บทที่ ๗
ความสัมพันธ์ระหว่างดลฤดี นภนต์ และมณิศรปรากฏเป็นข่าวดังในอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง บทวิเคราะห์จากนักข่าวบันเทิงถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสามดับความตื่นเต้นของเดือนอ้ายที่จะได้ไปงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ไม่เหลือหลอ นอกจากนี้เธอยังห่วงใยความรู้สึกของสิทธาที่ถูกดึงเข้ามาเป็นตัวละครให้นักข่าววิเคราะห์อย่างสนุกปาก นี่อย่างไรที่เธอถือเป็นความโชคดีของตน เพราะไม่มีใครรู้จักเธอ
เดือนอ้ายเปลี่ยนมาสวมเดรสลายหินอ่อนสีฟ้า ช่วงเหนืออกพรางด้วยผ้าตาข่าย แล้วก็นึกอับอายที่เธอทำเสมือนประชดประชันนภนต์เช่นนี้ แต่อีกใจก็แย้งว่าทำไมเธอต้องใส่ใจความต้องการของเขาด้วยเล่า ในที่สุดเธอจึงก้าวออกจากห้องพร้อมกระเป๋าสะพายใบเล็กที่พี่ซื้อมาฝากจากฝรั่งเศส แต่แล้วก็พบกับดลฤดีที่เพิ่งกลับจากไปทำธุระข้างนอกพอดี
“ตายแล้วยายอ้าย ทำไมหน้าตาจืดชืดแบบนั้น แล้วนี่ชุดอะไร ตายๆ เสียชื่อว่าเป็นน้องสาวของอดีตนางเอกดังจริงๆ”
ตั้งแต่พร่ำบ่นคำแรกที่หน้าบันได เดือนอ้ายก็ถูกลากกลับเข้าห้องพร้อมกับที่สิ้นสุดคำบ่นสุดท้ายพอดี ดลฤดีจัดแจงเปิดตู้เสื้อผ้าทั้งสองใบ แล้วเจ้าของเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ใจหายวาบเมื่อพี่หยิบชุดที่นภนต์ซื้อให้ออกมา
“เปลี่ยนเป็นชุดนี้ เดี๋ยวพี่แต่งหน้าให้”
“อ้ายขอไม่เปลี่ยนนะคะพี่หนูดี อ้ายขอ” เธออ้อนวอน ก่อนจะปั้นเหตุผลมาโน้มน้าวใจพี่ “อ้ายลองใส่แล้วไม่มั่นใจ ถ้าใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองไม่มั่นใจมันยิ่งเสียบุคลิกนะคะ”
อดีตนางเอกละครทั้งขำระคนอ่อนใจ นี่เดือนอ้ายคงจำคำพูดเหล่านั้นมาจากนิตยสารแฟชั่นเล่มไหนสักเล่มกระมัง
“ตามใจ” ผู้เป็นพี่กระแทกเสียงประชดประชัน “ไปลบเครื่องสำอางออกก่อนไป๊ พี่จะแต่งให้ใหม่ ห้ามขัด!”
เดือนอ้ายรีบปฏิบัติตาม...โดยไม่รู้เลยว่าที่พี่ทำเพื่อเธอถึงเพียงนี้ก็เพื่อหวังให้เพื่อนรักสนใจน้องของตน ดลฤดีเชื่อว่าเสน่ห์ของนภนต์จะสามารถเปลี่ยนใจเด็กสาวจากสิทธาได้อย่างไม่ยากเย็น
ทว่าหญิงสาวไม่รู้เลยว่าเธอไม่ต้องเหนื่อยคิดแผนหรือลงแรงใดๆ เสียด้วยซ้ำ ‘ฟ้า’ ที่พร่างพราวด้วยหมู่ดาวอย่างนภนต์ก็หลง ‘จันทร์’ เช่นเดือนอ้ายจนอยากหยุดตะวันไว้เสียแล้ว
พลบค่ำนักศึกษาสาวนั่งรถแท็กซี่มาถึงร้านที่นัดหมายในซอยทองหล่อ เป็นครั้งแรกที่เดือนอ้ายมาสถานที่แบบนี้ แล้วก็พบว่ามันไม่ได้ดูเหมือนแหล่งมั่วสุมของคนรวยดังที่เธออคติ
