหลืออด

“คะ”

ดูเถอะ แม่คุณยังเลิกคิ้วมองอย่างไร้เดียงสา ท่าทางอย่างนั้นช่างล่อใจเขาให้รังแกเด็กเสียจริงๆ พับผ่าสิ!

“ไม่ไปอ่านหนังสือกับเพื่อนแล้วหรือไง” เขาถามเสียงแข็ง...ตรงข้ามกับใจ แต่พอเห็นเจ้าหล่อนหน้าเสียไปก็ใจเสียตาม

“เกะกะหรือคะ” เธอถามเสียงเบาอย่างคนขาดความมั่นใจ

นภนต์หลับตาครู่หนึ่งพร้อมกับสูดหายใจลึก ก่อนจะลุกไปนั่งข้างหญิงสาวแล้วกระซิบลอดไรฟัน

“ผู้ชายผู้หญิงอยู่ด้วยกันลำพังมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ เพราะอย่างนี้ฉันถึงไม่อยากให้อ้ายไปบ้านคนอื่น แล้วตอนนี้...” เขาแทบเค้นเสียงแต่ละคำ “ห้องฉันก็อันตรายสำหรับอ้ายเหมือนกัน”

เดือนอ้ายเบิกตามองชายหนุ่มอย่างตื่นตะลึง หัวใจเต้นระรัวกับคำขู่แสนหวามของเขาจนพานจะหายใจไม่ทั่วท้อง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงแรงตามจังหวะการหายใจ

นภนต์สุดจะหักห้ามใจอีกต่อไป เขาสอดมือไปตามแนวคางของหญิงสาวขณะประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่มที่ตนหลงใหลเป็นนักหนา ตลอดเวลาที่ริมฝีปากบดเบียดกัน มือหนาก็ทำงานสอดประสานบีบนวดท้ายทอยและเอวของเธอ เขาเพิ่งพบว่าร่างกายที่มีเนื้อมีหนังให้ความรู้สึกดียามสัมผัสบีบเคล้นเสียยิ่งกว่าร่างผอมบางของสตรีเสียอีก

ฝ่ามือร้อนสอดแทรกเข้าไปในเสื้อสูงขึ้น...สูงขึ้น ส่วนริมฝีปากซึ่งจุดประกายไฟบางอย่างให้ร่างกายของเธอกลับเคลื่อนไปยังจุดอื่น เดือนอ้ายหลุดเสียงครางผะแผ่วและห่อไหล่เมื่อเขาขบเม้มติ่งหูของเธอ อย่าว่าแต่จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาขัดขืนเลย เธอโอนอ่อนตามเขาอย่างลืมอายไม่ต่างจากขี้ผึ้งลนไฟ

ความตั้งใจจะไม่รังแกน้องของเพื่อนรักคงกู่ไม่กลับหากไม่มีเสียงกริ่งดังขึ้นเสียก่อน นภนต์คำรามในลำคอเมื่อสวรรค์ล่มลงตรงหน้า ขณะที่นางฟ้าแทบไม่เหลืออาภรณ์ห่มกาย เขาขบกรามแน่นระหว่างกลัดกระดุมเสื้อให้คนที่ยังดึงสติกลับมาได้ไม่เต็มที่นัก

“อ้าย อยากเข้าห้องน้ำก่อนไหม” เขาถามกึ่งแนะนำเสียงพร่า

เดือนอ้ายได้สติ เธอตอบรับก่อนจะผุดลุกไปเข้าห้องน้ำทันที ร่างอวบอิ่มหันหลังพิงประตูอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง เธอเข้าใจคำเตือนของนภนต์แจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เอง

 

หลังประตูห้องน้ำปิดสนิท ชายหนุ่มยืนสูดหายใจลึกเพื่อสงบอารมณ์อยู่สักพักแล้วจึงมองลอดตาแมวออกไป เขาแปลกใจที่เห็นมนสิการมาหาตนถึงที่นี่ แล้วก็ไม่พอใจความหละหลวมของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ที่ปล่อยให้ใครขึ้นมาโดยไม่โทร. แจ้งเจ้าของห้อง

ถึงอย่างนั้นเขาก็จำต้องเปิดประตูต้อนรับเธอ

“ฝ้าย มาได้อย่างไร”

“เห็นว่าเดียวไม่สบายเลยเอาของมาเยี่ยมน่ะสิ”

มนสิการถือวิสาสะก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อวางถุงอาหารสำเร็จลงบนเคาน์เตอร์ครัวจึงสังเกตเห็นถุงผ้าดิบสีขาววางอยู่ข้างกระติกสุญญากาศ นึกรู้ทันทีว่าเธอมาช้าไป มีใครบางคนตัดหน้าตน

