บทที่ ๑๓
สามวันแล้วนับแต่เพื่อนรักบอกว่าจะขึ้นไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย แต่จนบัดนี้คนที่บอกว่าจะชวนเขาไปด้วยกันกลับไม่ติดต่อมาเสียที นภนต์รุ่มร้อนใจอยู่ลำพัง เขาอยากบินไปเอาผิดเดือนอ้ายเสียเอง แต่ก็ติดที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าถ้าเธอไม่ไปทะเลกับเขาก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก
แทนที่วาจาของเขาจะผูกมัดเธอ มันกลับย้อนมาผูกมัดตัวเองไปเสียฉิบ ยิ่งเห็นเธอลงรูปสถานที่ท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดียและโต้ตอบกับเพื่อนๆ เป็นปกติ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าอยู่คนเดียว
โธ่เว้ย! เขาไม่คิดเลยว่าเด็กสาวที่มองเขาอย่างห่วงใย เจ้าของมือที่ดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างกลัวเขาจะพลาดพลั้ง บทเธอจะไป...เขาทั้งข่มขู่ทั้งยื่นคำขาดอย่างไรก็หาได้สนใจสักนิดไม่
ชายหนุ่มสาดแอลกอฮอล์รสขมลงคอ เขากดเข้าไปที่รูปใบหน้าแฉล้มอย่างหมายจะลบเธอออกจากโลกออนไลน์ของตน แต่แล้วก็ทำใจกดปุ่มนั้นไม่ได้เช่นเคย สุดท้ายเขาก็ได้แต่ขบกรามแน่นอย่างโมโหตัวเอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น มือหนารีบวางโทรศัพท์มือถือลงราวกับมันเป็นเหล็กร้อน เขาบอกอนุญาตให้ผู้จัดการร้านซึ่งอาวุโสกว่าตนทั้งวัยและประสบการณ์เข้ามาได้ วิทยาเป็นชายร่างสันทัด ผิวขาวซีดอย่างคนทำงานกลางคืนไม่ค่อยเจอแสงแดด ทุกอย่างเนี้ยบเป็นระเบียบตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
“คุณฝ้ายมาครับ นั่งดื่มลำพังสักพักแล้ว เธอไม่ได้ถามถึงคุณเดียว แต่ผมคิดว่าควรมาบอกคุณ”
“ขอบคุณคุณวิทย์ จริงสิ คืนนี้ไม่ต้องให้นายบอยนอนเฝ้าร้านแล้วนะ ไม่มีไรหรอก สงสารเด็กมัน” เขาบอกอย่างนึกขึ้นได้
“ครับ คุณเดียวเก็บฮาร์ดดิสก์พกพา๑ไว้ดีแล้วแน่นะครับ”
วิทยากวาดตามองหาฮาร์ดดิสก์แบบพกพาที่ช่างดึงข้อมูลจากกล้องวงจรปิดเก็บไว้หลังคืนที่เกิดเรื่องขึ้นที่ร้าน เขาไม่มั่นใจว่าเจ้านายเก็บไว้ที่ไหน ยิ่งเห็นชายหนุ่มดื่มหนักมาหลายคืนก็ยิ่งกลัวอีกฝ่ายลืมเสีย
“อืม” นภนต์รับคำแบบขอไปที ก่อนจะก้าวออกจากห้องทำงาน
เขาคิดว่าควรทักทายมนสิการเสียหน่อย อย่างน้อยเจ้าหล่อนก็เป็นเพื่อนสนิทของตระการเพียงคนเดียวที่มาอุดหนุนร้านของเขาหลังจากคืนที่เกิดเรื่อง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อมองไม่เห็นหญิงสาวในกลุ่มลูกค้าขาจรภายในร้าน ก่อนจะแลเลยออกไปเห็นมนสิการกำลังจิบค็อกเทลพลางนั่งฟังดนตรีสดอยู่นอกร้านซึ่งมีลูกค้าบางตา
“นั่งด้วยคนได้ไหมครับคุณผู้หญิง”
มนสิการช้อนตามองพร้อมกับหัวเราะ เขาถือว่านั่นเป็นคำเชิญให้นั่งลง ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มของตนกับพนักงาน
“นึกว่าหลังจากคืนนั้นนายต้าจะห้ามเพื่อนทุกคนมาที่ร้านเสียอีก” เขาเปรย
“เดียวก็เป็นเพื่อนเราเหมือนกันนี่”