ป้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษบอกชื่อร้านตั้งอยู่บนสนามเล็กๆ หน้าลานจอดรถ เธอพยายามดึงสายตากลับมาจากรถบีเอ็มดับเบิลยูคันคุ้นตา แลเลยลึกเข้าไปจากลานจอดรถเล็กน้อยเป็นส่วนภายในของร้าน ผนังของตัวร้านเป็นกระจกใสและไม้ขัดเงาอย่างละครึ่ง ฝั่งกระจกติดกับสระว่ายน้ำเล็กๆ และสนามหญ้าสำหรับรับรองลูกค้าที่ชื่นชอบบรรยากาศนอกร้าน รวมทั้งมีเวทียกพื้นเตี้ยๆ สำหรับแสดงดนตรีสด ซึ่งบัดนี้ตกแต่งด้วยลูกโป่งและผืนผ้าสีชมพูและสีเทา
พิมพ์อักษรในชุดเดรสสีขาวขับผิวสีน้ำผึ้งของเจ้าหล่อนตรงมาจับมือทักทายเพื่อนสนิทที่แต่งหน้าสวยเฉี่ยวผิดตา ทว่าภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของเดือนอ้ายตกอยู่ในสายตาชายหนุ่มบนออฟฟิศชั้นสองของร้าน นภนต์ขบกรามแน่นเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ใส่ชุดของเขาตามสัญญา
“อะไรแก แค่งานบายเนียร์ถึงกับต้องจ้างช่างแต่งหน้าเชียวเหรอ” พิมพ์อักษรล้อเพื่อน
“บ้า พี่หนูดีแต่งให้” เดือนอ้ายยืดอกบอกอย่างภาคภูมิใจ
“จ้ะ แม่น้องสาวนางเอก”
น้องสาวนางเอกลอยหน้าลอยตาอย่างที่กล้าทำกับเพื่อนรักเท่านั้น ก่อนพวกเธอจะถูกจารุณีตามเข้าไปนั่งด้วยกันที่โซฟาชุดเข้ามุมติดกระจกใสข้างในร้าน ส่งเมนูเครื่องดื่มให้เพื่อนพลางชี้ชวน
“เบียร์สดก็มีนะแก แบบฉันนี่ไง” เอ่ยพร้อมกับยกแก้วทรงสูงที่มีเบียร์สดฟองฟอดขึ้นจิบ
พิมพ์อักษรสั่งเบียร์สดเช่นเดียวกับจารุณี ก่อนหันมาถามเดือนอ้ายที่กำลังพลิกดูรายการเครื่องดื่มอย่างเลือกไม่ถูก
“อันนี้น่ากินดีนะ” เธอชี้รูปแก้วก้านยาวที่มีชิ้นเมลอนตกแต่งขอบแก้วให้เพื่อนทั้งสองดู
“เอาสิๆ” จารุณียุส่ง “ฉันไปสั่งให้พวกแกแล้วกัน คนเยอะเจี๊ยวจ๊าวอย่างนี้พนักงานคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง”
เดือนอ้ายมองตามร่างบางไปยังเคาน์เตอร์บาร์สีดำเป็นมัน ด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นชั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งสว่างละลานตาด้วยแสงไฟสีฟ้า เธอมองภายในร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำกับสีน้ำตาลไหม้ แล้วก็นึกถูกใจบรรยากาศนอกร้านที่โปร่งสบายกว่า ไหนจะโซฟากับร่มสีขาวก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
“มองหาใครหรือจ๊ะ” พิมพ์อักษรกระซิบถาม
“เปล่าเสียหน่อย แต่เราอยากออกไปนั่งข้างนอกมากกว่าน่ะพิมพ์”
“เออ ไปสิ ฉันก็ชักจะหนาว แกไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันรอเครื่องดื่มแล้วตามไป”
“เจอกันที่โต๊ะโชตินะ”
หญิงสาวลุกและก้าวเร็วๆ ออกไปหาเพื่อนชายคนสนิทที่นั่งอยู่บนชุดโซฟาบนสนามหญ้า นอกจากโชติแล้วก็มีเพื่อนร่วมรุ่นผู้ชายอีกสองคน พวกเขาล้อเลียนรูปโฉมที่เปลี่ยนไปของเธอจนคนถูกแซ็วหน้าแดงก่ำ ก่อนจารุณีกับพิมพ์อักษรจะตามมาสมทบ
“โห น่ากินจัง”
เดือนอ้ายมองแก้วก้านยาวปากกว้าง เครื่องดื่มในแก้วนั้นเป็นเหมือนสมูทตี แม้เธอจะรู้ว่ามันมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต่ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มสีสวยแก้วเล็กๆ มีปริมาณแอลกอฮอล์ระดับที่ทำให้คนคออ่อนเมาได้