“รู้จากใครนี่ ไม่น่าต้องลำบากเลย”

“ไม่ลำบากอะไรหรอก แต่ว่าเดียวท่าจะยุ่งอยู่ละมั้ง” เธอกระเซ้า

ชายหนุ่มมองตามสายตาของเพื่อนที่แลไปทางโซฟาซึ่งมีหมอนและเอกสารการเรียนของเดือนอ้ายตกอยู่ข้างๆ มนสิการก้าวไปก้มเก็บพลางเลิกคิ้วแปลกใจ

“เดี๋ยวนี้คบแต่นักศึกษานะ”

ไหนๆ ก็ไหนๆ นภนต์คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องปิดบังว่าคบหากับเดือนอ้ายในฐานะคนสนิทคนหนึ่ง ในเมื่อดลฤดีเองก็สนับสนุนเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงก้าวไปเคาะประตูห้องน้ำพลางเรียกคนข้างใน ก่อนบานประตูจะค่อยๆ เลื่อนเปิด

“เด็กที่เราเจอที่ร้านนี่นา” มนสิการจำได้ทันที เพราะเด็กสาวคนนี้แตกต่างจากสเปกผู้หญิงของเพื่อนโดยสิ้นเชิง “เซอร์ไพรส์จริงๆ”

“วันนั้นลืมแนะนำ นี่เดือนอ้าย ลูกพี่ลูกน้องของหนูดี” เขารอเดือนอ้ายพนมมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนแนะนำต่อ “นี่ฝ้าย เพื่อนสนิทหนูดี”

หญิงสาวฝืนยิ้มให้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนของพี่ แต่ก็ต้องหน้าม้านชาเมื่อเจ้าหล่อนไม่รับไหว้หรือชายตาแล

“ตายแล้วเดียว เดี๋ยวนี้เล่นง่าย คว้าคนใกล้ๆ นะจ๊ะ”

แม้จะขัดหูกับวาจาของเพื่อนมากแค่ไหน แต่เขาจำต้องตอบกลับไปเหมือนไม่ถือสาเพื่อรักษามิตรในสังคม

“หนูดีให้อ้ายเอาข้าวต้มมาเยี่ยมน่า คิดมาก”

“แหม แล้วตอนเจอที่ร้านเราล่ะ หนูดีให้พาไปเลี้ยงหรือเปล่า”

นภนต์หัวเราะในลำคออย่างคร้านจะต่อความยาวสาวความยืด เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่เคยสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนจริงจัง คงมีแต่ดลฤดีเท่านั้นที่ไม่เคยไล่ต้อนหรือพูดจากระทบกระเทียบ เขาจึงชื่นชมและให้เกียรติเพื่อนรักเช่นกัน

เกือบแล้ว ถ้าเพียงแต่เขาเป็นผู้ชายใจอ่อนรับรักผู้หญิงง่ายๆ เขาคงได้คบหากับมนสิการตอนที่เจ้าหล่อนสารภาพรักกับเขาเมื่อสองปีก่อน คืนนั้นเธอเมาและขอให้เขาไปส่ง ทว่ามนสิการกลับดึงเขาไปจูบอย่างเร่าร้อนในรถและสารภาพรักขณะรถติดไฟแดง แต่เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสี เขาก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

จะว่าเพราะความใจหินของตนก็คงได้กระมัง นภนต์ไม่พร้อมผูกมัดกับใครในตอนนั้น เขารู้สึกผิดต่อเจ้าหล่อนเพียงไม่กี่วัน เมื่อมนสิการยังมาร่วมสังสรรค์กับเพื่อนในครั้งต่อไปและไม่มีทีท่าจดจำได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาก็พร้อมที่จะลืมและเป็นเพื่อนกับเธอดังเดิม

“ถ้าอย่างนั้นอ้ายขอตัวเลยนะคะ” เดือนอ้ายบอกทุกคน เสียงเบาเสียจนสมเพชตัวเอง

“น้องอยู่ดูแลคนป่วยเถอะค่า” มนสิการลากเสียงอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปบอกเพื่อน “เราแค่แวะมาเยี่ยมแล้วก็มายืนยันเรื่องปาร์ตีวันเกิดของต้า ตกลงจัดที่จี๊ซนะจ๊ะ ปิดร้าน”

“ด้วยความยินดีสิคร้าบ” ชายหนุ่มตอบทีเล่นแล้วจึงเอ่ยสำทับทีจริง “ส่งรายละเอียดงานมานะ ต้องการอะไรพิเศษบอกเราโดยตรงได้เลย”

“เดินไปคุยไปนะ ไปส่งที่ลิฟต์หน่อยสิจ๊ะคุณเพื่อน”