นภนต์เลิกคิ้วด้วยวางสีหน้าไม่ถูก เขาซาบซึ้งใจในคำตอบของเจ้าหล่อน และวูบหนึ่งในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาควรจะพิจารณาเพื่อนสาวคนนี้ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งหรือไม่ เธอทั้งฉลาด รู้เท่าทัน มีความสนใจและวิถีชีวิตคล้ายกันกับเขา และที่สำคัญ...เขาเชื่อว่าเจ้าหล่อนยังมีใจให้เขา
“ขอบใจนะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราเสียใจนะที่ทำให้งานที่ฝ้ายตั้งใจจัดเตรียมพังไม่เป็นท่า”
“ไม่เป็นไรน่า เราไม่ใช่เจ้าของวันเกิดเสียหน่อย ไม่รู้สึกเสียหน้าหรือเสียดายอะไร”
ชายหนุ่มหัวเราะแปร่งปร่าในรอบหลายวัน เขารับแก้วจากพนักงานมายื่นรอชนแก้วกับเพื่อน
“มา คืนนี้เราขอไถ่โทษเอง”
มนสิการยื่นแก้วไปชนอย่างไม่รีรอ ต่างฝ่ายต่างหัวเราะเพียงปาก ทว่ารัศมีแห่งความสุขนั้นไปไม่ถึงดวงตา
นภนต์ลืมไปสนิทว่าตนเคยเป็นแต่คนมอมเหล้าสาวช่างตื๊อทั้งหลาย เพื่อที่พวกหล่อนจะได้สิ้นฤทธิ์เดชและเลิกให้ท่าอย่างน่ารำคาญ แต่คืนนี้เขากลับมอมตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่ามกลางบทเพลงรักของ ร็อด สจ๊วต ที่นักร้องในวงดนตรีสดกำลังขับกล่อม
เขาดำดิ่งลงไปในเนื้อเพลงและสุรา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาปิดร้าน เมื่อลุกยืนจะส่งเพื่อน ร่างสูงโปร่งก็พลันโงนเงน
“แล้วจะกลับบ้านอย่างไรนี่เดียว”
มนสิการปรี่ไปประคองเพื่อนชาย อีกฟากหนึ่งคือผู้จัดการร้านที่เห็นเหตุการณ์พอดี
“กลับด้าย...กลับด้าย...ใกล้ๆ แค่นี้เอง”
“เราไปส่งดีกว่า ดูซิ แค่ยืนยังจะไม่ไหว” หญิงสาวตัดสินใจเสร็จสรรพ ก่อนหันไปบอกวิทยา “ขอแรงประคองไปที่รถทีนะคะ”
คนเมาโวยวายพร้อมกับพยายามสะบัดกายออก แต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะขัดขืน ในที่สุดก็ถูกผลักเข้ามานั่งในรถจนได้
ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาต้องสะบัดศีรษะขับไล่ความง่วงงุนที่จู่โจมอย่างหนัก พยายามชวนมนสิการพูดคุย แต่เจ้าหล่อนกลับสงวนปากคำกว่าปกติ
นภนต์สุดจะห้ามมิให้ตัวเองหลับใน กระทั่งประตูรถฝั่งตนเปิดออกพร้อมกับมีแขนแข็งแรงมาฉุดประคอง เขาจึงกะพริบตาเรียกสติ แล้วก็ได้รู้ว่าเขากำลังเดินลากขาไปตามโถงทางเดินในคอนโดมิเนียมของตนโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับมนสิการหิ้วปีกคนละข้าง
“ส่งแค่นี้พอน่า เดินเองด้าย” เขาบอกเสียงยานคางเมื่อมาถึงหน้าห้องพัก
ทว่าหญิงสาวเสียบคีย์การ์ดที่ค้นตัวนภนต์จนได้มาแล้วผลักประตูเข้าไป เธอบอกให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพาคนเมาไปส่งที่เตียง ก่อนจะให้ทิปเขาแล้วปิดประตูไล่หลัง
“ฝ้าย” นภนต์เรียกอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเจ้าหล่อนเดินกลับมา
ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่ง ตอนนี้เขาไม่ซาบซึ้งในน้ำใจของมนสิการอีกต่อไปแล้ว แม้เธอกำลังถอดรองเท้าให้เขาก็ตามที
“ทำอะไร ไม่ต้อง กลับไปได้แล้ว”
เธอชะงักมือทันทีที่ถูกเขาขับไล่ไสส่ง แต่นี่เป็นโอกาสดีที่สุดและอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ตนมี ถ้าเธอไม่ได้สมหวังในรัก แค่สมรู้ในรสรักของเขาก็ยังดี