โชติอาสาถ่ายรูปให้เพื่อนสาวที่ถือแก้ว หลังได้รูปเป็นที่พอใจแล้วเธอจึงค่อยจิบ กลิ่นเมลอนของโปรดของหญิงสาวหอมอวลในจมูก แต่รสชาติกลับขมปร่า ออกซ่าและร้อนคอจนเธอสำลักเล็กน้อย เมื่อสำลักจึงยิ่งต้องการจิบน้ำ แต่ในเมื่อบนโต๊ะไม่มีน้ำเปล่า เธอจึงต้องจิบค็อกเทลแก้วเดิมแทนจนหมดแก้วในที่สุด
“แก๊ เขาให้จิบสวยๆ ไม่ใช่ยกซด” จารุณีว่าแต่กลับหัวเราะชอบใจ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะครืนของเพื่อนคนอื่นๆ
แต่แล้วเดือนอ้ายก็ต้องนั่งตัวตรงแหน็ว ร่างกายแข็งทื่อเมื่อมีมืออุ่นจัดวางลงบนบ่าทั้งสองข้าง หัวใจสาวโลดแรงเพราะปริมาณแอลกอฮอล์หรือแรงบีบจากมือคู่นั้นก็สุดรู้ ก่อนเจ้าของมือจะอ้อมมานั่งบนพนักวางแขนข้างเธอ
“อาหารกับเครื่องดื่มถูกใจไหมครับ” นภนต์ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ขณะบีบไหล่คนข้างกายให้เบียดชิดเขามากขึ้นอีก
“โอ ยอดเยี่ยมเลยละครับ บรรยากาศร้านก็ดีมาก พวกเรายังคุยกันว่าจะต้องหาโอกาสมาฟังดนตรีสดบ้าง” เพื่อนชายนายหนึ่งตอบ ก่อนจะมองมือบนไหล่เพื่อนอย่างแปลกใจ “ว่าแต่...”
นภนต์ไม่เปิดโอกาสให้ถาม ถ้าเขาไม่อยากตอบแล้ว อย่าว่าแต่อีกฝ่ายจะเค้นเอาคำตอบเลย แค่โอกาสจะเอ่ยปากยังไม่มี
“ดีครับ รับรองว่าไม่ผิดหวัง ขอตัวอ้ายสักครู่นะครับ”
หมดแล้ว...ความลับที่เธอหวังเก็บไว้กับตัว...กับใจ ไม่ให้ใครเขาสมเพชเวทนาหรือหัวเราะเยาะลับหลัง แค่หลงรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้เดือนอ้ายยังละอายใจตัวเองยิ่งนัก แต่การแสดงออกอย่างถึงเนื้อถึงตัวของนภนต์ก็ทำให้เธอต้องทนอับอายสายตาผู้คนนับจากนี้ไป
หญิงสาวมองสีหน้าเหลอหลาของเพื่อนร่วมโต๊ะแล้วก็ต้องเสหลบตาทันที มือหนาบีบไหล่เธอให้ลุกไปด้วยกัน เธอไม่มีทางเลี่ยง และเมื่อลุกเดินตามเขาไป มือข้างนั้นก็เลื่อนมากุมมือเธอแทน แว่วเสียงซุบซิบจากเพื่อนผู้หญิงหลายคนตลอดทางที่เดินกลับเข้าไปในร้าน แต่เดือนอ้ายไม่อาจจับใจความได้ หูของเธออื้ออึง และมือที่ถูกกุมก็เจ็บร้าวราวกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เธอก้าวขึ้นบันไดวนซึ่งซ่อนอยู่ใกล้ครัวหลังร้านตามแรงจับจูงของชายหนุ่ม เพิ่งรู้ว่าร้านนี้ยังมีชั้นบนเป็นห้องสำหรับทำงานและพักผ่อนส่วนตัวของเขา ภายในเป็นพื้นไม้ขัดมันเช่นเดียวกับผนังห้องสองด้าน ส่วนอีกสองด้านคงเป็นกระจกที่มีมู่ลี่รูดปิดจนทึบ
ครั้นลับสายตาผู้อื่น นภนต์ก็หมดความอดทนข่มกลั้นโทสะอีกต่อไป เขาเหวี่ยงหญิงสาวหงายผลึ่งบนโซฟา ถ้าทำได้ละก็จะจับเธอถอดชุดนั้นออกแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดที่เขาอุตส่าห์ซื้อให้ คนไม่รักษาสัญญา!