นภนต์เปิดประตูห้องให้อีกฝ่าย ก่อนทั้งสองคนจะเดินพูดคุยกันออกไป

ลับร่างคนทั้งสองไปแล้ว เดือนอ้ายจึงทิ้งตัวนั่งบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอบีบมือประสานบนตักอย่างหวาดเกรงว่าเรื่องที่เธอมาอยู่ที่ห้องของนภนต์วันนี้จะรู้ถึงหูพี่ของตน

เออหนอ คนมีชนักติดหลังรู้สึกแบบนี้เองสินะ ถ้าก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุไม่งามเกิดขึ้นระหว่างตนกับนภนต์ เธอคงไม่ร้อนตัวร้อนใจเท่านี้กระมัง

ประตูเปิดเข้ามาอีกครั้ง เดือนอ้ายเหลือบตามองเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกริ่มของชายหนุ่มแล้วก็ร้อนตัวขึ้นมา แต่เป็นความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่อยู่ลำพัง เพราะเธอร้อนเห่อที่ใบหน้าและตามร่างกายที่มือหนายังคงทิ้งรอยสัมผัสให้สะท้านไหวไปทั้งกาย

“กลัวเหรอ” เขาถามเสียงเบา จนเมื่อสาวเจ้าเงยหน้ามองแล้วหลบตาวูบแทนคำตอบ เขาจึงเอ่ยต่อ “ไม่ต้องคิดมากเรื่องความคิดคนอื่นหรอกนะ ถ้าเราไม่ยอมให้คำพูดของคนอื่นมามีอิทธิพลเหนือชีวิต มันก็แค่ลมพัด เย็นดี”

หญิงสาวคลับคล้ายจะเข้าใจตัวตนของบุรุษผู้นี้มากขึ้น ถ้อยคำของเขาสื่อถึงความเป็นคนมั่นใจ ไม่สนใจความคิดของใครที่มีต่อเขา แต่คงจะสนใจความคิดและความต้องการของตนเป็นใหญ่ แต่เธอก็ไม่วายทิ้งค้อนให้คนที่สามารถหัวเราะทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อมาได้

เธอไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเขาจึงไม่เคยแก้ข่าวหรือแก้ตัวยามให้สัมภาษณ์ในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคบหาผู้หญิงหรือข่าวลือเรื่องยาเสพติด เขาเพียงยิ้มรับเสมือนยิ้มเยาะ คงเพราะเขาไม่เคยยี่หระต่อคำคนอย่างที่เขากำลังบอกเธอ ส่วนเธอก็กลับเป็นคนตัดสินเขาตั้งแต่ยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ

“อ้ายไม่ได้มั่นใจแบบคุณนี่” เดือนอ้ายเถียงหงุงหงิง แต่ไม่รอดหูคนข้างๆ อยู่ดี

“ไหน เถียงดังๆ ซิ อยากฟัง” เขาล้อกลั้วหัวเราะ แล้วก็ต้องหัวเราะเต็มเสียงหลังได้มองสำรวจเจ้าหล่อนเต็มตา “เด็กเอ๊ย ดูติดกระดุมสิ”

เดือนอ้ายก้มมองเสื้อเชิ้ตผ่าหน้าที่ตนสวมใส่ ก่อนจะเบิกตาโตและกรีดร้องในใจเมื่อเห็นว่ามันติดผิดตั้งแต่เม็ดแรกจนเม็ดสุดท้าย

“อ้ายไม่ได้ติด! คุณนั่นแหละ!”

อย่าว่าแต่เถียงดังๆ ตามคำท้าเลย คนขี้อายระเบิดอารมณ์อย่างเหลืออด ขณะที่นภนต์หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ไม่สำนึกสักนิดว่าเป็นความผิดของตน

เขาเช็ดน้ำตาจากหางตาขณะแลตามร่างอวบอิ่มที่รีบลุกไปเข้าห้องน้ำ นานเท่าไรแล้วนะที่ก้อนเนื้อในอกของเขาไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวแบบนี้ อาจจะนานตั้งแต่จูบแรกของเขากับดลฤดีเมื่อสิบห้าปีก่อน ก่อนที่จะห่างกันไปเพราะดลฤดีตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างแดน เมื่อกลับมาพบกันก็กลายเป็นเพื่อนกันอย่างเดิม

ใครเลยจะคาดคิด สิบห้าปีต่อมา...ผู้หญิงที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกได้อีกครั้งกลับเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนสนิท มิหนำซ้ำเดือนอ้ายยังขยันทำให้หัวใจเขาเสียศูนย์อยู่ร่ำไป ไม่ว่ายามที่เจ้าหล่อนทำตัวน่าโมโหหรือน่ารักก็ตาม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น