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงขยับคืบขึ้นไปผลักอกเขาหงายลงบนเตียง เธอจุมพิตเพื่อนชายอย่างโหยหาในสัมผัสที่เคยได้ลิ้มลองมาครั้งหนึ่ง ขณะที่มือเคลื่อนต่ำไปยังขอบกางเกงของเขาและปลดเข็มขัดหนัง
เสียดาย เขาคิดจะเปิดใจพิจารณาผู้หญิงคนนี้ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่มีรสนิยมเอาผู้หญิงที่ไล่ปล้ำผู้ชายมาทำเมีย นภนต์โกรธจัดจนสร่างเมาพอที่จะพลิกกายขึ้นคร่อมร่างบาง ก่อนจะออกแรงลากขาเธอลงจากเตียง
“ขอบใจมากสำหรับคืนนี้” เขาเอ่ยลอดไรฟันแล้วชี้ไปที่ประตูด้วยมืออันสั่นเทา “หมดหน้าที่เพื่อนแล้ว กลับไป”
“ทำไมฮะเดียว ทีกับคนอื่นเดียวก็นอนด้วยนี่” มนสิการประท้วง โกรธที่ถูกเขาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาจนไม่คิดเก็บอาการอีกต่อไป
นภนต์ไม่ตอบแต่ตรงไปลากอีกฝ่ายออกจากห้องนอนของตน เขากดล็อกประตูห้องเมื่อรู้สึกคลื่นไส้จากฤทธิ์สุรา ก่อนจะวิ่งโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำทันที
ชายหนุ่มหอบเหนื่อย ปวดศีรษะเหมือนมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขืนเขาขาดสติเช่นนี้ทุกวันคงได้มีเรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อนเป็นแน่แท้ เขาควรไปตามตัวต้นเหตุมารับผิดชอบเสียโดยดี ช่างศักดิ์ศรีที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเองปะไร!
งานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของครูสอนการแสดงชื่อดังมีนักแสดงมาร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เนื่องจากปีปีหนึ่งท่านจะเปิดบ้านเรือนไทยให้ลูกศิษย์ลูกหามากราบไหว้และร่วมอวยพร แน่นอนว่ามีนักข่าวจำนวนมากมารอทำข่าวเช่นกัน
ดลฤดีทำใจแล้วว่าคงไม่อาจหลบเลี่ยงสื่อได้อีก และเธอก็ไม่ยอมแลกโอกาสที่จะได้มาแสดงความเคารพต่อผู้มีพระคุณเพียงเพราะข่าวที่ไม่เป็นความจริง
“หนูดี ขอสัมภาษณ์หน่อยค่า เรื่องที่ขึ้นคอนโดเพื่อนชายนี่เป็นมาอย่างไรค้า” นักข่าวสาววิ่งไปยื่นไมโครโฟนจ่อผู้ที่เพิ่งก้าวลงจากรถ
“ขอหนูดีขึ้นไปกราบครูก่อนนะคะ” เธอตอบพร้อมกับฝืนแย้มยิ้ม ขามิได้หยุดก้าวเดิน
เธอไพล่นึกถึงตอนที่เห็นสกู๊ปข่าวบันเทิงบนหน้าจอโทรทัศน์หลังกลับจากบ้านของคนรัก แล้วก็คล้ายจะรู้สาเหตุที่ทำให้สิทธาไม่มั่นใจในตัวเธอขึ้นมา เธอไม่โกรธ ไม่น้อยใจที่เขาเข้าใจผิดเช่นนั้น ตรงกันข้าม...ภาพที่ถูกแอบถ่ายขณะเธอขี่หลัง แก้มแนบแก้มกับนภนต์นั้นร้ายแรงในความรู้สึกของตนเช่นกัน มันทำให้เธอคิดทบทวนถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองว่าความสุขของเธอได้ทำร้ายความรู้สึกของบุรุษที่ตนรักกี่ครั้งกี่หนกัน
“แล้วปีนี้คุณสิทธาไม่มาด้วยหรือคะ หรือข่าวลือว่ามีปัญหากันเป็นความจริง”
หญิงสาวเจียนจะหมดความอดทน เธอกำมือแน่นพลางหันไปเผชิญหน้าทัพนักข่าว
“ใครลือคะ”
คำตอบที่ได้รับต่างก็โยนกันไปมา บรรดานักข่าวโบ้ยว่ามาจากอินเทอร์เน็ต ส่วนที่เธออ่านเจอในอินเทอร์เน็ตก็บอกว่ามาจากนักข่าว