“ทำไมไม่ใส่ชุดนั้น”
“อ้ายเปลี่ยนใจแล้ว” เธอตอบเสียงสั่นพร่า ไม่รู้ตัวว่าคำตอบนั้นกระแทกใจคนฟังให้คิดไกลไปกว่าเรื่องชุด
“ใจเธอนี่มันเปลี่ยนง่ายดีนะ เธออยากลองดีกับฉันใช่ไหมอ้าย ฉันจะทำอะไรเธอต้องไปอีกทาง อย่างนั้นใช่ไหมฮะ!” เขาตะคอก “ไม่ต้องมาบีบน้ำตา!”
เดือนอ้ายไม่สนใจว่าเขาจะดุด่าต่อว่าอะไร เธอกลัวอย่างเดียว กลัวเสียงตวาดก้องของเขาจะดังไปถึงข้างล่าง เธอกลัว... เดือนอ้ายกอดกายสั่นสะท้านของตน
นภนต์ก้าวไปมาภายในห้องกว้างหกเมตร ยิ่งเธอเงียบ...เอาแต่เงียบเหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เขาก็ยิ่งหัวหมุนและโกรธเกรี้ยวที่ตนเป็นฝ่ายร้อนใจอยู่คนเดียว
เขาเกลียดความรู้สึกเช่นนี้ เขาเหนื่อย เหนื่อยที่ต้องบีบบังคับให้เธอสนใจตน โดยที่นภนต์ไม่รู้เลยว่าถ้าเพียงแต่เขาไม่บีบบังคับและใส่ใจความรู้สึกของเดือนอ้ายมากกว่านี้ เขาจะไม่ต้องเหนื่อยเรียกร้องความรักความสนใจจากเธอเลย
“จบกันดีไหม”
คำถามนั้นกรีดใจคนฟังเป็นริ้ว ไม่สิ มันไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำชักชวนกึ่งคำสั่งอย่างที่เขาใช้กับเธอเสมอมา หญิงสาวกัดริมฝีปากสั่นระริกเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แต่น้ำตากลับพรั่งพรูลงมาให้ได้อายไม่ต่างกัน
เธอไม่มีคำตอบใดให้เขา ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาเขาคบกับเธอในสถานะใดจึงจะใช้คำว่าจบกันได้ แต่มาสงสัยตอนนี้ก็สายเกินไป เดือนอ้ายปาดน้ำตาพร้อมกับหยัดกายลุกยืนเงอะๆ งะๆ เธอหวังจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดและหลบทุกคนกลับบ้าน หากไม่มีร่างสูงยืนขวางประตูและสืบเท้าต้อนให้เธอถอยกลับไป
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าหนูดียกเธอให้ฉัน กันไม่ให้เกิดเรื่องงามหน้าอย่างในอดีตอย่างไรล่ะ”
ราวกับมีใครสาดน้ำแข็งใส่โครมใหญ่ เดือนอ้ายชาวาบไปทั้งกาย ดวงตาแดงเรื่อเบิกโพลงอย่างตื่นตะลึง แต่ก่อนที่เธอจะถอยไปกระแทกโต๊ะทำงาน แขนแกร่งก็รวบเอวเธอไปแนบชิดตัวเขาแล้วบดเบียดจุมพิตรุนแรง มันไม่ใช่จุมพิตแสนหวานเพื่อปรนเปรอ แต่เขาดูดดึงและขบเม้มริมฝีปากของเธออย่างเรียกร้องและลงโทษในที
นภนต์สาดความโกรธ ผิดหวัง และช้ำใจใส่เดือนอ้ายผ่านจุมพิตหนักหน่วง เขาจงใจบีบมือไปตามส่วนสัดของกายสาวอย่างหยาบคาย ในเมื่อเธอกล้าเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขา แล้วทำไมเขาจะต้องสนใจน้ำตาของเธอ
“อย่าทำอ้าย ฮือ...ได้โปรด อย่าทำอ้ายเลย” เธอขอร้องทั้งน้ำตาประหนึ่งนักโทษร้องขอชีวิต
มือที่ทั้งทุบ ตี และข่วนเขาก่อนหน้านี้ บัดนี้กระพุ่มไหว้แทบอกเขา ใบหน้าแฉล้มที่เขาถูกตาต้องใจมีแต่น้ำตา น้ำตาที่เขาตระหนักดีว่ามันถั่งท้นก็เพราะตน
ให้ตายสิวะ! เขาทำอะไรลงไป...ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาเปลี่ยนหญิงสาวน่ารักให้กลายเป็นคนน่าสงสารเช่นนี้ไปได้ น่าสงสารเสียจนหัวใจของเขาปวดปลาบไปกับเธอ
เดือนอ้ายสะดุ้งเมื่อถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอด ร่างนุ่มนิ่มสะท้านไหวรุนแรงจนก้อนเนื้อในอกของเขาสั่นไหวตาม นภนต์หลับตาพลางก่นด่าตัวเองในใจ ขณะที่มือหนาวนเวียนลูบหลังลูบไหล่ปลอบคนที่เอาแต่ร้องไห้ตัวโยน
“อ้าย อย่าร้อง คนดี อย่าร้องสิ” เขากระซิบปลอบ แต่ในใจเจ็บยิ่งนักกับการกระทำอันขาดสติของตน “ฉันสัญญา จะไม่ทำแบบนี้อีก หยุดร้องเถอะนะอ้าย”
วาจาอ่อนโยนอ่อนหวานที่เขาพร่ำบอกยิ่งทำให้หัวใจของเธอปวดหนึบ เธอเปลี่ยนเขาไม่ได้ เธอรู้ แต่ตราบใดที่นภนต์คนนี้คือคนเดียวกับที่ทำร้ายจิตใจของเธอ แล้วเธอจะโกรธเกลียดเขาอย่างเต็มหัวใจได้อย่างไร
“จะฆ่าฉันหรือ ไม่เอาวิธีนี้ หากจะฆ่าฉันทั้งทีเธอต้องยิ้มสิอ้าย อย่าฆ่าฉันด้วยน้ำตาของเธอ”
เดือนอ้ายสะอื้นฮัก มือที่ผลักไสกับอกของเขาตกลงข้างลำตัว มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลไม่ใช่เพราะความโกรธและหวาดกลัวเขาดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่มันหลั่งรินให้แก่ความพ่ายแพ้ของตัวเอง
มืออุ่นจัดสองข้างประคองดวงหน้าชื้นด้วยหยาดน้ำตา เขาไล้นิ้วหัวแม่มือซับน้ำตาให้เธอแผ่วเบา เสียงครางสะอื้นของหญิงสาวสะท้อนสะท้านในหัวใจหยาบกระด้าง ก่อนเขาจะหลุบตามองกลีบปากบวมช้ำอย่างนึกละอาย เขาทำร้ายผู้หญิง ทำร้ายเพศแม่ของตัวเอง เขามันเลวชาติสิ้นดี
“โอ๊ย”
เสียงอุทานผะแผ่วทำเอาชายหนุ่มตกใจหน้าถอดสี เขาชักนิ้วมือที่แตะริมฝีปากของเธอเบาๆ ออก ก่อนจะรั้งร่างอวบอิ่มมาสวมกอดแนบอก
“ไปหาหมอดีไหม ไปเถอะ ฉันพาไป”
“ไม่นะคะ” เธอรีบปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งก่อน ฉันจะลงไปเอาน้ำแข็งกับผ้ามาประคบให้”
นภนต์โอบประคองหญิงสาวไปนั่งที่โซฟา เขามองคนที่นั่งก้มหน้าหลบตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดใจเปิดประตูออกไปจากห้อง
เมื่ออยู่ลำพังเดือนอ้ายก็ฟุบหน้าร่ำไห้กับฝ่ามืออีกครั้ง เธออับอายในสิ่งที่เขากระทำกับเธอต่อหน้าเพื่อน รวมถึงที่เธอหายขึ้นมากับเขาเสียนานสองนาน และยังหวาดกลัวอนาคตว่าคนอื่นจะคิดกับเธอเช่นไร
กระทั่งประตูถูกผลักเข้ามา เธอจึงรีบเช็ดน้ำตาป้อยๆ แต่ก็ช้ากว่านภนต์ซึ่งสังเกตเห็น เขาเลือกนั่งลงข้างเธอพร้อมผ้าห่อน้ำแข็งในมือพลางลอบถอนใจ
“มา ฉันประคบให้ จะได้ไม่ปวดบวม”
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ อ้ายว่าจะกลับ”
“จะกลับได้อย่างไร เพื่อนๆ ถามถึงอ้าย แล้วฉันก็ยังไม่ได้บอกทุกคนว่าเราเป็นอะไรกัน”