“อุ๊ย นั่นคุณสิทธา”
เสียงนักข่าวบอกต่อๆ กันมาจากข้างหลังเรียกสายตาหลังแว่นกันแดดให้แลตาม บุรุษรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนกไทสีเทา ก้าวลงจากรถยุโรปก่อนที่คนขับจะเคลื่อนออกไปหาที่จอด ในมือของเขามีกระเช้าอาหารบำรุงสุขภาพ แค่เพียงพริบตาเดียวเขาก็ก้าวมาถึงตัวเธอ มือหนาแตะลงบนเอวและพาเธอฝ่าวงล้อมนักข่าวเข้าไปภายใน
ลึกเข้ามาในเขตรั้วเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ ที่ศาลาไม้และใต้ถุนบ้านเรือนไทยมีลูกศิษย์ทางการแสดงต่างสังกัดจับกลุ่มทักทายและพูดคุยกัน ดลฤดีต้องหยุดทักทายใครหลายคนที่คุ้นเคยกันดี ตลอดเวลาฝ่ามือของหนุ่มใหญ่ก็วางอยู่บนเอวเช่นนั้นราวกับทากาว
เกิดอะไรขึ้น คนรักที่คบกันมาห้าปีกว่าไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวกับเธอต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน เขาระมัดระวังการแสดงออกด้านความรักเสมอ และเธอก็พอใจที่เขาให้เกียรติเธอ...ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ ทว่าการแสดงออกอย่างใกล้ชิดยามนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดีไปอีกแบบ ราวกับเท้าไม่ติดพื้น ตัวลอย ใจลอยไปตามแต่เขาจะชักนำ
“มาได้อย่างไรคะ” เธอถามเพื่อทำลายความอึดอัด
“ให้คนขับรถมา”
ดลฤดีมองค้อนปะหลับปะเหลือกหลังแว่นตากรอบโต แต่ก็ไม่วายถูกคนมาดขรึมส่งยิ้มให้
“ประเดี๋ยวผมกลับกับหนูดี เพราะบอกให้คนรถกลับไปแล้ว”
นี่คือประโยคบอกเล่า ขอร้อง หรือคำสั่ง หญิงสาวทำหน้านิ่วอย่างสับสนในความเปลี่ยนแปลงของสิทธา แต่ก็ยอมก้าวขึ้นเรือนไปกับเขาแต่โดยดี
ข้างบนบ้านเรือนไทยโปร่งโล่งเหมือนกับบ้านในฉากละครพีเรียดไม่ผิดเพี้ยน ตรงกลางเป็นเหมือนศาลายกพื้นไร้ผนังกันลมฝน มีเพียงเสาสี่ต้นค้ำหลังคาด้านบน ตรงนั้นเองมีครูผู้สอนการแสดงคนแรกให้แก่เธอนั่งพูดคุยอยู่กับนักแสดงอาวุโสอีกท่านหนึ่ง
ดลฤดีพักเรื่องค้างคาใจไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ เธอคลานเข่าเข้าหาหญิงชราอย่างสำรวม สิทธาก็เช่นกัน ก่อนหนุ่มสาวที่ตั้งใจมาร่วมอวยพรจะต้องตอบคำถามเรื่องงานมงคลของพวกตนเสียเอง
“เมื่อวานคุณย่าของผมท่านเพิ่งได้ฤกษ์ใหม่มา เป็นปลายเดือนตุลาคมครับ”
หญิงสาวผินมองคนข้างๆ อย่างตื่นตะลึง ลืมไปว่าไม่มีแว่นกันแดดอำพรางความรู้สึกบนใบหน้าแล้ว
“อีกแค่สี่เดือน คนแก่อย่างฉันพลอยตื่นเต้นไปด้วยเทียว”
ใช่ แค่สี่เดือนเท่านั้น เลื่อนเข้ามาจากฤกษ์เดิมในเดือนกุมภาพันธ์ถึงสี่เดือน ดลฤดีอดแปลกใจไม่ได้ โดยเฉพาะหลังจากผิดใจกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอคิดว่าเขาจะต้องการเลื่อนงานแต่งงานออกไปเสียอีก แต่ความจริงที่เพิ่งรับรู้กลับตรงกันข้ามจากที่คิด หรือเขากลัวว่าจะต้องอับอายขายหน้าหากเธอเปลี่ยนใจหรือไร
หญิงสาวตัดสินใจแล้ว เธอจะต้องพูดคุยกับสิทธาให้รู้เรื่องภายในวันนี้ ต่อให้เขามีธุระปะปัง เธอก็จะจับเขามัดและสะสางปัญหาคาใจให้จงได้ ไม่เช่นนั้นอย่าเรียกเธอว่า ‘หนูดี ราชินีนักบู๊’ อีกเลย!