คนที่เอาแต่เบี่ยงหน้าหนีช้อนตามองชายหนุ่มอย่างตกตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน เธอได้แต่มองเขาอย่างค้นหาขณะที่นภนต์ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งแตะริมฝีปากบวมแตกของเธอ
“หลับตาก่อน อย่ามองฉันแบบนี้” เขาออกคำสั่งเสียงพร่า “ห้ามมองผู้ชายคนไหนแบบนี้ทั้งนั้น เข้าใจไหม”
เพียงเท่านั้นเดือนอ้ายก็รีบหลับตาลงทันที แว่วเสียงหัวเราะในลำคอจากคนที่ชอบข่มขู่ตน
นั่นสินะ เขาคอยแต่ข่มขู่และบีบบังคับเธอเสมอ เพิ่งมีครั้งนี้ที่เขาพูดจาอ่อนโยนกับเธอ อ่อนโยนจนอาจเรียกได้ว่าอ่อนหวานที่สุดแบบที่เดือนอ้ายเคยอ่านเจอคำพูดเช่นนี้ก็จากหนังสือเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันอ่อนหวานยิ่งกว่าเมื่อเอ่ยออกมาจากปากคนใจร้าย
หญิงสาวมัวแต่หลับตาและตกอยู่ในภวังค์ความคิด เธอไม่ทันสังเกตว่าความเย็นจัดของน้ำแข็งสิ้นสุดลงเมื่อไร กระทั่งไออุ่นประทับลงมาแทนที่...นุ่มนวลและแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่เขามอบให้ทำเอาเธอไม่อยากลืมตาขึ้นมายอมรับความจริง
“คุณดีกับอ้ายเพราะพี่หนูดีใช่ไหมคะ”
ยิ่งรู้ตัวว่ากำลังตกหลุมรักนภนต์อย่างสุดจะหักห้ามใจแล้ว เดือนอ้ายก็ยิ่งเจ็บช้ำใจเป็นทบทวี
“อ้าย” ชายหนุ่มครางในอก ไม่คาดคิดว่าวาจาร้ายกาจที่ระเบิดออกไปตามแรงโทสะจะย้อนมาเล่นงานตน
“อ้ายเพิ่งรู้ว่าคุณกับพี่หนูดีมองอ้ายอย่างไร ขอบคุณที่บอกให้อ้ายรู้ อ้ายเพิ่งรู้จริงๆ” เธอพ้อเสียงเครือ แต่ไม่มีน้ำตาหยาดหยดลงมาอีกแล้ว
“ใช่ที่ไหน ฉันโกหกขึ้นมาเอง” นภนต์ปด เขายอมเอาชั่วเข้าตัวเพราะไม่อยากให้เดือนอ้ายผิดหวังเสียใจมากไปกว่านี้ “อ้ายจะทิ้งฉัน เยื่อใยสักนิดก็ไม่มี ฉันโมโหก็เลย...อ้างไปแบบนั้น”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม เธอมองเขาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด ก่อนจะหรี่ตาเสมือนกำลังใคร่ครวญ
“คุณบอกให้เราจบกัน”
“ฉันถามอ้ายต่างหาก คิดดูดีๆ สิ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางวางมือบนศีรษะหญิงสาว
เดือนอ้ายหลับตาเพื่อฝืนกลั้นหยดน้ำตา เธอไม่อยากคิดอีกแล้ว หลายวันมานี้เธอเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องของเขามามากพอแล้ว และเธอก็สัญญากับตัวเองว่าต่อจากนี้จะเลิกคิดเรื่องของผู้ชายคนนี้ คิดเพียงเรื่องการสอบที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น
ต่อให้อับอายกับเหตุการณ์ในคืนนี้มากแค่ไหน เมื่อเพื่อนๆ ต่างเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปสู่สังคมใหม่อยู่ดี
“ลงไปข้างล่างได้หรือยังคะ” เธอเสถามเปลี่ยนเรื่อง