ขากลับออกมาจากบ้านเรือนไทยง่ายดายกว่าที่คิด เมื่อประโยคเด็ดประโยคเดียวของผู้บริหารหนุ่มใหญ่ทำให้ทัพนักข่าวตะลึงงันจนเลิกติดตามพวกตน
‘รอรับบัตรเชิญในเดือนหน้าทีเดียวดีกว่านะครับ’
ถ้อยคำนั้นตอกย้ำสถานะความสัมพันธ์อันมั่นคงระหว่างเขากับเธอกลายๆ ก่อนมือหนาจะกุมมือเธอพาไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ไม่ไกล เขาล้วงหยิบกุญแจจากกระเป๋าสะพายที่ถือให้เธอ ก่อนจะรับหน้าที่คนขับขับรถออกมา
ดลฤดีหลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงทักษะการรับมือนักข่าวของหนุ่มใหญ่ เขาพลิ้วยิ่งกว่าดาราอย่างเธอเสียอีก
“ผมนึกว่าหนูดีจะไม่ยิ้มให้ผมเสียแล้ว”
เจ้าของรอยยิ้มหุบยิ้มฉับ เธอมองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“มั่นใจแล้วหรือคะถึงเลื่อนงานแต่งงานเข้ามา” เธอถามเสียงเรียบ กลับมาไว้ตัวระวังใจอย่างเดิม
“หนูดี” สิทธาทอดหางเสียงอ่อนโยน “ผมไม่เคยไม่มั่นใจในความรักที่ผมมีต่อหนูดี แต่ที่ผมพูดในวันนั้นก็เพราะผมอยากรู้...ว่าอะไรทำให้หนูดีไม่เชื่อมั่นในตัวผมต่างหาก”
แม้เธอไม่ถามขึ้นมาตอนนี้ อย่างไรเสียวันนี้เขาก็ตั้งใจจะพูดกับเธอให้เข้าใจ สิทธาได้ทบทวนความรู้สึกของตนดีแล้วว่าอะไรผลักดันให้เขาเอ่ยออกไปเช่นนั้นจนคนรักเข้าใจผิดและมีน้ำตา
“ไม่จริง ทำไมคุณถึงคิดว่าหนูดีไม่เชื่อมั่นในตัวคุณ”
“เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้รับรู้ปัญหาหรือเรื่องส่วนตัวของหนูดี หนูดีอาจไม่ทันคิดข้อนี้เพราะมีเพื่อนสนิทคอยรับฟัง หรือมีเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วหนูดีสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ผมอยากให้หนูดีเมากับผม โวยวาย บ่น หรือร้องไห้ ผมถึงได้พูดออกไปอย่างนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาดูถูกหรือคิดแง่ลบกับหนูดีและเดียวเลย และผมเสียใจที่ทำให้ผู้หญิงที่ผมรักต้องเสียน้ำตา”
ดลฤดีจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนรัก พร้อมกับที่น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้นมากบตา ความเข้าใจและหัวใจอันมั่นคงของเขาคือสิ่งที่เธอถวิลหามาทั้งชีวิต จนป่านนี้เขายังไว้ใจคนรักที่ทำตัวเหลวแหลกอย่างเธอ ทั้งๆ ที่เธอยังโกรธและไม่อยากให้อภัยตัวเองเลย
“หนูดีขอโทษ หนูดีขอโทษค่ะคุณสิทธา”
“หนูดี”
สิทธาปรายตามองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคนรักอย่างตกอกตกใจ เขายื่นมือออกไปหมายจะซับน้ำตาให้ แต่ถูกคนรักจับมือไปแนบแก้มสลับกับจุมพิตมือของเขาอย่างรักใคร่และเทิดทูน
“หนูดี” หนุ่มใหญ่ครางในอก
“หนูดีกับเดียวเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ กลับจากบ้านของคุณแล้วหนูดีถึงได้เห็นข่าวและเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่หนูดีไม่กล้าแม้แต่จะโทร. หาคุณ หนูดีกลัวว่าแค่คำพูดและคำสัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเองอาจไม่มีค่าพอสำหรับความรู้สึกของคุณที่เสียไป”
“แต่ผมอยากได้ยิน หนูดีไม่ต้องสัญญาก็ได้ ผมแค่อยากได้ยินว่าหนูดีคิดและตั้งใจว่าอย่างไร”
ดลฤดีเช็ดน้ำตา สูดหายใจลึกพร้อมกับกุมมือของคนรักแน่นขึ้น
“หนูดีสัญญาว่าจะไม่ดื่มจนเมา จะมีสติ คิดหน้าคิดหลังก่อนทำอะไร แล้วก็...หนูดีจะนึกถึงคุณเป็นคนแรกทุกครั้ง ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ใจ”
คนฟังเต็มตื้นในหัวอก เขาไม่รู้หรอกว่าคำสัญญาจะเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้ง่ายเหมือนเปล่งวาจาหรือไม่ ทว่าการได้เปิดเผยความรู้สึกต่อกันเป็นขั้นแรกของการนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
“ผมขอแลกเปลี่ยนคำสัญญากับหนูดี แต่นี้ไปผมจะให้เวลาแก่หนูดีมากขึ้น จะดูแลและพยายามเข้าใจผู้หญิงให้มากกว่าเดิม”
หญิงสาวโผกอดคอของคนรัก ไม่อนาทรแม้ว่าเขากำลังขับรถอยู่ก็ตาม จากที่เคยไม่มั่นใจในตัวเองว่าตนจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเขาได้จริงหรือ บัดนี้ดลฤดีมั่นใจว่าเธอจะไม่ยอมแลกความรักมั่นคงของชายผู้นี้กับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวใดๆ อีกแล้ว
มื้อเย็นในวันธรรมดาคึกคักเป็นพิเศษเมื่อมีหนุ่มสาวมาร่วมรับประทานอาหารกับหญิงชรา อีกทั้งบรรยากาศที่ศาลากลางสนามหญ้ายามแดดร่มลมตกก็รื่นรมย์ ท่านผู้หญิงสายใจพลอยเจริญอาหารขณะที่หลานชายและว่าที่หลานสะใภ้ขอคำปรึกษาเรื่องพิธีมงคลสมรสระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน
“ก่อนอื่น ย่าว่าพ่อสิทธาควรพาน้องขึ้นไปกราบและบอกผู้ใหญ่ฝั่งนั้นให้ท่านเห็นด้วยกับฤกษ์ใหม่เสียก่อน”
“เอ่อ หนูดีว่าคงไม่เป็นไรมั้งคะคุณย่า ก็คุณย่าเคยสู่ขอหนูดีกับพ่อแล้ว”
สิทธาลอบมองคนรักอย่างแปลกใจ เขารู้ว่าดลฤดีย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ และดูแลตัวเองนับแต่สำเร็จการศึกษากลับมา เขาได้ยินเธอพูดถึงครอบครัวน้อยครั้งนับแต่คบกัน และมีโอกาสพบครอบครัวของเธอเพียงครั้งเดียวตอนที่เขากับย่าไปสู่ขอดลฤดี
“ไม่ได้ อย่างไรย่าก็ต้องให้พ่อสิทธาขึ้นไป ไม่อย่างนั้นเสียผู้ใหญ่”
“เสาร์-อาทิตย์เป็นอย่างไรครับ หนูดีติดธุระหรือเปล่า”
สายตาสองคู่จับจ้องมายังหญิงสาวเป็นตาเดียว เธอยิ้มแห้งๆ อย่างไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าสิทธาขึ้นไปพบครอบครัวของเธอ เธอก็จำเป็นต้องไปกับเขา