“ไปสิ ฉันเดินไปส่ง แล้วคืนนี้ก็จะไปส่งที่บ้านด้วย”
‘ไม่คิด...ไม่คิดนะเดือนอ้าย เขาแค่ดีกับเธอเพื่อไถ่โทษ ห้ามคิดไกลเด็ดขาด’
หญิงสาวท่องในใจราวกับท่องนะโมฯ แต่แล้วก็มิวายสะดุ้ง สมาธิแตกซ่านเมื่อมือหนาเปลี่ยนจากจับจูงเป็นโอบเอวพาเธอเดินออกไปหากลุ่มเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ที่ชุดโซฟานอกร้าน
“อ้าย แกเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดมากเลย” พิมพ์อักษรตรงไปจับมือเพื่อนแล้วพามานั่งแทนที่ตน
“อ้ายเมานิดหน่อยเลยอาเจียน” นภนต์ตอบสุภาพดังเคย ก่อนจะยกมือเรียกบริกรและสั่งซุปเห็ดให้หญิงสาว “สั่งอะไรอีกไหมครับ”
“เอาฟิชแอนด์ชิปส์ไหมอ้าย” โชติถามเพราะรู้ว่าเพื่อนชอบกินเฟรนช์ฟรายส์
เดือนอ้ายรีบเออออกับเพื่อนอย่างหวังให้บรรยากาศเป็นปกติที่สุด ต่อเมื่อชายหนุ่มเจ้าของร้านยังคงนั่งไขว่ห้างบนที่วางแขนข้างๆ ความหวังก็พลอยริบหรี่ลง
“ไม่คิดเลยว่าคุณนภนต์สนิทกับอ้าย” จารุณีเอ่ยพลางบิดกายขวยเขิน ก่อนจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาตีเข่าเพื่อนเบาๆ “อ้าย แกไม่เห็นเมาท์ให้ฟังบ้างเลย”
“ผมสนิทกับหนูดีน่ะครับ ก็ต้องสนิทกับน้องสาวเพื่อนเป็นธรรมดา” เขาตอบพลางวางมือบนไหล่น้องสาวของเพื่อน
นี่สินะที่เขาบอกว่ายังไม่ได้บอกทุกคนว่าเขากับเธอเป็นอะไรกัน เดือนอ้ายขบขันตัวเองที่เผลอคิดไกลไปมากมาย
“โห กิ๊บว่าไม่ธรรมดามั้งคะนี่”
นภนต์หัวเราะกังวาน เสียงห้าวยามหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขทำให้ใครต่อใครต่างยิ้มตาม
“แล้วแต่อ้ายจะคิดมากกว่าครับ”
คำตอบนั้นเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจจากเพื่อนและรุ่นน้องผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรัศมีการได้ยิน เดือนอ้ายใบหน้าร้อนซู่ หัวใจสาวเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก ทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่ชอบตกเป็นจุดสนใจ แต่ใจเจ้ากรรมกลับเหลิง หลงละเลิงไปกับความสำคัญที่ได้รับจากบุรุษที่แตกต่างราวอยู่คนละโลกกับตน
“ขอถ่ายรูปกับคุณนภนต์ได้ไหมคะ กิ๊บสัญญาว่าจะไม่เอาไปขายต่อเด็ดขาด”
มีเสียงเรียกร้องตามจารุณีอีกหลายเสียงด้วยกัน นภนต์หัวเราะก่อนจะผายมือเชิญทุกคนไปที่เวทียกพื้นเพื่อถ่ายรูปหมู่ โดยมีผู้จัดการร้านมาช่วยแบ่งเป็นกลุ่มๆ และถ่ายรูปที่ระลึกให้แก่ลูกค้า ส่วนทางร้านก็จะนำภาพไปโพรโมตในแฟนเพจของร้านหลังจากนี้เช่นกัน
“แกโอเคจริงๆ นะอ้าย” พิมพ์อักษรกระซิบถามเพื่อนสนิททันทีที่มีโอกาส
“จ้ะ”
เดือนอ้ายยิ้มให้เพื่อน ก่อนพวกเธอจะถูกเรียกไปถ่ายรูปเป็นกลุ่มต่อไป
“อ้าย” นภนต์ยกมือหา เรียกเสียงกรีดร้องชอบใจจากสาวๆ ยกใหญ่