ถึงกระนั้นก็อดแสร้งเอ่ยเสียงหวานหยดกับคนรักที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่ได้
“แหม หนูดีจะมีธุระอะไรได้ล่ะคะ นักธุรกิจระดับพันล้านท่านอุตส่าห์มีเวลาให้ทั้งที”
สิทธาหัวเราะรับค้อนคม ก่อนจะถูกผู้เป็นย่าช่วยว่าที่หลานสะใภ้รุมอีกแรง
“นั่นสิ ขืนพ่อยังโหมงานหนัก ไม่ช่วยน้องดูแลการจัดงาน ย่าจะใช้อำนาจผู้ถือหุ้นใหญ่ปลดพ่อสิทธาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร คอยดู”
ดลฤดีเบิกตาโพลงกับคำขู่ของหญิงชรา พร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
“หนูดีรักคุณย่าที่สุดเลยค่ะ มาค่ะ หนูดีพาคุณย่าเข้าบ้านดีกว่านะคะ คืนนี้คุณย่าดูละครเรื่องอะไรคะนี่ เอ...หรือจะร้องคาราโอเกะกันดี”
หนุ่มใหญ่ผินมองตามคนที่คอยประคองผู้สูงวัยลงจากศาลา เขาโคลงศีรษะขบขันสตรีต่างวัยสองคนที่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เสียงหวานของดลฤดีดังเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง แล้วค่อยแผ่วหายไปตามระยะห่างในที่สุด เมื่อนั้นคนที่นั่งยิ้มกับตัวเองจึงค่อยลุกตามเข้าไป
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน เสียงเพลงจังหวะรื่นเริงก็ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ดลฤดียืนร้องเพลงอยู่ข้างจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ขณะที่ผู้ชมซึ่งประกอบด้วยประมุขและคนงานในบ้านต่างนั่งตบมือเข้าจังหวะและร้องคลอตาม สิทธาสะดุ้งอย่างร้อนตัวเมื่อเจ้าหล่อนหันมาเห็นเข้า เธอทำท่าจะส่งไมโครโฟนให้จนเขาต้องรีบยกมือปฏิเสธทันที
“คุณสิทธาขา”
เสียงออดอ้อนของคนรักสะกดให้ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปในห้องก็จริง แต่ในฐานะผู้ชมคนหนึ่งเท่านั้น
“ร้องเป็นเพื่อนน้องหน่อยน่า” ผู้เป็นย่าเอ็ดอย่างนึกขวาง
“โธ่ คุณย่าครับ ผมน่ะสายร็อกนะครับ” เขาโอ่กลั้วหัวเราะ
“หมั่นไส้” หญิงสาวว่ากระเง้ากระงอด “หนูดีเห็นคุณสิทธาสะสมกีตาร์ ไม่เห็นเคยเล่นให้ใครฟังเลย จริงไหมคะคุณย่า”
ท่านผู้หญิงสายใจไม่ตอบ แต่ตวัดตาค้อนใส่หลานชายอีกวง สิทธารู้ว่าเถียงอย่างไรก็มีแต่จะถูกสาวน้อยสาวใหญ่รุมหนักขึ้นจึงนิ่งเสีย ทำตัวเป็นผู้ช่วยนักร้องที่ดีด้วยการกดรีโมตเลือกเพลง
“คุณหนูดีคะ ป้าได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์ในนี้”
คนงานเก่าแก่คนหนึ่งขัดขึ้นหลังจบเพลงพลางชี้ไปยังกระเป๋าสะพายไหล่ยี่ห้อดัง หญิงสาวขออนุญาตวางไมโครโฟนก่อนก้าวมาดูโทรศัพท์มือถือของตน ทว่าเมื่อเห็นชื่อผู้ที่โทร. เข้ามาเธอก็เผลอปรายตามองคนรัก แล้วพบว่าดวงตาคมทอดมองเธออยู่เช่นกัน
“เดียวค่ะ”
เธอไม่เคยทำเช่นนี้ ไม่เคยต้องบอกต้องรายงานไม่ว่าตนจะติดต่อหรือคบหากับใคร แต่เมื่อเอ่ยไปแล้วกลับได้รับรอยยิ้มตอบ มือหนาแตะกลางแผ่นหลังราวกับบอกว่าไม่เป็นไร
สิทธาชวนย่าของเขาไปพักผ่อน หญิงชราตอบรับเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ห้องทั้งห้องพลันเงียบสงัดผิดกับนาทีก่อนหน้านี้ แล้วเธอก็พลอยรู้สึกผิดขึ้นมา อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อก่อนตนได้ใส่ใจระมัดระวังความรู้สึกของใครบ้างหรือไม่ เธอคิดง่ายๆ แต่เพียงว่าข่าวลือก็คือข่าวลือ เป็นความคิดที่ง่ายและมักง่ายเกินไป
“ว่าไงยะ” เธอเอ่ยทักเพื่อนชายคนสนิทด้วยน้ำเสียงที่ฝืนทำเป็นสดใส
“ตกลงเธอจะไปเชียงรายเมื่อไรน่ะหนูดี คือเรา...อาจจะไม่ว่างนะ ถ้าไม่รีบไปเสียแต่ตอนนี้”
“เหรอออ” หญิงสาวลากเสียงอย่างไม่เชื่อถือพร้อมกับหัวเราะ “ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร หนูดีเกรงใจ”
ถ้าหูไม่ฝาด เธอแน่ใจว่าได้ยินเสียงอีกฝ่ายหายใจฟืดฟาดราวกับกระทิงเตรียมขวิด...เป็นเอามากแฮะ
“แค่นี้ก่อนนะ คนจะจู๋จี๋กับแฟน”
เธอวางสายแม้ยังคงได้ยินเสียงเพื่อนโวยวายตามมา ก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนคนรักที่เดินกลับมาอย่างประจบในที
“คุณสิทธาขา ถ้าหนูดีจะชวนเดียวไปเชียงรายกับเราด้วยได้ไหมคะ”
สิทธาอดขมวดคิ้วแปลกใจไม่ได้ แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรเจ้าหล่อนก็ขยายความเสียก่อน
“เขาไม่ได้อยากไปเพราะหนูดีหรอกค่ะ แต่เพราะยายอ้าย”
คราวนี้คิ้วหนาขมวดมุ่นกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่เคยติดใจสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเลย แต่เมื่อคิดดูแล้วก็คงไม่แปลกอะไร เพราะแม้แต่คนรักของตัวเองก็ใช่ว่าเขาจะมีเวลาใส่ใจเธอเต็มที่เสียทีเดียว
เออนะ นี่เขามัวใส่ใจกับงานจนพลาดอะไรไปบ้างหนอ หนุ่มใหญ่ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวของผู้อื่น แต่เพราะสีหน้าท่าทางคันปากอยากเล่าและดวงตาสุกสกาวราวแววตาเด็กของคนข้างกายต่างหากที่ทำให้เขานึกเสียดายที่พลาดไป เขาจำแววตาคู่นี้ได้และเป็นแววตาคู่เดียวกับที่ประทับอยู่กลางใจ นั่นคือแวบแรกที่เขาได้สบตาหญิงสาวท่ามกลางวงล้อมของผู้หลักผู้ใหญ่นั่นเอง
“ได้ครับ แต่คืนนี้หนูดีต้องเมาท์เรื่องของสองคนนั้นให้ผมฟังนะ”
ดลฤดีพยายามขืนกายออกจากอ้อมแขนแกร่ง แต่ก็แพ้แรงคนที่โอบเอวทำท่าจะพาเธอขึ้นไปข้างบนด้วยกัน
“คุณสิทธา เดี๋ยวคุณย่ารู้ท่านต้องเอ็ดหนูดีแน่เลย” เธอบอกเสียงกระซิบกระซาบ เรียกเสียงหัวเราะกังวานจากคนข้างกาย
“หนูดีอยากจู๋จี๋กับแฟนไม่ใช่หรือ” เขาเย้า
ใบหน้าหญิงสาวร้อนซู่ขึ้นมาอย่างอับอาย ถึงกระนั้นก็มิวายทิ้งค้อนแก้เกี้ยว รู้สึกเสียหน้าเหลือเกินที่เขามาได้ยินวาจาห่ามๆ แถมยังรับมุกของเธอ
ความคิดเห็น |
---|