คนถูกเรียกก้าวไม่ออกเพราะขัดเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ถูกมือของใครต่อใครทั้งผลักทั้งดันให้ไปยืนข้างชายหนุ่มในที่สุด เธอกลั้นยิ้มเสียจนเมื่อยแก้มเมื่อเขาวาดมือมาโอบเอว ครั้นช่างภาพจำเป็นบอกให้ยิ้ม เดือนอ้ายจึงยิ้มกว้างทั้งพวงแก้มระเรื่อ
รอยยิ้มบริสุทธิ์จริงใจที่เขาเคยถูกตาต้องใจจากภาพถ่าย บัดนี้นภนต์ได้เห็นกับตา...หลงใหลเข้าแล้วเต็มหัวใจ
“คืนนี้สนุกไหม”
คำถามนั้นทำลายความเงียบภายในห้องโดยสาร เดือนอ้ายคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ก่อนจะพบคำตอบที่พาให้ใจแกว่งไกว น้ำตาที่เสียไปไม่อาจเทียบได้กับรอยยิ้มที่มีหลังจากนั้น
“ค่ะ” เธอตอบพลางก้มหน้างุด
“ทำไมต้องอมยิ้ม ฉันชอบให้อ้ายยิ้มให้ฉันออกจะตาย” เขาเย้า ก่อนจะหันมองคนข้างๆ เต็มตาเมื่อรถติดไฟแดง “ไหน ยิ้มซิ”
เดือนอ้ายเผลอยิ้มขัน ตามด้วยตวัดตาค้อนใส่ชายหนุ่มที่ทำให้เธอเขินอายเสียจนแทบแทรกเบาะรถหนี
“ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” นภนต์รู้สึกเหมือนต้องมนตร์ เขายื่นมือไปเกลี่ยแก้มใสพลางเอ่ยต่อ “ตลกดีนะ ทุกครั้งที่เราทะเลาะแล้วคืนดีกัน ฉันก็ยิ่งหลงอ้ายเสียอย่างนั้น”
นั่นสินะ ความรู้สึกของเธอก็ไม่ต่างกัน เวลาดีเขาก็ดีใจหาย ยามร้ายก็ร้ายเกินทนไหว ทว่าด้านดีของเขาต่อเติมส่วนที่ขาดหายในหัวใจของเธอ นั่นคือความอบอุ่นและคุณค่าที่ขาดหายจากการมีครอบครัวไม่สมบูรณ์ สุดท้ายเธอจึงกลายเป็นคนไร้ศักดิ์ศรีเพราะความสุขชั่วครู่ชั่วยาม
“แต่อ้ายไม่อยากทะเลาะนี่คะ” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือเอ่ยออกไป
สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถเครื่องยนต์แรงพุ่งทะยานไปตามถนนหนทางยามค่ำคืนซึ่งมีเพียงแสงไฟสีส้มสลัว ตรงข้ามกับใจสองดวงที่สว่างไสวเมื่อได้พูดจาปรับความเข้าใจกัน
“ฉันก็ไม่อยากทะเลาะหรือรุนแรงกับอ้าย” เขาบอกพร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งไปกุมมือเธอ “จำคำฉันไว้นะ ถ้าฉันทำรุนแรงกับอ้ายอย่างวันนี้อีกเมื่อไร ฉันอนุญาตให้อ้ายเดินออกไปจากชีวิตของฉันได้เลย”
เดือนอ้ายผินมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มอย่างค้นหา จนเมื่อตาสบตาแม้เพียงแวบเดียว เธอก็เชื่อเขาหมดแล้วทั้งใจ
“แต่ถ้าฉันดีกับอ้าย อ้ายก็ต้องเชื่อฟังและสนใจฉัน ตกลงไหม”
คนฟังย่นจมูกอย่างหมั่นไส้หมั่นพุงขึ้นมา แม้จะมึนๆ เบลอๆ เพราะฤทธิ์ค็อกเทลแก้วที่สอง แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าตนกำลังเสียเปรียบในสัญญาอย่างไรชอบกล
ไม่รอให้หญิงสาวตอบคำถาม เมื่อรถเคลื่อนมาจอดหน้าประตูรั้วบ้านของเพื่อนสนิท นภนต์ก็จัดการผนึกคำสัญญาปากต่อปากกับเดือนอ้ายเนิ่นนาน
ความคิดเห็น |
---|